วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฟันกับพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของเด็ก

คุยกับหมอฟัน ผศ.ทพญ.ประภาศรี ริรัตนพงษ์
อาจารย์ประจำภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก มหิดล

พฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในช่องปาก ได้แก่ การดูดนิ้ว การใช้ลิ้นดุนฟันหน้า การกัดเล็บ การหายใจทางปาก หรือแม้แต่การกัดฟัน เป็นต้น

พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกช่วงวัยของเด็ก โดยนิสัยการดูดนิ้ว พบว่าในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ถือว่าเป็นพฤติกรรมปกติ โดยทั่วไปเด็กจะสามารถหยุดการดูดนิ้วได้เองในช่วงอายุ 2 - 4 ปี แต่ถ้าการดูดนิ้วถูกปล่อยปละละเลยไม่ได้รับการแก้ไขจนติดเป็นนิสัย เด็กจะคงกระทำพฤติกรรมนั้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมทำให้เกิดปัญหาได้ทั้งร่างกายและจิตใจตามมา

พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาจะส่งผลกระทบหรือ ผลเสียต่อสุขภาพของเด็กในอนาคตหรือไม่นั้น ต้องดูผลกระทบที่เกิดขึ้นกับช่องปาก ได้แก่ ฟันหน้ามีการสบเปิด ฟันหน้าบนยื่น การสบคร่อมฟันหลัง โดยผู้ป่วยที่มีการหายใจทางปาก อาจพบมีเหงือกอักเสบร่วมด้วย และผู้ป่วยที่นอนกัดฟันอาจจะพบการ สึกกร่อนด้านบดเคี้ยวของฟัน

สำหรับพฤติกรรมเหล่านี้จะมีสาเหตุและการ แก้ไขแตกต่างกัน ในที่นี้ขอยกตัวอย่างพฤติกรรมการดูดนิ้วเนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ผู้ปกครองสังเกตเห็นได้ชัดเจนและพบมากในเด็ก การจัดการนิสัยดูดนิ้ว ต้องคำนึงถึงอายุและวุฒิภาวะของเด็ก ความพร้อม และความร่วมมือของเด็กและผู้ปกครอง ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงวิธีการบังคับเด็กให้หยุดดูดนิ้วมือแบบทันทีทันใด ไม่ควรแสดงอาการเข้มงวดกวดขัน ติเตียนว่ากล่าว ลงโทษ ควรให้กำลังใจ คำชมเชย หรือรางวัล เมื่อเด็กดูดนิ้วลดลง ในกรณีที่เด็กไม่สามารถเลิกดูดนิ้วได้ด้วยตัวเอง ผู้ปกครองควรให้ความช่วยเหลือ เช่น การใช้ผ้า หรือเทปกาวพันนิ้ว การใส่ถุงมือ และการใช้แรงจูงใจ โดยที่ผู้ปกครองคอยสังเกตพฤติกรรมในแต่ละวันและบันทึกลงในกระดาษข้อมูล หรือในปฏิทิน ว่าเด็กสามารถหยุดการดูดนิ้วได้เป็นเวลานานเท่าไหร่ และให้คะแนน หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ เช่น รูปดาว รูปสัตว์ การ์ตูน เป็นสติ๊กเกอร์ หรือเขียนเป็นสัญลักษณ์ ลงในปฏิทิน โดยเด็กสามารถนำคะแนน หรือ จำนวน สติ๊กเกอร์ไปแลกรางวัลได้ ซึ่งรางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่ง ฟุ่มเฟือย เช่น การพาเด็กไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ในวันหยุด สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจให้เด็กเลิกพฤติกรรม ดูดนิ้วได้
ฟันมีคราบสีเหลืองและสีเทา

คำถาม

ฟันของลูกขึ้นมา 4 ซี่ ด้านหน้าข้างบนมีรอยคราบสีเหลือง และมีสีเทาบริเวณขอบและโคนฟัน เช็ดให้เขาทุกวันแต่ไม่ค่อยออก ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไรคะ และมีทางแก้ไขหรือไม่ นอกจากนี้จะให้ลูกกินฟลูออไรด์ได้ไหมคะ เพราะกลัวลูกจะฟันผุ

