วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พัฒนาการเด็กช่วง 2-3 ปี ...โตแล้วจ้า-หลากสไตล์นิสัยหนู

พัฒนาการเด็กช่วง 2-3 ปี ...โตแล้วจ้า-หลากสไตล์นิสัยหนู
*** ถึงอยู่ในวัยเตาะแตะกำลังเฮี้ยวเป็นจอมซน แต่ถ้าพ่อแม่รู้ใจ
       อ่านนิสัยประจำกายของเจ้าตัวเปี๊ยกออก ก็จะสามารถรับมือกับลูก
       ได้ง่าย ทั้งยังช่วยปรับ ช่วยเสริมให้ถูกทางมากขึ้น อย่าลืมสิคะว่า
        การเลี้ยงดูในวัยนี้มีผลกับอุปนิสัยที่จะติดตัวเด็ก ๆ ไปจนโต
       และนี่ก็คือสไตล์นิสัยทั้ง 5 ของหนู ๆ ที่น่าจะทำความรู้จักไว้ก่อนค่ะ

นิสัยแบบที่ 1. >>>>>>    ดื้อ ซน ไม่อยู่นิ่ง
ความซ่าส์และกำลังในตัวที่เหมือนถ่านอัลคาไลน์พลังมหาศาลของลูก
อาจเล่นงานพ่อแม่ให้เหนื่อยแทบหมดแรง
ก็หนู ๆ เขาโปรดปรานการวิ่งไปไหนต่อไหน ชื่นชอบการกระโดดโลดเต้น
หลงไหลการสำรวจรื้อค้น จะเห็นอยู่นิ่ง ๆ ก็เมื่อตอนสลบหมดฤทธิ์
หลับสบายบนที่นอนนั่นแหละ ถ้าจะให้อยู่แต่ในที่จำกัด เช่น เปล
หรือ CAR SEAT ก็มักจะหงุดหงิดอารมณ์เสียได้ง่าย ๆ
ก็ลูกวัยนี้ชอบที่จะได้ควบคุมทุกอย่างเองนี่คะ ทั้งกิน นอน เล่น
จะโมโหโกรธาเชียวล่ะหากถูกบังคับกะเกณฑ์ เพราะฉะนั้นกว่าจะยอม
วางมือจากของเล่นมาอาบน้ำหรือกินข้าว เข้านอน ก็เล่นเอาต้องออกแรง
ทั้งเรียกทั้งฉุดกันเหนื่อย
แถมเป็นพวกขี้เบื่อ ใจร้อน เห็นอะไรใหม่ ๆ ก็สนใจไปหมดด้วย

>>>>>>    อย่างนี้สิ... เข้าที
ไฟเขียวให้ใช้พลังได้เต็มที่ -
ความซุกซนอยู่ไม่นิ่งเป็นธรรมชาติของเด็ก ๆ ซึ่งกำลังสนุกเพลิดเพลิน
กับอิสระ ที่ได้ทำทุกสิ่งตามใจปรารถนา (หลังจากกิน ๆ นอน ๆ ให้คน
ทำให้อยู่ตั้งนาน ตอนนี้ก็ถึงคราวแสดงพลังในตัวออกมาเสียที) คุณจึงควร
หาสถานที่ที่ปลอดภัยให้ลูกได้วิ่งเล่น ปีนป่าย เพราะกิจกรรมนี้นอกจากจะ
ช่วยพัฒนาเพิ่มทักษะในการเคลื่อนไหวของลูกให้คล่องแคล่วขึ้นแล้ว
ลูกยังได้เรียนรู้สิ่งรอบตัวไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย ที่สำคัญต้องสังเกตด้วยว่า
ลูกเล่นมากจนลืมเหนื่อย ลืมหิวหรือเปล่า
ถ้าเห็นลูกหอบหรือวิ่งเล่นนานแล้ว ก็ควรให้หยุดพักผ่อน
กินน้ำกินขนมเติมพลังบ้าง

ใจเย็น ลืมระเบียบไปบ้าง -
แม้ลูกยังทำตามสิ่งที่สอนได้ไม่ดีนัก ก็ไม่ควรถือเป็นเรื่องใหญ่
หรือเอามาเป็นอารมณ์ เด็ก ๆต้องการการย้ำเตือน คุณควรจะค่อย ๆ
บอกค่อย ๆ สอน ให้ลูกทำตามอย่างสม่ำเสมอ ใจเย็น อย่าเพิ่งคาดหวัง
ว่าลูกจะนั่งเรียบร้อยบนโต๊ะอาหารได้นานนัก ทางที่ดีควรเลี่ยงกิจกรรม
ที่ต้องใช้เวลานานหรือกิจกรรมที่ลูกต้องนั่งนิ่งอยู่เฉยซึ่งเป็นเรื่องยาก
สำหรับจอมซนไปก่อน แล้วหากิจกรรมง่าย ๆ ที่ใช้เวลาไม่นาน
ให้ลูกได้ทำ เพื่อฝึกให้เริ่มคุ้นกับการนั่งติดที่
เช่น ภาพต่อง่าย ๆ ใช้เวลาเล่นสั้น ๆ
แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความซับซ้อนและเวลาเล่นให้นานขึ้น

บอกล่วงหน้าให้รู้ตัว - 
ไม่ใช่ลูกไม่สนใจฟังสิ่งที่คุณพูด แต่ถ้าจะให้วางมือจากของเล่นชิ้นโปรด
ที่กำลังเพลินอยู่ตรงหน้าไปอาบน้ำทันทีตามคำสั่ง แกจะรู้สึกไม่พอใจ
เพราะถูกบังคับฝืนใจ และต่อต้านไม่ทำตาม
ฉะนั้นควรจะให้เวลาเตรียมตัว บอกล่วงหน้าให้รู้ก่อนที่จะต้องไปทำอะไร
เช่น "แม่กำลังทอดไข่เจียวของโปรดให้หนูอยู่ เดี๋ยวเก็บของเล่นแล้วไปกินไข่เจียวกันนะ"

นิสัยแบบที่ 2. >>>>>>    เจ้าอารมณ์ ก้าวร้าว
หนู ๆ กลุ่มนี้จะไม่เก็บความรู้สึกค่ะ คิดหรือรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมา
เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโมโห โกรธ ดีใจ เสียใจ อารมณ์จะเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว บางทียิ้มอยู่ดี ๆ พอมีใครมาขัดใจก็อาจจะอาละวาด
หรือร้องโวยวายได้ ทั้งเรื่องเอาแต่ใจก็ไม่เป็นรองใคร
เกลียดนักเรื่องใครมาบังคับขัดใจ คิดอยากทำอะไรด้วยตัวเอง
แต่บางครั้งยังสื่อสารให้ผู้ใหญ่หรือคนอื่น ๆ เข้าใจไม่ได้ดี
ก็เลยหงุดหงิดโมโห หรือเรียกร้องความสนใจด้วยการเอะอะโวยวาย
จนดูเหมือนเป็นคนเจ้าอารมณ์ก้าวร้าวได้

>>>>>>    อย่างนี้สิ ... เข้าที
ให้พูดแทนอาละวาด - 
เมื่อลูกหงุดหงิด อารมณ์บ่จอย ก็ต้องใจเย็นและสอนให้ลูกใช้วิธี
พูดระบายความรู้สึกที่ไม่พอใจออกมา แทนการแสดงอารมณ์
ด้วยกิริยาท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นกระทืบเท้า กรีดร้องโวยวาย
ตีหรือทำร้ายคนที่ไม่พอใจ เช่น เมื่อไม่พอใจที่แม่ไม่ซื้อของเล่นให้
ก็ให้พูดว่าโกรธที่แม่ไม่ซื้อตุ๊กตาที่อยากได้ให้ ไม่ใช่ร้องอาละวาด
กลางห้างฯอย่างนั้น สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ลูกรู้ว่า
การใช้วิธีอาละวาด โวยวายไม่ได้ผล และเมื่อเด็กเรียกร้องความสนใจ
หรือเอาชนะคุณด้วยวิธีเดิมไม่ได้แกก็จะเลิกใช้วิธีนี้ไปเอง

มีมาตรการห้ามปราม - 
เมื่อลูกทำตัวไม่น่ารัก ต้องอธิบายให้รู้ว่าลูกทำไม่ดี
การทำให้คนอื่นเจ็บหรือเสียใจนั้นไม่ดีเลย หนูไม่ควรทำอีก
แต่ถ้าบอกแล้วยังไม่ดีขึ้น เราก็ต้องมีมาตรการ
ให้ลูกตัดสินใจเองว่าจะเลิกทำ หรือจะทำอีกแล้วถูกลงโทษ TIME OUT
หรือถูกตัดสิทธิพิเศษ เช่น ไม่ได้ไปกินไอศกรีมตามที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น
เรื่องนี้สำคัญ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง
ไม่อย่างนั้นลูกจะไม่เชื่อฟังและทำตามกติกาที่คุณตั้งไว้

เปลี่ยนสถานการณ์ หันเหความสนใจ - 
เมื่อลูกอารมณ์ไม่ดีหรือทำตัวเกเรไม่น่ารัก ทางหนึ่งที่ช่วยได้ คือ
การพาลูกออกจากสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นโดยเร็ว
เมื่อห่างจากสิ่งกระตุ้น อารมณ์ของทั้งลูกและตัวคุณเองจะกลับดีขึ้นได้
พยายามสังเกตวิธีลดความไม่พอใจหรือเสียใจที่โดนใจลูก
เพื่อจะได้ง่ายในการรับมือไงคะ

นิสัยแบบที่ 3. >>>>>>    อ่อนไหว ขี้กลัว
น้องหนูจะมีความรู้สึกไวกับปฏิกิริยาและสิ่งรอบตัวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
ท่าทางของคนอื่น รสชาติของอาหารที่กิน เสื้อผ้าที่ใส่
พ่อแม่จึงควรใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเมื่อมีสิ่งผิดปกติ
หรือเปลี่ยนแปลงก็จะรับรู้ได้เร็ว หากต้องพบสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย
แกจะต้องขอเวลาสักระยะในการปรับตัวกับคนแปลกหน้า
อาหารรสชาติไม่คุ้นลิ้น รวมไปถึงสถานที่แปลกตา
นอกจากนี้ลูกยังช่างคิดช่างฝัน ชอบจินตนาการ ค่อนข้างติดพ่อหรือแม่
และต้องการกำลังใจสนับสนุนจากผู้ใหญ่เมื่อต้องเผชิญสิ่งใหม่

>>>>>>    อย่างนี้สิ ... เข้าที
ไม้นวมได้ผลกว่า - 
เด็กที่อ่อนไหวต้องใช้วิธีพูดดี ๆ ชมเชยเป็นกำลังใจเป็นตัวกระตุ้น
จะได้ผลดีกว่าการบังคับเร่งรัด ให้เวลาเด็กปรับตัวกับสิ่งใหม่บ้าง
หากลูกกลัว ถ้าเป็นไปได้ก็ควรหาสิ่งที่คลายความกังวล
หรือลดความกลัว เช่น ตุ๊กตาตัวโปรด หมอน มาเป็นผู้ช่วยบ้างก็ดี

เพิ่มประสบการณ์ให้คุ้นเคย - 
พยายามช่วยเพิ่มความมั่นใจลดความกังวลความกลัวให้ลูก
ด้วยการพาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาพบคนใหม่ ๆ ของใหม่ ๆ ให้บ่อยขึ้น
แต่อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้เวลาเตรียมตัวหรือบอกให้ล่วงหน้า
ว่าแกจะได้พบคนใหม่ของใหม่ จะได้ไม่อึดอัดมากนัก ความช่างสังเกต
เก็บละเอียดอาจจะทำให้เหมือนหนูจู้จี้ ขี้บ่น คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่
ที่ใกล้ชิดต้องเข้าใจกันหน่อย และช่วยจัดการให้อย่างเหมาะสม

นิสัยแบบที่ 4. >>>>>>    หัวอ่อน ว่าง่าย
เมินซะล่ะเรื่องพิษสง เด็กกลุ่มนี้จะพูดง่าย หัวอ่อน เชื่อฟัง ไม่เถียง
ไม่ยอกย้อนหรือค้อนวงใหญ่อวดเหมือนคนอื่น พัฒนาการด้านต่าง ๆ ดี
กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว เลี้ยงง่าย ไม่ค่อยมีปัญหา
หนำซ้ำยังกระตือรือร้นสนใจสิ่งรอบ ๆ ตัว ปรับตัวกับสิ่งใหม่ได้ดี

>>>>>>    อย่างนี้สิ ... เข้าที
ไถ่ถามกันหน่อย - 
เพราะนิสัยง่าย ๆ ไม่เรื่องมากประจำตัว อาจทำให้พ่อแม่มองข้าม
ความคิดความรู้สึกของหนู ๆ ไปได้ ทางที่ดีควรจะสอบถามกัน
สักหน่อยว่า ลูกชอบหรือได้ในสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า
เพราะความง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก
ไม่ได้หมายความว่าลูกไม่อยากได้ความพิเศษหรือเฉพาะเจาะจงเหมือนคนอื่น ๆ เขานะคะ

เสริมจุดเด่น - 
ความที่ปรับตัวได้ดีไม่เรื่องมาก อาจทำให้หนู ๆ ตามใจคุณพ่อคุณแม่
และคนอื่น ๆ รอบตัวจนไม่ค่อยได้คิดหรือตัดสินใจเอง อย่างนี้ไม่ดีแน่
พ่อแม่ต้องพยายามเปิดโอกาสให้ลูกคิดตัดสินใจด้วยตัวเองด้วย
อาจเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ง่าย ๆ
เช่น อยากกินอะไร ชอบของเล่นสีไหน เพื่อเพิ่มความกล้าคิดกล้าตัดสินใจให้ลูกมากขึ้น

