วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ท้องนี้หนัก...กี่โล

ไม่ต้องห่วงว่าจะดูอวบไปนิด อ้วนไปหน่อย ก็นี่เป็นเวลาที่ผู้หญิงอย่างเรา จะอ้วนได้อย่างชอบธรรมนี่นา แต่ที่ว่าอ้วนน่ะเท่าไหร่ถึงจะพอดี

ร่างอ้อนแอ้นสะโอดสะองของว่าที่คุณแม่จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอวบอัดไปในพริบตา แน่ละค่ะก็มีลูกน้อยทั้งคนอยู่ในท้องนี่นา แถมอะไรๆ ในร่างกายมันก็ขยายใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมตั้งแยะ แต่ที่คุณแม่ตั้งครรภ์รายไหนรายนั้นมักจะสงสัยก็คือ ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ในระหว่างตั้งท้อง

หนักเท่าไรได้มาตรฐาน

หลายคนเชื่อว่า เวลาตั้งครรภ์ต้องกินเผื่อเจ้าตัวเล็กด้วย เลยทำให้แม่ได้ใจ กินไม่ยั้งปาก... สองคนนี่นา ควรจะกินเพิ่มเป็นสองเท่า น้ำหนักเพิ่มเป็นสองเท่าก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ความคิดนี้ผิดถนัดค่ะ

ความจริงแล้วน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ จะต้องสัมพันธ์กับส่วนสูงและน้ำหนักตัวด้วย แต่โดยเฉลี่ยแล้วคุณควรจะหนักเพิ่มขึ้นราวๆ 10 - 15 กิโลกรัม

เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเลย ว่าที่คุณแม่ทั้งหลายต้องรู้ก่อนว่าตัวเองมีน้ำหนักมากน้อยกว่ามาตรฐานหรือไม่ วิธีคำนวณง่ายๆ ให้เอาส่วนสูงของคุณลบด้วยจำนวน 110 ผลลัพธ์ที่ได้คือน้ำหนักที่ควรจะเป็น เช่น คุณสูง 160 เซนติเมตร ก็ควรจะหนัก 50 กิโลกรัม... นี่คือน้ำหนักตัวมาตรฐานของผู้หญิงเรายามปกติ แล้วเอาน้ำหนักมาตรฐานนั้นบวกด้วยน้ำหนักที่ควรจะเพิ่มแต่ละเดือนยามตั้งครรภ์

ทีนี้ควรจะเพิ่มอีกสักเท่าไร...

มีหลักเกณฑ์การเพิ่มเหมือนกัน พูดกันแบบคร่าวๆ คือ ถ้าปกติคุณมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน เวลาท้องอาจจะหนักเพิ่มขึ้นได้อีกตั้งแต่ 14 - 20 กิโลกรัม แต่ถ้าปกติหนักเกินมาตรฐานอยู่แล้ว ก็ต้องระวังน้ำหนักให้เพิ่มขึ้นอยู่ประมาณ 7 - 12 กิโลกรัม น้ำหนักตัวที่เพิ่มนี้ควรเพิ่มอย่างสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไปตลอดการตั้งครรภ์ด้วยนะคะ

สรุปสูตรน้ำหนักยามตั้งครรภ์

น้ำหนักมาตรฐาน = ส่วนสูง - 110
คนผอม                = น้ำหนักมาตรฐาน + 14 - 20 กิโลกรัม
คนอ้วน                 = น้ำหนักมาตรฐาน + 7 - 12 กิโลกรัม
ไม่อ้วนไม่ผอม      = น้ำหนักยามมาตรฐาน + 10 - 15 กิโลกรัม

น้ำหนักนี้มีที่มา

เคยสงสัยไหมคะว่า เจ้าตัวเล็กที่คลอดออกมา ต่อให้ตัวจ้ำม่ำยังไงก็หนักไม่เกิน 4 กิโลกรัม ให้น่าตกใจว่าน้ำหนักของคุณที่เพิ่มพรวดๆ ตอนท้องไปอยู่ไหนกัน

