วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ดูแลแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด-เอ็กเซอร์ไซส์คลายปวดหลัง

ดูแลแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด-เอ็กเซอร์ไซส์คลายปวดหลัง
ระหว่างตั้งท้อง คุณแม่มักมีอาการปวดหลังใช่มั้ยคะ นั่นเป็นเพราะเจ้าฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น 
ทำให้ข้อต่อกระดูกและเอ็นต่าง ๆ บริเวณอุ้งเชิงกรานคลายตัวจนหลวม 
อย่างนี้รอช้าไม่ได้แล้ว รีบมายืดเส้นยืดสาย เอ็กเซอร์ไซส์ให้หายปวดกันดีกว่าค่ะ

ท่าที่ 1 หมุนไหล่

ท่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังช่วงบนและยังช่วยให้คุณอกผายไหล่ผึ่งอีกด้วย
ตั้งท่า
1. ใช้มือทั้งสองข้างแตะที่หัวไหล่
2. ยกไหล่หมุนขึ้นพร้อมหายใจเข้า และผ่อนลมหายใจเมื่อหมุนไหล่ลง หมุนไปข้างหน้าและข้างหลังอย่างละ 10 ครั้ง

ท่าที่ 2 นั่งยอง ๆ แยกขา

ท่านี้ช่วยป้องกันหรือบรรเทาอาการปวดหลัง แล้วยังช่วยให้กล้ามเนื้อหลังและต้นขาแข็งแรงขึ้นอีกด้วยนะ
ตั้งท่า
1. ยืนแยกขากว้าง ๆ แล้วค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงไป มือประสานกันโดยวางข้อศอกไว้บนเข่า ค้างไว้สักครู่แล้วจึงลุกขึ้นช้า ๆ
2. พยายามให้หลังตรงที่สุด แต่ถ้าไม่ถนัดให้หาเก้าอี้ไว้จับ หรือจะหาผ้ามารองเท้าไว้ก็ได้ค่ะ

ท่าที่ 3 แมวโกรธ


ท่านี้นอกจากคลายปวดหลังแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง และกระดูกเชิงกรานเคลื่อนตัวได้ดี
ตั้งท่า
1. ทำท่าเหมือนกับการคลาน แต่ให้ลำตัวขนานกับพื้น แขนและไหล่ตั้งฉากกับลำตัว
2. หายใจเข้า แขม่วท้อง เก็บก้น ค่อย ๆ โยกเชิงกรานมาข้างหน้า หลังจะโก่งขึ้น ค้างไว้ 2-3 วินาที ผ่อนลมหายใจออกแล้วกลับสู่ท่าเดิม

ท่าที่ 4 ยกล้อ

ท่านี้ต้องให้คุณพ่อช่วยแล้วล่ะค่ะ รับรองช่วยลดอาการปวดตึงบริเวณต้นขาได้ดีทีเดียว
ตั้งท่า
1. นอนราบกับพื้น วางแขนข้างลำตัวแล้วชันเข่าขึ้น
2. ให้คุณพ่อนั่งด้านข้างสอดมือไปที่บริเวณสะโพกแล้วยกขึ้นค้างไว้ จากนั้นจึงค่อย ๆ ปล่อยลง


ลองทำดูนะคะ โดยเริ่มทำเท่าที่ทำได้แล้วค่อยเพิ่มจำนวนครั้งขึ้น ไม่ควรฝืนหรือหักโหมค่ะ

ดูแลแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด-ท้องแข็งแบบไหนใกล้คลอด

ดูแลแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด-ท้องแข็งแบบไหนใกล้คลอด
ท้องแข็ง ตอนใกล้คลอดนี่ไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติหรือน่ากลัวแต่อย่างใด
แต่เป็นอาการเตือนว่าใกล้เวลาที่แม่จะได้เห็นหน้าเจ้าหนูตัวดีแล้วล่ะจ้ะ....

< < <   "ท้องแข็ง" แบบไหนใกล้คลอด   > > >
คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจสงสัยที่ว่าครบกำหนดคลอดแล้วนั้น
มันหมายถึงตอนไหน แล้วอาการ "ท้องแข็ง" ตอนใกล้คลอด
มันจะต่างกับท้องแข็งตอนช่วงแรกของการตั้งครรภ์ยังไง

ปกติแล้วคนเราจะตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมา
ไปจนถึงกำหนดคลอด ถ้านับ 4 สัปดาห์เป็น 1 เดือน ก็จะตั้งครรภ์รวมแล้ว 10 เดือน
ที่จริงแล้วที่ไหน ๆ เขาก็นับกัน 10 เดือนคลอด คนจีนนับ 10 เดือน ฝรั่งก็นับ 10 เดือน
เพื่อนบ้านเราก็นับ 10 เดือน มีแต่พี่ไทยกับน้องลาว 2 ประเทศเท่านั้นแหละครับ
ที่นับท้องครบ 9 เดือนคลอด ที่คนไทยเรานับ 9 เดือนคลอดก็เพราะว่าเราไปนับเอา
ตอนประจำเดือนขาด แทนที่จะไปนับตอนประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย
ซึ่งตอนที่ประจำเดือนขาดนั่นเราก็ท้องไปแล้ว 2 สัปดาห์ล่ะครับ

ถ้าหากนับเป็นสัปดาห์ คนเราก็จะครบคลอดได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 37 เป็นต้นไป
หากเจ็บท้องขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็จะเป็นการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
ส่วนการตั้งครรภ์เกินกำหนดก็คือการตั้งครรภ์เกินกว่า 42 สัปดาห์

ส่วนอาการท้องแข็งนั้น ปกติแล้วยิ่งใกล้กำหนดคลอดมากเท่าไหร่
คุณแม่ก็จะรู้สึกว่าท้องแข็ง หรือมดลูกบีบตัวบ่อยขึ้นเท่านั้น แล้วลองสังเกตดู
คุณแม่จะยิ่งรู้สึกว่าท้องแข็งบ่อยขึ้น หากคุณแม่มีกิจกรรมมาก เดินมาก
ก้ม ๆ เงย ๆ มาก แต่ท้องแข็งแบบนี้ไม่ค่อยมีอาการเจ็บปวดอะไรอย่างมากมาย
บางทีอาจจะจุก ๆ เหมือนหายใจไม่ออกเท่านั้นเอง นั่งพักสักแป๊บก็หายแล้ว

ท้องแข็งเมื่อใกล้คลอดจะมีจังหวะการแข็งค่อนข้างห่าง
คือจะบีบแข็งตัวขึ้นช้า ๆ แล้วก็แข็งคาไว้อย่างนั้นนานพอดู
แล้วก็ค่อย ๆ คลายตัวลงช้า ๆ ซึ่งเปรียบดูก็จะเหมือนระลอกคลื่นเตี้ย ๆ
ที่มาห่าง ๆ นาน ๆ ถึงจะบีบตัวสักที ยิ่งใกล้คลอดก็จะมาถี่ขึ้น

ตอนท้องแข็งหรือมดลูกบีบตัวจะมีหลายระดับการแข็งนะครับ
หากเป็นท้องแข็งปกติที่ไม่ใช่การเจ็บครรภ์คลอด มดลูกจะไม่แข็งมาก
แค่รู้สึกตึง ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเจ็บเตือน มดลูกจะแข็งมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บมาก
ถ้าเป็นการเจ็บครรภ์คลอดของแท้ล่ะก็ มดลูกบีบตัวแข็งโป๊ก เจ็บอย่าบอกใครเชียว !

< < <   ท้องแข็งแบบ "เจ็บเตือน"   > > >
พูดถึงเรื่อง "เจ็บเตือน" หลาย ๆ คนที่ยังไม่เคยคลอดลูกคงนึกไม่ออก
เอาเป็นว่าอาการเจ็บเตือนก็เป็นอาการเจ็บครรภ์อย่างหนึ่งที่ไม่ใช่เจ็บครรภ์คลอด
แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าจะเจ็บครรภ์คลอดในไม่ช้านับจากนี้
และเมื่อมีอาการเจ็บเตือน มดลูกจะมีการบีบตัวเป็นจังหวะ
เดี๋ยวบีบ เดี๋ยวหายติด ๆ กันเป็นชุด แรงบีบอาจจะแรงบ้าง เบาบ้าง ไม่แน่นอน
บีบ ๆ หาย ๆ อยู่สักพักก็หายไป โดยมากแล้วประมาณ 20-30 นาที
การเจ็บเตือนที่จริงแล้วมักไม่รู้สึกเจ็บหรอกครับ อย่างมากก็รู้สึกแน่น อึดอัด
แต่ที่เรียกเจ็บเตือนก็คงต้องการให้ดูคล้องจองกับคำว่า "เจ็บจริง" เสียมากกว่า

แล้วอาการเจ็บเตือนก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ทุกคนนะครับ
บางคนเจ็บเตือนอยู่ได้เตือนแล้วเตือนอีก ไม่เอาจริงซะที
แต่บางคนอาจไม่มีเจ็บเตือนให้เสียเวลา ถึงเวลาก็เจ็บท้องคลอดเลยไม่ต้องเรื่องมาก
โดยมากแล้วเจ็บเตือนมักเป็นกับท้องสอง ท้องสามมากกว่าที่จะเป็นในท้องแรก
ก็ยังไม่รู้เหตุผลเหมือนกันนะครับ แต่ตามสถิติเขาว่ากันมาอย่างนี้
ที่จริงท้องแรกมือใหม่น่าจะให้เจ็บเตือนนาน ๆ ก่อนคลอดนะ จะได้ตั้งตัวทัน

ปกติแล้วเจ็บเตือนก็จะนำหน้ามาก่อนเจ็บจริง โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 7 วัน
แต่ก็อาจนำมาก่อนแค่วันเดียวก็ได้ หรืออาจเตือนนาน 10 กว่าวันก็มี
แต่เฉลี่ยแล้วราว ๆ 7 วันนี่แหละครับ
ดังนั้นหากมีอาการเจ็บเตือนก็เก็บกระเป๋าเตรียมรอไว้ได้เลย... อีกไม่กี่วันได้คลอดแน่

แล้วก็เป็นเรื่องประหลาดเหมือนธรรมชาติแกล้ง
เพราะทั้งเจ็บเตือน เจ็บจริง มักจะเจ็บเอาตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน
ก็เลยเป็นเหตุทำให้หมอคลอดลูกต้องถูกตามตัวเอากลางดึกบ่อย ๆ
นี่ถ้าไปเจอเอาหมอขี้เซาสงสัยคงต้องเจ็บรอไปก่อน
ยิ่งถ้าหมอเหนื่อยมาทั้งวันนี้นะ หลับเป็นตายเลยล่ะ

< < <   ท้องแข็งบ่อยกว่า ก็เจ็บท้องเร็วกว่า...นะ   > > >
คราวนี้ถึงตอน "เจ็บจริง" ซะที เจ็บจริงจะไปเจ็บกันตอนไหนไม่มีใครรู้
แต่โอกาสจะเจ็บท้องตรงวันครบกำหนดคลอดพอดีจะราว ๆ 5 เปอร์เซ็นต์
โอกาสที่จะเจ็บเกินกำหนดก็ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่จะเจ็บก่อนกำหนดคลอดนิดหน่อย โดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
คุณแม่ที่ท้องแข็งบ่อย ๆ มักจะเริ่มเจ็บท้องเร็วกว่า
เมื่อถึงเวลาเจ็บจริงมดลูกจะเริ่มบีบแข็งเป็นจังหวะ
แรก ๆ ก็เป็นจังหวะห่าง ๆ บีบเบา ๆ แล้วก็บีบแรงขึ้นแข็งขึ้นเรื่อย ๆ
จังหวะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกเจ็บ แล้วก็จะเจ็บมากขึ้น
ช่วงแรก ๆ ที่เจ็บท้อง มดลูกยังบีบตัวเป็นจังหวะห่างบ้างถี่บ้าง ยังไม่คงเส้นคงวา
แต่พอเริ่มเจ็บได้ที่มดลูกจะบีบตัวเป็นจังหวะ ซึ่งจะบีบตัวแข็งเกือบนาที
แล้วก็เว้นห่าง 3 นาที แล้วก็แข็ง 1 นาที เว้น 3 นาทีอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

เมื่อคุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์แล้ว
เรื่องที่กังวลเสมอก็คือต้องไปโรงพยาบาลตอนไหน
อันดับแรกต้องแน่ใจก่อนว่านี่เป็นการเจ็บจริงของแท้
หากเป็นแค่เจ็บเตือน พอเดินทางไปถึงโรงพยาบาลมันก็ดันหายเจ็บเอาดื้อ ๆ
ต้องนอนรออีกตั้งหลายวันกว่าจะเจ็บจริง
ดีไม่ดีหมอก็ไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านเจ็บจริงแล้วค่อยมาใหม่

คุณแม่ที่คลอดลูกเองโดยวิธีธรรมชาติจะเจ็บครรภ์กันทุกคน
ที่ต้องเจ็บครรภ์ก็เพราะธรรมชาติออกแบบมาให้คนเรามีทางเข้ากับทางออก
จากมดลูกเป็นทางเดียวกัน แล้วสิ่งที่จะต้องเดินทางผ่านเข้าออกช่องคลอด
ก็มีอวัยวะเพศชายกับตัวเด็กตอนคลอด
แล้วธรรมชาติจะให้ช่องคลอดมีขนาดพอดีกับตัวเด็ก
หรือพอดีกับอวัยวะเพศของผู้ชายดีล่ะครับ
หากช่องคลอดโตเท่าขนาดตัวเด็กผู้หญิงทั้งโลกนี้ก็คงไม่ต้องเจ็บทรมานกับการคลอด
เบ่งทีเดียวก็ออก ไม่ยากไม่เย็น
แต่ผู้ชายคงลำบาก เพราะอวัยวะเพศของผู้ชายต้องโตขึ้นเท่าตัวเด็ก
ถึงจะสามารถใช้การได้พอดี เวลาไปไหนมาไหนก็คงต้องแบกกันไปลำบากแย่ !