นิสัยแบบที่ 5. >>>>>>    เฉย ๆ ชอบอยู่กับตัวเอง
กลุ่มสุดท้ายนี้เขาไม่ค่อยจะวุ่นวายกับใคร ชอบอยู่เงียบ ๆ ทำกิจกรรมตามลำพัง
ต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ปรับตัวไม่เก่ง ท้อแท้ได้ง่าย
ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง มีความสุขที่ได้อยู่กับตัวเอง

>>>>>>    อย่างนี้สิ ... เข้าที
ให้ทำกิจกรรมที่โปรดปราน - 
ควรฉกฉวยประโยชน์จากการที่ลูกยอมนั่งติดที่ ไม่เที่ยววิ่งซนไปไหน
ไปกับการทำกิจกรรมที่ต้องการสมาธิและความเงียบ
เช่น อ่านหนังสือ วาดภาพ เล่านิทาน เล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกชอบ

กระตุ้นให้เล่นกับคนอื่น -
การทำกิจกรรมนอกบ้าน ที่ได้วิ่งเคลื่อนไหว พบกับเพื่อนเด็ก ๆ วัยใกล้กัน
ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกต้องปรับตัวและเรียนรู้
ต้องเสริมกิจกรรมนอกบ้านเหล่านี้ให้ลุกได้ลองทำมากขึ้น
แต่ก็อย่าลืมว่าต้องทำทีละน้อยไม่ผลีผลามเกินไป
พยายามเริ่มจากสิ่งที่ลูกชอบก่อน เช่น พาไปวาดภาพที่สนามเด็กเล่นก่อน
แล้วค่อย ๆ ชักชวนให้เริ่มเล่นกับคนอื่น ๆ เป็นต้น

ชมเชยให้กำลังใจ - 
เมื่อลูกทำสิ่งใหม่ ๆ ได้สำเร็จต้องให้กำลังใจ ช่วยเหลือและสนับสนุน
ซึ่งพ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกทำบ่อย ๆ
เพื่อเพิ่มพูนทักษะจนลูกเกิดความมั่นใจและสามารถปรับตัวได้ดี

ได้รู้จักวิธีรับมือนิสัยของหนู ๆ กันอย่างนี้แล้ว
การเลี้ยงลูกก็ไม่ใช่เรื่องวุ่นและยุ่งอีกต่อไป

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-น้ำนมไหลตั้งแต่ท้องได้ 2 เดือน เป็นอะไรหรือเปล่า

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-น้ำนมไหลตั้งแต่ท้องได้ 2 เดือน เป็นอะไรหรือเปล่า
ถาม---ตั้งครรภ์ 4 เดือนแล้วมีน้ำนมไหลตั้งแต่ 2 เดือน ครรภ์แรกก็มี
           ใกล้คลอดก็ไหลมากขึ้น เป็นเพราะอะไร อันตรายหรือไม่
ตอบ---ระหว่างการตั้งครรภ์มีน้ำนมไหลได้ถ้าได้รับการกระตุ้นบริเวณเต้านม
            หรือหัวนม เช่น การบีบนวดหรือเค้นเต้านมและหัวนมจากการทานวดด้วยครีม
            หรือโลชั่นป้องกันการแตกเป็นริ้วรอย
            จากการเล้าโลมขณะกำลังมีเพศสัมพันธ์
            หรือจากการดูดนมแม่ของลูกคนแรกด้วยความเคยชิน ทั้งนี้อาจไม่มีน้ำนมแล้ว
            แต่เมื่อตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนที่มีบทบาทต่อการผลิตน้ำนมของมารดา
            จากต่อมใต้สมองของคุณแม่
            และจากการสร้างของรกเพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้คลอด

            เมื่อมีการกระตุ้นเต้านมดังกล่าว ก็จะเกิดกลไกในการผลิตและหลั่งน้ำนม
            ออกมาก่อนเวลาอันควรและมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเมื่อใกล้คลอดได้
            ขณะเดียวกันจะเกิดการหลั่งของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่ทำหน้าที่
            ให้มดลูกหดรัดตัวเพื่อให้เข้าอู่เร็วในระยะหลังคลอด แต่ถ้าเกิดขึ้น
            ในระหว่างการตั้งครรภ์ มดลูกอาจมีการหดเกร็งตัวบ่อย ๆ ก่อให้เกิด
            การกังวลใจได้
            วิธีการแก้ไขคือ
            ควรหยุดกระตุ้นเต้านมและหัวนมไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ
            และเลือกยกทรงให้กระชับพอดีกับเต้านมที่ขยายขึ้น
            ก็จะช่วยให้น้ำนมค่อย ๆ หลั่งน้อยลงและหยุดไหลได้ค่ะ
*********************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
*********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-เคยผ่าท้องคลอด ท้องต่อไปจะคลอดธรรมชาติได้ไหม

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-เคยผ่าท้องคลอด ท้องต่อไปจะคลอดธรรมชาติได้ไหม
ถาม---ลูกคนแรก 3 ขวบแล้ว คลอดด้วยวิธีผ่าตัด ถ้าจะมีลูกอีกคนจะคลอด
           โดยวิธีธรรมชาติได้หรือไม่ และจะเป็นอันตรายต่อแผลผ่าตัดรึเปล่าคะ
ตอบ---คลอดเองได้ค่ะ แต่ต้องอยู่ภายในดุลยพินิจของคุณหมอที่ดูแลครรภ์
            และจะตัดสินได้เมื่อใกล้กำหนดคลอด เงื่อนไขสำคัญ คือ ต้องคลอดง่าย
            และปลอดภัย เพราะแผลผ่าตัดบนตัวมดลูกอาจแยกออกจากกันในช่วง
            ครรภ์แก่ หรือฉีกขาดขณะเจ็บครรภ์คลอด ทำให้ตกเลือดในช่องท้องน้อยได้

           ดังนั้นถ้าครรภ์แรกลูกตัวไม่ใหญ่ เช่น ไม่ถึง 3,000 กรัม แต่ต้องรอคลอดนาน
           และคลอดยาก หรือคุณแม่มีความเสี่ยง เช่น อายุเกิน 35 ปีหรือมีโรคประจำตัว
           เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ครรภ์เป็นพิษ
           หรือรกเกาะต่ำซึ่งพบได้บ่อยขึ้นในครรภ์ที่เคยผ่าท้องคลอดมาก่อน
           รวมทั้งลูกมีความเสี่ยงต่อการคลอด เช่น ตัวใหญ่หรือแม้แต่เล็กเกินไป
           เนื่องจากเติบโตช้าในครรภ์ หรือมีก้นเป็นส่วนนำ
           คุณหมอก็มักจะแนะนำให้ผ่าท้องคลอดจะปลอดภัยกว่าค่ะ

          และในกรณีที่คุณหมอให้คลอดธรรมชาติได้ ก็ยังต้องเน้นการดูแลอย่างใกล้ชิด
          ในช่วงรอคลอด ไม่ให้คลอดเร็วหรือช้าเกินไป และหลังคลอดลูกและรกแล้ว
          คุณหมอจะต้องตรวจภายใน สำรวจส่วนล่างของมดลูก
          เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการฉีกขาดของแผลบริเวณนั้นเสมอค่ะ
*************************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
*************************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-น้ำหนักขึ้นทำให้ปวดหลังมาก ทำอย่างไรดี

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-น้ำหนักขึ้นทำให้ปวดหลังมาก ทำอย่างไรดี
ถาม---ช่วง 3 เดือนแรกที่ท้องน้ำหนักขึ้นจาก 48 กก. เป็น 57 กก.
           ทำให้ปวดหลังมาก ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาได้คะ
ตอบ---อาการปวดหลังเกิดจากบริเวณหลังต้องรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
           ถึง 9 กก. ภายในเวลาเพียง 3 เดือน การใช้ยาแก้ปวดหรือยานวดเฉพาะที่
           ต้องปรึกษาคุณหมอ เพราะส่วนใหญ่มีข้อควรระวังหรือห้ามใช้ใน
           คุณแม่ตั้งครรภ์ การนวดคลายเส้นหรือกล้ามเนื้ออาจพอบรรเทาอาการ
           ได้บ้าง แต่ก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุเช่นกัน

            ดังนั้นการแก้ที่ต้นเหตุโดยตรง คือ เฝ้าระวังให้หลังรับน้ำหนัก
            ให้น้อยที่สุด คือไม่ควรอยู่ในอิริยาบถเดียวกันนานเกิน 15-20 นาที
            ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ก็จะช่วยเปลี่ยนจุดรับน้ำหนักไปจากหลัง
            และควรกระจายน้ำหนักไปยังข้อต่าง ๆ เช่น สะโพก เข่า ข้อเท้า ก็ได้
           หลีกเลี่ยงการนั่งยอง ๆ และการทิ้งตัวลงนั่งหรือลุกขึ้นจากพื้นหรือเก้าอี้เตี้ย ๆ
           การหมุนลำตัวไปมาในจังหวะเร็ว ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ หรือยกของหนักขึ้นจากพื้น
           เหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มแรงกระแทกของน้ำหนักตัวลงบนหลัง

            ที่สำคัญควรหาสาเหตุแฝงที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็ว เช่น เบาหวาน
            โรคไตที่บวมน้ำ เพราะในช่วง 3 เดือนแรกน้ำหนักไม่ควรขึ้นเกิน 1 กก.
            และคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะมีน้ำหนักลดจากอาการแพ้ท้อง
            แต่ใน 6 เดือนหลังคุณแม่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 10 กก.
            สำหรับเกณฑ์ปกติ ซึ่งถ้าไม่พยายามควบคุมแล้ว อาการปวดหลังก็จะ
            ทวีความรุนแรงร่วมกับอาการเจ็บหัวหน่าว เสียดชายโครงและอุ้ยอ้าย
            จนมีปัญหาในการเปลี่ยนทุก ๆ อิริยาบถในชีวิตประจำวันได้ค่ะ
*********************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
*********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ล้มแล้วท้องกระแทกพื้น เป็นอันตรายต่อลูกรึเปล่า

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ล้มแล้วท้องกระแทกพื้น เป็นอันตรายต่อลูกรึเปล่า
ถาม--- ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนแล้ว เกิดอุบัติเหตุเสียหลักขณะขึ้นบันได
           ล้มลงท้องกระแทกที่บันได ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปหาหมอ
           แต่ปวด ๆ หาย ๆ ก็ไม่ได้ไป อยากทราบว่าจะมีผลทำให้ลูกพิการหรือไม่
           และถ้าแม่ท้องเล็ก ลูกจะตัวเล็กด้วยรึเปล่า
           แม่ที่กินน้ำอัดลมมาก ๆ จะมีผลต่อเด็กในครรภ์อย่างไร
ตอบ--- แรงกระแทกหน้าท้องในขณะตั้งครรภ์ไม่ทำให้ลูกพิการค่ะ
            และแรงนั้นจะกระจายออกไปในน้ำคร่ำซึ่งทำหน้าที่ปกป้องลูกไว้
            เหมือนระบบไฮโดรลิก แต่ถ้าแรงมากและกระแทกอย่างจัง
            อาจทำให้รกลอกตัวและแท้งได้ ซึ่งคุณแม่จะเกิดอาการปวดท้องรุนแรง
            และมีเลือดออกจากช่องคลอดเกือบทันทีที่เกิดเหตุ

            กรณีมดลูกมีขนาดใหญ่ในครรภ์แก่อาจเกิดภาวะมดลูกแตก
            เช่น ตกรถจากการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์
                   คุณแม่ขับรถเองแล้วเกิดรถชน พวงมาลัยกระแทกหน้าท้อง
            ซึ่งอันตรายมากเพราะเลือดที่ออกจากการฉีกขาดของมดลูก
            จะรุนแรงและรวดเร็วค่ะ จึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงเหล่านี้

            คุณแม่ที่ถูกทักว่าท้องเล็ก ควรฟังคุณหมอไว้ดีที่สุดค่ะ
            เพราะคุณหมอจะตรวจยืนยันจากเครื่องอัลตราซาวนด์ว่าเด็กเล็กจากอะไร
            เช่น เด็กอาจเจริญเติบโตช้า ไม่สมอายุครรภ์ จากสาเหตุบางอย่าง
            ซึ่งมักมีน้ำคร่ำน้อยเกินไปหรือมากเกินไปร่วมด้วย
            หรืออาจเป็นเพียงคุณแม่จำประจำเดือนคลาดเคลื่อน
            แต่ความจริงลูกโตสมอายุครรภ์ก็ได้ค่ะ

            คุณแม่ที่ดื่มน้ำอัดลมที่มีกาเฟอีนปริมาณมาก ๆ ผลต่อลูก
            จะเหมือนการดื่มชาหรือกาแฟ ลูกจะร้องไห้เก่งและเลี้ยงยาก
            ส่วนที่ไม่มีกาเฟอีนทั้งคุณแม่และลูกก็จะอ้วนแต่ไม่แข็งแรง
            เพราะน้ำอัดลมมีแต่น้ำตาลและสารเจือสีและแต่งรส ไม่มีโปรตีนและ
            แคลเซียมซึ่งเสริมสร้างเนื้อเยื่อและกระดูกอย่างที่มีในนม การหันมาดื่มนม
            และน้ำผลไม้แทนจะเกิดประโยชน์ในการเสริมสร้างลูกในครรภ์มากกว่าค่ะ
***********************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี อนันตเศรษฐ
***********************************

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

108 เรื่องกินของลูก-สูงได้เพราะแคลเซียมจริงอ่ะ

108 เรื่องกินของลูก-สูงได้เพราะแคลเซียมจริงอ่ะ
"แคลเซียม" ที่ถูกนำเสนอผ่านสายตาคนเป็นพ่อแม่หลากหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะแคลเซียมแบบเม็ดเพียว ๆ 100 เปอร์เซ็นต์
จากกระดูกสารพัดสัตว์ หรือที่แปรรูปเป็นวิตามินเสริม...
เหล่านี้ล้วนสร้างความหวังให้รู้สึกว่าน่าจะช่วยให้เจ้าตัวเล็ก
มีกระดูกที่แข็งแรง และน่าจะขยับความสูงขึ้นได้อีกสักหน่อย...
ความเข้าใจที่ว่านี้ ถูกผิดแค่ไหน
น.พ.ปุณณะ ปิยะศิลป์ ฝากความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้ให้เป็นข้อมูลค่ะ