ถ้าแยกแยะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 10 - 12 กิโลกรัม จะมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ค่ะ

น้ำหนักตัวทารกในครรภ์ 3000 กรัม
น้ำหนักรก                       500 - 700  กรัม
น้ำหนักน้ำคร่ำ                1000 กรัม
กล้ามเนื้อมดลูก             1000 กรัม
เต้านม                            300 - 500  กรัม
ปริมาณเลือดที่เพิ่ม        1000 กรัม
ปริมาณน้ำในร่างกายแม่ 1500 กรัม
ไขมันที่สะสมในตัวแม่    3000 กรัม

รวมแล้วน้ำหนักตัวแม่ลูกรวมกันราวๆ 11 - 12 กิโลกรัมเท่านั้นเอง...
ต๊าย แล้วที่เหลืออีกเท่าตัวล่ะคะ ไขมันน่ะสิ ถามได้

เพิ่มเท่าไรในแต่ละเดือน

น้ำหนักของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละระยะดังนี้ค่ะ

เดือนที่ 1 - 3

น้ำหนักตัวว่าที่คุณแม่คนใหม่ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก บางคนน้ำหนักอาจจะลดลงด้วยซ้ำ เพราะมีอาการแพ้ท้องจนกินไม่ได้ ่นอนไม่หลับ เอาแต่โอ๊กอ๊ากตลอด 3 เดือน ช่วงนี้ถ้าน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นก็มักไม่เกิน 2 กิโลกรัม

เดือนที่ 4 - 6

น้ำหนักจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ประมาณสัปดาห์ละ 0.25 กิโลกรัม หรือเดีอนละ 1 - 1.5 กิโลกรัม โดยเฉพาะคุณแม่ท้องแรกคุณอาจดูแค่อิ่มเอิบขึ้นนิดๆ ได้ เวลาใส่ชุดคลุมท้องแล้ว แต่อาจมีคุณแม่บางคนพอหายแพ้ท้องก็อยากกินโน่นกินนี่ แบบยั้งไม่อยู่

เดือนที่ 7 - 9

ช่วงนี้รูปร่างของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม หรือประมาณเดือนละ 2 - 2.5 กิโลกรัม ในเดือนสุดท้ายน้ำหนักจะคงที่หรือลดลงเล็กน้อย ช่วงนี้ลูกจะเจริญเติบโตเร็วมากทั้งทางสมองและร่างกาย และเป็นช่วงที่คุณเจริญอาหารมากที่สุดด้วย

ในกรณีที่น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นเลยในช่วงตั้งท้องได้ 2 - 4 เดือน หรือมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ในเดือนที่ 4 - 6 หรือมีน้ำหนักเพิ่มมากกว่าครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ ในเดือนที่ 7 - 9 อย่ารอช้า รีบไปพบแพทย์ดีกว่าค่ะ

สำหรับคุณแม่ลูกแฝดก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำหนักจะต้องเพิ่มเป็น 2 เท่าหรือ 3 เท่าตามจำนวนลูกน้อยในครรภ์ แต่อาจจะหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ คือประมาณ 17 - 22 กิโลกรัม

ไม่อ้วนเอาเท่าไร

คุณแม่ช่างหม่ำอาจควบคุมน้ำหนักไม่อยู่ น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มมากเกินมาตรฐานไม่ดีแน่ค่ะ... เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น ทารกตัวโตคลอดลำบาก คุณแม่เหนื่อยง่าย ปวดหลังมากขึ้น เส้นเลือดขอดมากขึ้น ถ้าผ่าคลอดก็จะทำให้แผลผ่าตัดติดช้า เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้ง่าย พอคลอดแล้วยังลดน้ำหนักให้หุ่นเข้าที่ได้ยากอีกด้วย