ตกลงธรรมชาติก็เลยลงมติให้ช่องคลอด
มีขนาดเล็กพอดีกับขนาดของอวัยวะเพศของผู้ชายจะได้ไม่ลำบากกันทั้งสองฝ่าย
แต่จะลำบากอีกทีก็ตอนคลอด เพราะต้องให้เด็กตัวเบ้อเริ่มผ่านออกมา
ทางช่องคลอดที่ขนาดเล็กนิดเดียวให้ได้ สุดท้ายก็เลยต้องเป็นหน้าที่ของมดลูก
ที่ช่วยให้เด็กสามารถคลอดผ่านช่องแคบ ๆ นี้ออกมาได้

< < <   ท้องแข็งแบบ "เจ็บจริง"   > > >
เมื่อถึงเวลาคลอด มดลูกจะบีบตัวเป็นพัก ๆ การบีบแต่ละครั้ง
แรงบีบจะดันหัวของเด็กไปกดถ่างขยายปากมดลูก
จากที่ปิดสนิทหัวเด็กก็จะดันไปเรื่อย ๆ จนเปิดหมดถึงตอนนั้น
แรงบีบของมดลูกร่วมกับแรงเบ่งของกล้ามเนื้อหน้าท้องจะทำให้
ลูกคลอดผ่านช่องคลอดออกมาได้...
พอคลอดออกมาแล้วนึกดูก็น่ามหัศจรรย์นะที่เด็กตัวไม่ใช่เล็ก
สามารถคลอดผ่านช่องคลอดที่เส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 2 เซนติเมตรออกมาได้
ความมหัศจรรย์นี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับมดลูกด้วยประการทั้งปวง

< < <   ท้องแข็ง (มดลูกบีบตัว) "หลังคลอด"   > > >
หลังจากคลอดลูกออกไปเรียบร้อยแล้ว มดลูกยังไม่หมดเวรหมดกรรมทีเดียวนะครับ
เพราะจากมดลูกใบใหญ่ เมื่อลูกคลอดออกมาแล้วมดลูกก็จะหดเล็กลง
เหลือขนาดเท่าลูกส้มโอ หลังคลอดมดลูกก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาบีบ บีบอยู่ตลอด
หากไม่บีบหมอก็ต้องคลึงมดลูก หรือไม่ก็ให้ยาจนมดลูกบีบตัว
เพราะถ้าไม่บีบเอาไว้จะทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดได้
ตอนมดลูกบีบตัวในตอนหลังคลอดนี้บางคนเขาเรียกกันว่า "คัดมดลูก"
สงสัยคงจะคล้องกับ "คัดเต้านม" อาการคัดมดลูกจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วันแรก
จะเจ็บมากในท้องสองท้องสามมากกว่าท้องแรก
หลังจากนั้นมดลูกก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ
จนมีขนาดเท่าเดิมภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอดเหมือนกับตอนที่ยังไม่ท้อง

ถึงตอนนั้นก็เป็นอันหมดภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ยาวนานของมดลูกซะที...
ก็คงได้พักกันอีกนาน ส่วนอาการท้องแข็งที่คอยกวนหัวใจคุณแม่ให้กังวล
ก็จะหายไปเช่นกัน เอาเป็นว่าตั้งครรภ์ครั้งต่อไปค่อยมาว่ากันใหม่ครับ
*********************************************
น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานนท์
*********************************************

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-จับนมแม่ถึงจะหลับ

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-จับนมแม่ถึงจะหลับ
คำถาม -
ลูกอายุ 1 ปี 3 เดือน ชอบจับนมแม่พร้อมกับดูดขวดนม
ถึงจะยอมหลับตอนกลางคืน แต่ตอนกลางวันไม่จับก็ยอมหลับ
อย่างนี้ผิดปกติไหมคะ
คำตอบ - 
ลูกของคุณไม่ได้ผิดปกติอะไรครับ
มีเด็กอื่น ๆ ที่ชอบทำอะไรเป็นพิเศษก่อนนอนกลางคืนตั้งเยอะ
บางคนต้องดูดนิ้ว กอดตุ๊กตา เกาะเกาแขนพ่อแม่หรือคนกล่อม
หรืออย่างที่เคยเล่าว่าผู้ใหญ่เองบางคนก็ยังติดที่จะต้องบางอย่างที่ให้ตัวเองหลับได้เลย

เดาเอาว่าที่คุณแม่กลุ้มใจมากเพราะสิ่งที่ลูกชอบ คือ
สิ่งที่เราคิดว่าดูไม่สุภาพเหมาะสมในสายตาผู้ใหญ่ ไม่ทราบเด็กกินนมแม่มาตลอด
แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นนมขวดหรืออย่างไร ถ้าถึง 10 ขวบคงไม่ปล่อยให้ทำแน่นอน
แต่สำหรับอายุ 15 เดือนการหาทางกล่อมตัวเองยังพอรับได้ เราอาจหาทางอื่นให้เขาแทน

เดาอีกทีว่าท่าทางก็คือเด็กจะนอนหนุนตักใกล้ชิดแม่มากถึงจะจับได้
ให้เขาถือขวดนมเองสองมือได้ไหม หรือลงนอนใกล้ให้เขาจับแขนก็อาจจะพอ
ถ้าจะให้ห่างออกอีก ก็เช่นให้แยกเวลากินนมกับกล่อมนอน
เริ่มให้เด็กกินนมจากแก้วหรือใช้หลอด ซึ่งจะกลายเป็นนั่งไม่ใช่นอนกิน
หรือให้คุณพ่อมาช่วยพานอน โดยหลักคือค่อยเปลี่ยนแปลงให้ของอื่นแทนที่ทีละน้อย ๆ

การพูดสอนเด็กไม่เข้าใจหรอกครับ เช่นเดียวกับความกลุ้มใจปัดมือเด็กออก
เด็กจะยิ่งอยากทำเพราะกำลังง่วง งอแงมาก และยังหาอะไรแทนไม่ได้
**************************************
ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์
**************************************

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-ทำไมพี่วัยเกือบ 3 ขวบถึงทั้งรักทั้งชังน้อง

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-ทำไมพี่วัยเกือบ 3 ขวบถึงทั้งรักทั้งชังน้อง
คำถาม -
ลูกสาวคนโตอายุ 2 ขวบ 9 เดือน ชอบรังแกน้องชายวัย 6 เดือนมาก
ทั้งกัด ตี ตบ บางทีก็ใช้เท้าเตะ ถีบ หรือแย่งของเล่นน้อง
บอกให้รักน้อง แบ่งของเล่นให้น้อง แกก็ไม่ค่อยฟังค่ะ
เคยลองใช้วิธีดุและบอกว่าไม่รัก แกจะร้องกรี้ดทันที ต้องโอ๋จึงยอมเงียบ
แต่ก็ใช่ว่าจะหายแกล้งน้องนะคะ แต่พอมีคนอื่นมาอุ้มน้องแกจะไม่ยอมให้เขาอุ้ม
อย่างนี้เรียกว่าทั้งรักทั้งชังได้หรือไม่
แล้วแกก็ชอบละเมอว่า "แม่ แม่รักฟ้านะ" แทบทุกคืน
โดยเฉพาะวันที่โดนดุ จะแก้ไขอย่างไรคะ
คำตอบ - 
เด็กวัย 2-3 ขวบมักกลัวว่าตนเองจะไม่สำคัญ หรือไม่เป็นที่สนใจอย่างมาก
โดยเฉพาะกลัวการถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ แม้ว่าตอนตั้งครรภ์คุณแม่จะได้เตรียมจิตใจ
ของลูกสาวสำหรับการมีน้องใหม่แล้วก็ตาม เด็กก็อาจต้องใช้เวลาปรับตัว
เมื่อมีคนมาแบ่งปันความรักไป และน้องชายอาจได้รับความสนใจจากญาติพี่น้องเป็นพิเศษ
เพราะเป็นลูกชาย พี่สาวจึงแสดงปฏิกิริยาอิจฉาน้องดังที่คุณแม่เล่ามา
หรือเด็กบางคนอาจแสดงเป็นพฤติกรรมถดถอย

การดุและพูดว่าคุณแม่ไม่รักเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้
ความรู้สึกอิจฉาน้องเพิ่มมากขึ้นอีก วิธีแก้ไขคือการให้ความรักความสนใจลูกสาว
ให้ใกล้เคียงเช่นก่อนมีน้องใหม่ ซึ่งคุณพ่อจะช่วยได้มากทีเดียว ไม่ควรชมน้องต่อหน้าลูกสาว
หรือห้ามไม่ให้ลูกสาวมาใกล้น้อง เพราะกลัวจะแกล้งน้อง
ตรงข้ามควรส่งเสริมให้อยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งก็ได้ใกล้ชิดคุณแม่ด้วยและสอนให้เป็นลูกมือ
ช่วยเลี้ยงน้อง เด็กจะภูมิใจและปฏิกิริยาดังกล่าวจะลดลงได้ค่ะ
**************************************
พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช
**************************************

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-พัฒนาการช้า เพราะเลี้ยงแบบไข่ในหิน

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-พัฒนาการช้า เพราะเลี้ยงแบบไข่ในหิน
คำถาม -
ลูกสาวคนโตอายุ 5 ขวบ ถูกส่งไปอยู่กับตายายตั้งแต่เด็ก
ตายายเลี้ยงแบบไข่ในหิน ไม่ค่อยให้ออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะกลัวอันตราย
รู้สึกลูกจะมีพัฒนาการช้ามากไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่กระตือรือร้น ไม่ค่อยพูด
จนครูบอกว่าลูกเหมือนไม่มีหัวใจ สอนให้ทำอะไรก็บอกทำไม่เป็น
เคยพาไปหาหมอ หมอบอกว่าลูกขาดสารอาหารระดับหนึ่ง
ถ้าแกอยากได้อะไรก็ต้องได้ ถ้าไม่ได้จะร้องตลอด ดิฉันเคยตี แกก็ถามว่าตีหนูทำไม
พออธิบายแกก็ไม่ฟังและดูเหมือนไม่เข้าใจด้วย ดิฉันจะทำอย่างไรดีคะ
คำตอบ - 
เด็กอายุ 5 ขวบถ้าคุณไม่ได้เลี้ยงเอง
สิ่งที่พ่อแม่ต้องยอมรับก็คือเวลาที่เราไปฝากคนอื่นเลี้ยง การสร้างบุคลิกภาพ
หรือการสั่งสอน ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการซึมซับและเลียนแบบพฤติกรรม
ของคนที่อยู่ใกล้เด็ก หลายครั้งที่เด็กไปซึมซับพฤติกรรม หรือมีพฤติกรรมหลายอย่าง
ที่คุณไม่ชอบ เช่น ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย หรือเล่นไม่เป็น คืออยู่ท่ามกลางคนขี้กลัว
เขาก็คอยห้าม คอยกันไม่ให้เด็กออกไปเล่น สุดท้ายเด็กก็จะขาดทักษะในการเข้าสังคม
ขาดการปรับตัวเข้ากับคนอื่น ไม่มั่นใจ

การที่เด็กเติบโตในบรรยากาศของความรัก พ่อแม่รักและให้กำลังใจดี
ก็จะทำให้เด็กมั่นใจในตนเองระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเด็กเติบโตมาในบ้านของตายายแบบหนึ่งแล้ว พอย้ายก็ต้องมาปรับตัวเข้ากับพ่อแม่
โดยที่เด็กไม่เคยอยู่มาก่อน ก็เหมือนกับเด็กถูกพลัดพรากจากสิ่งที่เคยชิน
นี่คือพื้นฐานที่คุณต้องเข้าใจค่ะว่ามันไม่ได้เริ่มต้นที่เป็นความผิดของเด็ก

เมื่อหมออ่านปัญหาของคุณสิ่งที่หมอเห็น คือ เด็กคนนี้แม้จะได้ตายายเลี้ยงดู
แต่ท่านก็เลี้ยงด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เอื้ออำนวยหรือส่งผลทำให้เด็กพัฒนาขึ้นมา
ในทิศทางที่ถูกต้องนัก ตอนนี้โอกาสดีสำหรับเด็กแล้วที่คุณกลับตัวทัน
แล้วรับเด็กออกมา ถือว่าคุณได้ช่วยเหลือลูกอย่างมาก แต่การที่จะมาปรับ
พฤติกรรมที่คุณไม่ชอบจำเป็นต้องอาศัยความอดทน
ลูกอายุ 5 ขวบยังสามารถปรับได้และทำอะไรได้อีกมาก แต่การปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทนในการฝึกสอนสม่ำเสมอ
ซึ่งสิ่งที่คุณน่าจะทำก็คือ...

1. สร้างหรือทำให้ลูกเกิดความมั่นใจในตัวคุณ การแสดงความรักแบบ
    ตรงไปตรงมาเป็นสิ่งที่เด็กขาด โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้เติบโตมากับพ่อแม่
    เหมือนเด็กที่อยู่โรงเรียนประจำ เด็กพวกนี้จะเหงา ว้าเหว่
    คุณตาคุณยายให้ความรักได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับพ่อแม่
    ดังนั้นถ้าคุณสามารถแสดงความรักออกไปตรง ๆ โดยไม่มีข้อแม้
    ว่าจะต้องช่วยตัวเองได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่าจะต้องกล้าหาญ
    ไม่มีข้อแม้ว่าอะไรทั้งสิ้นเลย

    เวลาคุณก้าวเข้ามาหาลูกกอดเขา อยากกอดก็กอดตรง ๆ หอมก็หอมตรง ๆ
    บอกเลยว่าคุณรักเขา รักเขาจริง ๆ ขอให้แสดงออกตรงไปตรงมาชัดเจน
    ลองเปรียบเทียบกับเด็กที่เติบโตมาในอ้อมแขนของพ่อแม่สิคะ
    เขาได้เห็นการแสดงออกซึ่งความรักของพ่อแม่มาตั้งแต่เล็ก ๆ
    ตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน ปีหนึ่ง...
    สิ่งที่เขาเห็นคือพ่อแม่ยิ้มกับเขาบ่อย ๆ หัวเราะ เล่น ให้เวลาสนุกสนาน
    สั่งสอนเขามาตลอด ขณะที่ลูกคนนี้เติบโตมากับคุณตาคุณยาย
    ที่แสดงความรักในแง่ปกป้องระมัดระวังอันตรายให้ การแสดงความรัก
    จึงไม่ตรงไปตรงมานัก ซึ่งหมอเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
    ที่จะเป็นฐานในการฝึกเด็กต่อไป

2. ในการฝึกฝนพฤติกรรมที่คุณไม่ชอบ เราต้องชั่งน้ำหนักว่า
    พฤติกรรมใดที่คุณจะเปลี่ยนก่อน เด็กอาจมีพฤติกรรมที่คุณไม่ชอบอยู่ 10 อย่าง
    จะปรับเปลี่ยนทั้ง 10 อย่างคงเป็นไปได้ยาก โปรดเลือกเอาพฤติกรรม
    ที่คุณทนไม่ได้กับเด็กก่อนเป็นพฤติกรรมแรก แล้วบอกเขาว่าสิ่งเหล่านี้
    คุณไม่ชอบและไม่อยากให้ลูกทำ ขณะที่เราบอกพฤติกรรมที่ไม่ดี
    เราก็ต้องสร้างพฤติกรรมที่ดี แล้วบอกเขาเลยว่าหนูทำแบบนี้แม่ชอบไปด้วย

    ขอให้แยกแยะความรักกับการฝึกออกจากกัน เพราะการฝึกฝนกว่าที่เด็กจะ
    ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่คุณไม่ชอบจนหายไปนั้น
    ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน 6 เดือน หรือเป็นปี
    คุณแม่ไม่ได้บอกว่ารับลูกมาอยู่กับคุณนานเท่าไหร่แล้ว หมอคาดเดาว่า
    อย่างน้อยก็ 3-5 ปี ที่เด็กอยู่กับคุณตาคุณยาย
    ดังนั้นก็ต้องใช้เวลาเป็นปีเช่นกัน ในการปรับเปลี่ยนค่ะ

3. คงต้องสร้างพฤติกรรมใหม่ เพราะมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
    ที่คุณตาคุณยายไม่ได้สอน เช่น การกล้าแสดงออก การหัวเราะออกมาดัง ๆ
    การแสดงความรู้สึกออกมา การฝึกฝนในลักษณะแบบนี้มันคงจะง่ายขึ้น
    ถ้าอยู่ในบรรยากาศที่สนุก ๆ ขอให้คุณให้เวลาลูก ลงไปสนุกกับลูกเพิ่มมากขึ้น
    ให้โอกาสลูกหัวเราะออกมาดัง ๆ ถ้าอยู่ที่บ้านเด็กยังไม่กล้าหัวเราะ
    แล้วแกจะไปหัวเราะที่โรงเรียนได้อย่างไร

    ฉะนั้นในบรรยากาศการเล่นที่ผิดก็ไม่เป็นไร ถูกก็ไม่เป็นไร ขอให้สนุกด้วยกัน
    ขอให้เตะบอลไปด้วยกัน ขอให้โยนลูกบอลรับลูกบอลไปด้วยกัน
    ขอให้ทำตามที่แม่บอกก็แล้วกันรับรองสนุกแน่
    ลักษณะเช่นนี้นอกจากจะเป็นการฝึกฝนให้เด็กหัดแสดงอารมณ์ออกมาเป็น
    หัวเราะ สนุกสนาน ดีใจ เสียใจ โกรธ แล้วยังเป็นการฝึกให้เด็กหัดทำ
    ตามคำสั่งแม่ในบรรยากาศที่สนุก ๆ อีกด้วย

    ในการฝึกเด็กไม่จำเป็นว่าเด็กจะต้องทำถูก
    เช่น เราอยากฝึกให้เด็กหัดตัดสินใจ การตัดสินผิดหรือถูกไม่สำคัญ
    แต่ขอให้ตัดสินใจออกมาก่อน ถูกผิดค่อยมาแก้กันใหม่