* การเจริญเติบโตของกระดูกในเด็กเล็ก ๆ มีอะไรที่เป็นปัจจัยช่วยเสริมได้บ้างคะ
===>>>   ส่วนใหญ่ถ้าเป็นปัจจัยที่เราควบคุมได้ ส่งเสริมได้ ก็จะมีเรื่องของ
                 อาหารและการออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
                 ส่วนแคลเซียมก็สำคัญ เพราะเป็นส่วนประกอบของกระดูก
                 ร่างกายดูดซึมแคลเซียมก็เพื่อไปสร้างกระดูกให้แข็งแรง

* แล้วถ้าร่างกายได้รับแคลเซียมมาก ๆ ถือเป็นผลดีต่อกระดูกหรือไม่
===>>>   จริง ๆ แล้วแคลเซียมมีประโยชน์เท่าที่ร่างกายต้องการ
                 ถ้ากินมากเกินไปร่างกายก็ขับออกมาเป็นของเสีย
                 ไม่ได้ดูดซึมไปใช้เหมือนวิตามินครับ

* ถ้าอย่างนั้นที่พ่อแม่เข้าใจว่าให้ลูกกินแคลเซียมเยอะ ๆ เพื่อให้สูง 
   ก็เป็นความเข้าใจผิดสิคะ
===>>>   ความสูงของเด็กขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างครับ
                ส่วนหนึ่งก็คือกรรมพันธุ์ การออกกำลังกายกับอาหารช่วยได้บ้าง
                แต่ถ้าจะเพิ่มปริมาณแคลเซียมให้ลูกต้องดูด้วยว่าเพิ่มในรูปแบบไหน
                ถ้าเป็นอาหารน่าจะให้ประโยชน์ได้มากกว่า เช่น ในนม อาหารโปรตีน ตับ
                พวกนี้ร่างกายจะดูดซึมได้ดี แต่ถ้าในรูปของยาจะดูดซึมแค่เพียง
                25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หรืออย่างแคลเซียมผงก็ใช่ว่ากินแล้วจะใช้ได้เลย
                มันถูกแปรรูปไปเรียบร้อยแล้ว

                 แต่ไม่ว่าจะเสริมด้วยวิธีไหนก็ไม่ได้หมายความว่า
                จะช่วยทำให้ลูกสูงขึ้นได้ปรู๊ดปร๊าด เพียงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ช่วยเสริมได้
                แต่ต้องพอดี มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์

* เด็กที่ไม่กินผัก ผลไม้ แคลเซียมในรูปวิตามินเสริม จะช่วยทดแทนได้ไหมคะ
===>>>   ความเห็นของหมอ หมอไม่เชื่อว่าจะแทนกันได้
                ยังไงแคลเซียมในอาหารย่อมดีกว่า เพราะถ้าเรากินโดยไม่เลือกเลย
                อันไหนเกินมันก็ทิ้งเอง ร่างกายยังปรับตัวให้เข้ากันได้ง่ายกว่าด้วย
                ฉะนั้นจึงควรปลูกฝังลูกให้กินอาหารครบดีกว่าครับ เช่น เขากินผัก
               ผักชนิดนั้นมันมีแร่ธาตุอื่นที่ร่างกายต้องการอีกเป็น 10 ชนิด
               ขณะที่แคลเซียมรูปวิตามินเสริมดึงประโยชน์จาก 10 อย่างมาเพียง 1 อย่างเท่านั้น

                อย่างบอกว่ากินตับแล้วมีแคลเซียมมาก ก็ไม่ใช่ว่ามีแต่แคลเซียม
                การที่ลูกกินตับก็ยังได้ธาตุเหล็ก ได้ฟอสฟอรัส และธาตุตัวอื่น ๆ
                อีกมากมาย เนื่องจากสิ่งที่สังเคราะห์ขึ้นมามันไม่เท่ากันกับอาหาร
                จากธรรมชาติ ไม่มีทางเหมือนได้ 100 เปอร์เซนต์หรอก 50 เปอร์เซ็นต์
                จะถึงรึเปล่ายังไม่รู้เลย ยกเว้นว่าลูกไม่สามารถกินผักผลไม้ได้
                คือฝึกหัดยังไงก็ไม่ได้ผล แพทย์ก็อาจแนะนำวิตามินเสริมให้ในปริมาณที่เหมาะสม

* เด็กกับผู้ใหญ่ความต้องการแคลเซียมแตกต่างกันไหมคะ
===>>>   แตกต่างกันครับ เด็กต้องการแคลเซียมมากกว่าผู้ใหญ่
                เพราะเด็กกำลังโต ตัวกำลังสูงขึ้น ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมลูก
                ก็จำเป็นต้องได้รับเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้การเพิ่มปริมาณแคลเซียม
                ให้นั้นไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆ หรือแม่ตั้งครรภ์ ก็ควรจะเลือกเพิ่มจากอาหาร
                ธรรมชาติดีที่สุด เพราะมีประโยชน์มากมาย ที่สำคัญไม่ต้องเปลืองสตางค์
                ไปกับการซื้อวิตามินเสริมเหล่านี้อีกด้วย

เป็นยังไงคะ ได้ข้อสรุปตรงกันแล้วแน่ ๆ ว่า ไม่ว่าวิธีไหน ๆ
ก็สู้ผลผลิตที่ธรรมชาติเลือกสรรให้ไม่ได้อยู่ดี พ่อแม่ท่านไหนเห็นด้วยตะโกนดัง ๆ
แล้วอย่าลืมแบ่งปันความรู้ให้พ่อแม่ท่านอื่น ๆ บ้างนะคะ
***************************************************
แคลเซียมส่วนมากจะมีในน้ำนม หรือมีในรูปของผลิตภัณฑ์จากน้ำนม 
เช่น เนยแข็ง เนยเหลว อีกส่วนหนึ่งจากกระดูกที่กินได้ 
เช่น ปลากระป๋อง ปลาป่น ปลากรอบ กุ้งแห้ง กุ้งฝอยสด(น้ำจืด)

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกชอบกำมือแล้วดูด

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกชอบกำมือแล้วดูด
ถาม---ลูกสาวอายุ 3 เดือนชอบกำมือแล้วดูด
          ไม่ทราบว่าจะมีวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี
          ถ้าดึงมือออกแกก็จะร้องไห้โยเย และไม่ยอมดูดนมค่ะ
ตอบ---เด็ก 3 เดือน ชอบกำมือดูดมือตัวเอง คิดว่าเป็นธรรมชาติของเด็ก
           ที่ชอบดูดอะไรสักอย่าง เช่น ดูดนมแม่ ดูดขวดนม
           ถ้าไม่มีอะไรจะดูดก็จะดูดปากหรือดูดมือตัวเอง
           ความจริงเขาทำได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เรามาดึงมือออกเขามักไม่ค่อยยอม
           ให้สังเกตดีกว่าว่าเขาดูดเพราะหิวหรือยัง ถ้ามื้อนมห่างพอควรก็ให้นมได้อีก
           ถ้าเพิ่งจะกินนมแต่ดูดมือไม่ต้องดึงมือออก แต่เอาของเล่นมาล่อเขาจะสนใจ
           เอามือยื่นออกมาจับของเล่น เลิกดูดมือไปเองค่ะ
*******************************************
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา
*******************************************

ปรึกษาหมอเด็ก-ริมฝีปากแห้ง

ปรึกษาหมอเด็ก-ริมฝีปากแห้ง
ถาม---ลูกอายุ 2 ขวบกว่าริมฝีปากแห้งมาก ทาลิปมันให้แล้วก็ยังไม่หาย
          รวมทั้งมีอาการเท้าแตกด้วย ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี
          หรือเป็นเพราะว่าลูกขาดวิตามินอะไร (ลูกทานอาหารทุกอย่างได้ดีและมากด้วย)
ตอบ---จากข้อมูลที่คุณแม่เล่ามา หมอคิดว่าคงไม่ใช่อาการของการขาดวิตามิน
           เข้าใจว่าลูกคุณคงมีผิวหนังแห้งกว่าคนทั่วไปมากกว่า
          ไม่ทราบว่าตัวคุณพ่อคุณแม่หรือพี่น้องและญาติในครอบครัว
          มีอาการแบบเดียวกันนี้บ้างหรือเปล่า
          เพราะอาจเป็นโรคผิวแห้งพันธุกรรมให้ลองใช้ครีมหรือขี้ผึ้ง
          เช่น วาสลินทาเท้าให้ก่อนนอน ถ้าไม่ดีขึ้นอาจใช้ครีมยูเรีย (10 เปอร์เซนต์) ทาให้
          และควรให้สวมรองเท้า เพราะถ้าลูกเดินเท้าเปล่า และล้างเท้าบ่อย ๆ
          ก็อาจจะทำให้เท้าแห้งและแตกได้
          สำหรับริมฝีปากคงต้องใช้ลิปมันทาให้บ่อย ๆ
          ควรเป็นลิปมันที่ไม่มีสีเพราะลูกอาจแพ้สีที่ผสมในลิปมันได้
         แต่ถ้ามีอาการคันก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง น่าจะดีกว่า
********************************
รศ.พญ.สุจิตรา วีรวรรณ
********************************

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกติดรสหวาน

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกติดรสหวาน
ถาม---ลูกสาวอายุ 4 เดือนเศษ กินนมแม่ตั้งแต่คลอด
          ตอนนี้ดิฉันต้องกลับไปทำงาน กลางวันฝากให้คุณยายช่วยเลี้ยง
          แต่ลูกไม่ค่อยยอมทานนมจากขวด
          คุณยายเลยผสมนมข้นหวานสลับกับน้ำผึ้งรวงลงไปในนมให้ลูก 1 ช้อนชา
          ต่อ 3 ออนซ์ ลูกถึงจะยอมทาน ไม่ทราบว่ามีอันตรายกับเด็กอย่างไรบ้างคะ
          ดิฉันพยายามบอกแล้วว่าไม่ดี แต่คุณยายของลูกก็ยังไม่เชื่อค่ะ
ตอบ---อายุ 4 เดือน กินนมแม่ ต่อมากินนมขวดผสมนมข้นหวานสลับน้ำผึ้งลงไปอีก
           ลูกเลยติดรสหวานใน 4 เดือนนี้ปัญหาคือเด็กจะติดรสหวานโดยไม่จำเป็นเลย

           จะไปว่าคุณยายก็ไม่ได้เพราะคุณยายก็กลุ้มที่ลูกสาวไปทำงาน
           หลานสาวไม่กินนมขวด นมคุณยายก็แห้งแล้งไปหมด จึงหากลเม็ดให้หลานกิน
           เมื่อเขาติดรสหวานไปแล้ว ก็ติดนมขวดไปด้วย
           ตอนนี้คงต้องพยายามลดรสหวานทีละน้อย ๆ ไม่ถดถอยความอุตสาหะ
           ส่วนคุณยายก็กล่าวชมด้วยสุนทรวาจาว่าคุณยายทำดีแล้ว
           แต่ต้องลดความหวานทีละน้อย ทำไม่ยาก โดยไม่ให้เด็กรู้ตัว
           คือ คุณยายค่อย ๆ ลดนมข้นหวานทีละน้อย ๆ น้ำผึ้งที่เคยใส่ 1 ช้อนชา
           ต่อ 3 ออนซ์ ลดเหลือ 3/4 ช้อนชา สักพักเมื่อลูกไม่รู้สึก ลดอีกเหลือ 1/2 ช้อนชา
           และ 1/4 ช้อนชา ลูกก็ยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะเราค่อย ๆ ลดทีละน้อย
          หมอเองแต่ก่อนติดสารหวาน ติดมัน ติดเค็ม ค่อย ๆ ลด จนเดี๋ยวนี้
          ดื่มชาเฉย ๆ ไม่เติมนม น้ำตาลเลย กำลังหัดลดความเค็มในอาหารเพื่อสุขภาพอยู่
*******************************************
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา
*******************************************

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-จะเอาอะไรจะนั่งเฝ้า

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-จะเอาอะไรจะนั่งเฝ้า
ถาม---ลูกชายอายุ 3 ขวบ ชอบตามใจตัวเองมาก เวลาออกไปข้างนอก
           ถ้าแกอยากได้อะไรจะนั่งเฝ้าเลย ไม่ยอมไปไหน พยายามจะไม่ตามใจ
           เขาก็ไม่ยอม ต้องเอาให้ได้ ทำอย่างนี้ทุกครั้ง จะทำอย่างไรดี
           เพราะไม่อยากใช้อารมณ์และวิธีรุนแรงกับลูก
ตอบ---ไม่ทราบว่าที่เรียกว่าแกชอบตามใจตัวเองนั้น มีแต่เรื่องซื้อของนอกบ้านหรือไม่
            จริง ๆ เป็นปัญหาที่ไปเดินห้างฯเมื่อไหร่ ก็ได้เห็นเมื่อนั้นทุกทีไป
            เท่าที่เห็นพ่อแม่ก็มักจะบอกลูกว่าไม่มีตังค์ ซึ่งอาจได้ผลในบางราย
           หากเด็กโตหน่อยก็อาจถูกถามอ้อนเอาได้ เช่น เห็นแม่ซื้อที่ทาปากแดงกว่านี้อีก

            สำหรับลูกชายวัย 3 ขวบนั้น หากไม่ให้ซื้อก็ควรให้เหตุผลสั้น ๆ
           หากลูกลงนั่งก็เดินออกมาห่างสักครู่ เด็กอาจแสดงฤทธิ์ก็ให้เขาร้องไป
           ไม่ต้องอายพ่อแม่คนอื่นหรอก (ต้องแอบบอกพ่อแม่ท่านอื่น ๆ ด้วยว่า
           อย่าหยุดมองทำท่าเห็นใจ เข้าไปโอ๋เด็กแทน) เขาจะทดสอบดูว่าเราทนเขาได้แค่ไหน
           ถ้าเราสอบผ่านครั้งแรก ครั้งถัด ๆ ไปจะค่อยง่ายขึ้น เพราะเขาจะรู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลหรอก
************************
ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์
************************

