วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำไม...นักขายต้องหลั่งน้ำตา

ใคร ๆ ก็อยากรวย
..........ใครบ้างไม่อยากรวย ใครบ้างไม่อยากมีเงินมาก ๆ
แต่หนทางที่จะมีจะรวยนั่นซิ ดูมันช่างมืดมนจริง ๆ
ยิ่งในปัจจุบันนี้ถึงแม้งานจะหาไม่ยาก
แต่เมื่อเทียบเงินเดือนที่ได้รับกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นแล้ว
โอกาสที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้เพียงแต่พอจะมีกิน ดูก็ช่างยากเหลือเกิน
แล้วจะไปหวังอะไรกับการมีที่ดิน มีบ้าน มีรถขี่

..........อย่าว่านะ ว่าไม่ขยัน หรือเอาแต่เลือกงาน
ตอนนี้ทำอะไรได้ที่พอจะมีรายได้เพิ่มเติมและเป็นงานที่สุจริตก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น
แต่บางทีมีงานมาก็ไม่มีเวลาไปทำ
เพราะบริษัทต่าง ๆ ก็มุ่งแต่จะให้เราทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสมองให้กับบริษัทให้หมด
ถ้าไม่ให้หรือทำไม่ได้
ก็หมายความว่า ความก้าวหน้าของงานก็ไม่มี ซึ่งก็หมายความว่าเงินเดือนก็จะขึ้นน้อยไปตามกัน

..........ดังนั้น ยุคนี้เลิกพูดกันเสียทีได้ไหมกับคำว่า "เสื่อผืนหมอนใบ" ก็ตั้งตัวได้
เดี๋ยวนี้ลองหอบมาสิ เสื่อผืนหมอนใบ เกิดยังหางานทำไม่ได้แวะนอนที่ไหนเผลอหลับ
พลิกตัวพ้นหมอนทีเดียว หมอนหาย พลิกตัวพ้นเสื่ออีกที เสื่อก็หายตาม

..........ในกระบวนอาชีพรองที่มีอยู่ อาชีพนักขายเป็นอาชีพที่น่าสนใจและได้รับความนิยมอยู่มาก
ทั้งนี้ ก็เนื่องจากเสียงร่ำลือที่ว่า "ทำงานขาย รายได้ดี ทำไม่กี่ปี ก็มีรถยนต์ขี่"
เรื่องนี้ขอยืนยันได้เลยว่าเป็นความจริง

..........ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงมีคนเป็นจำนวนมากที่เดินเข้ามาสู่ถนนสายนี้และก็อีกเช่นกัน
ที่มีคนเป็นจำนวนมากต้องมาล้มเหลวกับชีวิตบนถนนเส้นนี้
ถ้าถามว่า ทำไม?
บางคนอาจจะบอกว่ามีคนเข้ามามากก็ต้องมีสำเร็จบ้าง
ไม่สำเร็จบ้าง มากน้อยตามสัดส่วนเป็นธรรมดา

..........ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะความสำเร็จของการอยู่ในอาชีพของการขาย
สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า "ทัศนคติแรกเข้า" ต่ออาชีพนี้ของคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร

ทัศนคติแรกเข้าประกอบด้วย
          1. มองอย่างชื่นชม ว่าการเป็นพนักงานขายเป็นอาชีพที่มีเกียรติ
          2. มีความหวังอย่างสูงที่จะฝากอนาคตไว้กับอาชีพนี้
          3. เป็นคนที่สามารถทำงานด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องมีใครมาคุม

..........พนักงานขายส่วนใหญ่ที่พบเห็นกันอยู่ ยังมีทัศนคติแรกเข้าไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เราจึงสามารถแบ่งพนักงานขายที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีทัศนคติแรกเข้าที่ไม่ถูกต้อง ออกเป็น 3 พวกด้วยกัน คือ

1. พวกศาลาพักใจ
..........หมายถึง คนที่เรียนจบมาแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานขายเลย แต่เนื่องจากยังหางานทำไม่ได้ เลยทดลองเข้ามาทำงานขายเป็นการชั่วคราว และก็หางานอื่นไปเรื่อย ๆ

2. พวกตกบันไดพลอยโจน
..........พวกนี้คล้ายกับพวกแรก คือ หางานอื่นไม่ได้เลยเข้ามาทำงานเป็นพนักงานขายชั่วคราว แต่พอเวลาผ่านเลยไปนานเข้า ก็ยังหางานอื่นตามที่ตั้งใจไม่ได้สักที ก็เลยจำใจต้องอยู่ อยู่ทั้งที่ใจไม่ได้รัก

3. พวกแพ้ภัยตัวเอง
..........พวกนี้โดยมากมักจะมีทัศนคติแรกเข้าดี แต่พอมาทำเข้าจริง ๆ พบว่าหลายอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เลยท้อถอย เรียกอีกอย่างว่า "พวกหัวใจฝ่อ" หรือบางคนอาจจะทำงานได้ดี แต่ควบคุมตัวเองในการทำงานไม่ได้ พอมีเวลาว่างมากก็ใช้เวลาในทางที่ผิด ไม่เกิดประโยชน์แก่ตัวเองและแก่งาน ในที่สุดก็ล้มเหลว

..........ท่านละ ท่านคิดว่าขณะนี้ ท่านกำลังอยู่ตรงไหน เรื่องนี้ไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเองดีที่สุด ถามตัวเอง ตอบตัวเอง จะได้รู้ว่าใคร ๆ ก็อยากรวย อยากมีเงินด้วยกันทั้งนั้น แต่มีคนที่พยายามจะทำให้ตัวเองรวยตัวเองมีเงินมีสักกี่คน

.........."เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยากเท่าเทียมกัน แต่สิทธิ์ที่จะมีทุกอย่างตามที่อยากนั้นมีไม่เท่ากัน ผู้ที่จะกำหนด หรืออนุญาตให้เรามีสิทธิ์หรือไม่นั้น คือ ตัวเราเอง"

..........ดังนั้น จงจำไว้เถิดว่า อนาคตข้างหน้าของเราจะเป็นอย่างไรนั้น ตัวเราเองนั่นแหละ เป็นผู้กำหนดและได้เลือกเอาไว้แล้วตั้งแต่วันนี้ด้วยการเลือกเส้นทาง เลือกวิถีทาง ของตัวเราเอง ซึ่งผลของมันก็จะเกิดขึ้นในบั้นปลาย และเมื่อวันนั้นมาถึง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเรา เราก็ต้องยอมรับ ถ้าเกิดผลดีก็จงภาคภูมิใจ ถ้าเกิดผลไม่ดี ก็อย่าไปโทษดวงชะตาฟ้าลิขิตเลย เพราะฟ้าก็อยู่ส่วนฟ้า ดินก็อยู่ส่วนดิน

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คุณก็ทำได้ เท่าที่คุณทำได้ แปลและเรียบเรียงโดย เศียรเศวต


ชื่อหนังสือ คุณก็ทำได้ เท่าที่คุณทำได้ แปลและเรียบเรียงโดย เศียรเศวต
ชุดพัฒนาตัวเอง
"ติดอันดับขายดี ของ The New York Times นานถึง 14 สัปดาห์"
"มีผู้ชนะซ่อนอยู่ภายในตัวเราทุกคน"

คำนำ
..........ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ อาร์ท แอล. วิลเลียม อดีตโค้ชฟุตบอลโรงเรียนไฮสกูล ที่ได้กลายมาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ซึ่งมีทรัพย์สินหลายร้อยล้านบาท มีพนักงานทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาหลายพันคน

..........อาร์ท วิลเลียมคือคนที่เปลี่ยนความฝันของเขาให้กลายเป็นความจริง ทว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จของเขานั้นมันเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย

..........ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้พูดถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตจริงของเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะตรงกันหรือคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน ลองมาดูความปวดร้าวที่เขาได้รับครั้งหนึ่งซิ

อาร์ท เขียนว่า :
..........วันหนึ่งขณะที่ผมยังเป็นโค้ชฟุตบอลอยู่ ผมอ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า "รับสมัครผู้บริหาร" ผมคิดว่าทำไมไม่ลองดูล่ะ ผมเองก็มีปริญญาโท เขาอาจจะรับเราก็ได้ ผมโทรศัพท์ไปติดต่อตามหมายเลขที่ประกาศไว้นั้น และก็ได้นัดหมายเพื่อไปสัมภาษณ์สมัครงาน

..........ผมขับรถเกือบร้อยไมล์ไปยังเมืองแอตแลนต้า ขึ้นลิฟต์ไปยังสำนักงานที่ตั้งอยู่บนชั้น 16 เจ้าหน้าที่ของบริษัทเอาข้อสอบมาให้ผมทำ และหลังจากที่ผมกลับมาจากการสอบครั้งนั้นแล้ว ผมก็ไม่ได้รับข่าวจากบริษัทนั้นอีกเลย พวกเขาไม่ยอมแม้แต่จะส่งจดหมายหรือโทรศัพท์บอกว่าผมสอบผ่านหรือไม่ผ่าน ที่เขาเห็นก็คือโค้ชฟุตบอลซึ่งมีปริญญาโททางพลศึกษา คุณพอจะเดาออกไหมว่าผมรู้สึกเช่นไร? มันเหมือนกับการถูกตบหน้าสุดแรงเกิด"

..........อย่างไรก็ตาม อาร์ท วิลเลียมไม่ยอมแพ้ เขามองหาโอกาสและช่องทางที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นใครสักคนหนึ่งให้ได้ ไม่ใช่คนที่ถูกกลืนเข้าไปในคลื่นมนุษย์ที่ไม่มีใครรู้จัก และในที่สุดเขาก็ทำได้

..........เดี๋ยวนี้ อาร์ท วิลเลียม ได้บันทึกประสบการณ์ชีวิตของเขาลงไว้ในหนังสือเล่มนี้ ด้วยความหวังที่จะให้มันเป็นหนังสือที่กระตุ้นผู้อ่านให้มีกำลังใจในการบากบั่นต่อสู้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นใครคนหนึ่ง