    เพราะฉะนั้นในบรรยากาศที่สบาย ๆ บรรยากาศที่ลองทำเชียร์ให้กำลังใจ
    บรรยากาศที่บอกว่าไม่เป็นไรลูก ลองดูถูกผิดไม่เป็นไร เอาเลยลูก
    บรรยากาศที่ผ่อนคลาย สนุก เป็นกันเอง
    จะทำให้เด็กกล้าที่จะแสดงตัวตนออกมาได้มากขึ้น แม้การแสดงของเด็ก
    อาจทำให้คุณไม่พอใจบ้าง ก็อย่าไปให้ความสำคัญกับตรงนี้มากนัก
    เราไม่มีทางที่จะฝึกสอนเด็กให้ถูกต้องหมดไปทุกอย่างในช่วงเวลาสั้น ๆ
    แต่การฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้เด็กค่อย ๆ รับรู้ความจริงได้

4. เป็นความจริงที่อยากจะให้เข้าใจว่าสมองส่วนใหญ่จะถูกพัฒนาขึ้นมา
    ทั้งปริมาณและคุณภาพโดยเฉพาะช่วง 5 ปีแรก
    เราบอกไม่ได้ว่าช่วง 5 ปีแรกที่เด็กอยู่กับคุณตาคุณยายนั้นถูกฝึกฝนมา
    มากน้อยแค่ไหน แต่ภาพที่เราเห็นก็คือเด็กช่วยตัวเองไม่ค่อยได้
    ไม่มั่นใจในตัวเองสูงมาก เพราะสิ่งที่เด็กได้รับคงอยู่ในคุณภาพต่ำ

    การมาฝึกสอนให้เด็กหัดช่วยตัวเอง หัดทำสิ่งต่าง ๆ หัดหัวเราะ หัดยิ้ม
    หัดพูด หัดแสดงออก หัดทำหลายสิ่งหลายอย่าง
    โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลืองานบ้าน
    การฝึกพวกนี้จะเป็นพื้นฐานของความคิด ทำให้เด็กเรียนรู้และสามารถ
    เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น วิธีการและเวลาในการฝึกจึงมีความสำคัญมาก
    สำหรับเด็กที่ช้าในเรื่องนั้น ๆ กว่าที่เด็กจะเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
    อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน 6 เดือน หรือเป็นปี
    ดังนั้นจึงอย่าหวังเลยค่ะว่าสิ่งที่คุณพูดขณะที่เด็ก 5 ขวบคนอื่นเขาฟังและเข้าใจ
    แล้วลูกจะเข้าใจ เพราะลูกคุณขาดทักษะในการสร้างพื้นฐานมาเยอะ

    เราอาจจะเริ่มต้นฝึกช้าหน่อย แต่ฝึกหลากหลายรูปแบบในบรรยากาศที่สนุก
    ซึ่งคงยังไม่สามารถเอาลูกไปเปรียบกับเด็ก 5 ขวบคนอื่นในตอนนี้
    จงให้เวลาเขาปรับเปลี่ยนและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว
    ภายใต้บรรยากาศที่สบาย บรรยากาศที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก
    และให้โอกาสที่ฝึกฝนไปอีกระยะหนึ่ง
    เพื่อช่วยทำให้ลูกสามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางเด็กคนอื่นได้
**************************************
พ.ญ.วินัดดา ปิยะศิลป์
**************************************

สู่รั้วโรงเรียน-เคล็ดลับสร้างลูกให้เป็นตัวของตัวเอง

สู่รั้วโรงเรียน-เคล็ดลับสร้างลูกให้เป็นตัวของตัวเอง

* ไม่เปรียบเทียบลูกกับใครทั้งสิ้น
* ยอมรับความแตกต่างว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรต่างจากคุณ
* จดบันทึกลักษณะหรือสิ่งพิเศษที่เขาชอบ
* อย่าสร้างความหวังว่าอยากให้เขาโตขึ้นเป็นอะไรหรือต้องจบอะไร
* อย่ายึดติดรูปร่างหน้าตา หรือระดับความสำเร็จของเขา
* สนับสนุนให้เขาสำรวจความสามารถของตนเอง
* อย่ากังวลว่าเพื่อนบ้านหรือญาติจะนินทาเขาอย่างไร
* ให้เขาเลือกเองว่าจะแต่งตัวอย่างไร ใส่ชุดไหน
* กระตุ้นสิ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษ และไม่ตำหนิเมื่อเขาเปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่น
* ห้ามลืมว่าเขาควรได้การยอมรับและเคารพความเป็นตัวเขา

เรื่องกินของหนู-มีอะไรทดแทนเนื้อสัตว์ได้

เรื่องกินของหนู-มีอะไรทดแทนเนื้อสัตว์ได้
คำถาม -
ลูกอายุ 2 ขวบครึ่ง ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์ ถ้าให้ทานอย่างอื่นทดแทน
เช่น ซุปไก่สกัด จะได้มั้ยคะหรือมีอะไรทดแทนได้บ้าง
คำตอบ -
ซุบไก่สกัดในที่นี้หมายถึงซุบไก่สกัดที่มีวางขายในท้องตลาด
ซึ่งคงทดแทนสารอาหารจากเนื้อสัตว์ไม่ได้ทั้งหมด
เนื่องจากคุณค่าของสารอาหารจะแตกต่างกันมากระหว่างเนื้อไก่แท้ ๆ และซุบไก่สกัด
แม้ว่าจะมีสารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน (น้อยมาก) วิตามินและแร่ธาตุ
โดยอาจมีการเติมเพิ่มลงไปบ้าง แต่ยังมีปริมาณอยู่น้อยมากเพราะมีแต่น้ำเป็นส่วนใหญ่

ซุบไก่สกัดที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดมักมีการพูดถึงประสิทธิภาพต่าง ๆ นานา
เช่นทำให้หลับสบายขึ้น ทำให้เลือดลมดี ลดความเครียด เพิ่มปริมาณเหล็กให้ร่างกาย
ช่วยแก้ไขภาวะโลหิตจางและอื่น ๆ เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ
ที่มีการวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ดีพอแก่การเชื่อถือได้
จากการศึกษาวิจัยพบว่า
ซุบไก่สกัด 1 ขวดมีโปรตีน เหล็ก และแคลเซียมในปริมาณที่น้อยมาก
เมื่อเปรียบเทียบซุบไก่สกัดกับอาหารต่าง ๆ ที่รับประทานกันทั่วไป
ซึ่งถ้าไม่มีการลดราคาลงแล้ว
ซุบไก่สกัด 1 ขวดมีราคาแพงกว่าไข่ไก่มากกว่า 10 เท่า
และซุบไก่สกัด 3 ขวดจะมีโปรตีนเท่ากับโปรตีนในไข่ไก่ 1 ฟอง
ซุบไก่สกัด 290,000 ขวดจะมีแคลเซียมเท่ากับแคลเซียมในนม 1 แก้ว
ดังนั้นควรเลือกพิจารณาให้ดีในการเลือกซื้อ

การรับประทานอาหารต่าง ๆ ให้ครบ 5 หมู่และให้หลากหลายในแต่ละมื้อ
หรือในแต่ละวัน จะเป็นการดีกว่ามาก
อีกทั้งไข่และนมยังให้คุณค่าสารอาหารมากกว่าซุบไก่สกัดหลายเท่า
แต่ถ้ากรณีที่ลูกไม่ค่อยยอมกินอาหารควรจะเสริมด้วยวิตามินและแร่ธาตุร่วมด้วยจะดีกว่าครับ
************************************************
น.พ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเด็ก
************************************************

เรื่องกินของหนู-ลูกไม่กินผัก ให้กินน้ำต้มผักแทนได้ไหม

เรื่องกินของหนู-ลูกไม่กินผัก ให้กินน้ำต้มผักแทนได้ไหม
คำถาม -
ไม่ทราบว่าน้ำต้มผักมีคุณค่าอาหารแค่ไหนคะ ในกรณีที่ลูกไม่ทานผักจะให้กินน้ำต้มผักแทนได้หรือไม่
คำตอบ -
กรณีนี้ขึ้นกับชนิดของผักที่นำมาต้ม ส่วนใหญ่น้ำต้มผักมักจะประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุบางตัวเท่านั้น 
และต้องดูด้วยว่าเวลาต้มใช้อุณหภูมิสูงมากน้อยแค่ไหน 
ถ้าใช้อุณหภูมิสูงมาก ความร้อนจะทำลายวิตามินบางชนิดไปบ้างโดยเฉพาะวิตามินบี 1 จะสูญเสียไปมากกว่าตัวอื่น ๆ 
นอกจากนั้นถ้าใช้เวลานานในการต้มจะทำให้วิตามินบางตัวถูกทำลายไปเช่นเดียวกัน 
แต่ก็มีแร่ธาตุบางตัวต้องใช้เวลานานจึงจะสามารถสกัดเอาแร่ธาตุนั้น ๆ ออกมาในน้ำต้มผักได้ 
วิตามินแต่ละตัวจะถูกทำลายไปไม่เท่ากัน ลองดูตารางต่อไปนี้ประกอบนะครับ

เพราะฉะนั้นถ้าลูกไม่ทานเนื้อผักก็ไม่สามารถกินน้ำต้มผักแทนเพื่อให้ได้สารอาหารเท่ากันได้ 
เนื่องจากการกินน้ำต้มผักจะได้รับเพียงวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารบางชนิดที่ละลายออกมาในน้ำเท่านั้น 
ส่วนการกินเนื้อผักโดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผักสด 
จะทำให้ได้รับสารอาหารต่าง ๆ มากกว่ากันมาก วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ยังไม่ถูกทำลาย 
นอกจากนั้นยังได้รับสารอาหารตัวอื่น ๆ ที่มีอยู่ในเนื้อผักเอง 
เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันซึ่งรวมทั้งวิตามินที่ละลายในไขมันด้วย 
ใยอาหารต่าง ๆ ตลอดจนสารเคมีที่มีประโยชน์ที่เรียกกันว่าไฟโตเคมีคอล

ผักแต่ละชนิดจะมีสารไฟโตเคมีคอลแตกต่างกันออกไป 
สารชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปได้ดี 
ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูงและโรคอื่น ๆ อีกมากมาย 
ตัวอย่างเช่น
สาร "ไลโคปีน" ในมะเขือเทศช่วยในการย่อยอาหารและช่วยป้องกันมะเร็ง
สาร "ซับโฟราเฟน" ในบร็อกคอลีช่วยป้องกันมะเร็ง โดยกระตุ้นตับให้สร้างเอนไซม์ช่วยแก้สารพิษที่เกิดจากขบวนการออกซิเดชัน
สาร "ไดไทออลไทโอนส์" ในบร็อกคอลี ดอกกะหล่ำ และกะหล่ำปลี ช่วยป้องกันมะเร็งปอด ลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ และ
สาร "เบต้าแคโรทีน" ในแครอตช่วยป้องกันมะเร็งปอดและกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การรับประทานผักหลาย ๆ อย่างรวมกันจะทำให้ร่างกายได้รับชนิดของสารอาหารต่าง ๆ มากมายอย่างครบถ้วย แต่ก็ควรล้างทำความสะอาดให้ดีเสียก่อนเพื่อป้องกันสารพิษต่าง ๆ
************************************************
น.พ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเด็ก

************************************************

เรื่องกินของหนู-รสชาติอาหารเสริม ควรเป็นแบบใด

เรื่องกินของหนู-รสชาติอาหารเสริม ควรเป็นแบบใด
คำถาม -
อาหารเสริมของลูก ควรปรุงแต่งรสหรือไม่ (กรณีที่เราทำเอง)
วัยไหนถึงจะเหมาะที่จะเริ่ม
คำตอบ -
อาหารเสริมที่ทำให้ลูกรับประทานไม่ควรปรุงแต่งรสชาติใด ๆ ทั้งสิ้นครับ
ควรปล่อยให้เป็นรสชาติตามธรรมชาติของอาหารนั้น ๆ
นอกจากนี้อาหารเสริมนั้นควรมีชนิดของอาหารหลากหลาย
และมีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่
พยายามเปลี่ยนชนิดของอาหารสลับกันไปมาในอาหารหมู่เดียวกัน
เช่น หมู่เนื้อสัตว์ที่ให้สารอาหารประเภทโปรตีน
ควรสลับกันระหว่างเนื้อหมู เนื้อปลา และเนื้อไก่ เป็นต้น
หรือหมู่ผักควรเลือกผักหลาย ๆ ชนิดสลับกันไป
ไม่ควรให้เด็กได้รับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่บ่อย ๆ และเป็นประจำ
ถ้าทำได้เช่นนี้จะเป็นการฝึกนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีให้กับเด็ก
ทำให้เด็กไม่ติดอาหารชนิดเดียว ที่สำคัญมาก คือไม่ควรเติม
เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว น้ำตาล น้ำส้ม หรือเครื่องปรุงรสใด ๆ ลงในอาหาร
เนื่องจากการปรุงแต่งรสชาติตามความรู้สึกของพ่อแม่ที่คิดว่าอร่อยแล้ว
ลูกคงจะรับประทานอาหารได้อร่อยตามไปด้วยนั้น
จะเป็นการโปรแกรมรสชาติอาหารให้เด็ก
ทำให้เด็กชอบอาหารที่มีรสชาติหนึ่งเฉพาะ (programming by early nutrition)
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กจะชอบแต่รสชาตินั้นติดตัวไปเรื่อย ๆ
จนเป็นอันตรายกับตัวเด็กเอง เช่น
รสเค็มจะทำให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคไตวาย และโรคความดันโลหิตสูง
ส่วนรสหวานจะมีโอกาสทำให้เด็กเป็นโรคเบาหวาน
และเมื่อชอบรับประทานอาหารหวานด้วยอาจทำให้ไขมันในเลือดสูง
โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ และอื่น ๆ เป็นต้น
ดังนั้นควรปล่อยให้อาหารมีรสชาติตามแบบของมันเอง
เด็กจะได้เรียนรู้รสชาติต่าง ๆ ตามธรรมชาติ
และรสชาติตามธรรมชาตินั้นมักจะไม่ค่อยมีรสจัดเหมือนอาหารที่ปรุงแต่งขึ้น
นอกจากนั้นเด็กจะกลายเป็นคนที่รับประทานอาหารต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่เลือกมากอีกด้วย

สำหรับอาหารเสริมนั้น ท่านสามารถเริ่มให้เด็กรับประทานได้
เมื่ออายุครบ 4 เดือนเป็นต้นไป โดยก่อนหน้านั้นให้รับประทานนมเป็นอาหารหลัก
โดยเริ่มอาหารเสริมจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตก่อน
เช่น ข้าวบดกล้วย เป็นต้น ควรเริ่มทีละน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น
ค่อยเสริมเพิ่มเนื้อสัตว์ต่าง ๆ บด ตับบดและผักต่าง ๆ บด ไข่แดงสุกบด
น้ำซุปต้มกระดูกหมู
เมื่อเด็กทารกอายุครบ 6 เดือน จึงจะสามารถรับประทานอาหารหลักได้ 1 มื้อ
เมื่ออายุ 5 เดือนให้รับประทานแต่ไข่แดง ส่วนไข่ขาวให้เริ่มเมื่อทารกอายุ ครบ 7 เดือน
เนื่องจากก่อนหน้านั้นทารกมีโอกาสแพ้ไข่ขาวได้ง่าย
ส่วนอาหารทะเลให้เริ่มอย่างน้อยเมื่อทารกอายุได้ 9 เดือนไปแล้ว
เนื่องจากมีโอกาสแพ้อาหารทะเลได้ง่ายเช่นเดียวกัน
*********************************************************
ดร.นพ.ประสงค์ เทียนบุญ หัวหน้าหน่วยโภชนศาสตร์
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
*********************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องวุ่น ๆ ในวันนั้นของเดือน