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-พัฒนาการหยุดชะงักจากการตกที่สูง

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-พัฒนาการหยุดชะงักจากการตกที่สูง
ถาม---ตอนลูกสาวอายุ 1 ขวบ แกพลัดตกจากบ้านสูงประมาณ 1 เมตร
          หลังจากนั้นแกมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จากที่เป็นเด็กอารมณ์ดี
          ไม่กลัวอะไร เริ่มเรียกพ่อแม่ได้บ้างแล้ว เริ่มก้าวเดิน
           แต่หลังจากที่ตกแกกลับไม่ยอมพูด ไม่ยอมเรียกแม่ นาน ๆ ถึงเรียกสักที
          ไม่กล้าก้าวเดิน พัฒนาการแกหยุดชะงักลงเพราะการตกครั้งนั้น
           หรือว่าเป็นความผิดปกติของพัฒนาการแกเอง
           (ตอนนี้อายุ 1 ขวบ 1 เดือน 10 วัน) ต้องทำอย่างไรดีคะ
ตอบ---ในกรณีนี้หมอไม่แน่ใจว่าคุณได้สังเกตอาการของลูกนานพอหรือยัง
           ที่จะสรุปว่าพัฒนาการของลูกหยุดชะงัก เพราะการที่จะบอกได้คงต้อง
           ใช้เวลาในการติดตามนานพอสมควร ว่าเด็กมีพัฒนาการที่หยุดชะงัก
            จริงหรือไม่ ถ้าหากแน่ใจแล้วว่าพัฒนาการแกหยุดชะงักจริง ก็คงจะยังบอก
            ไม่ได้ว่าเป็นเพราะความผิดปกติของแกเอง หรือเป็นผลจากการที่ตกครั้งนั้น
            คุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียด
            และนำสมุดบันทึกพัฒนาการของเด็กไปให้คุณหมอดูด้วย รวมทั้งเพื่อจะได้
            ติดตามดูพัฒนาการต่อ ๆ ไปของลูกว่าเป็นอย่างไร อย่ารอช้าครับ
************************
ผศ.นพ.ชาตรี วิฑูรชาติ
************************

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-ลูกชอบชักดิ้นชักงอ, ขว้างของ

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-ลูกชอบชักดิ้นชักงอ, ขว้างของ
ถาม---ลูกชายอายุ 1 ขวบ 2 เดือน เวลาโดนห้ามหรือขัดใจ
          จะลงไปนอนชักดิ้นชักงอ ร้องไห้ ถ้าถืออะไรอยู่ก็จะขว้างทิ้งทันที
          (ส่วนใหญ่จะห้ามในเรื่องที่เป็นอันตรายหรือไม่สมควร) แต่อาการนี้
          เป็นไม่นาน ถ้าอุ้มออกไปหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เขาก็จะลืม
          อยากทราบว่าอาการนี้จะเป็นตลอดไปหรือไม่ หรือมีทางแก้ไขอย่างไรบ้าง
ตอบ---ในวัย 1-2 ปี เด็กเริ่มเปลี่ยนจากการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
           มาเป็นวัยที่พอจะทำอะไรได้ด้วยตัวเองแล้วค่ะ แกจึงมักแสดง
           ความเป็นตัวเองและมักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง อยากรู้ อยากเห็น
           และชอบลองทำสิ่งใหม่ ประกอบกับภาษาพูดยังพัฒนาไม่เต็มที่
           เมื่อเกิดความขัดแย้งจึงรู้สึกขัดเคืองในตัวเองอย่างมาก
           เด็กบางคนจึงแสดงออกทางพฤติกรรม
           เช่น ร้องดิ้นกับพื้น หรือขว้างปาข้าวของดังเช่นลูกชายคุณแม่

            ทางแก้ควรเริ่มจากลดความขัดแย้ง โดยการหลีกเลี่ยงการห้ามที่พร่ำเพรื่อ
            ข้าวของที่เกรงว่าจะเป็นอันตรายหรือแตกหักเสียหายควรเก็บให้พ้นมือเด็ก
            ก็จะช่วยลดการห้ามได้ส่วนหนึ่ง การโน้มน้าวให้เด็กเกิดแรงจูงใจ
            กระทำในสิ่งที่ควร โดยใช้เงื่อนไขที่เหมาะสมย่อมดีกว่าการบังคับ
           เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมอาละวาดดังกล่าวอาจเบี่ยงเบนความสนใจ
           ดังที่คุณแม่กระทำ หรือละเลยความสนใจชั่วขณะ จนเมื่อเด็กสงบ
           จึงกลับมาให้ความสนใจได้ ส่วนใหญ่พฤติกรรมนี้จะพบน้อยลงหลังอายุ 3 ปีค่ะ
************************
พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช
************************

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-ลูกชายคนโต-คนเล็ก

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-ลูกชายคนโต-คนเล็ก
ถาม---ลูกชายอายุ 3 ขวบครึ่งดูจะมีปัญหาเพราะอยากให้พ่อสนใจเช่นน้องชาย
          พ่อทำงานต่างจังหวัด มาแต่ละครั้งก็สนใจแต่ลูกชายคนเล็ก
          เขาบอกว่ารักลูกคนเล็กมากกว่า ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
          แต่ลูกชายคนโตดูซึม มีพฤติกรรมถดถอยและฉี่รดที่นอนด้วย
          ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็น เป็นเพราะแกคิดมากหรือเปล่า และจะปลอบลูก
          อย่างไรดีที่แกอยากแสดงความรักกับพ่อในโอกาสต่าง ๆ บ้าง
          แต่พ่ออยู่ต่างจังหวัดและไม่ค่อยสนใจแกเท่าไหร่
ตอบ---เด็กวัย 3-4 ขวบ ยังเรียกร้องความสนใจอยู่มาก
           หรือยังติดคุณพ่อคุณแม่อยู่นั่นเอง ยังไม่เข้าใจการเสียสละ
           การอิจฉาน้องจึงเป็นปฏิกิริยาที่พบบ่อย
          ซึ่งอาจแสดงออกเป็นการแกล้งน้องหรือเป็นพฤติกรรมถดถอย
          ดังเช่นลูกชายคุณแม่
          หมอเชื่อว่าลูกชายต้องการความสนใจจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่
          แต่คุณแม่ก็ยังคงให้เวลากับลูกชายคนเล็กเป็นส่วนใหญ่
          เนื่องจากยังช่วยตนเองได้น้อยกว่า
          การเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อทดแทนจึงมีมากขึ้น
          หากเคยได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อทุกครั้งที่กลับจากต่างจังหวัด
          แล้วกลายเป็นไม่ได้รับเนื่องจากมีน้องชาย
          ยิ่งทำให้เด็กรู้สึกถูกทอดทิ้งมากขึ้นเป็นทวีคูณ

            การปลอบโยนลูกอาจได้ผลน้อยกว่าการเล่าปัญหาของลูกชายคนโต
            ให้คุณพ่อเข้าใจ หมอเชื่อว่าคุณพ่อสามารถแสดงความรัก
            และให้ความสนใจลูกชายคนโตได้เท่าเทียมกับลูกชายคนเล็ก
            แม้ในใจจะรู้สึกเอ็นดูคนเล็กมากสักหน่อยก็ตาม
            และที่สำคัญคือคุณแม่เป็นผู้ใกล้ชิดทุกวันสามารถให้ความอบอุ่นได้มากกว่า
            แม้ว่าจะต้องดูแลลูกคนเล็กไปด้วย พยายามให้ลูกชายคนโตมีส่วนร่วม
            ในการเลี้ยงน้องแทนการห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งสถานการณ์จะดีขึ้นแน่นอนค่ะ
************************
พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช
************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ตั้งครรภ์อุ้มลูกอีกคน, ทานแคลเซียมแทนนม

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ตั้งครรภ์อุ้มลูกอีกคน, ทานแคลเซียมแทนนม
ถาม---1. ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนแล้วแข็งแรงดีค่ะ
              แต่ดิฉันต้องอุ้มลูกชายอีกคนหนึ่งบ่อย ๆ (น้ำหนัก 10 กก.)
              จะเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์มั้ยคะ อย่างนี้เข้าข่ายยกของหนักหรือเปล่า
           2. ไม่ชอบทานนม
               ถ้าทานอาหารอื่นครบ 5 หมู่
               และทานยาเพิ่มแคลเซียมจะทดแทนสารอาหารจากน้ำนมได้มั้ยคะ
ตอบ---1. ลูกชายที่หนัก 10 กก. คิดว่าน่าจะ 1 ขวบแล้ว ส่วนใหญ่เด็กจะเดินได้คล่องแล้ว
               ผมคิดว่าการอุ้มคงไม่ค่อยจำเป็น ประกอบกับน้ำหนัก 10 กก. เวลาคุณแม่อุ้ม
               ต้องเกร็งหน้าท้องรวมทั้งเด็กอาจขยับขากระแทกหน้าท้องช่วงตัวมดลูก
               ก็อาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวได้ ภาวะมดลูกบีบตัวก่อนกำหนดย่อม
               ไม่ส่งผลดีต่อการตั้งครรภ์อาจทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้
                สรุปคือควรเลี่ยงอุ้มลูกจะเป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์ครับ
            2. ธาตุแคลเซียมจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำนม แต่ในอาหารชนิดอื่น
                ก็มีธาตุนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น น้ำนมถั่วเหลือง ก้านผัก กระดูกอ่อน ก้างปลา
                ความต้องการธาตุแคลเซียมของคุณแม่จะมีค่าประมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
                ถ้าเทียบกับนมวัวก็จะประมาณ 1,000 ซี.ซี. หรือนม 4 แก้วครับ
            แคลเซียมที่เป็นรูปเม็ดยาก็มีหลายชนิดครับ อาจจะลองปรึกษาสูติแพทย์ดูก็ได้นะครับ
**********************************
น.พ.มฆวัน ธนะนันท์กูล
**********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-กินยาบำรุงแล้วอุจจาระเป็นสีดำ

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-กินยาบำรุงแล้วอุจจาระเป็นสีดำ
ถาม---ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนแล้วค่ะ กินยาบำรุงที่คุณหมอให้ทุกวัน
          สังเกตดูพบว่าอุจจาระเป็นสีดำทุกครั้งที่ถ่ายออกมา
          ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับยาที่กินอยู่รึเปล่าคะ
ตอบ---ยาบำรุงที่สูติแพทย์มักจ่ายให้แก่คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีส่วนประกอบของ
           ธาตุเหล็กอยู่ด้วย ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดของแม่และทารกในครรภ์
           ธาตุเหล็กดังกล่าวไม่สามารถได้รับอย่างเพียงพอจากการกินอาหารเท่านั้น
           ดังนั้นสูติแพทย์จึงต้องจ่ายยาบำรุงเพิ่มเติมให้
           ธาตุเหล็กส่วนที่เหลือจากการดูดซึมจากลำไส้แล้วเมื่อถูกขับออกมากับอุจจาระ
           จะมีสีดำหรือสีเทาเข้ม ดังนั้นคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจหรือตกใจแต่ประการใดครับ
**********************************
นท.น.พ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ
**********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน
ถาม---ดิฉันอายุ 35 ปีตอนนี้คลอดลูกคนแรกได้ 1 เดือนแล้วใช้วิธีผ่าคลอด
           ลูกแข็งแรงดี แต่ที่สงสัยคือไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ลูกต้องกินนมขวดตั้งแต่เกิด
           ดิฉันเสียใจมากไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะ
           การผ่าท้องคลอดมีผลทำให้ไม่มีน้ำนมรึเปล่า
ตอบ---การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องโดยลำพังไม่น่าจะมีผลทำให้ไม่มีน้ำนม
           แต่อาจมีผลกระทบจากสภาพจิตใจ ความกลัวการผ่าตัด กลัวห้องผ่าตัด
           กลัวความเจ็บปวด หรือภาวะเจ็บปวดแผลผ่าตัดหน้าท้อง
           ซึ่งอย่างน้อยรอยแผลน่าจะเท่ากับหัวเด็ก
           ย่อมส่งผลให้เจ็บปวดกว่าแผลที่ช่องคลอดซึ่งสั้นกว่าและเจ็บน้อยกว่า
           ปัจจัยข้างต้นน่าจะส่งผลให้การสร้างฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมลดลง
         
           อีกผลกระทบหนึ่งก็คือสภาพร่างกาย
           ซึ่งความแข็งแรงของร่างกายจะน้อยกว่าคลอดเองตามธรรมชาติ
           เสียเลือดมากกว่ากันถึง 2 เท่า
           และถ้าเกิดติดเชื้อของแผลผ่าตัดก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นอีก
          จากความเจ็บปวดแผลหน้าท้องก็เป็นอุปสรรคในการอุ้มเด็ก
          และเมื่อให้ลูกดูดนมแม่ ระยะเริ่มดูดกระตุ้นนมแม่ก็จะช้ากว่าปกติ
          วงจรการสร้างน้ำนมก็จะสูญเสียไป
          และอีกปัจจัยหนึ่งคือลูกได้รับนมจากขวดก็จะติดจุกนมขวด
          ทำให้ไม่อยากดูดนมแม่ ทั้งหมดนี้มีผลให้เกิดความล้มเหลวในการดูดนมแม่
         