คำตอบ

เรื่องอนามัยช่องปากและฟันของเด็กๆ นั้นเดี๋ยวนี้เราจะแนะนำให้เด็กๆ รับการตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์หรือ ทันตแพทย์สำหรับเด็กเร็วขึ้นกว่าเดิม คือให้ไปตรวจเมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ ถึง 1 ขวบครึ่ง ดังนั้นถ้าลูกมีปัญหาในเรื่องฟัน น่าจะปรึกษาหมอฟันที่คุณแม่ใช้อยู่ หรือจะพาลูกไปปรึกษาหมอฟันเด็กก็ได้

ในช่วงนี้เราแนะนำให้เด็กรับประทานฟลูออไรด์เม็ดเสริมในขนาดน้อยๆ คือ 0.25 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าเด็กใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ด้วยก็คงต้องระวังในเรื่องของการให้ฟลูออไรด์เสริมด้วยนะคะ เพราะโอกาสที่เด็กจะกลืนยาสีฟันซึ่งมีฟลูออไรด์อยู่ด้วย ลงไปก็มีอยู่สูง

สำหรับรอยคราบที่อยู่บริเวณขอบฟันเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคงจะเป็นอาหารที่ค้างอยู่ และก็เป็นรอยคราบหินปูนที่เกาะอยู่บนเนื้อฟันต้องทำความสะอาดออกไป ซึ่งถ้าแปรงเองไม่ออกนี้คงต้องให้หมอฟันช่วยแปรงให้เพราะหมอจะมีเครื่องมือพิเศษที่จะช่วยขัดฟันทำให้สะอาดขึ้นมา คุณแม่สามารถจะไปรับบริการตรวจฟันเด็กได้ที่โรงพยาบาลทั่วๆ ไป รวมทั้งคลินิกที่บอกว่ามีทันตกรรมสำหรับเด็กก็ไต้
ทำไมลูกมีเหงื่อเยอะ แม้อากาศเย็น

คำถาม

เวลาลูกนอนหลับตอนกลางคืน นอนในห้องแอร์เปิด 25 - 26 องศาเซลเซียส ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราก็หนาวแล้ว แต่ลูกยังมีเหงื่อออกที่ศีรษะ จนผมเปียก ไม่ทราบผิดปกติหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะอะไร ส่วนช่วงกลางวันเหงื่อเขาจะออกมาก ผมเปียกอยู่ตลอดเลย ไม่ทราบลูกผิดปกติหรือเปล่าคะ

คำตอบ

เด็กแต่ละคนจะมีการรับรู้ต่ออากาศร้อน อากาศเย็นแตกต่างกัน เราจะเห็นเด็กหลายๆ คนมีเหงื่อซึมอยู่เรื่อยๆ หรือเด็กบางคน ก็ต้องแต่งตัวอบอุ่นอยู่เสมอเพราะว่าเป็นเด็กขี้หนาว สาเหตุก็เกิด จากหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่า สุขภาพทั่วๆ ไปของเด็กไม่สมบูรณ์ ก็จะขี้หนาวมากกว่าเด็กปกติ หรือเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะวุ่นวาย ขยับตัวไปมาอยู่เรื่อยๆ กลุ่มนั้นก็จะมีเหงื่อออกมากกว่าธรรมดา หรือในโรคบางประเภทก็จะทำให้มีเหงื่อออกมากได้เช่นเดียวกัน

แต่โดยทั่วๆ ไปขึ้นอยู่กับการทำงานของต่อมเหงื่อของเด็กแต่ละคนที่ตอบสนองต่ออุณหภูมิข้างนอกมากกว่า และมักจะไม่มีปัญหาที่รุนแรงแต่อย่างใด แต่คุณแม่จะต้องให้ความสำคัญต่อการทำความสะอาดร่างกายของลูกเป็นกรณีพิเศษ เพราะเหงื่อที่ออกมากๆ นั้นอาจจะนำมาสู่การเป็นผื่นแพ้ของผิวหนังตามที่อับๆ ได้
ลูกกินข้าวยาก... กินนมเยอะ