..........อาร์ท วิลเลียม ประสบความสำเร็จด้วยคติประจำใจสั้น ๆ และฟังดูเรียบง่ายว่า

"คุณทำได้เท่าที่คุณทำได้ แต่เท่าที่คุณทำได้ก็พอแล้ว"

..........ลองอ่านดูเอาเองเถอะ แล้วคุณก็จะเห็นว่า เท่าที่คุณทำได้นั้น เพียงพอแล้วจริง ๆ ที่จะนำคุณสู่ความสำเร็จ ... มันจะทำให้คุณกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด ... ไม่ช้าก็เร็ว
เศียรเศวต

คนใหม่ เขียนโดย วีระ ธีรภัทร


ชื่อหนังสือ คนใหม่ เขียนโดย วีระ ธีรภัทร แปลและเรียบเรียงจาก "The New You" ของ ซอล กอร์ดอน
จิตวิทยาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
คนใหม่
เปิดกว้างให้กับความรักและประสบการณ์ใหม่ ๆ 
มีกำลังใจมีพลัง
กล้าคิด กล้าทำ กล้าเสี่ยง กล้ารับผิดชอบ
พร้อมจะดำเนินชีวิตที่สร้างสรรค์
คำนำ
..........ที่พูดว่าคนทำหนังสือพิมพ์มีเพื่อนมาก มีคนรู้จักมาก ผมเห็นจะไม่ปฏิเสธ และก็เพราะความที่มีเพื่อนฝูงมากทั้งในหมู่คนที่ทำหนังสือด้วยกันและในหมู่คนที่ไม่ได้ทำหนังสือแต่เป็นคนอ่าน บางครั้งก็ทำให้เกิดอะไรต่อมิอะไรได้อยู่เรื่อย ๆ

..........อย่างหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกัน อันที่จริงงานที่ผมทำอยู่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงเพราะว่าทำหน้าที่ด้านข่าวต่างประเทศเสียเป็นงานหลัก ความที่ได้อ่านเรื่องโน้นเรื่องนี้มากพอประมาณ ประกอบกับผมเองมีความสนใจเรื่องจิตวิทยา เรื่องเทคนิคด้านบริหารอยู่บ้าง เพื่อนฝูงหลายคนก็คะยั้นคะยอให้เขียนอะไรพวกนี้ลงบ้าง หลายต่อหลายเรื่องก็เลยเกิดขึ้นและกลายเป็นหนังสือ "คนใหม่" เล่มนี้ อันเป็นการรวมบทความ หรือจะเรียกว่าสารคดีแนวคิดจิตวิทยาอะไรก็ได้ "คนใหม่" จึงเหมือนกับการจับเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่กระจัดกระจายให้มาอยู่ในหมวดหมู่กันโดยที่ผมเองไม่ได้คิดว่าจะนำมารวบรวมแต่อย่างใด

..........สำหรับชื่อ "คนใหม่" อันเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้นั้นก็ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมากมายนัก เพราะเป็นตอนต้นที่ผมแปลและเรียบเรียงขึ้นมาจากหนังสือภาษาอังกฤษชื่อ "The New You" โดยนักเขียนที่เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ชื่อ ดร.ซอล กอร์ดอน ตอนนี้ก็ถึงแก่กรรมไปเรียบร้อยแล้ว

..........ช่วงแรกของหนังสือเล่มนี้ผมนำมาจากหนังสือ "The New You" เสียเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ดัดแปลงเลือกเอามาเท่าที่เห็นว่าน่าสนใจ บางครั้งก็ดูจากสถานการณ์ทางด้านอารมณ์ที่ทั้งคนอ่านและคนเขียนมีอะไรร่วมกัน

..........ในช่วงแรกนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารเล่มเดียวกันทั้งหมดคือนิตยสาร "สู่อนาคต" สมัยที่ริเริ่มกันในตอนแรกและปรึกษาหารือกันว่าน่าจะมีคอลัมน์ประเภทจิตวิทยาแบบเบา ๆ แต่ได้สาระ ผมก็เขียนไปได้ประมาณสิบกว่าตอน คนที่คอยบีบบ้างขู่บ้างให้เขียนอย่างต่อเนื่องก็คือ คุณสุนทร กุลวัฒนวรพงศ์ ซึ่งทำงานด้วยกันในหนังสือหลายต่อหลายเล่มและเป็นมิตรสนิทคนหนึ่งของผม

..........ต่อมา คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ เพื่อนในวงการหนังสือด้วยกันอีกผู้หนึ่งไปรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหารหนังสือรายเดือนชื่อ "วงการ" ซึ่งผมเข้าใจว่าตอนนี้เลิกไปแล้วนั้น ได้เอ่ยปากให้เขียนคอลัมน์จิตวิทยาในเชิงบริหารหรืออะไรก็ได้ ในทำนองคน ๆ ผมก็ตอบสนองด้วยความเต็มใจเช่นเดียวกับที่นิตยสาร "ผู้นำ" อันเป็นนิตยสารรายเดือนอีกเล่มหนึ่งซึ่ง คุณจิราภรณ์ เจริญเดช รับผิดชอบในฐานะหัวหน้ากองบรรณาธิการ แต่ก็ได้มาเน้นทางด้านเทคนิคและจิตวิทยาด้านการบริหารอันเป็นแนวของหนังสือที่จัดทำอยู่

.........."คนใหม่" ที่รวมเล่มขึ้นเป็นครั้งแรกนี้จึงมีที่มาและที่ไปอันสลับซับซ้อนและสับสนพอประมาณ คุณคำนูณ สิทธิสมาน และ คุณตระกูล พีระพันธ์ เป็นมิตรสนิทอีกสองคนซึ่งจำเป็นต้องเอ่ยชื่อไว้ในที่นี้ด้วยเพราะมีส่วนช่วยเหลือในการรวบรวมต้นฉบับและบอกให้รวมเป็นเล่มจัดพิมพ์ขึ้นมา สำหรับการ์ตูนประกอบในหนังสือเล่มนี้นั้น ผมได้ คุณรณเดช ส่องศิริ การ์ตูนนิสต์มือดีของเมืองไทยซึ่งเขียนการ์ตูนประกอบเล่มให้นิตยสารรายสัปดาห์ "แหล่งข่าว" เป็นผู้เขียนการ์ตูนแทรกประกอบ เพื่อให้หนังสือมีชีวิตชีวาน่าอ่านน่าติดตาม แม้ว่างานประจำที่รับผิดชอบอยู่จะหนักหนาอยู่พอประมาณก็ตามที แต่ก็ยังเจียดเวลามานั่งเขียนการ์ตูนประกอบเรื่องให้ คุณประจวบ พยัคฆพันธ์ ผู้มีฝีมือคร่ำหวอดกับงานด้านศิลปะเป็นคนจัดรูปเล่ม และดีไซน์ปก "คนใหม่" เล่มนี้

..........คงจะไม่มากจนเกินไปถ้าหากจะบอกว่า คุณสมพร ธีระภัทรานนท์ ภริยาของผมที่ทนฟังเสียงพิมพ์ดีดในยามค่ำคืนและคอยเป็นกำลังใจให้ตลอดระยะเวลาที่ทำงานทั้ง ๆ งานประจำที่เธอรับผิดชอบอยู่ก็มากมายอยู่แล้ว แต่ก็ยังเจียดเวลาคอยสนับสนุนเป็นกำลังใจอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย คุณพ่อคุณแม่ของผมที่แม้ท่่านทั้งสองจะไม่ได้รับการศึกษาสูง แต่ก็ได้ให้หลักการและวิธีการในการดำรงชีวิตที่มีค่าทุกครั้งที่มีปัญหาซึ่งผมเห็นจะละเลยไม่กล่าวถึงไม่ได้เช่นกัน

..........สิ่งละอันพันละน้อยนี้จะมีประโยชน์และให้อะไรกับคนอ่านได้บ้างผมก็มีความยินดี แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามที ผมขอน้อมรับผิดชอบด้วยตัวเองและหวังว่าจะได้ผลิตงานนอกเหนือจากงานประจำที่รับผิดชอบออกมาอีกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
วีระ ธีรภัทร

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เปลี่ยนแล้วปลื้ม change เขียนโดย Alison Haynes


ชื่อหนังสือ เปลี่ยนแล้วปลื้ม change แนะแนวทางการเปลี่ยนชีวิตใหม่ เพื่อเริ่มต้นอนาคตที่สดใสกว่า
เขียนโดย Alison Haynes เรียบเรียงโดย เริงศักดิ์ ปานเจริญ

คำนำผู้เรียบเรียง
ชีวิตของคุณทุกวันนี้เป็นอย่างไร?
..........พอใจแล้ว หรือว่ายังไม่พอใจ
..........ก็ขึ้นอยู่กับใจของคุณเองว่าจะยอมรับชีวิตที่เป็นอยู่ หรือจะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่
..........ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่
..........ถ้าไม่ยอมรับก็ต้องเปลี่ยนแปลง!

..........หากจะตอบว่า ไม่ยอมรับและก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้คุณเห็นเส้นทางใหม่ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าคุณยอมรับว่าชีวิตที่เป็นอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ใฝ่ฝัน ก็แสดงว่าคุณยังขับเคลื่อนชีวิตอยู่บนเส้นทางสายเก่าที่ยาวไกล และไม่แน่ใจว่าจะถึงจุดหมายปลายทางเมื่อไร ก็ถึงเวลาที่จะลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ได้แล้ว อย่ากลัวความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ถ้าคุณกลัวในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ชีวิตคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

..........คุณเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนหรือไม่ "บางครั้งการตัดสินใจในเรื่องเล็กน้อย นั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปตลอดชีวิต" คุณเห็นด้วยหรือไม่?