เรื่องวุ่น ๆ ในวันนั้นของเดือน
วันไหน ๆ จะเกี่ยวกับใครยังไงก็ช่าง
แต่ถ้า "วันนั้นของเดือน" แล้วล่ะก็ เกี่ยวกับผู้หญิงล้วน ๆ เลย...
แต่เรื่องเนี้ยะผู้ชายก็ควรจะรู้ไว้นะ จะได้เข้าใจ๊...เข้าใจผู้หญิงมากขึ้นไง

< < <   มดลูก อวัยวะมหัศจรรย์   > > >
... เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนจนไม่รู้ว่าธรรมชาติคิดได้ยังไง ถึงได้ออกแบบ
ระบบสืบพันธุ์ของเราได้สุดยอดขนาดนี้  ในร่างกายของมนุษย์อวัยวะที่นับว่า
มหัศจรรย์ที่สุดก็คือ สมอง
สมองของมนุษย์เราก้อนไม่ใหญ่ไม่โตนี่แหละที่สรรค์สร้างโลกจนถึงทุกวันนี้
รองจากสมองแล้วก็ต้องยกให้มดลูกกับระบบสืบพันธุ์ของเราสิครับ
ถ้าไม่มีมดลูกในโลกเราก็คงมีแค่อดัมกับอีฟ ดีที่พระเจ้าให้อีฟมีมดลูกติดตัวมาด้วย
มนุษย์ถึงได้แตกลูกแตกหลานออกมามากมายจนทุกวันนี้

มดลูกเป็นอวัยวะที่สำคัญ แต่จะบอกว่าสำคัญที่สุดก็ไม่ได้
เพราะระบบสืบพันธุ์ของเราต้องมีครบทุกส่วนประกอบถึงจะมีลูกได้
เพียงแต่มดลูกเป็นส่วนที่ทำงานหนักที่สุด
ตอนตั้งครรภ์ก็ต้องทำหน้าที่อุ้มลูกเป็นลูกโป่งอยู่ข้างใน แถมต้องเจ็บปวด
ทรมานตอนคลอดอยู่ส่วนเดียวอีกต่างหาก ถึงตอนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
มดลูกก็ต้องทำหน้าที่ตามคำสั่งของรังไข่ คือมีรอบเดือนออกมา
จากมดลูกเป็นเลือดสด ๆ ทุก ๆ เดือน... น่าสงสารมดลูกจังนะครับ

ดีนะครับที่ธรรมชาติสร้างให้ระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์เราทำงานเป็นรอบ
ในแต่ละรอบก็มีวันที่จะสามารถปฏิสนธิได้แค่วันเดียว
ถ้าปฏิสนธิกันได้ทุกวันป่านนี้คนคงล้นโลกไปแล้วครับ
ยิ่งคนเราไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นด้วย ไม่ว่าหมู หมา วัว ควาย
ที่ไหนต่างก็มีการผสมพันธุ์เป็นเรื่องเป็นราว เฉพาะบางช่วงของปีเท่านั้น
คนเรานี่แน่กว่า
สามารถผสมพันธุ์กันได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่ เฮ้อ...คิดแล้วก็เหนื่อยแทน

อย่างที่บอกไว้นะครับว่าระบบสืบพันธุ์ของคนเราทำงานเป็นรอบเป็นวงจร
มดลูกของคนเราก็จะทำงานของมันไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิสนธิทุกเดือน
หากเดือนไหนไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น เยื่อบุมดลูกที่เตรียมไว้สำหรับให้ตัวอ่อนฝังตัว
ก็จะหลุดลอกออกมาพร้อม ๆ กับมีเลือดออกมาด้วย
กลายเป็นประจำเดือน นี่แหละครับตัวการทำให้ต้องเปลืองผ้าอนามัยไปทุกเดือน

< < <   คำนวณ "วันนั้น" ของเดือน   > > >
เรื่องของรอบเดือนได้สร้างปัญหาให้กับผู้หญิงบ่อยเหมือนกัน
ก็คนเราไม่ใช่เครื่องจักรนี่ครับจะให้รอบเดือนมาตรงกันเป๊ะ ๆ เหมือนกันหมด
ไม่ยืดไม่หดเอาเลยคงเป็นไปไม่ได้
ทั้งคนเราเกิดมาไม่ได้มีอะไรเหมือนกันหมดซะทุกอย่าง
ดังนั้นรอบเดือนของผู้หญิงแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
จะไปเปรียบเทียบว่าประจำเดือนเราไม่เหมือนของคนอื่น
ของคนอื่นไม่เหมือนของเรา ไม่ได้แน่ ๆ ครับ

ปกติแล้วผู้หญิงจะมีประจำเดือนทุก 24-32 วัน
แต่โดยมากแล้วหรือประมาณ 1 ใน 6 ของผู้หญิงทั้งหมด
ประจำเดือนจะมาทุก 28 วัน ทำให้รู้สึกว่ารอบเดือนมันร่นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
คุณผู้หญิงหลาย ๆ คนมักบ่นให้ฟังเรื่องรอบเดือนมาไม่เคยตรงเลย
ทำยังไงถึงจะมาตรงซะที
แต่พอนับไปนับมาปรากฏว่ารอบเดือนมาทุก 28 วันพอดีทุกรอบ

ดังนั้นเราจะไปยึดถือเอาวันที่ของปฏิทินให้ตรงกันทุกเดือนเห็นจะไม่ได้
เพราะแต่ละเดือนมีวันไม่เท่ากันเลย บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน
แถมบางเดือนมีแค่ 28 วันเอง
ผมเองยังงง ๆ เหมือนกันว่าอีตาจูเลี่ยนคนที่สร้างปฏิทินขึ้นใช้เป็นคนแรก
แล้วก็ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
ทำไมไม่กำหนดให้แต่ละเดือนมี 30 วันเท่า ๆ กันซะหมดเรื่องหมดราว
หรือปฏิทินที่เราใช้กันอยู่
ที่แท้อาจเป็นตารางรอบประจำเดือนของภรรยาของคุณจูเลี่ยนเองก็ได้

ปกติแล้ววงรอบของประจำเดือนเกิดขึ้นที่มดลูก
โดยมีฮอร์โมนจากรังไข่มาควบคุมมดลูกอีกที แล้วรังไข่ก็ถูกควบคุมด้วย
ฮอร์โมนที่สร้างจากสมอง คุมกันไปคุมกันมาหลายขั้นตอนเลยนะครับ
ดังนั้นหากมีอะไรไปรบกวนระบบการควบคุมของฮอร์โมนนี้เข้า
ก็อาจทำให้รอบเดือนคลาดเคลื่อนไปได้ ที่พบบ่อย ๆ ก็เช่น
ความเครียด อดนอน พักผ่อนไม่พอ อ้วนขึ้นหรือผอมลง เจ็บป่วยไม่สบาย
หรืออาจเกิดจากการรับประทานยาบางอย่าง
ก็เป็นเหตุทำให้รอบเดือนมาเร็วขึ้นหรือยืดออกไปได้
แต่ปกติแล้วหากไม่เร็วขึ้นเกินกว่า 7 วัน หรือไม่ยืดเลยออกไปเกิน 7 วัน
ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ครับ

ส่วนจำนวนวันที่ประจำเดือนมาก็จะอยู่ที่ 3-7 วัน
ถ้าเกิน 7 วันขึ้นไปถือว่าผิดปกติ
แต่ผู้หญิงบางคนก็อาจมีประจำเดือนเพียงแค่วันเดียว
หรือมาเยอะเต็มที่ 7 วันเลยก็ได้
ต่างคนต่างมีลักษณะเฉพาะของใครของมัน
ไม่ใช่เห็นคนอื่นมีประจำเดือน 3 วัน ก็อยากจะให้ตัวเองมี 3 วันตาม อย่างนี้ไม่ได้แน่

< < <   วันไหนมามาก วันไหนมาน้อย   > > >
ปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกมาไม่ค่อยเท่ากันในแต่ละคน
บางคนออกมามาก บางคนออกมาน้อย
แต่เฉลี่ยแล้วจะเสียเลือดรวมทั้งหมดประมาณ 33 ซีซี.
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเขาวัดตวงกันยังไง
และจะถือว่าประจำเดือนมามากผิดปกติก็ต่อเมื่อเสียเลือดมากกว่า 80 ซีซี.
นี่เป็นแค่ตัวเลขอ้างอิงที่ทำเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นนะครับ
เพราะในความเป็นจริงถ้าจะไปวัดไปตวงว่ารอบเดือนเดือนนี้มากี่ซีซี.
ก็คงจะลำบาก
เอาเป็นว่าหากประจำเดือนออกมาในปริมาณปกติ
จะใช้ผ้าอนามัยขนาดมาตรฐานซับเต็มที่ 3-4 แผ่น ต่อวัน
แต่ถ้าเป็นแบบบางเฉียบ หรือเป็นคนที่เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย
ก็คงต้องใช้มากขึ้นกว่านิดหน่อย หากประจำเดือนออกมามากกว่าปกติ

โดยปกติแล้วผู้หญิงสาว ๆ ยังไม่เคยมีลูก มดลูกยังใหม่ ๆ อยู่
ประจำเดือนมักมาไม่ค่อยมาก แต่พอมดลูกผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
ผ่านการมีลูก มดลูกก็มักยืดขยายและแรงบีบรัดก็จะน้อยลง
โดยเฉพาะในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ จะรู้สึกว่าประจำเดือนออกมามากกว่าปกติ
สักระยะหนึ่งก็จะน้อยลงเอง แต่ไม่น้อยลงไปกว่าตอนที่ยังไม่มีลูกหรอกนะครับ

การคุมกำเนิดหลังคลอดก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับปริมาณของประจำเดือนด้วย
หากคุมกำเนิดโดยการกินยาคุมกำเนิด ปริมาณของประจำเดือนจะน้อยลงกว่าเดิม
เฉลี่ยแล้วลดลงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าคุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงคุมกำเนิด
ประจำเดือนจะกลับมามากกว่าเดิมอีก 30 เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน

ปริมาณของประจำเดือนยังขึ้นกับรูปร่าง น้ำหนักของผู้หญิงคนนั้นด้วย
ผู้หญิงผอม ๆ มักมีประจำเดือนออกมาน้อย
ผู้หญิงอ้วน ๆ มักมีประจำเดือนออกมามาก
เนื่องจากถ้าอ้วนมากก็จะมีไขมันมาก แล้วเซลล์ไขมันก็สามารถสร้างฮอร์โมนออกมาได้
คนอ้วนก็มักมีสิวมากกว่า หน้ามันมากกว่า มีขนขึ้นมากกว่า
แถมหากอ้วนมากก็มักมีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติอีกด้วย

< < <   สีสด สีคล้ำ บอกอะไร   > > >
เรื่องสีของประจำเดือนก็เป็นเรื่องชวนปวดหัว
ทั้ง ๆ ที่สีของประจำเดือนนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกายเลย
มีคุณผู้หญิงหลาย ๆ คนที่มาหาหมอสูติฯ ด้วยเรื่องประจำเดือนออกมาสีดำกว่าปกติ
กลัวว่าจะเป็นเลือดเสีย มีปัญหาข้างในมดลูกหรือเปล่า
หรือถ้าเลือดสีดำออกมาน้อยไปหน่อย ก็กลัวว่าเลือดเสียมันจะตกค้างอยู่ข้างใน
แต่ที่จริงแล้วเลือดประจำเดือนของเราไม่ใช่เลือดเสียนะครับ
คนเราไม่ได้ขับของเสียออกมาทางประจำเดือน
มดลูกมีหน้าที่สืบพันธุ์เพียงอย่างเดียว
ส่วนหน้าที่ขับถ่ายของเสียเป็นหน้าที่ของไตและตับ ออกมาเป็นปัสสาวะ อุจจาระ
แต่ด้วยความบังเอิญว่าช่องคลอดของเราดันไปอยู่ตรงกลาง
ระหว่างท่อปัสสาวะกับทวารหนัก
พอมีประจำเดือนออกมาก็เลยเหมาเอาว่าเป็นการขับของเสียด้วยเหมือนกัน

เลือดประจำเดือนเกิดจากการลอกตัวของเยื่อบุมดลูก เมื่อไม่ได้รับการปฏิสนธิ
เลือดที่ออกมาก็มีคุณสมบัติไม่ต่างไปจากเลือดปกติในร่างกายของเรา
หากเลือดประจำเดือนออกมากก็มักไหลออกมาเร็วโดยไม่มีการติดค้าง
เลือดจะเป็นสีแดง และจับตัวเป็นก้อนเลือดได้ง่าย
แต่ถ้าเลือดซึมออกมาน้อย ๆ เช่นตอนที่เริ่มมาใหม่ ๆ หรือตอนที่ใกล้จะหมด
เลือดที่ออกมาน้อย ๆ จะไหลซึมออกมาช้า ๆ ติดค้างอยู่ในช่องคลอดอยู่นาน
เมื่อติดค้างอยู่นานก็จะมีสีคล้ำขึ้นเป็นสีออกน้ำตาลไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ
ไม่เชื่อลองนึกดูตอนที่เราโดนมีดบาดสิครับ
เลือดที่ออกมาตอนแรก ๆ จะมีสีแดงสด แต่ทิ้งไว้ไม่ถึง 5 นาที
เลือดก็จะแห้งเป็นสีแดงคล้ำ ๆ แล้ว
ดังนั้นเลือดสีคล้ำก็คือเลือดที่ออกมานานแล้ว ไม่ได้เป็นเลือดเสียแต่อย่างใด

< < <   แบบนี้ ผิดปกตินะ!   > > >
สำหรับประจำเดือนที่ผิดปกติ
ก็มักเป็นประจำเดือนที่มามากผิดปกติเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ๆ หรือมานานกว่า 7 วัน
หรือมานานมากกว่าครั้งก่อน ๆ หรือบางทีอาจมาสั้นลงหรือยืดยาวออกไปผิดปกติ
หลักง่าย ๆ ก็คือต้องเข้าใจ จดจำได้ว่าลักษณะเฉพาะของประจำเดือนของเราเป็นอย่างไร
หากมีอะไรที่มันไม่เหมือนเดิมอย่างชัดเจน ตรงนั้นแหละครับที่ควรไปพบไปปรึกษาคุณหมอ

แล้วตอนไปหาคุณหมอก็ไม่ต้องทนรอจนเลือดหายหมดนะครับ
หากเลือดออกมามาก ออกนาน ออกกะปริบกะปรอย ให้ไปหาหมอตอนที่ยังมีเลือดนี่แหละ
เพราะหมอต้องการจะดูว่าเลือดที่ว่านี้เป็นประจำเดือนจริง ๆ หรือเปล่า
มีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วยหรือเปล่า หากรอจนเลือดหมดแล้วค่อยไปตรวจ
บางทีก็ตรวจไม่เจออะไร หรือรอไปรอมาเลือดหมดตัวจนซีดไปหมด
คราวนี้แหละเรื่องมันก็จะยิ่งบานปลายไปใหญ่

คุณผู้หญิงส่วนมากไม่กล้าไปตรวจหากยังมีเลือดประจำเดือนออกมาอยู่
สงสัยจะเกรงใจหมอ หรืออาจกลัวเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
ที่จริงไม่ต้องกลัวหรือเกรงใจเลยนะครับ
เกิดเป็นหมอสูติฯ แล้วก็ต้องนั่งรักษาเรื่องเกี่ยวกับอย่างว่านี่แหละ
ไม่ว่าเลือดออก ตกขาว มีกลิ่น คัน
ก็ต้องเป็นหน้าที่หมอสูติฯ อยู่แล้ว... ทำใจได้มานานแล้วครับ !
************************************************
น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์
************************************************

เรื่องอย่างว่า...หลังผ่าตัด !

เรื่องอย่างว่า...หลังผ่าตัด !
ถ้าต้องมีการผ่าตัด ซ่อมแซมเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์แล้วละก็
ผู้หญิงอย่างเรา ๆ คงต้องมีวิธีดูแลเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าต้องมีเรื่อง "อย่างว่า"
หลังผ่าตัดด้วยแล้ว ขอแนะนำให้เก็บข้อมูลนี้ไว้ใต้หมอน เป็นคู่มือ "ยามนั้น" ได้เลย....