          ดังนั้นที่ผ่านไปแล้วก็ให้เป็นอดีตเถอะครับ
          ถ้าตั้งครรภ์ครั้งหน้าคงต้องดูแลเรื่องกินอาหารให้ถูกต้อง
          ปรึกษาสูติแพทย์ เล่าถึงความล้มเหลวครั้งก่อนให้แพทย์ฟัง
          และเตรียมพร้อมสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
          รีบให้ลูกดูดกระตุ้นหัวนมและทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสก็จะประสบความสำเร็จครับ
**********************************
น.พ.มฆวัน ธนะนันท์กูล
**********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ท้องลม, เด็กในท้องดิ้นมาก, น้ำคร่ำน้อย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ท้องลม, เด็กในท้องดิ้นมาก, น้ำคร่ำน้อย
ถาม---1. ดิฉันมีเพื่อนเป็นท้องลมค่ะ อยากทราบว่าคืออะไร
              มีอันตรายแค่ไหน ต้องขูดมดลูกหรือไม่
           2. การที่เด็กในท้องดิ้นมาก ถือว่าแข็งแรงหรือว่าไม่มีความสุขคะ
               เพราะเขาดิ้นตลอด ไม่เป็นเวลาเลย
           3. การมีน้ำคร่ำน้อยเกิดจากอะไรคะ มีผลเสียอย่างไรต่อลูกและตัวแม่บ้าง
ตอบ---1. "ท้องลม" เข้าใจว่ามาจากศัพท์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า "Blighted ovum"
                หมายถึงการตั้งครรภ์ที่มีแต่ถุงเยื่อหุ้มเด็ก แต่ไม่พบตัวอ่อนของทารก
                ศัพท์นี้ได้บัญญัติขึ้นตั้งแต่เริ่มมีเครื่องอัลตราซาวนด์ที่สามารถ
                ตรวจรายละเอียดของครรภ์ที่ยังอ่อนได้ เราถือหลักว่า
                ถ้าวัดขนาดถุงเยื่อหุ้มเด็กได้เกิน 2.5 ซม. แล้วจะพบตัวอ่อนของทารก
                หากไม่แน่ใจและถ้าคุณแม่ยังไม่มีอาการเลือดออก
                เราอาจติดตามการตรวจต่ออีก 2 สัปดาห์ ถ้ามั่นใจว่าเป็นท้องลมแล้ว
                การขูดมดลูกด้วยวิธีการที่นุ่มนวลถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกัน
                ปัญหาการตกเลือดจากการรอแท้งเองตามธรรมชาติค่ะ แต่ถ้าคุณแม่
                อยากจะรอให้แท้งเองอาจมีการตกเลือดตามมาได้ค่ะ ถ้าการแท้งนั้นไม่ครบสมบูรณ์
            2. ลูกในครรภ์จะดิ้นแรงจนคุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นได้
                เมื่ออายุครรภ์ได้ 16-20 สัปดาห์
                ลูกจะดิ้นด้วยคำสั่งของสมองเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
                และการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบโครงสร้าง
               คือกระดูกและกล้ามเนื้อหลัง 28 สัปดาห์ที่ประสาทการรับรู้คือการเห็น
               และการได้ยินใกล้เคียงผู้ใหญ่แล้ว เขาจะดิ้นอย่างมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น
               ดังนั้นการดิ้นของเขาก็เหมือนสื่อภาษาที่ให้คุณแม่รับรู้สุขทุกข์ของลูก
               เวลาลูบท้องคุยกับเขาเบา ๆ หรือเปิดฟังเพลงที่เขาชอบ
               เขาก็จะดิ้นเบา ๆ แสดงอาการพึงพอใจได้ค่ะ
            3. น้ำคร่ำถูกผลิตจากเยื่อหุ้มเด็กในระยะแรก และเมื่อไตของเด็ก
                 เริ่มทำงานส่วนหนึ่งของน้ำคร่ำก็มาจากปัสสาวะของเด็ก
                ดังนั้นเด็กที่มีความพิการในระบบทางเดินปัสสาวะที่ทำให้ขับถ่ายปัสสาวะ
               ได้น้อยก็จะมีน้ำคร่ำน้อย ที่รุนแรงคือไม่มีไตเลยทั้งสองข้าง ซึ่งพบได้น้อยมาก
                ส่วนใหญ่น้ำคร่ำน้อยมักเกิดขึ้นในเด็กตัวเล็กน้ำหนักน้อย โตไม่สมวัย
**********************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
**********************************

ปรึกษาหมอเด็ก-ผิวลูกแห้ง

ปรึกษาหมอเด็ก-ผิวลูกแห้ง
ถาม---ลูก 2 คนมีปัญหาเรื่องผิวค่ะ
          คือผิวตรงช่วงไหล่และหลังด้านบนจะมีลักษณะแห้งเหมือนกับด้าน ๆ
          และกำลังจะลอก เคยสังเกตว่าเวลาอาบน้ำแล้วใช้สบู่ถูหลังให้
         จะเกิดอาการดังกล่าว (บางทีก็คันและลอกมาก)
         มีคุณหมอแนะนำให้ใช้สบู่ PH5 แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น
         บางทีหายแล้วก็กลับมาเป็นอีก จะทำอย่างไรดีคะ
ตอบ---หมอไม่ทราบว่าลูกของคุณอายุเท่าใด
            เพราะถ้า เป็นเด็กเล็ก หากให้ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ จะมีเหงื่อออกมาก
            ทำให้เกิดผื่นบริเวณดังกล่าว แล้วจะแห้งและลอกได้
            เมื่อผื่นที่แพ้เหงื่อนี้ไปสัมผัสกับเสื้อผ้า ซึ่งอาจจะมีผงซักฟอกหลงเหลืออยู่บ้าง
            ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้

            นอกจากนั้นผื่นนี้ก็อาจจะเกิดจากแพ้สบู่ที่ใช้
            ตามที่บอกมาว่าผื่นที่เป็นมักเกิดหลังจากถูสบู่
            หมอจึงอยากแนะนำให้งดใช้สบู่ที่สงสัย อาบน้ำให้ลูกบ่อย ๆ เวลาอากาศร้อน
            อย่าปล่อยให้อับเหงื่อ เสื้อผ้าเวลาซักควรล้างหลาย ๆ ครั้งให้หมดผงซักฟอก
            อาการก็คงดีขึ้น แต่ถ้าผิวยังแห้งลอกและคัน อาจต้องใช้ยาทาลดอาการคัน
           ซึ่งอาจใช้ครีมสเตียรอยด์ทาบาง ๆ ให้ผื่นหาย แต่ทางที่ดีคือ ควรป้องกันตามที่หมอบอกข้างต้นค่ะ
********************************
รศ.พญ.สุจิตรา วีรวรรณ
********************************

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พัฒนาการเด็ก 3-6 ปี โตแล้วจ้า-คู่หูล่องหน

พัฒนาการเด็ก 3-6 ปี โตแล้วจ้า-คู่หูล่องหน
เพื่อนโรงเรียนอนุบาลของลูก แม่ว่า แม่รู้จักทุกคนเลยนะ
แต่เอ... เพื่อนคนนี้แปลก
เห็นลูกชอบคุยด้วย เล่นด้วย แต่มองไปทีไร ก็ไม่เห็นมีใคร
 ... เอ๋ หรือว่า...
ไม่ต้องตกใจค่ะ เพื่อนใหม่คนนี้ของลูกก็คือ คู่หูในจินตนาการนั่นเอง

คู่หูล่องหนที่ว่าก็คือเพื่อนสมมติที่เจ้าตัวเล็กวัยอนุบาลสร้างขึ้น
โดยเฉพาะสมาชิกอนุบาลหมาด ๆ 3-4 ขวบจะพบบ่อยสักหน่อย
ถือเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ
อายุอานามของเพื่อนคนนี้ส่วนใหญ่ก็จะใกล้เคียงกับเด็ก ๆ
อาจมีคนเดียวหรือหลายคน
รูปร่างหน้าตา ชื่อเสียงเรียงนามก็แล้วแต่เจ้าตัวเล็กจะคิดจะเรียกเอา
ซึ่งปกติก็จะเป็นแบบที่แกชื่นชอบ อาจมาจากตัวละครในนิทานที่ชอบ
หรือที่คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ฟังบ่อย ๆ ค่ะ

ลูกและเพื่อนที่แตกต่าง
เด็กแต่ละคนก็มีเพื่อนสมมติคนละแบบตามบุคลิกของแกค่ะ
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจได้รู้จักเพื่อนคนนี้ในแบบที่ไม่ซ้ำกันเลย อย่างเช่น...

===>>>   น้องอั๋น วัย 4 ขวบ แนะนำเพื่อนใหม่ให้พ่อแม่รู้จักว่า...
                 เขาเป็นพี่ชาย อาศัยอยู่ในป่า มีมีดเล่มใหญ่และหอกด้วย
                 แล้วก็รู้จักสัตว์ต่าง ๆ มากมาย เขาสนุกสนานร่าเริง รอบรู้
                 แล้วก็มีความสามารถพิเศษมากมาย... ซึ่งเป็นบุคลิกแบบที่แกใฝ่ฝันอยากเป็น

===>>>   ส่วนน้องพลอย วัย 3 ขวบ ก็แนะนำเพื่อนสมมติให้พ่อแม่รู้จักเหมือนกัน
                มีตั้งหลายคน แต่มาทีละคน เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนบุคลิกกันไป
                แล้วยังบอกพ่อแม่ได้อีกแน่ะว่าเพื่อนคนนี้ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
                และต้องการอะไร บางทีก็มีเตือนแม่ด้วยนะว่าเรายังออกไปไม่ได้
                เพราะเพื่อนของแกยังไม่ได้ใส่รองเท้าเลย

===>>>   ตรงข้ามกับ น้องโอ๊ต วัย 3 ขวบ ซึ่งเป็นลูกคนเดียว
                น้องโอ๊ตก็มีคู่หูล่องหนเช่นกัน แต่เป็นแบบส่วนตั๊วส่วนตัว
                แม่บอกว่าแกไม่ค่อยพูดเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้มากนัก
                และดูเหมือนว่าเพื่อนของแกไม่ได้เป็นตัวเป็นตนชัดเจนด้วย

ความแตกต่างของบรรดาเพื่อนสมมติดังกล่าว แสดงให้เห็นชัดเจนค่ะว่า
เพื่อนสมมติมักเกิดจากความต้องการและพลังจินตนาการเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน
ซึ่งไม่ได้เป็นตัววัดว่าเด็กมีปัญหาหรือผิดปกติอะไร

เพื่อนสมมติ...คนนี้สำคัญ
เพื่อนสมมติเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของเด็ก ๆ ที่จะช่วยฝึกทักษะเพื่อจัดการปัญหาต่าง ๆ
โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มชั้นอนุบาลใหม่ ๆ
ซึ่งต้องเรียนรู้และปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ นอกบ้าน
แล้วยังต้องเรียนรู้ และค้นหาความเป็นตัวของตัวเองด้วย

ปรับตัวสู่โลกใบใหญ่
เพราะการเข้าอนุบาลเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
และครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของเด็กน้อย ที่ต้องอาศัยการปรับตัวกับสิ่งใหม่ ๆ ที่พบ
ทั้งคุณครู เพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ซึ่งไม่ใช่บ้าน แต่เมื่อไม่มีประสบการณ์
เจ้าหนูก็ต้องหันหน้าหาผู้ช่วย กับพ่อแม่เองก็ไม่รู้จะปรึกษายังไง
ก็เลยสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมา
เพื่อนคนนี้จะร่วมสถานการณ์สมมติที่เป็นข้อข้องใจของเจ้าหนูเพื่อทดลองแก้ไข
และหาทางออกจากสถานการณ์นั้น ๆ

เมื่อหนูถูกเรียกร้อง
เพราะเด็ก ๆ เริ่มมีสังคมนอกบ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มเรียกร้องให้ลูกทำตัวดี ๆ
พูดจาเพราะ ๆ รู้จักแบ่งปัน แต่ด้วยความที่ยังเด็กก็อาจทำไม่ได้ดี ทำให้ถูกตำหนิ
แกก็เลยสร้างเพื่อนสมมติที่โตกว่า ทั้งหัวดื้อบังคับยาก และมักเจอปัญหาเสมอขึ้นมา
เพื่อเป็นการถ่ายปัญหาของตัวเองลงไปในตัวเพื่อนคนนี้ ผ่านการเล่นสมมติ
ซึ่งจะมีเรื่องกฎระเบียบของพ่อแม่ และการฝีนกฎอยู่ด้วย
อาจคุยกันถึงเรื่องที่เด็ก ๆ ถูกตำหนิ หรืออาจสมมติว่าเพื่อนล่องหนของแก
อนุญาตให้ทำสิ่งที่พ่อแม่ห้ามได้ ซึ่งจะไม่มีปัญหากับพ่อแม่ในชีวิตจริง
และบางครั้งความแตกต่างของอายุยังช่วยให้เจ้าหนูรู้สึกสบายใจว่า
ตัวเองยังเล็ก ไม่จำเป็นต้องทำได้ดีนักก็ได้

ก็หนูโดดเดี่ยว
เพราะเป็นลูกคนเดียว เป็นลูกคนแรกสุด หรืออายุห่างจากพี่น้องมาก
เจ้าหนูเลยไม่มีเพื่อนคู่คิดที่เข้าอกเข้าใจหัวใจดวงน้อย
เพื่อนสมมติจึงเป็นฮีโร่ที่ปรากฎตัวขึ้น

เพื่อนสมมติ...คนนี้ดีจัง
* รับมือเรื่องเครียด 
เพื่อนล่องหนเกิดขึ้นเพื่อช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้และแก้ปัญหา
ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาแค่เบื้องต้น แต่ก็ช่วยให้เด็ก ๆ รับมือกับเรื่องเครียด ๆ ได้บ้าง
ไม่ว่าเรื่องเข้าโรงเรียน เพื่อนสนิทข้างบ้านย้ายไป หรือเรื่องการตายก็ตาม
แต่ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยนะคะ

* สื่อกลางเชื่อมสายใย
การสื่อสารผ่านเพื่อนสมมติของเด็ก ๆ ยังเปิดโอกาสให้แก
ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันความรู้สึกกับคุณพ่อคุณแม่
ซึ่งปกติเจ้าหนูอาจไม่สะดวกใจที่จะแสดงออก