..........ถ้าเห็นด้วย ลองค้นหาเรื่องเล็กน้อยที่ควรเปลี่ยนแปลงในตัวคุณเองเสียก่อน หากยังมองไม่เห็นเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น หนังสือเล่มนี้อาจช่วยคุณได้
เริงศักดิ์ ปานเจริญ

ค้นหาตน ค้นพบงาน Test Your Own Aptitude แปลโดย วิสุทธิจิตรา วานิชสมบัติ


ชื่อหนังสือ ค้นหาตน ค้นพบงาน Test Your Own Aptitude
เขียนโดย จิม บาร์เร็ตต์ และเจฟฟ์ วิลเลียมส์ แปลโดย วิสุทธิจิตรา วานิชสมบัติ
แบบทดสอบเพื่อรู้จักความสามารถพิเศษ ซึ่งจะนำไปสู่การหางานที่เหมาะสม
คำนำ
..........มีผู้กล่าวไว้ว่า ยิ่งคนเราทำงานอย่างมีความสุขมากเพียงใด ผลงานที่ออกมาก็จะยิ่งดีมีคุณภาพมากเพียงนั้น แต่การจะได้ทำงานอย่างมีความสุขนั้น เราจะต้องค้นหาความถนัดที่แท้จริงของตนเองให้พบเสียก่อน

..........หนังสือ "ค้นหาตน ค้นพบงาน" ซึ่งวิทสุทธิจิตรา วานิชสมบัติ แปลจาก Test Your Own Aptitude เขียนโดย จิม บาร์เร็ตต์ และเจฟฟ์ วิลเลียมส์ นี้ เสนอวิธีการค้นหาตนเองให้พบผ่านทางแบบทดสอบสามด้าน คือ ความสามารถ บุคลิกภาพ และแรงจูงใจ ซึ่งเมื่อนำผลที่ได้มาประมวลเข้าด้วยกันและตีความหมายตามที่บรรยายไว้ในหนังสือแล้ว คุณก็จะได้รู้จักความถนัดของตนเองและอาชีพที่เหมาะสมซึ่งผู้เขียนได้เสนอไว้

ทางสู้ แปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล


ชื่อหนังสือ ทางสู้ แปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล
ชื่อเดิม What to do when business is bad โดย Herbert N.Casson
ทำอย่างไร เมื่อค้าขายไม่ดี วิธีไหน ใช้แก้ปัญหา กำไรหด
คำนำ
..........นี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อบรรดานักธุรกิจทั้งมวล
..........ในทุกประเทศ ต่างก็มี ปีทอง และ ปีที่ตกต่ำ
..........และในปีที่ตกต่ำนั้น ก็มีกลวิธีต่าง ๆ ที่กิจการทั้งใหญ่และเล็ก สามารถนำไปใช้ เพื่อความอยู่รอดได้
..........หนังสือเล่มนี้ มีจุดประสงค์สองชั้น คือ
..........(1) เพื่อชี้ชัดออกไปว่า นักธุรกิจนั้น ควรจะทำอย่างไร เมื่อกำไรไม่เป็นที่น่าพอใจ
..........(2) กระตุ้นเร้าให้ลงมือกระทำตามนั้น ด้วยความอุตสาหะ
..........ในการพิชิตความลำบากยากเข็ญ ในวงการธุรกิจนั้น...
..........เบื้องแรก ต้องมีความรู้
..........จากนั้น ก็ลงมือปฏิบัติ
..........หนังสือเล่มนี้ เอื้อความรู้ที่จำเป็น และก็มีส่วนของเนื้อหา ที่ปลุกกำลังใจ เพิ่มพูนความทะเยอทะยาน ใฝ่ฝัน และความเชื่อมั่นในตัวเอง
..........และช่วยให้เริ่มก้าวเดินไป บนถนนสู่ความสำเร็จ และความสุขสันต์
..........เมื่อธุรกิจตกต่ำ คนเราต้องลงมือกระทำ ในวิถีทางที่ประหยัด และให้ผลมากที่สุด ในอันที่จะเพิ่มยอดขาย
..........ต้องมีเงินเข้ามากขึ้น และเงินออกน้อยลง
..........ต้องทำรายการ "ทรัพย์ที่ถูกแช่แข็งไว้"
..........ทำทุกอย่าง ด้วยความมานะ ที่จะทำให้สถานะเงินสดของธุรกิจนั้น ๆ ดีขึ้น
..........ต้องอุดรอยรั่ว และความเสียเปล่า
..........ตัดพวกกาฝากทิ้งไป และส่งเสริมผู้ทำงานจริง และทำกำไรให้
..........ต้องทำตัวเป็นผู้ชำระสะสางชั่วขณะหนึ่ง
..........ทุกปี เราได้ยินเรื่องราวของบริษัท ที่ล้มละลาย แต่ไม่เคยรู้จำนวนบริษัท ที่จวนเจียนจะล้มละลาย...
..........กิจการจวนเจียนเหล่านี้ บางแห่ง จะพยายามดิ้นรนต่อสู้หรือเปลี่ยนแปลงการจัดการ และสามารถหนีพ้นจากสถานะอันตรายได้...
..........แต่ส่วนใหญ่ จะซวดเซไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งล้มไปในที่สุด
..........ส่วนใหญ่แล้ว ยังดำรงสภาพความเป็นผู้ไม่อาจสอนได้ ไว้จนถึงวาระสุดท้าย
..........แทบเรียกได้ว่า เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ที่จะช่วยเหลือพวกเขา
..........ถือเป็นกฏได้เลยว่า สามในสี่แห่ง ของกิจการที่ล้มเหลวนั้น สามารถป้องกันได้ โดยการลงมือกระทำอย่างรวดเร็วสักหน่อย
..........แม้ในช่วงปีทอง ก็ยังมีกิจการที่ประสบภาวะล้มละลายในอัตราสูง
..........ส่วนในช่วงปีตกต่ำนั้น ก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
..........นี่แสดงให้เห็นว่า ครึ่งหนึ่งของกิจการที่ล้มเหลว ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำนั้น มิได้มาจากสภาวะภายนอก...
..........แต่อยู่ที่การจัดการผิด ๆ
..........ทุกรายที่ล้มเหลว ในช่วงปีตกต่ำ จะตำหนิสภาพเศรษฐกิจ และมีเพียงครึ่งเดียวที่ถูกต้อง
..........อีกครึ่งหนึ่งนั้น แม้อยู่ในช่วงปีทอง ที่เฟื่องฟู ก็จะล้มเหลว เช่นกัน
..........สิ่งเลวร้ายที่สุด สำหรับธุรกิจหนึ่ง ๆ เมื่อกำไรลดลง ก็คือ
..........การปล่อยตัวเปะปะตามยถากรรม
..........ในช่วงเฟื่องฟูนั้น อาจทำได้...
..........แต่เมื่อกิจการตกต่ำลง ก็ต้องหยุดปล่อยตัวเปะปะทันที
..........ต้องมีความคิดริเริ่ม และกิจกรรมใหญ่หลวง
..........ลูกจ้างต้องกระทำมากขึ้น มิใช่น้อยลง
..........ต้องมีการเคลื่อนไหว ลุยไปข้างหน้า ภาวะตกต่ำ ต้องไม่ถูกปล่อยให้ลาม เข้ามา ภายในกิจการ
..........รถยนต์ อาจแล่นลงเนินได้ โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน  ...
..........แต่ปราศจากน้ำมันแล้ว มันไม่อาจแล่นขึ้นเนินได้
..........ธุรกิจก็เช่นกัน เมื่ออะไร ๆ เฟื่องฟู มันจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แทบเรียกได้ว่าเป็นอัตโนมัติเลยทีเดียว...
..........แต่เมื่อสภาวการณ์ ตกต่ำเลวร้ายลง - เมื่อมีคนขายมากกว่าคนซื้อ - จะไม่มีธุรกิจใด เคลื่อนไปข้างหน้าได้ เว้นแต่มีแรงผลักดัน
..........ซื้อน้ำมันเติมรถนั้นง่าย แต่การใช้กลวิธี ผลักดันธุรกิจให้เคลื่อนไปได้นั้น..... ไม่ง่ายนัก
..........ตัวอย่างเช่น ... การโฆษณา และ การฝึกอบรมพนักงาน ... มันต้องใช้ทั้ง เวลา และ เงิน
..........การเติมความกระตือรือร้น ลงในธุรกิจหนึ่ง ๆ - นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
..........ความกระตือรือร้นนั้นเริ่มขึ้นที่ระดับยอดของธุรกิจ และจะค่อย ๆ ไหลซึมลงสู่ระดับล่าง
..........การเคลื่อนธุรกิจขึ้นเนิน ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ - นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย .... แต่สามารถทำได้ .... ดังที่แม่ไก่บอกกับลูก ๆ ของมันว่า
"เมื่อไส้เดือนหายาก เราก็ต้องขุดคุ้ยให้หนักมือขึ้น"
Herbert N.Casson

200 ภาษิต พิชิตความสำเร็จ โดย ฟางซู่หัว


ชื่อหนังสือ 200 ภาษิต พิชิตความสำเร็จ
รวบรวมโดย ฟางซู่หัว แปลและเรียบเรียงโดย รัถยา สารธรรม
*******************************************
ชีวิต เปรียบเหมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
ต้องใช้สีสันที่งดงามแต่งแต้ม ต้องใช้มือที่อ่อนโยน
บรรจุชีวิตจิตใจที่คึกคักกระปรี้กระเปร่าเข้าไป
หากไม่มีหินโสโครก ก็ไม่เกิดลูกคลื่นอันงดงาม
หากไม่มีหนทางชีวิตอันขรุขระ ชีวิตก็ไร้รสชาติ
หากไม่มีการต่อสู้ที่ทรหดอดทน ชีวิตก็ไม่รุ่งโรจน์...
*******************************************
คำนำ
..........ในโลกนี้มีทั้งผู้ที่ประสบความสำเร็จและผู้ที่พ่ายแพ้ล้มเหลว
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้เล่า?
ถ้าหากวิเคราะห์จากรูปร่างหน้าตา ความสามารถ ประวัติการศึกษา คนเหล่านี้อาจไม่แตกต่างกันมากนัก
แต่คนบางคนกลับได้รับความนิยมชมชอบจากคนทั่วไป ในขณะที่คนบางคนไม่เป็นที่ต้อนรับของผู้อื่น
คนบางคนบริหารการเงินเก่งมาก แต่คนบางคนกลับเป็นหนี้เป็นสินชาวบ้านทั้งปี
คนบางคนมีความสุขกับชีวิตเสมอ แต่คนบางคนกลับหน้าเศร้าทั้งวัน ไม่เคยมีความสุขกับชีวิตแม้แต่น้อย
คนบางคนพบแต่ความโชคดี ในขณะที่คนบางคนพบแต่ความโชคร้าย
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้เล่า?