< < <   "ตรงนั้น" ของเธอช่างบอบบาง?   > > >
เพราะอวัยวะระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะบอบบาง
เป็นโน่นเป็นนี่ง่ายไม่ค่อยทนทาน แต่ถึงเวลาต้องเจออะไรหนัก ๆ
ต้องอุ้มท้อง ต้องเจ็บท้องคลอด ต้องให้เบ่งเด็กตัวเบ้อเริ่มผ่านออกมา
ทางช่องคลอด อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงเราก็สามารถทำได้

แต่ในความแข็งแกร่งก็มีความบอกบางแอบซ่อนอยู่
อวัยวะของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องหมั่นดูแลรักษา ต้องเข้ารับการตรวจ
อยู่เป็นประจำ หรือถึงแม้จะตรวจอยู่เป็นประจำก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้น
ต้องกินยา เหน็บยา หรือบางทีต้องผ่าตัดไปโน่น

เกิดเป็นผู้หญิงมีของสำคัญติดตัวมา ก็ต้องเป็นภาระหน้าที่
ที่ต้องห่วงหวงดูแลตั้งแต่เริ่มเป็นสาว จนแต่งงานมีสามีก็ต้องดูแล
อย่าให้มันเจ็บป่วยเป็นโน่นเป็นนี่ พอมีลูกก็ต้องคอยกังวลดูแล
อย่าให้มันยืดหย่อนยาน
พอเริ่มแก่ก็ต้องคอยหมั่นตรวจอย่าให้เป็นเนื้องอก เนื้อร้ายขึ้นมา
...เห็นมั้ยล่ะครับ เกิดเป็นผู้หญิงนี่ลำบากเหมือนกันนะ
ทีผู้ชายไม่เห็นต้องดูแลอะไรมาก แถมยังทนทานไม่ค่อยเจ็บไม่ค่อยป่วย
แล้วยังมีโอกาสเป็นเนื้องอกเนื้อร้ายน้อยกว่ามาก
ดูเหมือนธรรมชาติไม่ค่อยจะยุติธรรมเลยเนอะ

แต่เมื่อเลือกเกิดไม่ได้ แถมคุณสามีก็นอนร้องหง่าว ๆ อยู่ข้าง ๆ
ทุกคืนเป็นประจำ เห็นทีต้องจัดการแล้วล่ะ
เอาวิธีที่ดีกว่าทุบหัวพ่อเจ้าประคุณหมกใต้เตียงนะครับ

< < <   เรื่องอย่างว่า ก่อนและหลังตรวจภายใน   > > >
โดยปกติควรงดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนไปตรวจภายในอย่างน้อย 2 วันครับ
เพราะเวลาตรวจคุณหมอต้องตรวจดูทั้งหมด ตั้งแต่ปากช่องคลอด
ดูว่ามีแผลมีรอยบวมรอยแดงรอยอักเสบอะไรหรือเปล่า
ดูตกขาวภายในช่องคลอดว่ามีสีมีกลิ่นผิดปกติหรือไม่
ดูปากมดลูกว่าเป็นแผลหรือเปล่า
หากมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแล้วไปตรวจก็ต้องเจออะไรที่มันไม่ปกติเต็มไปหมด
ตั้งแต่ปากช่องคลอดแดง แถมบางทีเป็นรอยแผลถลอกอีกต่างหาก
พอจะตรวจดูตกขาวว่ามีเชื้อโรคผิดปกติหรือเปล่า ที่ไหนได้เจอแต่ตัว
อสุจิเต็มไปหมด โดยเฉพาะในรายที่มาตรวจมะเร็งปากมดลูก
หมอจะขูดเซลล์แถวปากมดลูกส่งไปห้องแล็บ ห้องแล็บคงตกใจ
รีบโทรกลับมาบอกว่าไม่เห็นมะเร็งซักตัว เจอแต่อสุจิเป็นล้านเลย !!!

หลังจากตรวจภายใน ตรวจหามะเร็งเสร็จแล้ว
ทางที่ดีควรงดมีเพศสัมพันธ์อีกวันสองวันจะดีกว่า
เพราะตอนตรวจหมอจะขูดปากมดลูกไปตรวจซึ่งอาจเกิดเป็นรอยถลอกได้
หากไปมีเพศสัมพันธ์เลยก็อาจมีเลือดออกหรือเกิดการอักเสบตามมา ....
ให้สามีอดใจไว้สองสามวันคงไม่ปวดไม่คัดมากหรอกครับ

< < <   ช่วงใส่ห่วง ต้องงด "เรื่องอย่างว่า"   > > >
ดู ๆ ไปแล้วการตรวจภายในนับเป็นการตรวจที่ไม่หนักหนาสักเท่าไหร่
แต่หากต้องทำอะไรเยอะกว่านี้ เช่น ใส่ห่วงคุมกำเนิด
ก็ควรจะงดมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากตอนใส่ห่วง
ต้องใช้เครื่องมือจับปากมดลูกดึงซึ่งจะเกิดเป็นรอยแผลนิดหน่อย
แล้วตอนใส่ห่วงเข้าไปก็มักครูดโดนเยื่อบุผิวมดลูกถลอกอีกนิดหน่อย
หากคุณสามีเกิดอยากลองของใหม่ ตอนนี้อาจทำให้เจ็บท้องน้อย
หรือเกิดการอักเสบตามมาได้ คงต้องให้อดเปรี้ยวไว้กินหวานสัก 2 สัปดาห์

หลังจากใส่ห่วงแล้วคุณหมอมักจะนัดตรวจห่วงอีกครั้งใน 1 เดือนหลังใส่ห่วง
เพื่อดูว่าห่วงมันเลื่อนไปผิดที่ผิดทางหรือเปล่า มีอาการเจ็บมั้ย
ถึงตอนนี้หมอมักจะบอกว่าต้องยุ่งกันมาก่อนนะ ยิ่งบ่อย ๆ ยิ่งดี
เพราะหมอจะดูว่าเมื่อใส่ห่วงแล้วเกิดการแทกกระเทือนตามปกติ
ห่วงต้องไม่เลื่อน หากเลื่อนลงมาจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ทั้ง ๆ ที่มีห่วงได้
แล้วก็ต้องดูด้วยว่าใส่ห่วงแล้วเวลามีอะไรกันมีอาการผิดปกติมั้ย
เพราะมีหลายคนเหมือนกันที่คุณสามีบ่นว่าเหมือนมีสายไนล่อนแข็ง ๆ
มาทิ่มโดนปลายน้องหนูของเขา ที่จริงก็น่าจะจั๊กจี้ดีนะครับ
แต่ถ้าเกิดรำคาญก็มีวิธีแก้ครับ
แค่เก็บสายห่วงพับไปข้างหลังให้เรียบร้อยก็คงไม่รู้สึกแล้วล่ะ

< < <   ขูดมดลูก ก็ต้องงด...เช่นกัน   > > >
ผู้หญิงเราหากอยู่สุขสบายดีก็คงไม่อยากให้มดลูกมาเจ็บตัวหรอกครับ
แต่ถ้ามีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือมีการแท้งเกิดขึ้น
ซึ่งทั้งสองกรณีต้องรักษากันด้วยการขูดมดลูก แค่ฟังก็เสียวท้องน้อยไปหมดแล้ว

หลังจากขูดมดลูกไปแล้วก็ควรงดมีเพศสัมพันธ์อีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ให้มดลูกลาป่วยไปก่อนครับ เพราะโดนขูดมดลูกมาไม่ใช่เรื่องเล็ก
โดนขูดข้างในซะเกลี้ยง เลือดออกซิบ ๆ แถมมีแผลถลอกอยู่ข้างในเต็มไปหมด
แบบนี้มดลูกคงเจ็บระบบไปอีกหลายวัน การมีเพศสัมพันธ์เร็วไป
จะทำให้ฝ่ายหญิงเจ็บระบมข้างในมากขึ้น และแผลจากการขูด
ที่ยังไม่หายดีก็จะเกิดการอักเสบได้ง่าย...
ให้มดลูกได้พักฟื้นสักสองสัปดาห์ เดี๋ยวก็กลับมาทำหน้าที่ได้เหมือนเดิมแล้วล่ะครับ

< < <   ผ่าตัด ก็งดด้วย   > > >
หากโชคร้ายขึ้นมาอีกหน่อยคราวนี้ถือเป็นการยกเครื่องซ่อมใหญ่กันเลย
ถ้ามีความผิดปกติที่เหลือบ่ากว่าแรง กินยารักษาไม่ได้จำเป็นต้องผ่าตัด
ก็ต้องหยุดพักกันยาว การผ่าตัดอาจจะแค่ตัดซีสต์ เลาะพังผืด
หรืออาจจำเป็นต้องตัดทิ้งหมดทั้งพวง มดลูกก็ไม่มีเหลือ ก็เป็นไปได้ครับ

หากผ่าตัดทางหน้าท้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ควรงดมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 เดือนขึ้นไป
นอกจากนั้นใน 3 เดือนแรกให้ฝ่ายสามีเป็นผู้เหนื่อยแต่เพียงผู้เดียว
ผู้หญิงไม่ต้องช่วยออกแรงนะครับ ที่ต้องให้ผู้หญิงออมแรงไว้ก่อน
ก็เพราะเวลาผ่าท้องไม่ว่าจะผ่าตามแนวยาวหรือผ่าตามแนวขวาง
พอผ่าเสร็จแล้วต้องเย็บแผลกลับเหมือนเก่า แล้วเย็บก็ไม่ได้แค่ชั้นเดียว
ต้องเย็บตั้งแต่ตัวมดลูกถึงผิวหนังหน้าท้องบางทีเย็บกันตั้ง 8 ชั้น

แต่ละชั้นต้องมีปมหัวปมท้าย แต่ละปมก็ต้องผูกสามทีสี่ที
ไม่ได้ผูกสองทีเหมือนผูกเชือกกางเกงนะครับ
ไหมที่เย็บทั้งหมดมักจะเป็นไหมละลาย บางชั้นก็เส้นเล็กนิดเดียว
แต่ชั้นที่ต้องการความแข็งแรงมาก ๆ ก็เส้นใหญ่
แต่รวมแล้วไหมทั้งหมดจะละลายหมดเกลี้ยงในเวลา 3 เดือน
นั่นแปลว่าภายในสามเดือนแรกหากฝ่ายหญิงอยากจะออกแรงบ้าง
อาจจะทำให้เจ็บระบมแผลได้ ก็ตอนมี "เรื่องอย่างว่า" กัน
มันต้องขยับไปขยับมาตลอดนี่ครับ แผลที่ยังไม่หายดี ปมที่ยังละลายไม่หมด
ก็จะเสียดสีอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อ สำเร็จเสร็จกิจแล้วระบมหน้าท้องไปหมด
แต่รับรองไม่เคยเจอยุ่งกันจนแผลแตกไส้ทะลักเลยนะครับ
หากอยากออกแรงเองบ้างก็ได้ แต่ถ้าเริ่มรู้สึกเจ็บก็เปลี่ยนมานอนเล่นข้างล่างดีกว่า
***************************************************
น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์
***************************************************

สารพันปัญหาคุณแม่ตั้งครรภ์-ทานแค่ไหนเหมาะกับการตั้งครรภ์

สารพันปัญหาคุณแม่ตั้งครรภ์-ทานแค่ไหนเหมาะกับการตั้งครรภ์
คำถาม -
ขอเรียนถามว่า
1. ทำไมแม่ตั้งครรภ์จึงไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างคะ
ดิฉันเป็นคนที่กินอาหารเป็นเวลาไม่แพ้ท้อง
มีบางครั้งช่วง 4 โมงเช้าหรือตื่นมาเข้าห้องน้ำดึก ๆ จะแสบท้องหิว
แต่ก็ไม่ค่อยเป็นบ่อย เพราะแต่ละมื้อดิฉันจะทานจนอิ่ม
นมก็ดื่มหลังข้าวเช้าวันละกล่อง จะมีผลอย่างไรคะ
2. ช่วงตั้งครรภ์ได้ 30 สัปดาห์ดิฉันนั่งรถมอเตอร์ไซค์ ระยะทาง 8 กม.
ตลอดทางเป็นดินลูกรังมีฝุ่นมาก ดิฉันกลั้นหายใจเป็นช่วง ๆ
ช่วงละ 10 วินาที เห็นจะได้ พอมาถึงบ้านรู้สึกเหนื่อยมาก
และวันต่อมาลูกก็ไม่ดิ้นหรือถ้าดิ้นก็เบามาก
พอไปเช็กที่อนามัยหัวใจก็เต้นดีแต่พอสัปดาห์ที่ 36 ไปเช็ก
คุณหมอบอกว่าน้ำหนักดิฉันลดลง 1 กก. และเขียนผลว่า REACTIVE
หมายความว่าอย่างไรคะ ดิฉันกลัวลูกจะสมองพิการ มีโอกาสเป็นไปได้มั้ย
คำตอบ -
1. โดยปกติแม่ตั้งครรภ์มักจะมีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
กล่าวคือระบบทางเดินอาหารมักจะทำงานช้าลง ผลก็คือจะมีอาการท้องอืด
มีลมในท้อง อาการเหมือนอาหารไม่ย่อย ท้องผูก จุกเสียดบ่อย ๆ
(นอกเหนืออาการแพ้ท้องที่พบได้บ่อย) ดังนั้นแม่ตั้งครรภ์บางคน
จึงกินอาหารได้น้อยในแต่ละมื้อ ในกรณีนี้แพทย์จึงแนะนำให้คุณแม่
กินแต่น้อยแต่ให้เพิ่มจำนวนมื้อแทน เป็นการชดเชยปริมาณที่กินได้น้อยในแต่ละมื้อ
เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้เป็นแม่และทารกในครรภ์ด้วย

ในกรณีของคุณซึ่งเป็นคนกินอาหารเป็นเวลา
และไม่มีปัญหาของปริมาณที่กินแต่ละมื้อ คุณแม่ก็สามารถกินอาหารตามเวลา
อันเป็นปกติของคุณต่อไปตามเดิม ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับการกินอาหารในมื้ออื่น ๆ
2. การกลั้นหายใจเป็นระยะสั้น ๆ ของคุณแม่คงเป็นสาเหตุทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย
ขณะเดียวกันย่อมจะมีผลทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดของคุณลดลงเป็นช่วง ๆ
ตามการกลั้นหายใจของคุณ ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งผ่านไปถึงทารกในครรภ์
มีปริมาณลดลง ซึ่งอาจทำให้ทารกในครรภ์มีการดิ้นลดลงได้
แต่เนื่องจากการกลั้นหายใจของคุณไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเวลานาน
จึงไม่น่าจะมีผลรุนแรงต่อทารกในครรภ์
จะเห็นได้ว่าการเต้นของหัวใจ เมื่อคุณไปตรวจที่อนามัยเป็นปกติ

ส่วนการตรวจที่หมอเขียนว่า REACTIVE นั้น
เข้าใจว่าเป็นการตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์เรียกว่า NST
ซึ่งผลที่ได้หมายถึงว่าเป็นปกติ ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่น่ารุนแรงแต่อย่างใด
คิดว่าคุณแม่ไม่ควรกังวลใจมากจนเกินไป
ควรจะไปฝากครรภ์ตามนัดและบำรุงสุขภาพของคุณเพื่อเตรียมพร้อม
สำหรับการเป็นแม่ที่จะมาถึงในเวลาอีกไม่นานนี้จะดีกว่านะครับ
*************************************************
น.พ.ชาญวิทย์ พันธุมะผล
*************************************************