*สร้างเสริมลักษณะนิสัย
การได้พูดคุยแสดงความคิด ความรู้สึกผ่านเพื่อนสมมติ
ทำให้เด็ก ๆ เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ยิ้ม หัวเราะ มีความสุขง่ายขึ้น
และยังเรียนรู้ที่จะแบ่งปันช่วยเหลือ และให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วย

* เสริมทักษะ
เด็กที่มีเพื่อนสมมติมักมีความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการกว้างไกล
และมีทักษะทางภาษาที่ดี จากการได้คิดและพูด

*ย่างก้าวสู่ชีวิตจริง
โลกแห่งความฝันและจินตนาการส่วนตัว
ทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสทดลองสวมบทบาทใหม่ ๆ
และแก้ปัญหาความขัดแย้งในชีวิตที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสม
และเก็บเป็นประสบการณ์เพื่อใช้ในชีวิตจริงเมื่อเผชิญปัญหา

กุญแจสู่โลกใบเล็ก
เราพ่อแม่จะเข้าใจเรื่องราวในโลกของเด็ก ๆ ได้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่แสดงออกผ่านการเล่น และเรื่องที่แกพยายามทำความเข้าใจ
ด้วยการเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังเรื่องของเพื่อนล่องหนของลูก
ตรงกันข้ามถ้าไม่ยอมรับรู้ความจริงเรื่องเพื่อนคนนี้ของเจ้าตัวเล็ก
ก็เท่ากับปิดประตูเชื่อมระหว่างเรากับลูกเลยทีเดียว

"อิน" เกินไปไม่ดี
ขณะที่รับฟัง
พ่อแม่ไม่ควรมีท่าทีกระตือรือร้นที่จะยอมรับเพื่อนสมมติของลูกจนเกินเหตุ
เพราะจะทำให้ลูกสับสน ต้องไม่ลืมว่าลูกเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในตัวเพื่อนคนนี้
ทั้งเป็นผู้ควบคุมเพื่อนสมมติของแกทุกอย่างอย่างเต็มที่
ถ้าคุณดึงเอาเพื่อนรู้ใจของลูกมาเป็นเพื่อนซี้ของคุณด้วย
ก็นั่นเท่ากับเป็นการดึงอำนาจควบคุมนั้นมาจากลูก
ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงและจินตนาการในความเข้าใจของลูกเลือนหายไป

เมื่อไหร่ที่ต้องห่วง?
ปกติแล้วแทบจะไม่ต้องห่วงเลยค่ะ
ถ้าสังเกตว่าลูกแค่จะพูดผ่านเพื่อนของแกทุกครั้งที่อยากบอกอะไรคุณ
ก็หมายความว่าแกรู้สึกไม่สะดวกนักที่ต้องพูดกับพ่อแม่
เราพ่อแม่ก็แค่เขยิบเข้าหาลูกมากหน่อย
แต่เมื่อไหร่ที่ลูกร้องไห้กลับจากเนิร์สเซอร์รี่ทุกวัน
และพึ่งพาเพื่อนสมมติของแกมากเกินไป
นั่นละถึงเวลาที่เราต้องค้นหาต้นตอและแก้ไขกันแล้ว

ถ้าลูกของคุณมีเพื่อนสมมติสักคน
ให้สบายใจได้เลยค่ะว่าลูกยังมีความสุขดีอยู่
ซึ่งอีกไม่นานเพื่อนสมมติคนนี้ก็จะค่อย ๆ จากไปด้วยดี
และทิ้งสะพานเชื่อมที่แข็งแกร่งระหว่างโลกใบเล็ก
และโลกภายนอกให้เป็นสมบัติของลูกรักของเราอย่างถาวร

คุยดี ๆ ต้องมีเทคนิค
* อย่าคิดมาก
บางครั้งเด็ก ๆ อาจแสดงอารมณ์ในด้านลบ
เช่น โกรธ หรือเศร้า ผ่านเพื่อนสมมติของแกบ้างเป็นธรรมดา
บางทีก็แค่ทดลองความคิดความรู้สึกที่เคยรับรู้หรือสัมผัสมาจากคนอื่นดูเท่านั้นเอง
ถ้าเรากังวลกับอารมณ์กระเซ็นกระสายนี้มากเกินไป
รังแต่จะทำให้เด็ก ๆ กังวล และค่อย ๆ ถอยห่างเราไปมากกว่า

*รับฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง
ยิ่งคุณยอมรับการพูดคุยกับลูกผ่านเพื่อนสมมติ
ก็จะยิ่งทำให้แกรู้สึกว่าได้คุยกับคุณโดยตรงมากขึ้น
ทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้การสื่อสารระหว่างคุณกับลูกเป็นไปอย่างอิสระและเปิดกว้าง
ก็คือเป็นผู้ฟังที่ดี โดยทำตัวให้เป็นเด็กอยู่ระดับเดียวกับลูก มองตาแก
และแสดงความสนอกสนใจให้น้อยที่สุด และรอฟังว่าแกจะพูดอะไรอีก
บ่อยครั้งที่การกระทำแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับขั้นเริ่มต้นแล้ว

* ทำให้การพูดคุยเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูก
บางครั้งลูกก็รู้สึกอึดอัดที่จะอธิบายความรู้สึกหรือคำพูดของเพื่อนสมมติอย่างละเอียด
ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณควรค่อย ๆ ป้อนคำถามในเชิงสนับสนุนอย่างใจเย็น
เช่น "ดูเหมือนน้องส้ม (เพื่อนสมมติของลูก) จะโกรธคุณครูนะ
เล่าให้แม่ฟังอีกหน่อยได้มั้ยลูก"
ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อกระตุ้นลูก ไม่ใช่เพื่อซักไซ้ไล่เลียง
และอย่าพูดจาคาดเดาไปก่อน
เพราะนั่นจะทำให้ลูกรู้สึกกดดันให้ต้องตอบคำถามที่
"ถูกต้อง" หรือ "สงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดรึเปล่า"
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็จะทำให้ลูกเปิดใจน้อยลงและพูดไม่ตรงกับใจมากขึ้น

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกชอบทานนมเปรี้ยวมาก

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกชอบทานนมเปรี้ยวมาก
ถาม---ลูก (อายุ 1 ขวบ 7 เดือน) ชอบทานนมเปรี้ยวมาก
           คุณปู่จะซื้อให้ทานทุกวัน ๆ ละ 2 ขวด ไม่ทราบว่าเหมาะสมหรือไม่
           ดิฉันได้ยินมาว่าแบคทีเรียที่ได้จากนมเปรี้ยวอาจไปทำลายแบคทีเรีย
           ที่มีอยู่แล้วในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติไป จริงหรือไม่ค่ะ
           คุณหมอมีความเห็นว่าอย่างไร
           ลูกชายไม่ชอบทานนมเลย คิดว่าอาจได้แคลเซียมจากนมเปรี้ยวบ้าง
ตอบ--- นมเปรี้ยวในปัจจุบันมีขายอยู่ตามท้องตลาดกันมาก
            มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ นม ซึ่งก็จะมีแคลเซียมอยู่ในนั้น
            ปนอยู่กับน้ำตาลบางชนิด และที่สำคัญคือจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส
            ซึ่งโดยปกติจุลินทรีย์ชนิดนี้จะมีอยู่ในลำไส้ของคนเราอยู่แล้ว
            และจะเป็นพระเอกคอยช่วยเหลือเวลาที่มีอาการท้องเสีย
            ดังนั้นในเด็กบางคนโดยเฉพาะเด็กที่โต ๆ หน่อย
            เวลาทานนมปกติธรรมดามาก ๆ อาจจะมีอาการท้องเสียได้
            เราจะแนะนำให้รับประทานนมเปรี้ยวแทน ซึ่งจะช่วยอาการท้องเสียได้
            แต่ในเด็กเล็ก ๆ ขนาดขวบเศษนั้น
           โดยปกติไม่ค่อยจะมีปัญหาเวลารับประทานนมปกติ
           เพราะระบบการย่อยนมยังทำหน้าที่ได้ดี
           ดังนั้นผมจึงไม่แนะนำให้ทานนมเปรี้ยวเป็นประจำ ทานนมปกติดีกว่าครับ
          เพราะนมเปรี้ยวมักจะมีการแต่งกลิ่น สี รส หรือใส่น้ำตาลลงไป
          อาจจะทำให้เด็กติดหวานและไม่ยอมกลับมาทานนมปกติได้
          แต่การให้รับประทานนมเปรี้ยวเป็นครั้งคราวก็อาจจะยอมได้เป็นบางครั้ง
          แต่ไม่ใช่เป็นประจำทุกวันครับ
**********************************
ผศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ
**********************************

ปรึกษาหมอเด็ก-อายุ 3 ขวบ เป็นลมพิษไม่หายเลย

ปรึกษาหมอเด็ก-อายุ 3 ขวบ เป็นลมพิษไม่หายเลย
ถาม---หลานชายอายุ 3 ขวบ เป็นลมพิษไม่หายเลย
           โดยเฉพาะวันที่อากาศคล้ายฝนจะตก ไปหาหมอ ฉีดยา ทายา ก็ไม่หาย
            บางครั้งเป็นมากถึงขนาดบวมทั้งตัว น่าสงสารมาก มีวิธีใดที่จะทำให้หายได้บ้าง
ตอบ---โรคลมพิษ เป็นอาการแสดงของโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง
            เป็นโรคที่พบได้บ่อยพอสมควร แต่การหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ
            บางครั้งทำได้ยาก ลมพิษมีลักษณะเป็นผื่นแดงนูน ๆ ขึ้นจากผิวหนังเล็กน้อย
            คัน อาการควรหายไปภายใน 1-2 วัน สาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษมีได้มากมาย
            อาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป เช่น อาหารทะเล
            หรือแพ้ของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ สบู่ ผงซักฟอก
            หรือบางครั้งก็อาจจะสัมพันธ์กับอาการไม่สบายจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด
            หรืออาจจะมีการติดเชื้อพยาธิซ่อนเร้นอยู่ แต่จะมีผื่นลมพิษชนิดหนึ่ง
            ซึ่งจะเป็น ๆ หาย ๆ เวลามีการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมของร่างกาย
            เช่น เป็นหลังจากออกกำลังกาย หลังจากอาบน้ำอุ่น ๆ หรือเวลาโดนอากาศเย็น ๆ
           
            หากเด็กเป็นผื่นลมพิษ
            อันดับแรกคงจะต้องพยายามค้นหาสาเหตุที่อาจจะเป็นไปได้ก่อน
            เช่น แพ้ละอองเกสรหรือดอกไม้ที่ขึ้นในช่วงเวลานั้นหรือเปล่า
                   แพ้อาหารอะไรหรือไม่ หรือเด็กมีอาการของไข้ไม่สบายอยู่หรือเปล่า
            ถ้าไม่ใช่อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปอาจจะเป็นสาเหตุได้
            ยอมรับนะครับว่าบางครั้งยากทีเดียวที่จะบอกว่าอะไรเป็นเหตุ
            ควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดครับ
**********************************
ผศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ
**********************************

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-ลูกชอบละเลงอึ, ฉี่

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-ลูกชอบละเลงอึ, ฉี่
ถาม---หลานชายอายุขวบกว่า ๆ เวลาอึหรือฉี่เสร็จแล้ว
           แกจะนั่งละเลงทันที จับเล่นจนเลอะเทอะไปหมด จะมีทางแก้ไขอย่างไร
ตอบ---ลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องปกติของเด็กในช่วงวัยขวบ 2 ขวบ
           เนื่องจากพัฒนาการของเด็กวัยนี้จะชอบเล่น ชอบละเลง
           ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรือของที่เละ ๆ เปียก ๆ ทั้งหลาย
           รวมถึงปัสสาวะและอุจจาระด้วย
           เราจะเห็นว่าเด็กวัยนี้เมื่อเราเอาเขาไปอาบน้ำในอ่าง เขาจะชอบมาก
          จะนั่งตีน้ำเล่น ชอบที่จะคว้าข้าวต้มในถ้วยเอามาละเลง
          ฉะนั้นการที่แกชอบนั่งละเลงปัสสาวะหรืออุจจาระถือเป็นเรื่องที่ปกติ
         
          การแก้ไขจึงเพียงแต่คอยสังเกตเมื่อเด็กอุจจาระหรือปัสสาวะแล้ว
          ก็พาเขาไปล้างหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม อย่าปล่อยเอาไว้นาน
          แล้วหันเหความสนใจของแกไปสู่ของเล่นอย่างอื่นที่เหมาะสมตามวัย
         โดยไม่ควรไปดุว่าหรือลงโทษเด็ก แต่กรณีที่เราไม่ทันเห็น
          หรือแกลงไปเล่นอุจจาระหรือปัสสาวะแล้ว โดยปกติเมื่อเด็กเลยวัยขวบที่ 2 แล้ว
          เขาก็เลิกสนใจที่จะเล่นอุจจาระหรือปัสสาวะ
          แล้วหันไปสนใจของเล่นอื่น ๆ แทนโดยธรรมชาติ
************************
ผศ.นพ.ชาตรี วิฑูรชาติ
************************

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกเป็นหอบเมื่อเป็นหวัดหรือเป็นไข้

ปรึกษาหมอเด็ก-ลูกเป็นหอบเมื่อเป็นหวัดหรือเป็นไข้
ถาม---ลูกสาวอายุ 2 ขวบ จะหอบเมื่อเป็นหวัดหรือเป็นไข้
          เป็นมาตั้งแต่อายุ 6 เดือน นอนโรงพยาบาลมาแล้ว 5 ครั้ง
          ลูกสาวคนโตอายุ 6 ขวบ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
          แต่เคยนอนโรงพยาบาลเพียง 3 ครั้ง แล้วไม่เป็นอีกเลย
         (ดิฉันและสามีไม่ได้เป็นภูมิแพ้)
          ตอนนี้ลูกกินยาแก้แพ้และยาขยายหลอดลมเป็นประจำ
          ไม่ทราบว่าถ้ากินยาไปนาน ๆ จะเป็นอันตรายหรือมีผลข้างเคียงหรือไม่
           และโรคนี้มีโอกาสหายมั้ยคะ
ตอบ---อาการหอบที่ลูกสาวทั้งคู่เป็นจัดเป็นโรคภูมิแพ้อย่างหนึ่ง
           โรคภูมิแพ้นั้นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เป็น คือ กรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรือแม่เป็นภูมิแพ้
           โอกาสที่ลูกจะเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นทั้งคู่ โอกาสเสี่ยงก็จะสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์
         
           โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกาย
           มากกว่าบุคคลทั่วไป ปกติเมื่อได้รับฝุ่นหรือขนสัตว์ ร่างกายจะไม่มีอาการ
           แต่ผู้ที่มีภูมิแพ้จะมีการตอบสนองจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่คน
           อาจจะแสดงอาการทางปอด คือ หอบ
                                          ทางจมูกจะจาม น้ำมูกไหล
                                          ทางผิวหนังก็เกิดผื่น
                                          หรือถ้าเป็นที่ตาก็มีน้ำตาไหล
            สำหรับความรุนแรงก็แตกต่างกัน มีตั้งแต่เล็กน้อยจนรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิต
         
            ลูกสาวคุณแม่จะหอบเฉพาะเมื่อไม่สบายเป็นหวัด
            อาการเกิดขึ้นเร็วตั้งแต่อายุเพียง 6 เดือน และเป็นค่อนข้างรุนแรง
            ต้องนอนโรงพยาบาลถึง 5 ครั้ง การดูแลลูกภูมิแพ้ที่ต้องทำคือ
           หลีกเลี่ยงที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งได้แก่ไรฝุ่น ควรทำบ้านให้ปลอดฝุ่น
           หุ้มที่นอน ปลอกหมอน ด้วยพลาสติกป้องกันไรฝุ่น ต้มผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน
           ด้วยน้ำร้อนสัปดาห์ละครั้ง ไม่เลี้ยงสัตว์มีขน เช่น สุนัข แมว ไม่สูบบุหรี่ในบ้าน
           และเลี่ยงมลพิษในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
         
           นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
           ได้แก่ ละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา อาหารบางชนิด รวมถึงการอยู่ในที่แออัด
           ซึ่งเสี่ยงกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้อาการหอบเป็นมากขึ้นได้
         
            หากพยายามเลี่ยงแล้วแต่ยังมีอาการ ขั้นต่อไปคือการใช้ยาตามอาการที่เป็น
            ถ้านาน ๆ เป็นทีอาจจะให้เป็นครั้งคราว แต่ถ้าเป็นบ่อยมาก ๆ
           หมออาจใช้ยาป้องกันภูมิแพ้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นยาพ่น
           เพราะได้ผลเร็วและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า
          ถ้าเป็นมากอาจต้องมีเครื่องพ่นติดบ้านไว้
          การดูแลโรคหอบควรดูแลภายใต้การดูแลของแพทย์
         โดยมีแนวทางการรักษาที่ชัดเจน ถ้าเป็นไปได้ควรเป็นลายลักษณ์อักษร
         เพราะหอบหืดเป็นโรคที่เรื้อรังพอสมควร แต่ถ้าดูแลดี ๆ
         เมื่อเด็กโตขึ้นอายุเกิน 10 ขวบไปแล้ว
         โอกาสที่อาการจะดีขึ้นจนหายเป็นไปได้ ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
         ยารักษาโรคหอบในปัจจุบันค่อนข้างดีมาก ควรใช้ตามความจำเป็น
         ตามการดูแลของแพทย์ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร การปล่อยให้หอบโดยไม่รักษา
         อาจมีผลต่อปอดและการเจริญเติบโตของลูกได้
         คุณแม่ควรจะหาความรู้เรื่องโรคหอบ รู้ว่าเมื่อไรอาจเริ่มยาไปก่อนเมื่อไรควรพบแพทย์
*******************************************
พ.ญ.สุดา เย็นบำรุง
*******************************************

ผิวแม่ท้อง ต้องดูแลนะจ๊ะ

ผิวแม่ท้อง ต้องดูแลนะจ๊ะ
ในช่วงตั้งครรภ์นั้น ว่าที่คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง
และโรคผิวหนังเกิดขึ้นได้หลายอย่างครับ
แต่โดยทั่วไปหากได้รับอาหารที่เหมาะสม มีการพักผ่อน
หรือออกกำลังกายที่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ก็จะสามารถกลับสู่สภาพปกติได้ ภายใน 2-3 เดือนหลังคลอด

อย่างไรก็ตาม ผิวพรรณที่เปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์นี้
แม้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลนัก แต่ก็ควรมีความรู้และเข้าใจไว้บ้าง
เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันและรักษาครับ

ฝ้า กระ ไฝ ปาน 
พบว่าฝ้า กระ และไฝ ปาน มักมีสีเข้มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ครับ โดยเฉพาะฝ้า
ว่าที่คุณแม่บางคนเริ่มมีครั้งแรกก็ในช่วงนี้ล่ะ
ซึ่งตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือที่หน้าผาก แก้ม เหนือริมฝีปาก และตำแหน่งอื่น ๆ บนใบหน้า

หากเกิดฝ้าขึ้นมาแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด เพราะจะทำให้ฝ้าเข้มขึ้น
และควรทาครีมกันแดดที่มีค่าการป้องกันแสงแดด (SPF) เป็น 15 หรือมากกว่านั้น

แต่ถ้าจะใช้ยาทาฝ้าระหว่างตั้งครรภ์ก็ต้องระวังครับ
เพราะส่วนผสมในยาทาฝ้าอาจทำให้แพ้ได้ง่าย นอกจากนี้ส่วนผสมบางตัว
อาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและมีผลต่อทารกในครรภ์ได้
โดยทั่วไปฝ้าที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์
มักจางหายไปเองภายใน 2-3 สัปดาห์หลังคลอด
ดังนั้นหากฝ้าไม่จางค่อยปรึกษาหมอเรื่องใช้ยาดีกว่าครับ

ผิวสีคล้ำ
ร้อยละ 90 ของผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีผิวสีคล้ำขึ้น
บริเวณที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ บริเวณรอบหัวนม เส้นกลางท้อง รักแร้ อวัยวะเพศ
และรอบ ๆ ทวารหนัก ซึ่งทั่วไปหลังคลอดมักจางลงได้เอง
ยกเว้นผิวคล้ำที่รอบหัวนมและเส้นกลางท้องที่คงอยู่ตลอดไป

และช่วงนี้ หากคุณแม่เกิดแผลเป็นขึ้นมาก็จะมีรอยดำได้ง่ายกว่าปกติ
เพราะระหว่างตั้งครรภ์มีการเพิ่มของระดับฮอร์โมนที่ทำให้สีผิวเข้มขึ้นมาก
ดังนั้นผู้หญิงท้องจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้เกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกาย
ตลอดจนไม่ควรบีบแกะสิว เพราะจะเกิดผลเป็นดำดังกล่าว

ขน
แม่ตั้งครรภ์บางท่านอาจมีขนขึ้นตามใบหน้า
ที่บริเวณเหนือริมฝีปาก คาง แก้ม แขนขา และหลัง
รวมทั้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และเส้นกลางท้องขนก็อาจขึ้นดกได้
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนนั่นเอง
แต่ก็จะหลุดร่วงไปใน 6 เดือนหลังคลอดครับ

คันผิว
ระหว่างตั้งครรภ์อาการคันผิวหนังจะเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าปกติ
ซึ่งส่วนใหญ่หากใช้ครีมทาให้ความชุ่มชื้น อาการคันจะลดลง
เรื่องนี้มีหลายท่านเข้าใจผิดคิดว่าอาการคันเกิดจากผิวสกปรก
จึงมักไปหาซื้อสบู่ยามาฟอก ซึ่งทำให้ผิวหนังแห้งและระคายเคืองเข้าไปใหญ่
ผลก็เลยยิ่งคันมากขึ้น ทางที่ดีควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ไม่ควรซื้อยามากินหรือทาเองเพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ครับ

ท้องลาย
ร้อยละ 80 ของแม่ตั้งครรภ์อาจเกิดผิวแตกลายที่เรียกว่าท้องลายได้
เริ่มแรกผิวแตกลายนี้จะเป็นรอยสีม่วงหรือสีแดง มักเกิดที่เต้านมและท้อง
สืบเนื่องจากระดับฮอร์โมนที่สูงขึ้นขณะท้องมากกว่าเกิดจากการที่ผิวหนังยืดขยายตัว
ท้องลายนี้ไม่มีครีมตัวใดที่จะลดการเกิดได้ครับ
จึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาและเสียเงินเพื่อซื้อครีมราคาแพงมารักษาหรือป้องกันท้องลาย
หากผิวแตกลายมีอาการคันอาจใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาเพื่อลดอาการคันลงจะดีกว่า

ไฝแดง
ระหว่างตั้งท้องพบว่าผู้หญิงหลายคนจะมีเส้นเลือดขยายตัวเห็นเป็นแผลไฝแดง
มีกิ่งก้านสาขาคล้ายใยแมงมุม มักเกิดตามใบหน้า คอและหน้าอก
ไฝแดงเหล่านี้จะค่อย ๆ จางหายไปหลังคลอดครับ

เล็บเปราะ
ขณะตั้งครรภ์หลายคนจะมีเล็บเปราะหักง่าย
จึงควรตัดเล็บให้สั้นและระมัดระวังเวลาใช้มือหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ

ผมร่วง
ส่วนใหญ่เป็นหลังคลอดลูกแล้ว และมักทำให้ผู้หญิงเกิดความวิตกกังวล
กลัวว่าผมจะไม่งอกกลับขึ้นมาใหม่
ซึ่งจริง ๆ แล้วผมร่วงหลังคลอดจัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติครับ
โดยผมจะค่อย ๆ งอกกลับขึ้นมาใหม่ในทุกราย
จึงไม่ควรวิตกกังวล เพราะความวิตกกังวลและความเครียดทำให้ผมร่วงได้

ติ่งเนื้อเล็ก ๆ
พบบ่อยว่าหญิงมีครรภ์อาจเกิดติ่งเนื้อเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง
โดยเฉพาะที่ข้างใบหน้า ลำคอ หน้าอกด้านบนและใต้ราวนม
ติ่งเนื้อเหล่านี้มักมีขนาดเล็กลงหรือหายไปได้เองหลังคลอด
ถ้าไม่หายจะทิ้งไว้ก็ไม่เป็นอันตรายครับ แต่ถ้าทนความรำคาญไม่ไหว
หลังคลอดแล้วก็อาจไปพบแพทย์เพื่อใช้กรรไกรตัดออกหรือใช้ไฟฟ้าจี้ก็ได้นะครับ

กลิ่นตัว
โดยทั่วไปร่างกายของแม่ตั้งครรภ์จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จึงทำให้เหงื่อออกง่าย
ก็เลยอาจเกิดกลิ่นตัวตามมา
ซึ่งสามารถป้องกันและแก้ไขได้ด้วยการหมั่นอาบน้ำชำระร่างกาย
ใส่เสื้อผ้าที่โปร่งบางและหลวม
นอกจากนั้นการที่ผิวหนังเปียกชื้นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
ถ้ามีผื่นแดงเกิดขึ้นและมีอาการคันร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์
เพราะนอกจากอาจเกิดจากเชื้อราแล้ว บางครั้งอาจเป็นโรคผิวหนังชนิดเฉพาะ
ที่พบในการตั้งครรภ์ (specific dermatoses of pregnancy)
ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และการรักษาที่เหมาะสม

โรคสิวกำเริบ ระวังยาแก้สิว
แม่ตั้งครรภ์บางรายอาจเป็นโรคสิวกำเริบขึ้นได้
ซึ่งการใช้ยาต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ

โดยทั่วไป คนไทยมักมองว่าโรคสิวเป็นแค่ความสวยงาม
เมื่อมีปัญหาก็หาซื้อยามาใช้เองหรือปรึกษาช่างเสริมสวย แต่แท้ที่จริงแล้ว
วงการแพทย์ทั้งของต่างประเทศและของไทยจัดว่าสิวเป็นโรคอย่างหนึ่ง
ในสหรัฐอเมริกาพบว่าสิวเป็นโรคอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ผิวหนัง
ซึ่งการเกิดสิวนั้นมีสาเหตุกระตุ้นได้หลายอย่าง และหลายระดับความรุนแรง
หากเป็นแค่สิวอุดตัน ก็อาจใช้แค่ยาทา หากเป็นสิวที่มีการติดเชื้อร่วมด้วย
ก็ต้องวินิจฉัยโรคว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียกรัมบวก, กรัมลบ
หรือเชื้อยีสต์ ซึ่งจะตอบสนองต่อยาต่างชนิดกัน

ยารักษาสิวที่ทำให้ทารกพิการนี้ได้แก่ยากลุ่มกรดวิตามินเอ (isotretinoin)
ยาตัวนี้เป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
เพราะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ชัดเจน คือใช้เฉพาะในสิวที่รุนแรงคือสิวหัวช้าง
สิวที่ดื้อต่อการใช้ยาปฏิชีวนะ และสิวที่ทำให้เกิดแผลเป็นอย่างรุนแรงบนใบหน้า
ทั้งนี้เพราะยาตัวนี้ราคาแพงและมีข้อแทรกซ้อนสูง
คือทำให้ริมฝีปากแห้ง ตาแห้ง ปวดหัว ปวดข้อ ไขมันในเลือดสูง
และทารกในครรภ์พิการอย่างมาก คือทำให้หัวโตหรือหัวเล็กผิดปกติ
ใบหน้าและนัยน์ตาผิดปกติ ปัญญาอ่อน และหัวใจผิดปกติ
ผู้ป่วยที่ได้รับยาตัวนี้จึงต้องคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 เดือนก่อนได้รับยา
ไม่ตั้งครรภ์ระหว่างรับยาและต้องหยุดยาจนครบครึ่งเดือน จึงจะตั้งครรภ์โดยปลอดภัย
ต้องไม่นำยาไปแจกจ่ายให้ผู้อื่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
และต้องไม่บริจาคเลือดระหว่างรับยา
ส่วนที่มีผู้กล่าวว่ายาตัวนี้ทำให้เต้านมแฟบและมดลูกแห้งนั้น
ยังไม่มีรายงานมาก่อนว่ามีผลแทรกซ้อนดังกล่าวจริง