..........บางท่านอาจจะตอบว่า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับ "วาสนา" คนไหนวาสนาดี ชีวิตก็มีความสุข คนไหนวาสนาไม่ดี ชีวิตก็เจอแต่เรื่องร้าย ๆ

..........แต่ไม่ว่าชะตาลิขิตจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเราได้ ถ้าหากเรามีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าสู้ชีวิต มีความขยันหมั่นเพียร สิ่งที่เคยเลวร้ายก็จะดีขึ้น สิ่งที่ดีอยู่แล้วก็จะดียิ่ง ๆ ขึ้น

..........ในทัศนะของผู้ที่ประสบความสำเร็จ พวกท่านต่างเห็นว่า ความสำเร็จคือผลพวงแห่งความมานะบากบั่น เส้นแบ่งเขตระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวก็คือ เมื่อล้มแล้วกล้าลุกขึ้นมาทดลองใหม่อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ถ้าหากกล้าสู้ต่อไปอย่างไม่ท้อถอย ชีวิตก็จะประสบความสำเร็จ อยากได้อะไรก็จะได้สิ่งนั้นสมปรารถนา

..........หนังสือเล่มนี้ ได้รวบรวมคติแห่งความสำเร็จจากปราชญ์เมธีทั่วโลกมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน คติเหล่านี้เป็นสัจธรรมแห่งชีวิต จึงทอประกายเจิดจรัสทุกยุคทุกสมัย นับเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง เนื้อหาอาจจะหนักไปบ้าง แต่ถ้าแบ่งอ่านวันละ 1 บท อ่านแล้วนำมาขบคิด นำมาตรวจสอบกับชีวิตจริงของเรา เราก็จะได้แง่คิดประจำวันที่ดีมาก ทำให้เรามีพลังในการต่อสู้ชีวิตมากขึ้น มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น

..........สมัยเด็ก ๆ เราชอบฟังนิทานก่อนนอน เมื่อโตขึ้น ก็ขอให้เรามาอ่านคติชวนคิดก่อนนอนเถิดนะ เพื่อที่ชีวิตในวันพรุ่งนี้จะได้ดีกว่าวันวานที่ผ่านไป
รัถยา สารธรรม

ก้าวไปสู่ความเป็นคนเหนือคน เขียนโดย ซุนเทียนหลุน


ชื่อหนังสือ
ก้าวไปสู่ความเป็นคนเหนือคน เขียนโดย ซุนเทียนหลุน แปลโดย สุวรรณา สนเที่ยง
การฝึกฝนและสร้างเสริมความเชื่อมั่นและความเป็นตัวของตัวเอง โดยนักจิตวิทยาชื่อดังของฮ่องกง
ชุดสร้างตัวของคนหนุ่มสาว จิตวิทยาคนรุ่นใหม่

คำนำหนังสือ
..........ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เศรษฐกิจการค้าขยายตัวมากขึ้น คนที่มีความมั่นใจในตนเองเท่านั้นที่กล้าจะตัดสินใจกระทำในสิ่งต่าง ๆ ได้เด็ดขาด และประสบผลสำเร็จ ส่วนคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองมักตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ ความล้มเหลวทำให้รู้สึกหมดหวัง และเป็นปมด้อย

..........การที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแต่คุณต้องค้นหาสาเหตุของความไม่มั่นใจ ทำความเข้าใจตนเอง พัฒนาบุคลิกภาพของตนและฝึกฝนทักษะการเข้าสังคม ก็จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองได้ในไม่ช้า หนังสือเล่มนี้สามารถช่วยให้คุณเป็นคนใหม่ที่มีความมั่นใจ และพร้อมที่จะเผชิญกับสังคมปัจจุบันนี้ได้อย่างดี

ความเป็นมา
..........อะไรคือความเชื่อมั่นตนเอง? คือ การมั่นใจว่าตนเองสามารถทำอะไรบางสิ่งบางอย่างได้ หรือเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำสำเร็จได้ระดับใดระดับหนึ่ง คนที่เชื่อมั่นตนเองมักมีจิตสำนึกว่า "ฉันทำได้..." ส่วนคนที่ไม่เชื่อมั่นตนเอง มักบอกกับตนเองว่า "ฉันทำไม่ได้..." เสมอ ถ้าคนเรามีความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำได้ในขณะที่ลงมือกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใด การนั้นย่อมเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเขารู้สึกว่าตนเองจะต้องพ่ายแพ้ล้มเหลวตั้งแต่ก่อนลงมือทำ โอกาสที่เขาจะทำการสำเร็จย่อมมีน้อยเหลือเกิน

..........ความแตกต่างระหว่างคนที่เชื่อมั่นตนเองกับคนที่ไม่เชื่อมั่นตนเองนั้น สังเกตได้เด่นชัดมาก คนที่เชื่อมั่นตนเองจะมีแววตามั่นคง ท่าทางสุขุมเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้าน ไม่กลัวการสบตากับผู้อื่น นั่ง ยืน และเดินตัวตรง การสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นไปอย่างคล่องแคล่ว ส่วนคนที่ไม่เชื่อมั่นตนเองมักมีแววตาบอกถึงความกระวนกระวาย ไม่กล้าสบตาผู้อื่น อ่อนไหวง่าย ตื่นเต้นง่าย มีอาการผลุดลุกผลุดนั่งตลอดเวลา แสดงออกค่อนข้างเหนียมอาย มักไม่กล้าปฏิเสธหรือต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ชอบธรรม จนบางครั้งต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ

..........ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นนี้ คนที่ไม่เชื่อมั่นตนเองมักตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ และความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าจะยิ่งกระหน่ำให้พวกเขารู้สึกหมดหวัง รู้สึกมีปมด้อยจนลุกไม่ขึ้น

..........การที่จะได้มาซึ่งความเชื่อมั่นตนเองนี้ เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญกระนั้นหรือ? ไม่เลย ขอแต่ให้คุณเข้าใจตนเอง ยอมรับการฝึกฝนเพื่อเอาชนะความเหนียมอาย และการฝึกฝนที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น ฝึกฝนเพื่อกำหนดสถานะของตนเอง สร้างทัศนคติใหม่ต่อร่างกายและพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง และฝึกฝนทักษะการเข้าสังคมอย่างจริงจังก็จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้นได้ในไม่ช้า

..........ที่ผ่านมา การฝึกฝนทั้งสี่ข้างต้นจะดำเนินไปโดยมีนักจิตวิทยาคอยชี้แนะโดยตรง แต่ในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้พยายามจัดเรียงลำดับขั้นตอนของการฝึกฝนไว้ด้วยภาษาง่าย ๆ เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำการฝึกฝนตนเองจนกลายเป็น "คนใหม่" ที่มีความเชื่อมั่นตนเองด้วยตัวคุณเอง

..........จำไว้ว่า คนที่มีความเชื่อมั่นตนเองมักมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตด้านต่าง ๆ มากกว่า และถูกสังคมเหยียดย่ำรังแกน้อยกว่า หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเริ่มต้นการฝึกฝนตั้งแต่วันนี้ เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมขบวนของคนที่เชื่อมั่นตนเองกันเถิด
ซุนเทียนหลุน