สารพันปัญหาคุณแม่ตั้งครรภ์-แพ้ท้องนาน ๆ จะมีผลกับลูกไหม

สารพันปัญหาคุณแม่ตั้งครรภ์-แพ้ท้องนาน ๆ จะมีผลกับลูกไหม
คำถาม -
ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้วแต่ยังแพ้ท้องอยู่
อาการแพ้ท้องนาน ๆ แบบนี้จะมีผลกับลูกไหมคะ เช่น เลี้ยงยาก ขี้หงุดหงิด
คำตอบ -
อาการแพ้ท้อง ถ้าเป็นมากหรือเป็นอยู่นานจนทำให้ร่างกายของคุณแม่
ไม่ได้สารน้ำและสารอาหารเพียงพอครบถ้วน นอกจากคุณแม่จะผ่ายผอม
น้ำหนักไม่ขึ้นแล้ว ยังหงุดหงิดและท้อแท้ได้ และเจ้าตัวเล็กในครรภ์ก็คง
มีสภาพไม่ต่างจากคุณแม่เอง โดยทั่วไปหลัง 3 เดือนไปแล้ว คุณแม่มักจะหายแพ้
และเริ่มอยากรับประทานทุกอย่างที่ขวางหน้า และเริ่มมีน้ำมีนวล
เพราะคุณแม่ต้องรับประทานเผื่อลูก เพื่อการเจริญเติบโตของลูกที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

ดังนั้นถ้าคุณแม่ยังแพ้ท้องอยู่นาน ก็จะทำให้ลูกมีน้ำหนักน้อย ตัวเล็กไม่สมวัย
ในรายที่รุนแรงอาจทำให้แท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้
จึงควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจไม่ใช่อาการแพ้ท้อง
เช่น โรคตับอักเสบ หรือแม้แต่โรคเครียดเรื้อรัง และถ้าไม่มีโรคแฝง
คุณหมอจะจัดยาที่ไม่เป็นอันตราย และแนะนำวิธีการรับประทาน
เพื่อให้คุณแม่ทุเลาจากการแพ้ท้องและรับประทานอาหารได้มากขึ้นค่ะ
**************************************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
**************************************************

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พัฒนาการเด็กช่วงวัย 0-1 ปี-พัฒนาการไม่สมวัย...จะรู้ได้ไง

พัฒนาการเด็กช่วงวัย 0-1 ปี-พัฒนาการไม่สมวัย...จะรู้ได้ไง
"ตายแล้ว... นี่ลูกเธอยังไม่คลานอีกเหรอ ดูลูกฉันสิ อ่อนกว่าลูกเธอ
ตั้งเกือบเดือน คลานปร๋อแล้ว พาไปเช็กบ้างก็ดีนะ เผื่อเจอโรคอะไรจะได้รักษาทัน"

-------- เวลาเพื่อน ๆ คุณพูดอย่างนี้ คุณก็คงรู้สึกใจไม่ดีเหมือนกันใช่ไหมคะ
แต่พูดไปเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าลูกเราผิดปกติอะไรหรือเปล่า
ลูกก็ดูเลี้ยงง่าย ไม่ดื้อ ไม่โยเย หรือแค่ทำอะไรช้าเฉย ๆ แต่ก่อนจะถึงมือหมอ
อย่างที่เพื่อนแนะนำ พ่อแม่ก็สามารถสังเกตลูกน้อยของตัวเองในระดับเบื้องต้นได้
ว่าพัฒนาการของแกมีปัญหาหรือเปล่า
เพราะความผิดปกติบางอย่างก็อาจบอกได้จากพัฒนาการเหมือนกัน...

***   หม่ำ ๆ ร้อง ๆ 0-3 เดือน   ***
===>>>   อย่างนี้สิปกติ
หันหน้าไปหาเสียงพูดหรือเสียงเพลง
มองและหันหน้าตามของที่เคลื่อนไหว
แสดงอารมณ์ทางสีหน้าเมื่อเจอคนที่คุ้นเคย
มองและหันตามของเล่นที่เคลื่อนไหว
เริ่มตีสิ่งของและคว้าเข้ามาหาตัว
ส่งเสียงอืออา ตอบรับเสียงที่ได้ยิน
ตาสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้
มีความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ได้นานระดับหนึ่ง
===>>>   มีแนวโน้มผิดปกติ
ไม่สะดุ้งหรือตกใจเมื่อเกิดเสียงดัง
ไม่มองตามมือตนเองเลย
ไม่ยิ้มหรือมีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อคุยเล่นด้วยหลังอายุ 2 เดือน
ไม่มองตามของเล่นเลยเมื่ออายุ 2-3 เดือน
ไม่ยอมจับหรือถือของเล่นเมื่ออายุ 3-4 เดือน
ไม่ทำเสียงครางเมื่ออายุ 3-4 เดือน
ตาเขตลอดเวลา (อาการตาเขบางครั้งยังถือว่าปกติ)
ไม่สนใจคนแปลกหน้าหรือสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ เลย
เล่นเสริมพัฒนาการ โมบายล์ปลาตะเพียนที่มีสีสันสดใส
เปิดกล่องเพลงหรือร้องเพลงให้ลูกฟัง

***   อ้อแอ้ไขว่คว้า 4-7 เดือน   ***
===>>>   อย่างนี้สิปกติ
ยันตัวเริ่มคลาน อาจจับสิ่งของเพื่อดึงตัวเองขึ้น
นั่งได้นานแม้ไม่พยุง และเริ่มหยิบจับของเล่น
ถือของได้ข้างละอัน อาจจับมากระทบกัน
ชอบดูดนิ้วและเริ่มหยิบอาหารเข้าปาก
พลิกคว่ำได้คล่องแคล่ว
ตามองตามสิ่งของไปในทางเดียวกัน
ชอบของเล่นมีเสียง
มีอารมณ์คึกคักบ่อยขึ้น
แสดงความต้องการเป็นคนหนึ่งในสังคม
===>>>   มีแนวโน้มผิดปกติ
เคลื่อนไหวขาไม่คล่อง กล้ามเนื้อแข็งและเกร็ง
เวลาจับอยู่ในท่านั่ง ตัวอ่อนปวกเปียก ศีรษะตกไปอยู่ด้านหลัง
ใช้มือได้ข้างเดียว
เอาของใส่ปากลำบาก
ไม่พลิกตัวเองเมื่ออายุ 5 เดือน
ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างเบนออกข้างนอกหรือเข้าข้างใน
ไม่หันตามเสียง
ไม่หัวเราะเสียงดังเมื่ออายุ 6 เดือน
ไม่เล่นจ๊ะเอ๋หรือตอบสนองคนรอบข้าง
เล่นเสริมพัฒนาการ ลูกบอลนิ่ม ๆ สีสดใส เล่นแล้วเกิดเสียง
ของเล่นที่มีลูกปัดข้างใน เขย่าแล้วเกิดเสียง หนังสือเด็กรูปสัตว์สามมิติ

***   ต้วมเตี้ยม เตาะแตะ 8-12 เดือน   ***
===>>>   อย่างนี้สิปกติ
ยืนได้ด้วยตัวเองตามลำพัง อาจโยกตัวเล่นไปมา
ค้นหาของที่เอาไปซ่อนต่อหน้าได้สำเร็จ
พูดได้มากกว่าคำว่า พ่อ แม่ ชอบพูดงึมงำคนเดียว
รู้สัญลักษณ์ของวัตถุ เช่น พูดคำว่าหมาก็ทำเสียงคำรามตาม
ชี้ของผ่านกระจกใสได้
===>>>   มีแนวโน้มผิดปกติ
ยังไม่คลานและไม่ยอมยืนเมื่อจับให้ยืน
ไม่ค้นหาของที่ซ่อน แม้เด็กจะเห็นว่าซ่อนที่ไหน
ไม่เรียกพ่อแม่หรือคำง่าย ๆ เมื่ออายุ 1 ปี
ไม่เรียนรู้ท่าทาง เช่น บ๊าย บาย สั่นศีรษะ
ไม่ชี้ที่รูปหรือสิ่งของ
เล่นเสริมพัฒนาการ หัดดื่มน้ำจากถ้วย หัดเล่นกับพี่น้องหรือเพื่อน
หนังสือสีสดที่มีตัวสัตว์และตัวหนังสือหรือตัวเลข

< < <   พัฒนาการดีหรือไม่ มาจาก...   > > >
สุขภาพเด็ก 
แน่นอนค่ะ หากเด็กที่มีสุขภาพดีจะมีพัฒนาการที่เร็วและสมบูรณ์กว่าเด็กที่อ่อนแอ
เพราะกำลังในการเคลื่อนไหวของเด็กที่อ่อนแอจะมีน้อยกว่านั่นเอง
ความสุข 
เด็กที่มีความสุข ความสบายใจ อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น
จะมีพัฒนาการที่รวดเร็วกว่าในครอบครัวที่หย่าร้างหรือให้ความอบอุ่นกับเด็กไม่เพียงพอ
เพราะภาวะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้เด็กเกิดความเครียดและรู้สึกเศร้าหมองได้
ความแกร่ง 
เด็กที่มีความแกร่งนั้นเกิดมาจากความรัก ความอบอุ่นของพ่อแม่ที่ให้เขาอย่างเพียงพอ
จนทำให้เขามีความมั่นใจ รู้สึกปลอดภัย กล้าที่จะเรียนรู้ ต่อสู้กับปัญหาเฉพาะหน้าได้ในอนาคต

< < <   สมองผิดปกติ   > > >
พัฒนาการที่ผิดปกติและอันตรายที่สุดคงจะหลีกหนีความผิดปกติของสมองไม่ได้
เพราะความผิดปกติของสมองเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและรักษาได้ลำบาก
ซึ่งความผิดปกตินี้สังเกตได้จากพัฒนาการตั้งแต่เล็ก
เช่น การไม่สนใจสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งรอบข้างทั้ง ๆ ที่ถึงวัยที่สมควรแล้ว
คลานหรือเดินงุ่นง่านอยู่คนเดียว น้ำลายยังไหลมุมปากแม้อายุเกิน 1 ขวบแล้ว
จับโน่นนี่ไร้เป้าหมาย ซึ่งเราอาจต้องช่วยลูกในการฝึกกิจกรรมพัฒนาสมอง
เล่นเกม พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ เพื่อให้ลูกได้พัฒนาให้มากที่สุด

< < <   การได้ยินผิดปกติ   > > >
หากลูกเราไม่มีอาการตกใจเวลาเสียงดังหรือเรียกแล้วไม่หันตามเสียง
แกอาจมีปัญหาการได้ยินก็เป็นได้
ลองสังเกตดูและรีบตัดสินใจพาลูกไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
เพื่อให้การดูแลรักษาได้ทันท่วงที

เห็นแบบนี้พ่อแม่อย่าเพิ่งตกใจหรือกังวลจนมากเกินไป
เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
อาจช้าหรือเร็วไปจากเกณฑ์มาตรฐานทั่ว ๆ ไป หรืออาจเกิดจากองค์ประกอบอื่น ๆ

ตัวอย่างเช่น การที่เด็กใช้มือข้างเดียวหยิบจับของบ่อย ๆ
อาจจะเป็นเพราะเด็กมีความถนัดในมือข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป
หากสังเกตอีกระยะหนึ่งเด็กก็ยังไม่ใช้มืออีกข้างหนึ่ง
ก็ควรจับมือเด็กข้างนั้นให้จับหรือถือของเล่น เพื่อช่วยเด็กในการพัฒนากล้ามเนื้อค่ะ
แต่ขณะเดียวกันถ้ามือเด็กดูไม่มีแรง หยิบจับของไม่ได้เลย
เห็นทีควรปรึกษาแพทย์จะดีกว่า และอยากฝากไว้สักนิดค่ะว่า
ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นเพียงเกณฑ์เปรียบเทียบคร่าว ๆ ไม่ใช่มาตรฐานตายตัว
เพียงแต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้จักสังเกตลูกและพบสิ่งผิดปกติได้ไวก็จะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีค่ะ

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สารพันปัญหาคุณแม่ตั้งครรภ์ - เคยเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ มีลูกอีกคนมีโอกาสเป็นอีกไหม

สารพันปัญหาคุณแม่ตั้งครรภ์ - เคยเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ มีลูกอีกคนมีโอกาสเป็นอีกไหม
คำถาม -
ตอนท้องลูกคนแรกเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ คือ เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
ต่อเมื่อคลอดลูกออกมา ผลตรวจเลือดปกติ
อยากทราบว่าถ้าจะตั้งครรภ์ลูกคนที่สองจะเกิดภาวะเบาหวานในระหว่าง
ตั้งครรภ์อีกหรือไม่ กี่เปอร์เซ็นต์คะและถ้าคลอดลูกออกมาแล้ว
โอกาสจะเป็นเบาหวานถาวรมีมากน้อยเพียงใด

ลูกคนแรกผ่าออก ถ้าจะมีลูกคนที่สองสำหรับแม่ที่มีอายุมาก (36-37) ควรห่างกันเท่าไรดีคะ
คำตอบ -
ก่อนที่จะตอบคำถาม หมอขอเล่าปัญหาบางอย่างที่เกิดในสตรีตั้งครรภ์
เพื่อเป็นความรู้ประกอบคำอธิบายต่อไป

เราพบว่ามีสตรีจำนวนหนึ่งซึ่งขณะไม่ตั้งครรภ์มีความดันโลหิตปกติ
แต่เมื่อตั้งครรภ์ความดันโลหิตกลับสูงขึ้น และบางรายมีอาการบวม
หรือมีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ หรือมีทั้งสองอย่างเลย รายที่มีอาการรุนแรง
อาจชักได้ ภาวะดังกล่าวทั้งหมดนี้เรียกว่าครรภ์เป็นพิษ
เมื่อสตรีที่มีปัญหาดังกล่าวคลอดแล้วสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงจะหายไปได้เอง
ซึ่งจนปัจจุบันแพทย์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมสตรีบางคน
จึงเกิดความผิดปกติดังกล่าว (แต่ให้การดูแลรักษาได้)

มีสตรีอีกไม่น้อยเช่นกัน ที่ขณะไม่ตั้งครรภ์จะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ
แต่เมื่อมีการตั้งครรภ์ก็อาจทำให้เกิด โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้
ความผิดปกตินี้จะหายไปเมื่อคลอดแล้ว ซึ่งพออธิบายได้ว่าความผิดปกติ
ดังกล่าวนี้ เกิดจากการสร้างฮอร์โมนบางชนิดจากการตั้งครรภ์
ไปขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินซึ่งสร้างจากตับอ่อน
และมีหน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้อินซูลินทำงานได้ไม่ดีพอ
ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ น้ำตาลในเลือดจึงสูง
และไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ปัญหาที่ยังตอบไม่ได้คือ สตรีตั้งครรภ์ทุกคนก็จะมีฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ทุกคน
แต่ทำไมจึงเกิดโรคเบาหวานในสตรีบางคนเท่านั้น
(และเช่นเดียวกันแพทย์ให้การดูแลรักษาได้)

จากความรู้ดังกล่าวข้างต้นแสดงว่า
ขณะตั้งครรภ์แรก คุณมีปัญหาสองอย่างร่วมกันคือ
ครรภ์เป็นพิษและโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ไม่ใช่ครรภ์เป็นพิษ คือเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
การพบความผิดปกติทั้งสองชนิดนี้ร่วมกันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพบได้บ่อย
โดยเฉพาะในการตั้งครรภ์ครั้งแรกและมีอายุมากขณะตั้งครรภ์ (เกิน 35 ปี)
ซึ่งก็เข้าได้กับกรณีของคุณ

การที่เมื่อคลอดบุตรแล้วผลการตรวจเลือด (ซึ่งน่าจะเป็นการตรวจน้ำตาลในเลือด)
ให้ผลปกติก็แสดงว่าคุณน่าจะเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เท่านั้น
เมื่อคลอดแล้วโรคก็หายไป

สำหรับคำถามที่ว่า ถ้าจะตั้งครรภ์ลูกคนที่สองจะเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์อีกหรือไม่
และกี่เปอร์เซ็นต์ คำตอบก็คือ มีโอกาสประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์
โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีโอกาสได้มากกว่าคนผอม

ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าคลอดลูกออกมาแล้วโอกาสที่จะกลายเป็นโรคเบาหวานถาวรเลย
มีมากน้อยเพียงใด ในประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด
แต่การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า สตรีที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
พบเป็นโรคเบาหวานถาวรประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ภายหลังการติดตาม
เป็นเวลา 16 ปี ซึ่งจะเริ่มเป็นเร็วที่สุดประมาณ 5 ปีภายหลังคลอด

และสุดท้ายที่ถามว่าถ้าลูกคนแรกผ่าออก แล้วจะมีลูกคนที่สอง
สำหรับแม่ที่มีอายุมาก (36-37) ควรห่างกันเท่าไรดีนั้น ถ้าคำนึงเฉพาะตัวแม่เอง
การเว้นระยะให้ร่างกายกลับคืนสภาพปกติใช้เวลาไม่นานนัก
ประมาณ 2-3 เดือนก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคำนึงถึงการที่ต้องเลี้ยงดูลูก
และปัญหาอื่น ๆ เช่น อาชีพการงาน ก็ควรที่จะเว้นระยะประมาณ 1 ปี

สำหรับในรายของคุณมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกเรื่องคือ
อายุของคุณค่อนข้างมากแล้ว ถ้าเว้นระยะเวลานานมากเกินไป เช่น 3-4 ปี
โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็น้อยลงจากอายุที่มากขึ้น
หรือถ้าตั้งครรภ์ได้ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน
เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ที่รุนแรงได้มากขึ้นด้วย

ปัญหาวัยอนุบาล-หากเด็กเกิดอาการติดครูเพียงคนเดียว

ปัญหาวัยอนุบาล-หากเด็กเกิดอาการติดครูเพียงคนเดียว 
ไม่ยอมห่างจากตัว และไม่ยอมเรียนไม่ยอมเล่นกับใคร
ครูและพ่อแม่ควรปฎิบัติอย่างไรคะ
คำตอบ - 
เราพบว่าช่วงแรกของการเข้าเรียนมีหลายคนติดครูค่ะ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดู
แบบที่มีผู้ใหญ่คอยใกล้ชิดตลอด เด็กที่เป็นลูกคนเดียวหรือเป็นเด็กคนเดียวในบ้าน
อยู่ที่บ้านเด็กจะติดคนเลี้ยง ติดผู้ใหญ่ พอมาโรงเรียนก็จะติดครูหรือพี่เลี้ยง
และเด็กจะไม่ไปเล่นกับกลุ่มเพื่อน จะมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ผู้ใหญ่มากกว่า
เพราะเด็กไม่คุ้นเคยที่จะคุยกับเพื่อนวัยเดียวกัน ถ้าเราให้โอกาสและเวลาเด็ก
สักระยะหนึ่ง (ประมาณ 1 เดือน) เด็กจะปรับตัวเข้ากับเพื่อนโดยเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ
ลองพูดกับเพื่อนคนโน้นคนนี้ คุยกันไปคุยกันมาเดี๋ยวก็รู้จักกัน
ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเด็กจะปรับตัวได้เร็วกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

ปัญหาที่เกิดขึ้นคุณแม่พบว่าลูกเกิดอาการติดครู ไม่ยอมให้ครูห่างเลย
แม้ผ่านระยะการปรับตัวไปแล้วลูกก็ยังไม่ยอมเรียน ไม่ยอมเล่นกับใคร
คุณแม่ไม่สบายใจ และคุณครูก็คงกังวลเหมือนกัน กลัวว่าเด็กจะขาดเพื่อน
ตัวลูกเองก็ไม่มีความสุข เพราะครูจะอยู่ด้วยตลอดเวลาไม่ได้
ต้องไปดูแลเด็กคนอื่นด้วย

เราต้องการให้ลูกของเรามีพัฒนาการทางสังคมเป็นไปตามวัย
ในเรื่องของการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
เราต้องหาโอกาสและให้เวลาลูกตามที่กล่าวมาแล้วค่ะ
ที่จริงครูหมูก็เคยพบปัญหาแบบนี้และแก้ปัญหาโดยให้โอกาสเด็กได้อยู่กับเพื่อน
ครูหมูพยายามทำตัวออกห่างเด็ก ทำเหมือนว่ายุ่งอยู่กับงาน ให้เด็กรอก่อน
และพูดชี้นำให้เด็กไปอยู่กับเพื่อน ๆ เช่น
"หนูไปเล่นกับเพื่อน ๆ ก่อนระหว่างรอครูนะคะ"
"เพื่อนคนนั้นเขาชอบหนู เขาพูดถึงหนูบ่อย ๆ ไปเล่นกับเพื่อนนะคะ"
"เพื่อน ๆ คอยให้หนูไปเล่นด้วยนะคะ" เป็นต้น
วิธีนี้ดูเหมือนว่าคุณครูใจร้าย แต่เป็นการให้โอกาสเด็กได้ทำความรู้จักกับเพื่อน
คุณครูต้องค่อย ๆ แยกตัวออกจากเด็ก ไม่ให้เด็กรู้สึกตัวว่าถูกทอดทิ้ง
และถ้าเด็กไม่ไป ครูก็ต้องจูงมือเขาไปนั่งเล่นด้วยกับเพื่อนเสียเลย
หรือคุณครู เด็ก และเพื่อนนั่งเล่นด้วยกัน
การหาเพื่อนที่น่ารักให้เล่นกับเด็กแล้วคุณครูถอยห่างก็เป็นอีกวิธีหนึ่งนะคะ
แต่ต้องดูท่าทีของเด็กด้วยว่ารับได้หรือไม่

บางครั้งลองถามเด็กดูก็ได้ว่าชอบเพื่อนคนไหน ครูก็ขอให้เพื่อนคนนั้นมาชวนเด็กไปเล่น
การจัดกิจกรรมที่เด็กต้องทำร่วมกันหลาย ๆ คนบ่อย ๆ เด็กก็จะได้เพื่อนใหม่ค่ะ
ปัญหาการติดครูซึ่งเกิดจากความว้าเหว่ ต้องการที่พึ่งทางใจการแก้ไขต้องทำอย่างนิ่มนวล
คือใช้เวลามากขึ้น ทำให้เด็กไว้ใจผู้อื่น และรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ในห้องเรียน
เด็กจะได้ไม่ยึดติดกับคนใดคนหนึ่ง
เมื่อเด็กมีเพื่อนเขาก็จะมีความสุขชอบกิจกรรมและสนุกกับการมาโรงเรียนค่ะ
*********************************************
คุณครูรุ่งรวี กนกวิบูลย์ศรี โรงเรียนอนุบาลสามเสน
*********************************************

เซ็กซ์เซ็ง....เพราะช่องคลอดปล่อยลม

เซ็กซ์เซ็ง....เพราะช่องคลอดปล่อยลม
ถาม--- 
คลอดลูกคนที่ 2 ได้ 7 เดือนแล้วค่ะ ร่างกายทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
แต่ทำไมเวลามีเพศสัมพันธ์กับสามีดิฉันรู้สึกว่าไม่เหมือนเดิม
คล้าย ๆ กับมีลมออกจากช่องคลอด บางทีก็มีเสียงคล้ายเสียงผายลม
ที่สำคัญเวลาไอหรือจามจะมีปัสสาวะเล็ดออกมาด้วย
เป็นเพราะช่องคลอดหลวมหรือเปล่า แล้วดิฉันจะทำอย่างไรดีคะ
ตอบ--- 
ผู้หญิงที่ยังไม่เคยเกิดอาการลมออกทางช่องคลอดคงจะงงเหมือนกันนะครับ
ว่ามันจะมีลมออกมาได้ยังไงกัน เพราะตัวช่องคลอดเองก็เป็นช่องตัน
ต่อจากช่องคลอดขึ้นไปก็เป็นมดลูก ซึ่งมดลูกมันไม่สามารถปล่อยลม
ออกมาได้แน่นอนครับ ...อ้าว เอ๊ะ... แล้วลมมันมาจากไหนกันล่ะ ?

< < <   ลมออกเพราะช่องคลอดกว้าง !   > > >
ปกติแล้วช่องคลอดของผู้หญิงเราจะปิดสนิทมิดชิด ผนังช่องคลอด
จะตีบเบียดเข้ามาหากันสนิท ไม่ได้เป็นช่องโพรงกลวง ๆ นะครับ
ปากทางก็จะมีแคมนอกที่เบียดปิดเข้ามาหากันสนิท แค่นั้นไม่พอ
แคมเล็กจะเหมือนหน้าต่างเล็ก ๆ ปิดซ้อนทับอีกชั้น ไม่สามารถผ่าน
เข้าออกได้ขนาดลงแช่น้ำ น้ำก็ยังเข้าไปในช่องคลอดไม่ได้เลย

แต่เมื่อความเป็นสาวมันหมดไปแล้วก็คือมีสามีแล้วนั่นแหละครับ
ช่องคลอดที่ปกติมันจะปิดมิดชิด พอมีอะไรมาผ่านเข้าผ่านออกมันก็จะ
เริ่มยืดหย่อนไปบ้าง ยิ่งถ้าคลอดลูกเองแล้วไม่ได้สนใจบริหาร
ให้มันเข้าที่เข้าทาง ช่องคลอดก็จะยิ่งขยายกว้างออกไปกันใหญ่
จากแต่เดิมเมื่อลองอ้าขาเอากระจกส่องดูก็จะเห็นแคมสองข้าง
มาปิดกันสนิทดูมิดชิดดี แต่ถ้าลองแยกขาดูแล้วเห็นช่องคลอดอ้าออก
เห็นข้างในโล่งโจ้งไปหมด อย่างนี้แหละที่เรียกว่า "ช่องคลอดกว้าง"

ตอนล่างของช่องท้องของคนเราทุกคนก็จะมีทางออกสำหรับเอาไว้
ระบายของเสียทั้งท่อปัสสาวะ ทวารหนัก โดยมีกะบังลมเป็นหูรูด
คอยควบคุมเอาไว้ เราสามารถเบ่งท้องให้ปัสสาวะพุ่งออกมาได้
เบ่งท้องให้ผายลมออกมาทางทวารหนักได้.... ช่องคลอดมันก็
อยู่ตรงกลางระหว่างท่อปัสสาวะกับทวารหนักนั่นแหละครับ
ถ้าช่องคลอดกลวงกว้าง เวลาเบ่งกะบังลมก็จะรู้สึกเหมือนมีลม
ออกมาได้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เดินแล้วมีลมออกมาปู้ดป้าดกัน
ได้ทั้งวันนะครับ จะมีก็เฉพาะตอนที่เบ่งท้องเท่านั้น

< < <   ลมออกตอนมีเซ็กซ์   > > >
มีลมออกมาทางช่องคลอดตอนอยู่คนเดียวก็ยังไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
แต่ตอนที่กำลังมีอะไรกันเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่สิ อยู่ ๆ ก็มีเสียงประหลาดออกมา
เดี๋ยวปู้ด เดี๋ยวป้าด แรก ๆ ก็สงสัยว่าใครสักคนอาจจะเผลอผายลมออกมา
เธอเปล่า...ฉันเปล่า เลยต้องหยุดกลางคันมาหาว่ามีใครอื่นแอบมาผายลมหรือเปล่า
 ...มาทำอะไรกันต่อก็มีเสียงลมปู้ดป้าดออกมาอีกตลอด จนบางทีต้องมา
นั่งหัวเราะกันเองเมื่อรู้ว่ามันเป็นเสียงอะไร

ปกติแล้วขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดจะเงียบฉี่ ไม่มีเสียงอะไร
เล็ดลอดออกมาหรอกครับ เนื่องจากช่องคลอดจะเป็นช่องที่ตีบ
เบียดฟิตเข้าหากัน ไม่ได้เป็นช่องกลวง ๆ หรือมีลมตกค้างอยู่ข้างใน
เวลามีเพศสัมพันธ์ อวัยวะของผู้ชายก็จะเบียดแทรกเข้าไปข้างใน
ระหว่างผนังของช่องคลอดที่เบียดเข้ามาหากัน พออวัยวะของผู้ชาย
เลื่อนออกมา ผนังช่องคลอดก็บีบเข้ามาเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนี้ ใช่เลย !
แปลว่าช่องคลอดยังกระชับ ใช้การได้ดีทำให้เกิดความรู้สึกเสียดสีได้ดี
ทำให้เกิดความพึงพอใจทางเพศได้ดี... ของยังใหม่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละครับ

แต่ถ้าช่องคลอดใช้งานมานาน หรือหลังคลอดแล้วไม่ได้บริหารกะบังลม
ให้กระชับเหมือนเดิม ช่องคลอดก็จะดูกลวง ๆ มีอากาศขังค้างอยู่ข้างใน
เวลามีเพศสัมพันธ์อวัยวะของผู้ชายก็จะแทรกเข้าไปแทนที่อากาศ
แล้วประกอบกับช่องคลอดที่ไม่กระชับ
ลมก็จะเล็ดรั่วย้อนออกมาในจังหวะดันเข้า เป็นที่มาของเสียงปู้ดป้าดนี่เอง

< < <   หลังคลอดไม่บริหาร เสี่ยงนะ !   > > >
เสียงลมออกมาทางช่องคลอดจะพบได้บ่อยมากในช่วงหลังคลอด
ตอนยังไม่มีลูกหรือตอนที่ท้องแล้วแต่ยังไม่คลอด ช่องคลอดจะยังกระชับอยู่
แต่พอคลอดลูกผ่านช่องคลอดออกมาแล้วนี่สิ ความกระชับแบบสาว ๆ
มันหายไปหมดเลย ก็ลูกน่ะตัวไม่ได้เท่าไส้กรอกนี่ครับ
เบ่งกว่าจะออกมาได้ช่องคลอดต้องยืดขยายไปจากเดิมเยอะมาก
ถ้าขยายมากมันก็ยืดหย่อนไปมาก คุณแม่หลังคลอดที่ไม่ได้ใส่ใจในการ
ฟื้นฟูสภาพของช่องคลอดก็จะมีปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ

นี่ถ้าถึงขนาดมีเสียงลมปู้ดป้าดออกมาตอนมีเพศสัมพันธ์ก็แสดงว่า
ความหลวมไม่กระชับมันค่อนข้างรุนแรงจนอาจมีผลต่อความพึงพอใจทางเพศได้
ที่สำคัญคุณสามีก็อาจจะรู้สึกสูญเสียของรักของหวงไป จากที่เคยรู้สึกสุดยอด
ตอนนี้ก็อาจรู้สึกเหมือนเอาไม้ตีพริกไปแกว่งในปากโอ่ง ดูมันโล่ง ๆ ยังไงชอบกล ...