คำถาม

ดิฉันมีลูกผู้หญิงอายุ 1 ปี 4 เดือน นํ้าหนัก 13.5 กิโลกรัม สูง 77 เซนติเมตร ไม่ทราบว่าปกติหรือเปล่า เพราะดูตามอายุ ความยาวจะสั้นกว่าเกณฑ์ และอ้วน เขาไม่ชอบกินข้าว แต่กินนมมาก วันหนึ่งประมาณ 40 ออนซ์ มื้อดึกกินประมาณ 25 - 30 ออนซ์ จะมีวิธียังไงให้ลูกกินนมมื้อดึกน้อยลง เพราะถ้าไม่ให้เขา จะร้องไห้ตลอดเลย เขาจะกินนมได้ทุกอย่าง และไม่ทราบว่านมสดโฟร์โมสต์รสจืดที่มีแคลเซียมสูง เขากินได้หรือเปล่า เพราะเขากินนมวันหนึ่ง 2 กล่อง แต่กินไม่ทุกวัน

คำตอบ

โดยทั่วไปในเด็กที่มีอายุประมาณ 1 ปี จะมีความยาว ประมาณ 75 เซนติเมตร แล้วในช่วงหลังจากนี้ไปก็จะสูงขึ้นไม่มากนัก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้แกมีส่วนสูง 77 เซนติเมตร เมื่ออายุขวบเศษๆ หมอถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้

สำหรับพฤติกรรมการกินนมที่แต่ละวันลูกดื่มมากนั้นควรจะต้องค่อยๆ แก้ไป เพราะว่าแกเริ่มโต และสามารถรู้วิธีที่จะปฎิเสธ การรับประทานอาหารอื่น และจะรับประทานเฉพาะของโปรดเท่านั้น คุณแม่ลองเพิ่มอาหารหนักขึ้นเป็น 3 มื้อ โดยไม่จำเป็น ต้องเป็นข้าวทุกมื้อ อาจจะเป็นอาหารอื่นๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง หรืออาหารจานเดียวประเภทใดก็ได้ที่เขาชอบ แต่ต้องหลีกเลี่ยงพวกอาหารจานด่วนที่มีไขมันสูงซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาโรคอ้วน ต่อไปในอนาคตด้วย

การปรับพฤติกรรมดื่มนมช่วงกลางคืนนั้นคงต้องค่อยๆ ทำโดยการปรับการรับประทานอาหารหลักให้มากขึ้นในช่วงกลางวัน ส่วนเวลาที่นอนแล้วตื่นขึ้นมาดื่มนมนั้นก็กะปริมาณ และวิธีการชงนมให้เหมาะสมกับความต้องการ เช่น เด็กบางคน ต้องรับประทานปริมาณมากเราคงจะลดปริมาณไม่ได้ เราก็ใช้วิธี ชงนมให้เจือจางน้อยลง แด่ถ้าทำได้เราก็ให้ดื่มนมในปริมาณที่น้อยลงและให้ดื่มนมปกติในปริมาณที่น้อยลงด้วยไปพร้อม ๆ กัน ให้ดื่มนํ้ามากขึ้น และค่อยๆ ลดลงทั้งปริมาณนม และนํ้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแกสามารถจะหลับไต้ต่อเนื่องทั้งคืน

เทคนิคการปรับพฤติกรรมตรงนี้คงต้องสังเกตเป็นการเฉพาะตัวและค่อยๆ ทำไป หมอไม่แนะนำให้ปฏิเสธลูกอย่างเด็ดขาด แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องตั้งเป้าให้เขาดื่มนมน้อยลง ภายในเวลาที่เรากำหนดเอาไว้ ส่วนชนิดของนมที่ลูกดื่มนั้นคงจะไม่กำหนด เพราะอายุเกิน 1 ขวบนี้ชอบอะไรก็คงดื่มได้ แต่หมอคงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คุณแม่ใช้นมจืด เพราะจะเป็นการสร้างนิสัยการดื่มนมที่หมาะสมจนกระทั่งโตเป็นวัยรุ่น สำหรับนมจืดที่มีแคลเซียมสูงนั้นคงจะไม่จำเป็น เพราะเด็กเล็กนั้นนมที่ดื่มในแต่ละวันมีปริมาณมาก และแกจะได้แคลเซียมเพียงพอต่อการเจริญเติบโตจากนมที่ดื่มอยู่แล้ว
ลูกชอบตวาดเสียงดังด้วย

คำถาม

เวลาลูกชายไม่พอใจหรือขัดใจอะไร เขาจะตวาดทุกครั้ง ตวาดเสียงดังด้วย โตขึ้นลูกจะเป็นคนก้าวร้าวหรือเปล่าคะ