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
"ริดสีดวงทวาร"
โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารโรคหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก มีผู้ป่วยกันไม่ใช่น้อยในปัจจุบัน สาเหตุเกิดจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน
ส่วนใหญ่ก็อยู่กับเรื่องอาหารการกินนี่เอง
เรื่องกินนี้สำคัญที่สุด กินไม่ถูก กินไม่เหมาะสม กินไม่เป็นก็จะทำให้สุขภาพร่างกายของตนเองไม่สมบูรณ์ แข็งแรง ระบบการขับถ่ายไม่ดีพอก็ทำให้เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ เช่น
          ท้องผูกเป็นประจำ
          ท้องผูกเรื้อรัง
          เวลาถ่ายอุจจาระจะต้องเบ่งกันมากมาย
          ไอเรื้อรัง
          โรคอ้วนที่มีอยู่
          มะเร็งลำไส้
เส้นเลือดดำที่ทวารหนักขอด โป่งพอง ออกมา เลือดคั่งมากมายเลือดไหลกลับไม่ได้ เกิดอาการคั่งอยู่ตรงนี้มาก อักเสบกลายเป็นแผลเกิดหัวริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ในที่สุด
เราจะมาแนะนำสิ่งที่ดี ๆ แก่ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารทุกท่านที่สนใจ นำเอาไปปฏิบัติ นำเอาไปป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดป่วยเป็นริดสีดวงทวารขึ้นมา หรือกำลังป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารอยู่แล้วก็จงปฏิบัติตนเองให้ถูกต้อง เพื่อเยียวยารักษาโรคริดสีดวงทวารของตนเองให้หายไป พ้นจากการทรมานที่เกิดขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีต่อไป
ได้กล่าวมาแล้วว่าในปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารกันมากมาย ดังนั้น เมื่อนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปปฏิบัติ มีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี เอาใจใส่ดูแลตัวเองในเรื่องการขับถ่าย การดูแลตนเองไม่ให้ท้องผูก กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ อะไรเหล่านี้ท่านก็จะห่างไกลจากโรคต่าง ๆ รวมทั้งริดสีดวงทวารด้วย
------------------------------------------------------
ริดสีดวงทวารคืออะไร ?
พอเอ่ยถึงคำว่า "ริดสีดวงทวาร" ทุกคนก็คงจะเข้าใจกันดีว่าคืออะไร หมายถึงอะไร เพราะในชีวิตคนเรานั้นคงจะได้พบกับ "ริดสีดวงทวาร" กันจนได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยที่สูงอายุทั้งหลาย
แม้ว่าใคร ๆ จะเข้าใจเรื่องริดสีดวงทวาร อย่างไรก็ตามแต่ ก็ยังมีผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารกันไม่ใช่น้อยในปัจจุบันนี้
ในเด็ก ๆ มักจะไม่พบว่าเป็นริดสีดวงทวารกัน แต่ในผู้ใหญ่ เช่น ผู้ที่มีวัยเกือบ 50 ปี ไปแล้วนั้นมักจะตรวจพบริดสีดวงทวารอยู่เสมอ
จากการตรวจของแพทย์พบว่าบุคคลสูงอายุนั้น ร้อยละ 45 มักเป็นริดสีดวงทวาร บางรายอาจจะไม่แสดงอาการมาก แต่บางรายก็แสดงอาการออกมาให้เห็นเป็นก้อนเนื้อปูดโปนออกมาที่ทวารหนัก บางรายก็มีเลือดออกมาด้วยพร้อมกับก้อนเนื้อของริดสีดวงทวารที่โผล่ยื่นออกมา
คราวนี้ลองมาพิจารณากันถึงเรื่องของริดสีดวงทวารกันบ้างว่าเป็นอย่างไร
"ริดสีดวงทวาร" หมายถึง หลอดเลือดดำที่ทวารหนักโป่งพองยื่นออกมา ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บ ๆ คัน ๆ ในระยะเริ่มแรก ซึ่งผิดปกติไป
ในระยะต่อมา อาการอักเสบจะเริ่มเป็นมากยิ่งขึ้นอีกถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาการเจ็บปวดก็จะเกิดขึ้น หลอดเลือดดำโป่งพองออกมามากแล้วจะแตกออกเป็นแผล เวลาถ่ายอุจจาระจะมีเลือดสด ๆ ออกมาด้วย มองดูแล้วผู้ป่วยจะตกใจทีเดียวที่เห็นโถส้วมสีขาวนั้นแดงฉานไปด้วยเลือดสด ๆ
ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นริดสีดวงทวารแบบเรื้อรังนั้น ส่วนมากท้องจะผูกเวลาถ่ายอุจจาระก็ถ่ายออกมาได้ยากลำบากมาก จะต้องมีการเบ่งอุจจาระกันมากมายทำให้หลอดเลือดที่โป่งพองยิ่งโป่งพองมากยิ่งขึ้นอีกเพราะแรงแบ่งนั่นเอง อาการอักเสบจะมีมากขึ้นเป็นพิเศษ ก้อนเนื้อโป่งพองออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจน เอามือลูบคลำดูก็จะสัมผัสได้ ผู้ป่วยจะเกิดอาการไม่สบายใจยิ่งนัก
บางรายผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงมาก เกิดอักเสบอย่างมากจนเกิดแผล หนอง บวมพองออกมาเป็นก้อนริดสีดวงขนาดใหญ่
น่ากลัวมากจริง ๆ
หลอดเลือดดำที่ทวารหนักเกิดขอดอยู่ที่ตรงนี้มาก เส้นเลือดที่มีอยู่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงที่ทวารหนักเป็นจำนวนมาก เลือดมาคั่งมากมาย เลือดเดินไม่สะดวกเลือดไหลกลับไม่ได้ตามปกติ เลือดก็จะแออัดคั่งกันอยู่ที่ตรงนี้มาก เกิดการโป่งพองและอักเสบแตกออกกลายเป็นแผลเป็นก้อนริดสีดวงทวารไปในที่สุด
อักเสบกันใหญ่โตและเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย
อาการเส้นเลือดขอดที่เป็นเส้นเลือดดำใหญ่จะไม่มีลิ้นที่เส้นเลือด ด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้ผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงทวารจะต้องมีริดสีดวงทวารที่เป็นก้อนโป่งพองออกมามากเวลายืน เดินหรือจะนั่งก็ตาม ยิ่งเวลาไอด้วยก็จะยิ่งเป็นการเบ่งให้ก้อนริดสีดวงทวารออกมามากยิ่งขึ้นอีก
ต่อมลูกหมากโตเมื่อสูงวัยยิ่งขึ้น ถ่ายปัสสาวะยาก เวลาถ่ายปัสสาวะจะต้องมีการเบ่งมากกว่าปกติ ก้อนริดสีดวงทวารจึงเกิดยื่นออกมามากยิ่งขึ้นได้
หลอดเลือดดำที่โป่งพองอยู่นี้จะยิ่งโป่งพองออกมามากที่สุดก็ในเวลามีการถ่ายอุจจาระ เพราะเกิดการเบ่งมากขึ้นนั่นเองดังได้กล่าวมาแล้ว คิดดูเถอะว่าเมื่อเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาแล้วก็จะต้องเบ่งอุจจาระออกมามากยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น หลอดเลือดดำโป่งพองมากยิ่งขึ้น อาการอักเสบจะต้องมีไม่น้อย
จึงไม่ควรทำให้ท้องผูกเป็นอันขาด เป็นอันตรายแก่การป่วยเป็นริดสีดวงทวารมากจริง ๆ
ตามปกติ กล้ามเนื้อที่ทวารหนักของคนเรานั้นจะต้องมีการหดตัวเข้าที่ หลอดเลือดดำก็จะต้องไม่มีโผล่ยื่นออกมา ดังนั้นเองเมื่อการเป็นริดสีดวงทวารมีการอักเสบโผล่ยื่นออกมาก็เจ็บปวดได้
ริดสีดวงทวารนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน
1. ริดสีดวงทวารชนิดภายใน
2. ริดสีดวงทวารชนิดภายนอก
ริดสีดวงทวารชนิดภายในนั้นเกิดขึ้นภายในทวารหนักของผู้ป่วย ที่ปกคลุมไปด้วยเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ไม่มีออกมาให้เห็นที่ภายนอก
ริดสีดวงทวารที่เกิดภายในนั้นแพทย์พบมากกว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออกมาจากภายในมองดูน่ากลัวทีเดียวดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
สาเหตุที่เกิดริดสีดวงทวารภายในนี้ แพทย์เองก็ยังไม่อาจจะทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่ว่าสิ่งที่อาจจะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดเป็นริดสีดวงทวารชนิดภายในขึ้นมาน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการรับประทานอาหารและการขับถ่ายของผู้ป่วยเองมากกว่าอย่างอื่น เป็นต้นว่า เกิดอาการท้องผูกเกิดขึ้นเป็นประจำก็เป็นทางนำไปสู่การเป็นริดสีดวงทวารได้มาก
อุจจาระแข็งมาก เกิดการเสียดสีกับเยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดดำ การเบ่งมีมากเกินไป อาการเส้นเลือดโป่งพองจึงเกิดมีมากขึ้นได้เสมอ
เวลาถ่ายอุจจาระทีก็เบ่งกันอยู่เป็นเวลานาน ๆ ในการถ่ายอุจจาระแต่ละครั้ง ด้วยความยากลำบากจริง ๆ
โดยปกติคนเราก็น่าจะถ่ายอุจจาระวันละครั้ง คือ ตื่นนอนในตอนเช้า หรือจะมีการถ่ายอีกในช่วงเวลากลางวันก็แล้วแต่ ถือเป็นปกติธรรมดา
แต่ยังมีบุคคลที่ถ่ายอุจจาระนาน ๆ ครั้งหนึ่ง เป็นต้นว่า 3-4 วันถ่ายครั้งหนึ่ง บางรายก็ 5 วันครั้ง ซึ่งก็ถือว่าผิดปกติไปหน่อยจะต้องเกิดมีอาการท้องผูกขึ้นมาแล้วอย่างแน่นอนที่สุด
เบ่งมาก อุจจาระก็แข็งมาก เบ่งกันนาน ๆ กว่าก้อนอุจจาระที่แข็งจะหลุดออกมาได้อาการเส้นเลือดโป่งพองก็จะมีมากยิ่งขึ้น
เมื่อมีการเบ่งอุจจาระด้วยความลำบากยากเย็นเป็นเวลานาน ๆ ก็เกิดมีความดันในช่องท้องขึ้นมาได้ กล้ามเนื้อที่ทวารหนักก็มีการขยายตัวตามกันออกไปด้วย หลอดเลือดดำก็ยิ่งมีโอกาสโป่งพองยิ่งขึ้น
วันต่อ ๆ มา พฤติกรรมเช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีก เพราะคนเราจะต้องมีการถ่ายอุจจาระกันทุก ๆ วันอยู่เป็นปกติ หลอดเลือดก็จะยิ่งโป่งพองมากยิ่งขึ้น อาการอักเสบก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก จะไม่มีการหดเข้าไปภายในอีก คราวนี้แหละก็มองเห็นอย่างชัดเจนที่ทวารหนักทีเดียว
ริดสีดวงทวาร โรคทรมานที่มีอยู่อีกโรคหนึ่งของคนเราในเวลานี้ท่านที่กำลังอ่านเรื่องนี้แล้วกำลังเป็นริดสีดวงทวารจะทราบดีว่าเป็นอย่างไร
อาการอักเสบเช่นนี้จากริดสีดวงทวารเป็นการทรมานมาก เพราะหลอดเลือดดำที่ยื่นโป่งพองออกมาภายนอกทวารหนัก หรือที่เราเรียกกันว่า "หัวริดสีดวง" ซึ่งก็คือผนังของทวารหนักที่มีหลอดเลือดดำอยู่ด้วย
ทวารหนักที่เป็นปกติจะไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีหัวริดสีดวงทวารเกิดขึ้น หลอดเลือดดำก็ยังไม่โป่งพองอักเสบ
เมื่อพิจารณาดูที่ลำไส้ส่วนบนลงมาประมาณ 6 นิ้ว คือลำไส้ใหญ่ส่วนปลายกับทวารหนักจะมีเยื่อบุที่เราจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เส้นโลหิตดำใต้เยื่อบุ แต่ว่าที่ผิวหนังทวารหนักจะมีปลายประสาทมากมายปรากฏอยู่ คนเราจึงมีอาการรู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย
ได้กล่าวมาแล้วว่า ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารนั้น โดยมากจะท้องผูกเวลาถ่ายอุจจาระจึงจะต้องเบ่งกันมาก เบ่งกันจนหน้าดำหน้าแดงทีเดียวกว่าจะมีก้อนอุจจาระหลุดออกมาได้สัก 1 ก้อน แสนที่จะทรมาน ความแข็งของอุจจาระนั้นมีมาก สามารถเสียดสีสัมผัสกับหลอดเลือดที่โป่งพองจนมีบาดแผลขึ้นมาได้ เลือดไหลเนืองนองออกมาแดงฉานน่ากลัว ยิ่งเวลาขมิบกล้ามเนื้อที่ก้นด้วยเลือดก็จะหยดติ๋ง ๆ ลงมาสู่โถส้วมอีก
ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารนั้นมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางได้อีก ซึ่งมีอันตรายอีกด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการสูญเสียเลือดไปทุก ๆ ครั้งที่ถ่ายอุจจาระนี่เอง
ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงจึงจะต้องระมัดระวัง ดูแลตนเองไม่ให้เกิดอาการท้องผูกขึ้นมาได้ และถ้าเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาท่านก็จะมีอาการของโรคกำเริบมากยิ่งขึ้นอีก จะต้องเอาใจใส่ในเรื่องการรับประทานอาหารให้ดี อาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ อาหารที่มีกากอาหารมาก ๆ เพื่อช่วยในการขับถ่ายให้คล่องมากขึ้น เพื่อสุขภาพของตนเอง ท้องไม่ผูก
อย่าลืมดื่มน้ำให้มาก ๆ วันละ 8 แก้วอีกด้วย เพื่อช่วยในการขับถ่ายให้มาก
การกินยาถ่ายเป็นประจำนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะยาถ่ายจะทำให้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ อุจจาระที่ถูกขับถ่ายออกมาอย่างรุนแรงนั้นนั่นเอง ย่อมไปทำให้เยื่อบุผนังลำไส้เกิดอาการอักเสบขึ้นได้ด้วย อาการริดสีดวงทวารหนักจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เอง
หลอดเลือดดำของทวารหนักก็จะเกิดอาการอักเสบไปอีก เพราะมีการขยายหลอดเลือดออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่หดกลับเข้าที่ อาการอย่างนี้เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ ริดสีดวงทวารก็จะเกิดมีขึ้นได้ทันที
บุคคลบางคนอาจจะมีการขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา ไม่ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาที่กำหนด เช่น ตอนเช้าเมื่อตื่นนอนจะต้องเข้าส้วมเพื่อถ่ายอุจจาระตามกำหนดก็ไม่ปฏิบัติ ไม่ฝึกจนเป็นนิสัย ร่างกายก็ไม่มีระเบียบ ไม่เคยชินที่จะขับของเสียออกไปในเวลาเช่นนี้ มีเวลาที่ไม่แน่นอน แล้วก็เกิดอาการท้องผูกขึ้นมาเป็นประจำ เกิดผลเสียแก่สุขภาพของตนเองไปได้ ท้องผูกไปได้เสมอ
ทำให้เกิดริดสีดวงทวารขึ้นมาได้อีก
การออกกำลังกายก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการออกกำลังกายอยู่เสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำตามกำลังของแต่ละคน ไม่ใช่ออกกำลังกายแบบหักโหม ร่างกายจะสมบูรณ์ แข็งแรง สดชื่น กล้ามเนื้อเป็นปกติ อวัยวะต่าง ๆ ทำงานไปตามหน้าที่ตามปกติการขับถ่ายก็จะเป็นไปตามปกติเสมอ ไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย
คนหนุ่มคนสาวยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรมารบกวน สามารถออกกำลังกายได้อย่างสะดวกสบาย ผสมผสานกับการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมีสารอาหารครบถ้วน ร่างกายและจิตใจก็จะดีเป็นปกติเสมอ โรคภัยไม่มารบกวนง่าย ๆ
ท่านที่สูงอายุแล้วก็เช่นเดียวกัน การออกกำลังกายก็จะต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ก็จะต้องออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยของท่านเอง เป็นต้นว่าเดินออกกำลังกาย วิ่งออกกำลังกายพอสมควร รำมวยจีน กายบริหาร ก็ได้
บางคนอาจจะชอบใช้ยาระบาย ความจริงก็ไม่สมควรไปใช้เลยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ กินอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ดื่มน้ำวันละมาก ๆ เช่น วันละ 8 แก้ว ก็จะระบายของเสียออกไปได้อย่างไม่ลำบากอะไร
อาจจะมีเป็นเพียงบางรายเท่านั้นที่จะต้องใช้ยาระบาย ซึ่งจะต้องให้แพทย์วินิจฉัยและแนะนำเท่านั้น
การรักษาความสะอาดก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก การถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วทุกครั้งไปจะต้องใช้น้ำชำระล้างทำความสะอาดทวารหนักเสมอ น้ำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะไม่มีความระคายเคืองต่อทวารหนักเลย หรือจะใช้กระดาษชำระก็ได้ เพราะกระดาษชำระก็อ่อนนุ่มอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามน้ำก็ยังมีอะไรที่ดีกว่าอยู่นั่นเอง เพราะกระดาษชำระนั้นแม้ว่าจะป้ายเช็ดอุจจาระออกไปแล้วก็ยังคงจะไม่สะอาดอยู่นั่นเอง สู้น้ำไม่ได้
เมื่อท่านมีอาการอักเสบขึ้นที่ทวารหนักขึ้นมา เช่น ริดสีดวงทวารอักเสบมาก อาจจะใช้น้ำอุ่นผสมกับด่างทับทิมพอเป็นสีชมพูอ่อน ๆ หรือจะใช้กรดบอริคละลายในน้ำอุ่นใส่อ่างแช่ก้นที่อักเสบนั้นก็ได้ โดยการแช่เอาไว้ประมาณสัก 30 นาที อาการอักเสบก็จะบรรเทาเบาบางลง เกิดความสบายขึ้นมาอย่างมาก ต่อจากนั้นก็จงซับด้วยผ้าแห้งที่สะอาดให้ก้นแห้ง เอาแป้งฝุ่นโรยตัวใส่ที่ทวารหนักอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ผิวหนังที่ส่วนนี้จะแห้งสนิทและสบายขึ้นมาก
อาการอักเสบของริดสีดวงทวารนั้น อาจจะใช้ยาเหน็บหรือยาทาริดสีดวงทวารก็ใช้ได้ดี สามารถลดอาการอักเสบและแก้ปวด คัน ได้ดีมาก
แพทย์อาจจะใช้ยาฉีด ฉีดเข้าไปที่หัวริดสีดวงทวารด้วยก็ได้ อยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์ที่จะทำการรักษาอย่างไร เพราะการฉีดยาให้หัวริดสีดวงทวารฝ่อไปนั้นก็เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคนี้ สามารถลดอาการอักเสบและแก้ปวด คัน ได้ดีมาก
บางทีแพทย์ก็ใช้ยางรัดหัวริดสีดวงทวารเพื่อให้หัวริดสีดวงทวารขาดไป เพราะเกิดการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
การผ่าตัดก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ก็อยู่ที่การวินิจฉัยของแพทย์อีกเหมือนกันว่าจะรักษาเยียวยาอย่างไหนจึงจะดีที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละราย เพราะอาการที่เกิดขึ้นอาจจะมากน้อยหรือรุนแรงแตกต่างกันก็ได้
ริดสีดวงทวารนี้ แพทย์พบว่าเมื่อทำการรักษาให้หายขาดแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่อีกก็ได้ ไม่ได้หายขาดไปทีเดียว จึงจะต้องระมัดระวังให้มากในการดูแลตนเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน น้ำดื่ม การออกกำลังกาย การพักผ่อน การขับถ่าย การรักษาความสะอาด
การนั่งส้วมแบบชนิดนั่งยอง ๆ นั้น เป็นการทำให้เกิดการขับถ่ายได้ดีคล่องตัว เพราะลำไส้ใหญ่กับทวารหนักเกิดเป็นแนวดิ่งตรงลงมานั่นเอง ซึ่งดีกว่าการนั่งส้วมแบบนั่งห้อยเท้า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้สำหรับท่านที่สูงอายุแล้วอาจจะไม่เหมาะ เพราะเกิดอาการปวดเมื่อยเข่า ข้อ มาก จำเป็นจะต้องนั่งห้อยเท้า
ในบุคคลบางคนอาจจะต้องการถ่ายอุจจาระให้หมดจริง ๆ จึงเกิดการเบ่งอุจจาระมากขึ้นเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าน่าจะถ่ายอุจจาระพอแล้วยังขืนเบ่งต่อไปอีกเพื่อต้องการให้อุจจาระหมดสิ้นไปจริง ๆ จะเพื่อสุขภาพหรืออะไรก็ตามสิ่งนี้ก็ไม่ควรทำเลย เพราะการเบ่งเพื่อถ่ายอุจจาระมากเกินไป นานเกินไปนั้น ก่อให้เกิดริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ เสี่ยงต่อการเป็นริดสีดวงทวารมาก
โรคริดสีดวงทวารนั้นไม่ใช่โรคติดต่ออะไรเลย ไม่มีเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดเป็นริดสีดวงทวารอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าพันธุกรรมหรือกรรมพันธุ์นั้นมีส่วนมาก กล่าวคือ ผนังของหลอดเลือดที่บริเวณทวารหนักเกิดความอ่อนแอมากผิดปกติเลยเกิดโป่งพองได้ง่ายกว่าธรรมดา เลยเกิดเป็นริดสีดวงทวารตามกันไป แต่ว่าก็ไม่ใช่จะเป็นกันเสมอไป
การตั้งครรภ์ของสตรีนั้นมักเกิดริดสีดวงทวารขึ้นได้ง่าย เนื่องจากมดลูกเกิดโตมากขึ้นเพราะทารกในครรภ์นั่นเอง ทำให้เกิดไปกดเส้นเลือดเอาไว้ เลือดจะไหลกลับก็ลำบาก การตั้งครรภ์นั้นก็จะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงที่อวัยวะในอุ้งเชิงกรานมากมายอีกด้วยจึงเกิดริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ง่ายมาก

ความรุนแรงของริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารที่เกิดภายในมักไม่มีหัวริดสีดวงทวารโผล่หรือโป่งพองออกมาให้เห็นได้ภายนอก แต่ว่าถ้าเป็นรุนแรงก็จะเห็นหัวริดสีดวงทวารโผล่ออกมาได้เสมอ
ระยะแรก ๆ ของริดสีดวงทวารนั้น เมื่อถ่ายอุจจาระออกมาก็จะมีเลือดปนออกมาด้วยเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเพียงมองเห็นบ้างพอสมควรเท่านั้น หรือเมื่อเอากระดาษชำระไปเช็ดก็จะเห็นมีเลือดติดออกมาบ้าง ต่อเมื่ออาการมากขึ้นก็จะสังเกตได้ว่ามีเลือดออกมามากกว่าแต่ก่อน
การมองเห็นเลือดออกมานี้ผู้ป่วยมักเกิดความหวาดกลัวมาก เพราะเลือดนั้นแดงน่ากลัวจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม มีการแบ่งอาการของโรคริดสีดวงทวารเอาไว้เป็น 4 ระยะด้วยกัน ดังต่อไปนี้ คือ
ระยะที่ 1 
มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระก็ปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาด้วย ถ้าท้องผูกจะยิ่งปรากฏว่ามีเลือดออกมากยิ่งขึ้นเพราะเกิดการเบ่งมากนั่นเอง ริดสีดวงทวารในระยะเริ่มแรกที่เกิดภายในนี้สามารถเอากล้องตรวจดูลำไส้ตรงที่เรียกว่า "พร็อคโตสโคป" (Proctoscope) ตรวจส่องดูได้
ระยะที่ 2
อาการเริ่มมีมากขึ้น หัวริดสีดวงทวารโตมากขึ้น เริ่มโผล่ออกมาพ้นทวารหนักแล้วพอสมควร เวลาเบ่งอุจจาระก็จะออกมาให้เห็นมากขึ้น แต่เวลาถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วก็จะหดกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เอง
ระยะที่ 3
เริ่มมีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้นในระยะเวลานี้ เวลาถ่ายอุจจาระหัวริดสีดวงทวารจะโผล่ออกมามากกว่าแต่ก่อน หรือเวลาจาม ไอ ยกสิ่งของหนัก ๆ ที่ความเกร็ง เบ่ง ในท้องเกิดขึ้นหัวริดสีดวงทวารจะออกมาข้างนอกทวารหนักทีเดียว แล้วก็กลับเข้าที่เดิมไม่ได้เสียด้วยคราวนี้ จะต้องเอานิ้วมือดัน ๆ เข้าไปถึงจะเข้าไปเงียบสงบอยู่ภายในทวารหนักได้
ระยะที่ 4 
คราวนี้หัวริดสีดวงจะกำเริบมาก โตมากขึ้นแล้ว มองเห็นได้จากภายนอกอย่างชัดเจน เกิดอาการบวม อักเสบ แพทย์ใช้ยางรัดเอาไว้เพื่อให้หลุดออกไปและรักษาต่อไปอีกตามวิธีการ