< < <   กะบังลมหย่อน ผลลัพธ์ที่ตามมา   > > >
นอกจากนั้นผู้หญิงที่มีลมออกมาทางช่องคลอดก็มักมีปัญหาอย่างอื่น
ร่วมด้วยเหมือนกัน นั่นก็เพราะการที่มีลมออกทางช่องคลอด หรือมีเสียงลม
ออกมาปู้ดป้าดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มันมีสาเหตุเกิดจากการที่กะบังลมหย่อน
หรือกล้ามเนื้อหูรูดมันหลวม ขาดแรงรัด ดังนั้นอะไรต่ออะไรแถวนี้มันก็จะหย่อน
ไปหมดทั้งพวงแหละครับ ผลที่ตามมาก็จะมีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาได้ง่าย
เวลาเบ่งท้องหรือเวลาไอจามแรง ๆ ลองดูสิครับ

ปกติเวลาคนเราจะไอหรือจะจามก็จะรีบเอามือปิดปากไว้ แต่คนที่กะบังลมหย่อน
เวลาไอหรือจามจะรีบเอามือปิดเป้ากางเกงเสียมากกว่า แล้วถ้าช่องคลอดหย่อนหลวม
มดลูกก็จะถูกดันเคลื่อนตัวลงมาด้านล่างได้ง่าย เมื่อมดลูกถูกดันลงมาก็จะดึงรั้ง
ปีกมดลูกจนตึงเจ็บได้ ดังนั้นนอกจากจะมีลมออกมาแล้ว เวลายกของหนัก
หรือเบ่งท้องก็จะมีอาการเจ็บที่ปีกมดลูก ปวดท้องน้อยได้อีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้วเวลาไปยกของหนัก ๆ ก็อย่าไปบ่นเชียวว่ายกไม่ได้
ยกแล้วเดี๋ยวปวดท้องน้อย เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรู้กันหมดว่าช่องคลอดกว้าง ...อายเขา

ถ้ายกของหนักแล้วปวดท้องน้อยแค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าถึงขนาดรู้สึก
มีลมออกมาหรือมีเสียงลมในขณะมีเพศสัมพันธ์นี่สิที่ค่อนข้างอาการหนัก
ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพตัวเอง สุขภาพทางเพศ  หรือแม้แต่อาจทำให้
มีปัญหาครอบครัวตามมาทีหลังได้เหมือนกัน ...ก็ใครจะทนฟังเสียงปู้ดป้าด
อยู่ได้ทุกวันล่ะครับ
ไปเจอของใหม่เข้าเดี๋ยวจะไปติดใจ ไม่ยอมกลับมานอนบ้าน แล้วจะสายเกินแก้

< < <   ขมิบ ขมิบ ช่วยได้นะ   > > >
การจะรักษากะบังลมหย่อนซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้
มันก็ไม่ยากหรอกครับ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความตั้งใจนั่นเอง เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า
กะบังลมหย่อนก็ต้องมาบริหารกะบังลมด้วยการ
ขมิบก้น ขมิบ...เกร็งไว้แป๊บหนึ่ง...คลาย....ขมิบ
ทำอย่างนี้วันละ 30 ครั้งขึ้นไป ถ้าทำเป็นร้อยเลยยิ่งดีใหญ่ แต่ส่วนใหญ่จะทำได้
แค่วันสองวันก็ลืม ขี้เกียจทำกันซะแล้ว เวลาโดนสามีบ่นก็ขยันทำกันพักหนึ่ง...
อย่างนี้สงสัยว่าจะไม่สำเร็จครับ ต้องไปเกิดใหม่กะบังลมถึงจะกลับมารัดแน่นได้เหมือนเดิม

ถ้ามีความตั้งใจแล้วมันก็ไม่ยากนักหรอกครับ พยายามทำให้การบริหารกะบังลมนี้
เป็นกิจวัตรส่วนหนึ่งในชีวิตที่ต้องทำเป็นประจำ ผมมักจะถามคนไข้เสมอว่า
ขับรถมาเองหรือเปล่า ถ้าขับเองก็ดีเลย เพราะเวลารถติดไฟแดงนาน ๆ
ไม่รู้จะทำอะไรก็ให้ขมิบก้นไปเรื่อย ๆ ไฟเขียวเมื่อไหร่ก็หยุด พอติดไฟแดงอีก
ก็ค่อยขมิบต่อ นั่งขมิบอยู่ในรถไม่มีใครเขารู้หรอกครับ รถคันข้าง ๆ หันมา
ก็มองยิ้มให้ก็พอ อย่าไปเกร็งหน้าเกร็งตาตามไปด้วยจนคนอื่นรู้ว่ากำลังขมิบอยู่
ก็แล้วกัน นี่ถ้าต้องรถติดบ่อย ๆ นั่งทำไปเรื่อย ๆ แค่สองสามเดือน
รับรองกะบังลมกลับมาตึงเป๊ะเหมือนเกิดใหม่เลยล่ะครับ
อาการลมรั่วลมเล็ดที่เคยมีก็จะหายไปด้วย เสียงปู้ดป้าดก็กลายเป็นอดีตไปเลยล่ะ
แม้แต่อาการไอจามแล้วปัสสาวะเล็ด ยกของหนักแล้วปวดท้องก็จะดีขึ้นด้วย

แล้วไม่ใช่ว่าบริหารจนดีแล้วเลิกนะครับ เดี๋ยวสักวันมีลมแปร้ดออกมาแล้วจะตกใจ
ทำต่อไปเรื่อย ๆ เป็นดีที่สุด หากวันหลังมีเสียงปู้ด...ด ด ด ออกมา
นั่นต้องเป็นเสียงสามีผายลมชัวร์ ...เสียงลมออกจากช่องคลอดลืมไปได้เลยครับ
**************************************************
น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์ สูติแพทย์
**************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พัฒนาการเด็กช่วงวัย 0-1 ปี - ร้องเก่งจริงนะตัวแค่เนี้ยะ

พัฒนาการเด็กช่วงวัย 0-1 ปี - ร้องเก่งจริงนะตัวแค่เนี้ยะ
ไม่อยากจะบอกเลยว่าเสียงร้องแรกของทารกน้อยในห้องคลอดน่ะ
เป็นแค่การเกริ่นจากน้องหนูเท่านั้น นับจากนี้สิคือ "ร้องจริง" ของแกล่ะ
 ...แง...แง...แง... เตรียมรับมือให้ดีละกัน

จะร้องมากร้องน้อย ร้องดังร้องค่อยแค่ไหน จะทำคุณหงุดหงิด
อารมณ์เสียหรือยิ้มชื่นอารมณ์ดีปานใด การร้องก็เป็นหนทางเดียว
ที่เจ้าหนูวัยทารกใช้สื่อสารบอกความต้องการให้พ่อแม่รู้
ซึ่งก็ได้ผลดีใช่ไหมคะ
เพราะทั้งแม่และพ่อต่างก็รีบกุลีกุจอวิ่งตรงดิ่งมาหาลูกทันทีที่ร้องเลย

วิธีดังกล่าวก็ดูดีหรอก แต่นักวิชาการด้านเด็กบอกว่า
ถ้าคุณทำเช่นนั้นตลอดจะทำให้ลูก "เสีย" ตั้งแต่เล็กได้
กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักยอมคิดแต่จะเอาชนะ
แพ้ไม่เป็นเพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เกิดไงคะ

จริง ๆ แล้ว การร้องของเด็กล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น
งั้นลองหาสาเหตุก่อนดีไหมว่าลูกร้องเพราะอะไร
เช่น ผ้าอ้อมเปียกฉี่เปื้อนอึหรือเปล่า หรือว่าลูกหิว กระหาย
อากาศร้อนหรือเย็นเกินไปไหม หรือว่าลูกรู้สึกไม่สบาย เป็นต้น
ถ้าเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุเลย อาจเป็นเพราะลูกน้อยรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว
จึงร้องไห้ออกมาเพื่อต้องการอ้อมกอดอบอุ่นของคุณก็ได้

อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปพอลูกอายุเลย 6 เดือนขึ้นมาก็จะค่อย ๆ ร้องน้อยลง
แต่ก็ยังคงต้องการการสนองตอบที่ถูกต้องตรงใจอยู่นะคะ
ซึ่งคุณจะค่อย ๆ เรียนรู้ได้เองในแต่ละวันที่เพิ่มพูนขึ้นจากการเลี้ยงลูกนั่นเอง

< < <    ลูกร้องเพราะ.....   > > >
ถ้าไม่ใช่สาเหตุเพราะความไม่สบายตัวแล้ว
เรื่องเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกน้อยร้องไห้งอแงก็เป็นได้ค่ะ

***   เบื่อ   ***
ทารกน้อยจะร้องไห้ไม่พอใจเลยหากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเป็นเวลานาน
(แม้จะแค่อึดใจเดียวของคุณก็ตาม) เพราะลูกวัยนี้ไม่ชอบที่จะอยู่คนเดียวนี่คะ

การดึงความสนใจลูกจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกโดดเดี่ยวนั้นลงได้
คุณอาจหาโมบายล์มาให้ลูกมองเล่น และสำหรับลูกน้อยที่โตขึ้นอีกนิด
หนังสือภาพสีสันสดใส ภาพใหญ่ ๆ ช่วยได้ดีทีเดียว
ระหว่างที่คุณยังไม่สามารถมาหาลูกได้ทันทีเพราะทำงานค้างอยู่ไงคะ

***   กลัวถูกพรากจาก   ***
ทารกน้อยไม่ชอบให้ใคร ๆ ที่ไม่คุ้นอุ้มไปจากอกแม่หรือพ่อหรอกค่ะ
ขณะที่เด็กบางคนแค่เห็นคุณเดินหายออกไปจากห้องก็ร้องลั่นแล้ว
ทั้งนี้เพราะแกกลัวคุณจากไปนั่นเอง

อย่าทำให้ลูกน้อยมีความทุกข์เพราะเรื่องนี้เลยนะคะ
สำหรับลูกวัยขวบลงมาคุณควรอยู่ใกล้ชิดลูกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จำให้ขึ้นใจเลยค่ะว่าคุณไปไหนเอาลูกไปด้วยเสมอ

***   เหนื่อย   ***
เด็กเล็ก ๆ ทุกคนล่ะค่ะ จะร้องไห้เมื่อรู้สึกเหนื่อย
เพราะพอเหนื่อยมากก็จะรู้สึกหงุดหงิด พาลทำให้อารมณ์บ่จอยขึ้นมาได้

ลองดูซิว่าลูกเหนื่อยเพราะนอนไม่พอหรือเปล่า
ถ้าใช่คงต้องฝึกฝนเจ้าตัวเล็กของคุณให้รู้จักแยกแยะเวลาแล้วค่ะ
ระหว่างเวลากลางวันที่อาจนอนน้อยหน่อย ตื่นมาเล่นมากหน่อย
กับเวลากลางคืนที่ควรจะได้นอนนาน ๆ ตลอดคืน

แต่ที่สำคัญ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติและความต้องการของลูกนะคะ
เช่น ลูกอยากหลับตอนนี้ก็ให้นอนตอนนี้ไม่ใช่ลูกอยากหลับตอนนี้
แต่คุณไม่ยอมให้หลับ
เพราะเป็นเวลาหม่ำพอดี อย่างนี้ลูกน้อยต้องร้องไม่ยอมแหง ๆ ค่ะ

***   ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ   ***
ถ้าลูกพยายามยื่นมือน้อย ๆ นั้นไปให้ถึงลูกบอลผ้าสีสันสดใสที่หมายตาไว้
แต่ทำอย่างไรก็เอื้อมมือไปไม่ถึง ลูกจะอารมณ์เสียค่ะ เพราะความที่ทำไม่ได้ดังใจ
ทำไม่ได้ตามที่ต้องการก็เลยร้องด้วยความคับข้องใจออกมาไงคะ

เห็นทีคุณคงต้องช่วยลูกหน่อยแล้วล่ะ การฝึกให้ลูกพยายามนั้นดีค่ะ
แต่ถึงที่สุดควรให้ลูกได้รู้สึกสมหวัง และภูมิใจในตนเองที่ทำได้ด้วย
เช่น วางบอลให้ใกล้ลูกอีกนิด
พอลูกเอื้อมมือไปจนสุดก็ถึงพอดีสามารถหยิบลูกบอลได้ตามที่ลูกต้องการ

***   หงุดหงิด   ***
บางทีลูกน้อยนอน ๆ อยู่ก็ร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นออกมาได้
อาจเป็นเพราะถูกขัดจังหวะโดยสิ่งใดสิ่งหนึ่งค่ะ
เช่น ฉี่หรืออึที่ทำให้ผ้าอ้อมเปียกและเปื้อน มดแมลงที่กัดต่อย
อากาศที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เป็นต้น
ซึ่งจะทำให้ลูกไม่สบายตัว พอไม่สบาย ก็จะรู้สึกหงุดหงิด ร้องไห้ทันที

ตรวจดูสาเหตุแล้วรีบแก้ไขโดยด่วน ก็จะช่วยหยุดการร้องของลูกได้ค่ะ

***   ตื่นเต้นสุด ๆ    ***
ความตื่นเต้นดีใจแบบสุด ๆ บางทีก็ทำให้เจ้าตัวเล็กร้องกรี๊ดออกมา
ได้เหมือนกัน กรี๊ดแบบนี้ไร้ปัญหาเพียงแต่คุณต้องพิจารณาให้ดี
ว่าใช่หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่จะได้หาทางแก้ให้ถูกต้องไงคะ

***   ทำร้ายตัวเอง   ***
ประเภทคลานดุ๊กดิ๊กไปชนโน่นชนนี่ร้องอย่างนี้เดี๋ยวก็หยุด แต่ถ้าเจ็บมาก ๆ
เช่น หัวโน แขนขาหัก หรืออะไรก็ตามที่ไม่มีบาดแผล
ลูกจะร้องนานและดังเชียวค่ะ คุณจึงต้องตรวจสอบให้ละเอียด เพื่อแก้ไขให้ตรงจุด

< < <   อยากให้แม่รู้ใจ   > > >
การร้องของลูกเป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ
เป็นการสื่อสารให้แม่รู้ถึงสิ่งที่เจ้าตัวเล็กเผชิญอยู่และต้องการความช่วยเหลือจากแม่
ซึ่งจะช่วยได้ดียิ่งขึ้นถ้าแม่เข้าใจในเรื่องต่อไปนี้
-. ยอมรับว่าทารกจะต้องร้องและทารกบางคนจะร้องมากด้วย
เพื่อให้แม่ตอบสนองได้ตรงความต้องการมากที่สุด
ทั้งบทเรียนมากมายในชีวิตก็เริ่มต้นจากการร้องนี้ด้วย
-. ถ้าลูกร้องและไม่ยอมนอนในที่นอนของตัวเอง
อ้อมอกของแม่จะเป็นที่นอนอันแสนอบอุ่นของลูกค่ะ
คุณอาจให้ลูกนอนแนบหัวใจคุณอยู่ในเป้อุ้มเด็กก็ได้
เพื่อคุณจะได้ทำงานอย่างอื่นไปด้วยได้ไงคะ
-. ให้นมลูกก่อนที่ลูกจะโมโหหิวและให้ลูกได้นอนพักผ่อนก่อนที่จะเหนื่อยเกินไป
เพราะการหิวและเหนื่อยจะทำให้ลูกรู้สึกหงุดหงิด โมโห และร้องไห้ค่ะ
-. ทารกบางคนจะชอบร้องงอแงก่อนนอนเสมอ
ดังนั้นควรให้เวลาลูกได้อยู่ในช่วงดังกล่าว
แล้วคุณจึงค่อยไปอุ้มกล่อมให้ลูกนอนหลับต่อไป
-. เด็กบางคนนอนตอนกลางวันเก่งมาก อย่าปลุกลูกให้ลุกขึ้นมาเลยนะคะ
แม้ว่าการปลุกนั้นจะทำให้คุณไม่ต้องตื่นขึ้นกลางดึกมาอุ้ม เล่น หรือกล่อมลูกก็ตาม
-. โมบายล์ ของเล่นเขย่า จะช่วยให้ลูกน้อยอายุ 6 เดือนลงมา
สนุกและหยุดร้องได้ (เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ)
-. สำหรับลูกที่อายุเกิน 6 เดือนขึ้นไป จะชอบของเล่นประเภทหยอดรู
หรือของเล่นที่เอาตีให้เกิดเสียงดัง รวมทั้งภาพสีสันสดใสจากหนังสือต่าง ๆ
ของเล่นเหล่านี้จะทำให้ลูกอารมณ์ดีขึ้นไงค่ะ

คำแนะนำเหล่านี้ คงช่วยให้เสียงร้องของลูกน้อยลดลงก็คุณรู้ใจลูกดีออกอย่างนี้นี่จ๊ะ
--------------------------------------------------------------------------------
ทราบไหมเอ่ย....
* ผลการศึกษาวิจัยพบว่าทารกสามารถได้ยินเสียงได้ตั้งแต่อายุ 24 สัปดาห์ในท้องแม่แน่ะ
* และยังพบอีกว่าแม่จะเริ่มจำเสียงร้องของลูกได้หลังลูกเกิด 3 วัน
* ทารกน้อยที่แม่คลอดเองอย่างปลอดภัย จะเป็นเด็กชอบ
ความสงบมากกว่าทารกที่เกิดท่ามกลางบรรยากาศและสรรพสำเนียงที่โกลาหลวุ่นวาย