ดิฉันรบกวนคุณหมอแค่นี้ล่ะค่ะ ลายมือดิฉันอาจจะไม่ เรียบร้อยเพราะลูกชายของดิฉันคอยวนเวียนอยู่ข้างๆ ค่ะ ดึงผมบ้าง แย่งปากกาบ้าง ฉีกสมุดบ้าง ซนเหลือเกินค่ะ ดิฉันรอคำดอบ จากคุณหมออยู่ค่ะ

คำตอบ

เด็กๆ ในวัยขวบแรกนั้นยังพูดไม่ได้ จึงใช้เสียงเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ เมื่อพอใจหรือขัดใจ ในเด็กแต่ละคนจะมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน เด็กบางคนก็มีอารมณ์ที่โกรธง่าย หรือฉุนเฉียว หรือเด็กบางคนก็จะมีอารมณ์ดี ใครทำอะไรขัดใจก็จะพอใจอยู่เสมอๆ ได้ เราคงต้องสังเกตอารมณ์ของลูกเราว่าอยู่ในกลุ่มใด และพยายามที่จะปรับอารมณ์ของแกให้พอเหมาะ ถ้าคุณแม่สังเกตว่าลูกเป็นคนที่อารมณ์แรง โกรธง่าย เมื่อเวลาไม่ได้ดังใจ เราอาจจะสามารถ ดูแลอารมณ์ของลูกตั้งแต่เล็กๆ ได้

ตัวอย่างเช่น ให้คุณแม่พยายามสังเกตความต้องการของลูกในแต่ละจังหวะที่แกมีอารมณ์ไม่พีงพอใจ เช่น เวลาหิว เวลาง่วงนอน หรือเวลาที่ปวดปัสสาวะ อุจจาระ และพยายามตอบสนองอารมณ์ให้เร็วก่อนที่แกจะเริ่มอาละวาด นอกจากนั้นถ้าแกเริ่มมีอารมณ์แรงและส่งเสียง คุณแม่อาจจะใช้วิธีเบนความสนใจของลูกออกไปหาเรื่องอื่น เพื่อที่จะให้ลูกลืมพฤติกรรมดังกล่าวไป ก็จะทำให้อารมณ์ของลูกนั้นไม่ถูกกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงต่อเนื่องแล้ว ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แน่นอนว่าเวลาที่แกเติบโตขึ้น พฤติกรรมของความก้าวร้าวนั้นก็จะมีน้อยลงไปค่ะ
มีแผลเรื้อรังใต้ติ่งหู

คำถาม

ที่หูของลูกชายมีแผลอยู่ใต้ติ่งหู แกเริ่มเป็นมาตั้งแต่อายุได้ 3 เดือน แต่ยังไม่หายขาดเลยค่ะ เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนี้มานาน ดิฉันเพียรรักษาความสะอาดและทายาให้ก็ไม่หายขาดสักที ลักษณะแผลจะยาวตามร่องติ่งหู มีน้ำเหลืองเล็กน้อย ลูกของดิฉันเป็นอะไรคะ และทำอย่างไรจึงจะหายขาด

คำตอบ

รอยแผลที่ใต้ติ่งหูซึ่งเป็นมาหลายเดือนแล้วน่าจะเกิดจากผื่นแพ้ และมีการอักเสบร่วมต้วยเป็นครั้งคราวทำให้มีนํ้าเหลืองออก การรักษาทำไต้ไม่ยากนัก แต่ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง โดยหลังจากอาบนํ้า สระผม ควรซับบริเวณหลังหูให้แห้งสนิท ไม่ไห้มีรอยสกปรกอยู่ แล้วก็ใช้ครีมสเตียรอยด์ ซึ่งคุณแม่สามารถปรึกษาหมอเด็กประจำตัวของลูกได้ ใช้ครีมดังกล่าวป้ายที่หลังหูของลูก สักวันละ 2 ครั้ง ก็จะทำให้ผื่นค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปในที่สุด จากนั้นไปก็ดูแลเรื่องความสะอาดของผิวหนังบริเวณดังกล่าวให้ แห้งอยู่เสมอก็จะช่วยให้ผิวหนังบริเวณหลังหูนั้นไม่ชื้นหรือมีแผลขึ้นมาอีก
ลูกไม่ยอมกินอาหารเสริม