อาการแทรกซ้อนของริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารนั้นเมื่อมาถึงระยะที่ 4 อาการก็รุนแรงมาก มีทั้งเลือดที่ออกมาเสมอ มิหนำซ้ำยังมีน้ำเหลือง เมือกลื่น และอุจจาระก็ยังตามออกมาอีกด้วย ทำให้เกิดความสกปรกและมีอาการเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลาทีเดียว คิดดูเถอะว่าจะมีความสกปรกสักเพียงใด เกิดอาการคันตามมาด้วย บางทีก็จะเกิดการเน่า อักเสบมากยิ่งขึ้นอีก
การติดเชื้อโรคเป็นไปได้ง่าย และที่เห็นกันชัด ๆ ก็ได้แก่ เมื่อเลือดออกไปเรื่อย ๆ เช่นนี้อาการซีดก็จะเกิดมีขึ้นได้อย่างแน่นอน ผู้ป่วยจะเกิดโรคโลหิตจางขึ้นได้โดยง่าย
ความอ่อนเพลียเกิดขึ้น น้ำหนักตัวลดลง เกิดอาการหน้ามืดเสมอ
ริดสีดวงทวารอาจจะไม่มีอันตรายอะไรมากนัก แต่ก็บั่นทอนสุขภาพผู้ป่วยไปได้มาก จำเป็นจะต้องให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรค เยียวยารักษาให้ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยจริง ๆ อย่าลืมว่าการเป็นริดสีดวงทวารนั้น โอกาสการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่และทวารหนักจะเป็นไปได้โดยง่าย และในบางครั้งผู้ป่วยอาจจะเป็นริดสีดวงทวารไปพร้อมกับมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งทวารหนักไปด้วยก็มีเช่นเดียวกัน
ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อเราท้องผูกก็เกิดการเบ่งอุจจาระมากเวลาถ่ายอุจจาระในแต่ละครั้ง จนในที่สุดก็เป็นริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ หรือเกิดเรื้อรังเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือทวารก็ได้อีกเช่นเดียวกัน ส่วนจะเกิดเป็นอะไรนั้นก็จะต้องให้แพทย์เป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรคเสมอจึงจะทราบแน่ชัด
ริดสีดวงทวารนั้น ส่วนมากจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด เมื่อเกิดเป็นขึ้นก็จะมีอาการคัน ๆ และระคายเคืองที่ทวารเท่านั้นเอง หากเกิดอาการปวด อักเสบมากขึ้นก็หมายความว่าเกิดอาการแทรกซ้อนของโรคขึ้นแล้ว จะต้องรีบให้แพทย์ตรวจรักษาโดยเร็ว หรือถ้าโชคดีอาการนี้อาจจะหายไปได้เองก็ได้โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
ในบุคคลบางคนริดสีดวงทวารอาจจะเกิดอาการเน่าเกิดเป็นแผลตื้น ๆ บางทีก็เกิดอักเสบไปเป็นบริเวณกว้างถึงลำไส้แล้วติดเชื้อที่ลำไส้ใหญ่ อาจจะลามเลยไปถึงอุ้งเชิงกรานก็ได้ บางทีก็อาจจะเกิดเป็นหนองเป็นฝีที่ทวารหนักก็มี
ในบุคคลบางคนก็เกิดการติดเชื้อแพร่เข้าไปในกระแสเลือดก็ได้เกิดอาการอักเสบของเส้นเลือดใหญ่ภายในช่องท้องจนเกิดการเสียชีวิตขึ้น อันตรายอยู่ตรงนี้เอง
ริดสีดวงทวารนั้นก็ไม่ร้ายแรงเท่าไรนัก แต่ระวังโรคแทรกซ้อนซึ่งจะเกิดอาการรุนแรงขึ้นได้ดังที่กล่าวมาแล้ว
ระวังการติดเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตเกิดอาการอักเสบใหญ่โตไปได้.....

แพทย์ตรวจวินิจฉัยริดสีดวงทวารอย่างไร ?
แพทย์จะตรวจริดสีดวงทวารของผู้ป่วยได้ เพื่อให้ทราบว่าผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารหรือไม่ อย่างไร มีมะเร็งร้ายอยู่ด้วยหรือไม่ที่ทวารหนักและที่ลำไส้ใหญ่ หรือผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารด้วย มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยอีกโรคหนึ่งรวมกันไป
แพทย์อาจจะสังเกตจากภายนอก เอานิ้วมือที่สวมถุงยางเอาไว้แล้วสอดเข้าไปทางทวารหนักของผู้ป่วย คลำดูก็ได้ แล้วอีกขั้นตอนหนึ่งก็เอากล้องสอดเข้าไปส่องดูภายในทวารหนักก็สามารถทราบได้ว่าเป็นอะไรกันแน่
หรืออาจจะต้องอาศัยการเอกซเรย์ รวมด้วยก็ได้ การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ก็ได้

การรักษาริดสีดวงทวารภายใน
การรักษาริดสีดวงทวารนี้ก่อนอื่นแพทย์จะต้องแนะนำว่าอย่าทำให้ท้องผูกเด็ดขาด จะต้องดื่มน้ำมาก ๆ ทุกวัน กินผักผลไม้มาก ๆ ทุกวัน กินเส้นใยหรือกากอาหารเสมอ เพื่อการขับถ่ายที่ดี แต่ถ้าท้องยังผูกอยู่ก็จะต้องให้ดีเกลือเป็นยาระบายหรือยาระบายแมกนีเซีย แล้วก็อย่าไปเบ่งอุจจาระนาน ๆ หรือยืนนั่งอยู่นาน ๆ เกินไป
มีอาการปวดมากก็ให้กินยาบรรเทาปวด แช่ก้นในน้ำอุ่นผสมด่างทับทิมพอเป็นสีชมพูอ่อน ๆ วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร เช่น เชอริพร็อกต์, พร็อกโตซีดิล, อะนูซอล เหน็บวันละ 2-3 ครั้ง คือ เช้า ก่อนนอน และหลังจากถ่ายอุจจาระแล้ว
ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือมีอาการไม่ดีขึ้นเมื่อใช้ยาและปฏิบัติตามดังกล่าวมาแล้วก็จะต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคทันที
ในสมัยโบราณนั้นการรักษาริดสีดวงทวารเป็นไปอย่างน่ากลัวมาก เพราะผู้รักษาจะต้องเอาเหล็กที่เผาไฟจนแดงจี้ที่หัวริดสีดวงทวาร บางทีก็เอาตะขอเล็กเกี่ยวหัวริดสีดวงทวารเอาไว้แล้วใช้มีดตัดหัวริดสีดวงทวารออกไป แต่นั่นก็เป็นวิธีโบราณซึ่งก็เป็นไปเช่นนั้นสำหรับสมัยก่อน