ถ้าน้ำหนักเพิ่มมากเกินไป อย่าใช้วิธีอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ลูกจะถูกจำกัดอาหารไปด้วย ทำให้ลูกขาดอาหารและเสี่ยงต่อการแท้งมากขึ้น พอรู้ตัวว่าชักจะตุ้ยนุ้ยเกินไป พยายามเลือกกินให้ถูกสัดส่วนและควบคุมปริมาณอาหารทันที เป็นวิธีเดียวที่ควบคุมน้ำหนักของแม่ตั้งครรภ์โดยไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

ส่วนว่าที่คุณแม่ที่ผอมแห้งแรงน้อย ท้องแล้วหุ่นยังแบบบางเหมือนนางแบบก็ใช่ว่าจะดี เพราะถ้าน้ำหนักคุณไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานก็เป็นอันตรายกับลูกอีก ลูกจะมีน้ำหนักตุวแรกเกิดต่ำกว่าปกติเกิดมาตัวเล็กมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกอย่างแน่นอนค่ะ

เคล็ดลับจึงอยู่ที่ความพอดีฉะนี้แล...

หนึ่งคำ สองคน

ใช่เลยค่ะว่าตอนนี้คุณไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาหารแต่ละมื้อจึงไม่ใช่สำหรับคุณคนเดียว แต่รวมไปถึงลูกน้อยในครรภ์ด้วย คุณกินอะไร ลูกก็จะกินอย่างนั้นไปด้วย ซึ่งปริมาณอาหารที่คุณกินก็จะไปสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวโดยตรงด้วย

สารอาหารที่ลูกได้รับจากตัวคุณนี้ สำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของเขา คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอีก 500 แคลอรีต่อวัน เทียบง่ายๆ ก็คือก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม

แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องกินมากขึ้นเป็นสองเท่า ควรคำนึงถึงความครบถ้วนทาคุณค่าโภชนาการมากกว่า เพื่อช่วยในการเติบโตทางร่างกายและสติปัญญาของลูก ซึ่งระยะที่สมองของลูกเจริญเติบโตเร็วมากที่สุดก็คือช่วงเดือนที่ 7 - 9 ของการตั้งครรภ์

กินอย่างแม่คุณภาพ

พฤติกรรมในการกินของแม่ตั้งครรภ์ก็สำคัญค่ะ นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ยังเป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกน้อยในครรภ์ด้วย

กินอาหารธรรมชาติ

ระหว่างตั้งครรภ์ ควรรับประทานอาหารแบบธรรมชาติ หรือที่ใกล้เคียงธรรมชาติให้มากที่สุด คือ อาหารสด ใหม่ ผ่านขั้นตอนการปรุงน้อย เพื่อคงคุณค่าอาหารไว้ให้มากที่สุด ถ้าเป็นอาหารแช่แข็งก็ยังพอใช้ได้ แต่ที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคืออาหารบรรจุกระป๋องทุกชนิด

กินเพิ่มขึ้น

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 500 แคลอรีต่อวัน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและการเติบโตของลูก

กินบ่อยๆ

แม่ตั้งครรภ์มักจะกินไม่ได้มากเท่ายามปกติ เพราะระบบการย่อยเปลี่ยนไปและกระเพาะถูกเบียด แทนที่จะกินมื้อใหญ่ 2 - 3 มื้ออย่างเมื่อก่อน ควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ วันละ 5 - 6 มื้อแทน

กินให้ครบคุณค่า

ควรเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพื่อช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของลูกน้อยและคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานในการทำกิจวัตรประจำวันของคุณ แต่ต้องไม่ลืมที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ให้เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงานส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยให้ไม่หงุดหงิด เหนื่อยง่าย และยังลดอาการแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ได้ด้วย

...ที่พูดมานี่ ไม่ได้ให้คุณแม่ระวังเรื่องน้ำหนักเสียจนไม่กล้ากินอะไร...

กินเข้าไปเถอะค่ะ แต่อย่าลืมว่าที่กินเข้าไปนั้น จะไปเพิ่มแต่ปริมาณหรือเปล่า ขอคุณภาพดีกว่าปริมาณคับพุงค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น