คำถาม

ดิฉันมีลูกชายวัย 8 เดือน เป็นลูกคนแรก แกไม่ยอมกินข้าวต้มค่ะ อาหารเสริมยิ่งแล้วใหญ่เลย พอป้อนแกจะอ้วกออกหมตเลยค่ะ ดิฉันเลยจำเป็นต้องให้กินข้าวสวยแทน จะเป็นอันตรายกับลูกหรือเปล่าคะ และดิฉันควรจะทำอย่างไรดี

คำตอบ

เด็กแต่ละคนจะมีพฤติกรรมการบริโภคไม่เหมือนกันค่ะ หมอเคยเจอหลายครั้งที่เด็กอายุขนาดลูกชายคนนี้ไม่ยอมรับประทานอาหารเสริมเลย ดื่มแต่นมอย่างเดืยว หรือหลายๆ ครั้งก็จะมีกรณีที่ไม่ชอบข้าวต้มหรือข้าวปั่น แต่ชอบเป็นอาหารจานเดียว หรือ เป็นข้าวสวยกินกับกับข้าว เราคงจะต้องสังเกตดูความพอใจ ความต้องการของลูกเรา แต่ก็ต้องปรับให้เหมาะสม และต้องให้ปลอดภัยด้วย

ในกรณีของลูกชายที่ไม่ชอบของเละๆ เช่น ข้าวต้ม หรือ อาหารเสริม แต่สนใจข้าวสวยนั้นก็คงไม่มีอันตรายใตๆ เพียงแต่ คุณแม่ควรจะเลือกข้าวสวยที่เป็นข้าวใหม่ๆ ซึ่งจะมีความนิ่มของข้าวมากกว่า เคี้ยวได้ละเอียด และกลืนไต้ง่าย นอกจากนั้น กับข้าวที่ให้ลูกก็ควรจะเป็นของนิ่มๆ ไม่มีเป็นชิ้นๆ ที่มีโอกาสจะทำให้แกสำลักและติดคอ เช่น ไข่ตุ๋น ไข่ต้ม เนื้อปลา หมูบด หรือ แกงจืด ที่ประกอบไปด้วยผัก เต้าหู้ เนื้อสัตว์ที่ละเอียดและนิ่มพอที่ลูกในวัยใกล้ขวบจะกลืนได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวมากนัก เพราะถึงแม้แกจะมีฟันสองสามซี่ มีเหงือกที่แข็งแรงแต่เราก็ควรจะระวังไม่ไห้มีอาหารที่แข็งและชิ้นใหญ่ ส่วนมากหมอจะแนะนำ ว่าอาหารทุกอย่างที่เด็กวัยนื้จะรับประทาน คุณแม่ควรใช้ช้อนครูดอีกทีหนึ่งเพื่อให้อาหารอยู่ในสภาพที่ย่อยง่าย และไม่มีอันตรายต่อลูกค่ะ
ลูกเล็กชอบดูทีวี

คำถาม

ดิฉันมีเรื่องรบกวนถามเกี่ยวกับลูกวัย 2 เดือนกว่า คือเขาชอบ มองดูทีวี เวลาคุณยายอุ้มไว้บนตัก ไม่ทราบว่าจะเป็นอันตราย กับสายตาของเขาหรือไม่คะ และนานๆ ครั้งเขาถึงจะกะพริบตา ทีหนี่ง รบกวนคุณหมอช่วยตอบให้ด้วยนะคะ

คำตอบ

เด็กอายุ 2 เดือน คอเริ่มแข็ง มีความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกกระตุ้นด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากเสียง หรือจากแสง ดังนั้นการที่แกได้ยินเสียงโทรทัศน์ รวมทั้งได้เห็นการเคลื่อนไหวของภาพอยู่ตรงหน้าก็เลยทำให้เกิดความสนใจ และจ้องมองภาพที่เคลื่อนไหวอยู่นั้น ทำให้เราเข้าใจว่าลูกชอบดูทีวี แต่ความจริงคงจะเป็นจากสาเหตุหลายๆ อย่าง รวมทั้งการที่คุณยายก็อุ้มหลานไว้บนตัก ให้มองตรงไปที่ทีวีอย่างเดียวด้วย เด็กๆ ที่คอไม่แข็งหรือยังเคลื่อนไหวไม่ได้ก็คงไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการมองไปที่จอโทรทัศน์ซึ่งอยู่ตรงหน้าได้ นานๆ ไปก็คงจะเคยชิน และบางครั้งอาจจะถึงกับ ติดจอทีวีไปเลย