ยารักษาริดสีดวงทวาร
แพทย์พบว่ายาเหน็บที่ใช้รักษาริดสีดวงทวารยี่ห้อหนึ่ง มีสาร "เฮกซาคลอโรเฟน" (Hexachlorophene) ผสมอยู่ด้วยนั้น เมื่อผู้ป่วยใช้ไปนาน ๆ สารนี้ก็จะไปสะสมอยู่ในร่างกายได้ เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาในที่สุด เวลาใช้ก็จะต้องเก็บเอาไว้ในตู้เย็นอีกด้วยเพราะเมื่อเอาออกมาไว้ภายนอก ยาจะละลายหลอมเหลวไป เหน็บเข้าไปในรูทวารหนักไม่ได้แล้ว จึงขอเตือนเอาไว้ ณ ที่นี้
สำหรับยาที่บอกว่ามีสรรพคุณสามารถกัดเอาหัวริดสีดวงทวารออกไปได้นั้นน่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะตัวยาอาจจะกัดเอาเนื้อที่ดีไปได้ และถ้าหัวริดสีดวงทวารหายไปแล้ว โรคใหม่จะเกิดขึ้นมาได้ นั่นก็ได้แก่รูทวารหนักเกิดการตีบแคบเล็กลงมากกว่าปกติจนกระทั่งผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระไม่ได้สะดวกเหมือนเดิม เกิดการแก้ไขกันอีกเพราะเป็นการแก้ไขที่ไม่ง่ายนักด้วย
จึงอย่าไปใช้ยากันเอง จำต้องให้แพทย์ตรวจและให้ยาเท่านั้น

ยาฉีดริดสีดวงทวาร
ยาฉีดรักษาริดสีดวงทวารนี้เป็นการรักษาที่ได้ผลดีมาก
แพทย์จะทำการฉีดยานี้เข้าไปที่บริเวณริดสีดวงทวารของผู้ป่วยทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที ภายหลัง 24-48 ชั่วโมง หัวริดสีดวงทวารจะเกิดอาการฝ่อไปในที่สุด
วิธีการเช่นนี้ นายแพทย์ มิตเชลล์ แห่งรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกาได้ใช้มาก่อนเป็นเวลานานทีเดียว ในยุคสมัยใหม่นี้วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก จึงมียาฉีดรักษาริดสีดวงทวารดี ๆ หลายชนิด ใช้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สัก 3-5 ครั้ง หัวริดสีดวงจะฝ่อไปเอง ซึ่งแพทย์จะตรวจวินิจฉัยว่าจะฉีดอย่างไร ขนาดไหนกี่ครั้งกี่หน เว้นระยะอย่างไร การฉีดริดสีดวงทวารนี้ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดอะไรเลยแพทย์กล่าวว่าผลการรักษาด้วยยาฉีดนี้ดีมาก เพราะได้ผลเกือบ ร้อยละ 100
สำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ก็ฉีดยารักษาริดสีดวงทวารได้ด้วย ไม่มีข้อเสียหรือเกิดผลข้างเคียงแต่อย่างไรไม่ว่าผู้ที่จะเป็นมารดาหรือทารกในครรภ์ก็ตาม
นับว่ายาฉีดริดสีดวงทวารนี้ได้ผลดีมาก

การใช้ยางรัดหัวริดสีดวงทวาร
บางท่านอาจจะคิดไม่ถึงว่าการใช้ยางรัดหัวริดสีดวงทวารก็ได้ผลดี เรื่องนี้ไม่ได้พูดกันเล่น ๆ เลย เพราะในสหรัฐอเมริกาก็นิยมใช้กันอยู่ในวงการแพทย์ แต่เป็นวิธีการใช้กับเครื่องมือพิเศษชนิดหนึ่ง การรัดด้วยยางรัดนี้จะทำให้หัวริดสีดวงทวารที่มีขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมาจากทวารหนักเมื่อรัดแล้วผู้ป่วยจะมีความรู้สึกผิดปกติที่ทวารหนักตลอดเวลา แพทย์แนะนำให้รัดหัวริดสีดวงทวารครั้งละ 1 หัว อย่าไปรัดทีละหลายหัวหรือทั้งหมด เมื่อหัวริดสีดวงทวารหลุดออกไปแล้วผู้ป่วยจะรู้สึกสบายขึ้นมาก หายจากโรคไปเลย แต่ว่าอาจจะมีเลือดไหลออกมามากก็ได้ ในบุคคลบางคน ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก แพทย์บอกว่าเป็นวิธีที่เหมาะกว่าใช้ยาฉีดถ้าหัวริดสีดวงนั้นมีขนาดใหญ่มาก

รักษาด้วยความเย็นจัด
หัวริดสีดวงทวารนั้นเมื่อถูกความเย็นจัดที่ต่ำกว่าจุดเยือกเข็ง 100-200 เท่า ก็จะถูกทำลายไปได้ จึงเป็นวิธีการรักษาริดสีดวงทวารอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผล แพทย์จะใช้ไนโตรเจนเหลวหรือก๊าซไนตรัสอ็อกไซด์ทำให้เกิดความเย็นจัดขึ้นมา โดยการผ่านความเย็นไปที่แท่งโลหะ ต่อจากนั้นก็เอาแท่งโลหะนี้ไปจี้หัวริดสีดวงทวาร ความเย็นจัดก็จะทำให้หัวริดสีดวงทวารเกิดความเย็นจัดไปทันที แพทย์จะจี้หัวริดสีดวงทวารเป็นเวลาประมาณ 3 นาทีก็เสร็จ
หัวริดสีดวงทวารที่ถูกแท่งโลหะที่เย็นจัดจี้ลงไปจนเป็นก้อนน้ำแข็งจะเป็นเนื้อตายไปในที่สุดหลุดออกมาได้ อย่างไรก็ตามบางทีหลังจากการรักษาแล้วผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการปวดขึ้นมา มีน้ำเหลืองไหลออกมาด้วย เลยไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก

รักษาด้วยแสงอินฟราเรด
การรักษาด้วยอินฟราเรดก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง นับว่าเป็นเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่ใช้แสงอินฟราเรดยิงออกมาเป็นลำแสงจี้ไปที่หัวริดสีดวงทวาร แสงอินฟราเรดจะทำให้เลือดที่อยู่ในหัวริดสีดวงทวารเกิดการเข็งตัว หัวริดสีดวงทวารก็จะฝ่อไปได้ ปรากฏว่าใช้ได้ผลดี ไม่มีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ซึ่ง รศ.น.พ.ชูเกียรติ อัศวาณิชย์ กับ น.พ.สมบุญ เจริญเศรษฐมห ซึ่งเชี่ยวชาญด้านริดสีดวงทวาร แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้แนะนำว่าได้ใช้เครื่องมือนี้มานานปีแล้ว สะดวก ง่ายดาย ปลอดภัยมาก ผู้ป่วยจะไม่เจ็บไม่ปวด ทว่าเหมาะสำหรับใช้กับริดสีดวงทวารที่เป็นหัวเล็ก ๆ ในระยะที่ 1 หรือในระยะที่ 2 เท่านั้น ไม่เหมาะสมกับริดสีดวงที่เป็นหัวใหญ่ทั่วไป

รักษาริดสีดวงด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดริดสีดวงทวารนั้นก็สามารถทำได้ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่จะผ่าตัด ส่วนมากจะใช้วิธีการรักษาอย่างอื่นที่ไม่ได้ผ่าตัดมากกว่า
ผู้ป่วยนั้นเมื่อได้รับการผ่าตัดริดสีดวงทวารแล้วจะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน จึงกลับไปพักผ่อนที่้บ้านอีกระยะหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์
ผู้ป่วยบางรายนั้น การถ่ายอุจจาระครั้งแรกหลังจากผ่าตัดก็เป็นไปโดยยาก เพราะเกิดการท้องผูก ไม่ได้ถ่ายอุจจาระตามปกติ อุจจาระสะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป ถ่ายออกมาลำบาก อุจจาระแข็งมากจึงถ่ายออกมาได้ยาก การถ่ายอุจจาระครั้งนี้จึงจะต้องเกิดการสวนออกก็มี
อาการอักเสบจึงเกิดขึ้นมาอีก เกิดการเจ็บปวดตามมา ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยอาจจะใช้วิธีแช่ก้นในน้ำอุ่นผสมด่างทับทิมพอเป็นสีชมพูอ่อน ๆ ก็ได้ เพื่ออาการอักเสบจะได้หายไป เกิดความสบายขึ้นกับตัวเอง แผลก็จะยุบตัวลง เป็นวิธีการที่ดีไปอีก
ยกก้นออกมาจากกาละมังน้ำอุ่นที่แช่แล้วก็จงซับด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง หรือจะใช้กระดาษชำระซับ ๆ ที่แผลเบา ๆ ก็ดี แล้วเอาผ้าอนามัยมาปิดทาบลงไปที่แผลอีกครั้งหนึ่งก็ถูกต้อง

การรักษาริดสีดวงทวารภายนอก
ริดสีดวงทวารภายนอกนั้นแตกต่างกว่าริดสีดวงทวารภายในมากเพราะอาการจะเจ็บปวดทันทีเมื่อเบ่งอุจจาระ เพราะมีอาการแตกของเส้นเลือดที่ปากทวารหนักของผู้ป่วย อาการเจ็บปวดมากก็เพราะรอบ ๆ ทวารหนักมีเส้นประสาทมาอยู่ตรงส่วนนี้มากมายนั่นเอง
แพทย์อาจจะต้องใช้ยาชาฉีดให้ผู้ป่วยแล้วตัดเอาริดสีดวงทวารออกไป