อันตรายต่อสายตาก็อาจจะเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายประการ เช่น ระยะเวลาที่ดูโทรทัศน์ ระยะห่างระหว่างตำแหน่งที่ลูกนั่งกับจอโทรทัศน์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวของภาพและสีต่างๆ ที่อยู่ในจอโทรทัศน์ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อสายตาของเด็กในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้เราแนะนำไม่ไห้เด็กๆ ดูโทรทัศน์ นานเกินความจำเป็น ดังนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่หรือคุณตาคุณยาย เฝ้าระวังพฤติกรรมการดูโทรทัศน์ของเด็กๆ ตั้งแต่เล็กๆ ก็คงจะทำให้ปัญหาเรื่องสายตา ปัญหาเรื่องโรคอ้วน ปัญหาในเรื่องการรับประทานอาหาร หรือปัญหาในเรื่องการนอนเกิดขึ้นน้อยลงไป

เด็กๆ ในช่วงอายุ 2 - 3 เดือน เนื่องจากแกเริ่มจะคอแข็ง กำลังจะคว่ำได้ และก็เรียนรู้ในการจะเคลื่อนไหวร่างกายในแบบต่างๆ คุณแม่จึงควรสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกได้มีโอกาสที่จะมี กิจกรรมดังที่เรากล่าวมาแล้วเป็นช่วง ๆ ด้วย
ลูกขาโก่ง

คำถาม
ขาของลูกเป็นวงโก่ง ตอนนี้ก็อายุ 1 ปี 4 เดือนแล้ว ไม่ทราบมีวิธีการแก้ไขไหมคะ ที่เขาแนะนำใหับีบนวดจะดีไหม ไม่กล้าทำ กลัวลูกเจ็บ และผิดปกติ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะลูกเดิน เร็วไปหรือเปล่า เพราะเขาเริ่มเกาะเดินตั้งแต่ 6 เดือน และเริ่ม เดินตั้งแต่อายุ 9 เดือน เลยทำให้ขาเขาโก่ง มีทางแก้ไขไหมคะ และลูกจะหาย หรือเปล่า

คำตอบ

เด็กทารกส่วนมากจะมีขาที่มองดูโก่ง โค้งเข้าใน โดยเฉพาะในช่วงต่ำกว่าข้อเข่า ซึ่งเป็นผลจากการที่แกนอนอยู่ในท้อง คุณแม่มาเป็นเวลาหลายเดือน แด่ว่าเมื่อลูกสามารถลุกขึ้นยืน เดิน และมีความสูง เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ การขยายตัวของกระดูกขาก็จะค่อยๆ ทำให้ ลักษณะโค้งของขาลดน้อยลงไป และตรงขึ้นในที่สุด การดัดหรือ การนวดขานั้นคงไม่ช่วยนักในช่วงนี้

ในกรณีที่คุณแม่มีความกังวลว่าลูกจะขาโก่งผิดปกติ ก็สามารถ ปรึกษากุมารแพทย์ในช่วงที่พาลูกไปตรวจสุขภาพได้ ซึ่งหมอคาด ว่าในช่วงอายุ 1 ขวบครึ่ง คุณแม่คงจะถึงกำหนดที่จะด้องพาลูก ไปรับวัคซีนป้องกันโรค และตรวจสุขภาพแล้ว ก็ให้คุณหมอ ช่วย ตรวจซํ้าว่าลูกขาโก่งจริงหรือไม่ เพื่อคุณแม่จะได้คลายกังวล ในเรื่องนี้ใปได้

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนังสือเสริมสร้างพัฒนาการเด็กเล็กชื่อ My first look at เล่มที่ 2 ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ รูปทรง

(ทดลองทำหนังสืออ่านจากหน้าบอร์ดโดยไม่ต้องโหลดไปอ่าน โดยเป็นไฟล์ชนิด PDF ซึ่งสามารถโหลดไปอ่านก็ได้ แล้วแต่ผู้อ่านสนใจเก็บไว้หรือไม่ โดย Click ที่ Link ด้านล่างเพื่ออ่านหนังสือ)

http://static.slidesharecdn.com/swf/doc_player.swf?doc=myfirstlookat02-120216214412-phpapp02&stripped_title=my-first-look-at-02&userName=Force8949