ส่วนยารับประทานเตตร้าไซคลิน (tetracycline) ซึ่งเป็นยาทั่วไปที่ใช้รักษาสิว
ก็ไม่เหมาะที่จะใช้ในแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นสิว เพราะมีผลเสียต่อตับของแม่
ทำให้ฟันน้ำนมของลูกมีสีเหลือง และมีความผิดปกติเกิดในลูกได้

การโฆษณาการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวนั้น โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยครับ
เพราะยาตัวนี้เหมาะจะใช้เฉพาะในเพศหญิงที่มีสิวเห่อ สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน
นอกจากนั้นการกินยาคุมกำเนิดยังก่อผลข้างเคียงได้มากมาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
น้ำหนักเพิ่ม ประจำเดือนผิดปกติ ซึมเศร้า และเป็นฝ้า
ทั้งยังห้ามใช้ยาคุมกำเนิดรักษาสิวในผู้ชาย ในเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่า 16 ปี
ในสตรีมีครรภ์ ในสตรีสูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดและมีเส้นเลือดขอดด้วย

จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณยามตั้งครรภ์นั้น
ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวล หลังคลอดก็มักจะดีขึ้นเอง
แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องครับ
****************************
น.พ.ประวิตร พิศาลบุตร
****************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ตั้งครรภ์นอนท่าไหนดี

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ตั้งครรภ์นอนท่าไหนดี
ถาม---ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว มีปัญหาคือไม่รู้จะนอนท่าไหนดี
          นอนหงายก็หายใจไม่ออก นอนตะแคงก็ปวดหลัง
          และลูกก็ดิ้นแรงมากจนเห็นได้ชัด ไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายกับลูกหรือไม่คะ
          และควรนอนท่าไหนดีจึงช่วยให้หลับสบาย
ตอบ---ท่านอนของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นความจริงแล้วจะนอนหงายหรือนอนตะแคง
           ก็ได้ทั้งนั้นครับ (แต่ห้ามนอนคว่ำ)
           แต่ท่านอนหงายอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก เพราะถูกมดลูกกดทับ
           ส่วนท่านอนตะแคงข้างจะไม่รู้สึกอึดอัดเพราะมดลูกลงน้ำหนักด้านข้าง
           ข้อดีของการนอนท่านี้คือจะมีเลือดไปเลี้ยงทารกมากขึ้น
           ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นแรงจนสังเกตได้ แต่ไม่ใช่ความผิดปกติของทารกแต่อย่างใด
           มีข้อแนะนำเพิ่มอีกเล็กน้อยคือถ้าจะให้สบายขึ้นก็ควรใช้หมอนข้างรองขณะที่นอนตะแคง
**********************************
น.พ.ชาญวิทย์ พันธุมะผล
**********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-อาการแท้งคุกคาม

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-อาการแท้งคุกคาม
ถาม---ตั้งครรภ์ได้ 7 สัปดาห์แล้ว มีอาการปวดท้องคล้ายมีประจำเดือน
           (แต่ไม่มีเลือด) บางครั้งปวดจี๊ด ๆ หลายคนบอกว่าเป็นอาการแท้งคุกคาม
           ไม่ทราบว่าเป็นอันตรายหรือไม่ และควรปฏิบัติตัวอย่างไร
           นอกจากนั้นยังปวดหรือเวียนศีรษะบ่อย ๆ ตาพร่ามัวด้วยเป็นเพราะอะไรคะ
ตอบ---อาการปวดท้องเป็นพัก ๆ โดยไม่มีเลือดออกนี้คงยังไม่ใช่อาการของแท้งคุกคาม
           อาการปวดของคุณแม่อาจเกิดจากการบีบรัดตัวของมดลูกในขณะตั้งครรภ์
           ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้วันละประมาณ 5-10 ครั้ง คุณแม่ควรพักผ่อนให้มากขึ้น
           และควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณท้องน้อยในระยะนี้
           ส่วนอาการเวียนศีรษะและปวดหัวถ้าความดันของคุณแม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
           ก็อาจเป็นอาการเริ่มต้นของการแพ้ท้องก็ได้ครับ
           ช่วงนี้คุณแม่ควรจะพักและงดทานอาหารที่มันมาก
            ควรดื่มน้ำผลไม้และทานอาหารอ่อน
            หากไม่ดีขึ้นก็ควรไปปรึกษาแพทย์ที่ดูแลอยู่จะดีที่สุดครับ
**********************************
น.พ.ชาญวิทย์ พันธุมะผล
**********************************

เบ่งคลอด เรื่องยากจริงเร้อ

เบ่งคลอด เรื่องยากจริงเร้อ
นี่คือความกังวลใจอันดับต้น ๆ ของคุณแม่มือใหม่ อ่อนประสบการณ์ทั้งหลาย
เพราะไม่ว่าจะหนังสือเล่มไหน หรือคุณหมอคนใด
ก็มักจะให้ข้อมูลเหมือน ๆ กันว่า ในระหว่างการคลอด
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่าการคลอดของคุณแม่นั้นมีปัญหาหรือไม่
ก็อยู่ที่การผนึกลมปราณเบ่ง เบ่งและเบ่ง ให้หัวน้อย ๆ (หรืออาจเป็นก้น เท้า ฯลฯ)
ของแม่หนูพ่อหนูโผล่ออกมาได้สะดวกโยธินนั่นเอง

ใคร ๆ ก็ว่าแม่ท้องจะคลอดง่ายหรือคลอดยากอยู่ที่การเบ่งนี่เอง 
ว่าแต่ท้องนี้คุณรู้วิธีเบ่งที่ถูกต้องหรือยัง
* ถ้าถึงตอนเจ็บครรภ์คลอดจริง ให้คุณแม่เบ่งในขณะที่มดลูกหดรัดตัว
   นั่นคือตอนที่รู้สึกเจ็บและท้องแข็ง แล้วอย่าลืมว่าการเบ่งที่ถูกวิธี
    ต้องเบ่งลมมาที่ก้นเหมือนกับตอนท้องผูกสุด ๆ ยังไงยังงั้นเลยค่ะ
* ในขณะที่ฝึกเบ่งให้สังเกตว่า ถ้าเบ่งแล้วกลายเป็นหน้าแดง รู้สึกมึนศีรษะ
    แสดงว่าคุณแม่เบ่งผิดค่ะ เขาเรียกว่าเบ่งขึ้นหน้า ซึ่งถ้าในสถานการณ์จริง
    การเบ่งแบบนี้จะทอนแรงคุณแม่ ทำให้เหนื่อยง่าย หมดแรง
    และไม่ได้ช่วยเสริมแรงบีบตัวของมดลูกเลย
    ถ้าเป็นแบบนี้คุณหมออาจต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอดอื่น ๆ ตามมา
    คงไม่เป็นผลดีกับลูกและตัวคุณแม่เอง

รู้หรอกค่ะว่าใคร ๆ ก็วาดฝันอยากให้บรรยากาศการคลอดผ่านพ้นไปด้วยดี
แบบที่ว่านี้ เพราะฉะนั้นมาพร้อมใจกันรวบรวมข้อมูล
"การฝึกเบ่ง" ท่องไว้ให้ขึ้นใจ และฝึกจนช่ำชอง ก่อนสู่สมรภูมิจริง ๆ ดีกว่า

ท่าเบ่ง
ก่อนอื่นคุณแม่คงต้องทราบก่อนว่า
แต่ละโรงพยาบาลจะให้คุณแม่อยู่ในท่าเบ่งที่ไม่เหมือนกัน บางแห่งอาจให้นอนหงาย
ชันเข่า แยกขาให้ห่างออกจากกัน
บางแห่งก็อาจให้อยู่ในท่านอนศีรษะสูง (กึ่งนั่งกึ่งนอน) โดยใช้หมอนรองหลัง
จากนั้นตั้งขาและแยกขาออกจากกัน
(ท่านี้น่าจะช่วยให้คุณแม่เบ่งได้ดี เพราะเป็นท่าที่ไปตามแนวของหนทางคลอด
คือช่วยให้เด็กเคลื่อนต่ำลงมาได้ดี) แขนสองข้างยึดขอบเตียงเอาไว้ แล้วเบ่ง
คุณแม่ลองทำท่าจำลองเหมือนกับว่าอยู่ในห้องคลอดและกำลังจะคลอดนะคะ
จากนั้นลองหัดเบ่งตามวิธีนี้ดู

* สูดหายใจเข้าเต็มที่แล้วเป่าออกทางปาก
   จากนั้นให้สูดหายใจพร้อมกับอ้าปากเหมือนงับอากาศให้เต็มที่แล้วกลั้นไว้
   ก้มหน้าคางชิดอก แล้วค่อย ๆ เบ่งลงไปที่บริเวณปากช่องคลอด
   ถ้าให้ดีน่าจะมีคุณพ่อช่วยเชียร์
   และคอยให้สัญญาณ เอ้า...1...2....3...อึ๊ด....ด อะไรประมาณนี้

แต่เวลาฝึกเบ่งไม่ต้องออกแรงเบ่งจริงจังนะคะ เอาแค่รู้จักควบคุมลมหายใจ
และรู้จังหวะการกลั้น การปล่อยลมหายใจก็พอ พยายามควบคุมให้ได้
ให้รู้สึกว่าขณะเบ่งบริเวณปากช่องคลอดและกล้ามเนื้อช่องคลอดขยายออก

* หรือจะเริ่มฝึกด้วยการขมิบฝีเย็บและช่องคลอดก่อน จากนั้นค่อย ๆ คลายขมิบออก
   แล้วค่อย ๆ เบ่งจนรู้สึกว่าช่องคลอดและปากช่องคลอดขยายดันออกมา
   ได้ทีหันรีหันขวาง คว้าแขนคุณพ่อคนดี หามุมสบาย ๆ ที่นอนนุ่ม ๆ
    แล้วหัดเบ่งกันดูสักตั้งนะคะ เอ้า...1...2....3 อึ๊ด...ด

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-อารมณ์ก้าวร้าว

ปัญหาเจ้าตัวเล็ก-อารมณ์ก้าวร้าว
ถาม---มีลูกชาย 2 คน (คนแรกอายุ 3 ขวบ เป็นลูกติดสามี )
          อีกคนลูกตัวเองอายุ 1 ขวบ ลูกทั้งสองเข้ากันได้ดี คนโตเป็นเด็กน่ารัก
          แต่เดี๋ยวนี้เขามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลาดีจะน่ารัก
         พูดเพราะ แต่เวลาโกรธจะก้าวร้าวรุนแรง และร้องไห้บ่อยมาก
         ส่วนใหญ่แม่เขาจะรับกลับไปเลี้ยงเอง แต่สามีเห็นพฤติกรรมแบบนี้
         เลยขอมาดูแลเองที่บ้าน (อาทิตย์ละ 4-6 วัน) จะแก้ไขอย่างไรดี
ตอบ---เวลาเราเห็นพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก จะมีสาเหตุใหญ่ ๆ อยู่ไม่กี่อย่าง
           อันที่พบได้บ่อยก็คือในเด็กที่ถูกตามใจมาก
          มักจะพบในเด็กโดยเฉพาะในครอบครัวคนไทย
          โอกาสซึ่งจะตามใจลูกสูงมีเยอะอยู่ ยิ่งเรามีลูกน้อยก็ยิ่งตามใจมาก
          หลายสิ่งหลายอย่างเลยในชีวิตที่เราขัดสนมาก่อน เราไม่อยากให้ลูกเรา
          พบกับความผิดหวังมากมาย ไม่อยากให้ชีวิตเขาผิดหวังเหมือนกับเรา
          เพราะฉะนั้นเราก็จะตามใจเด็ก อาจจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

           อันที่สองก็คือการเลี้ยงดูสลับไปสลับมา บางครั้งตามใจ บางครั้งดุ
          สลับไปสลับมา เดี๋ยวให้เดี๋ยวไม่ให้ เดี๋ยวยอม เดี๋ยวไม่ยอม
          เดี๋ยวปล่อยให้ทำเดี๋ยวจะไม่ยอมให้ทำ การเลี้ยงดูที่ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้
          จะทำให้เด็กคาดเดาไม่ถูกว่าตกลงจะได้หรือไม่ได้ พอครั้งหนึ่งเคยได้
          เด็กก็คาดหวังว่าครั้งที่ 2 ก็น่าจะได้ อ้าวครั้งที่ 2 คนเลี้ยงเปลี่ยนวิธีการ
          กลายเป็นไม่ได้อีก ก็จะทำให้ไปเร้าอารมณ์โกรธของเด็ก
          ทำให้เด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมาได้

           อันดับสามของการเลี้ยงดูที่พบพฤติกรรมการก้าวร้าวบ่อย ๆ ก็คือ
          มีต้นแบบของความก้าวร้าวอยู่ในบ้าน
          เช่น อาจจะมีคุณพ่อหรือคุณแม่ที่มีอารมณ์ดุเดือด
          เวลาโกรธหรือไม่พอใจอะไรขึ้นมา มักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา
          ทั้งในคำพูด การกระทำ หรือท่าทางก็เป็นได้ค่ะ

           ในการเลี้ยงดูที่บีบคั้นเด็กเยอะ กฎเกณฑ์มาก ดุว่ารุนแรงหรือลงโทษรุนแรง
           พวกนี้จะพบว่าแบบอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ทำนั่นแหละเป็นแบบที่ถึงแม้เด็กจะไม่ชอบ
           แต่บางครั้งเด็กก็เลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวของคุณมาไว้ในตัวก็มี

            ที่พบต่อมาก็คือมีคนยั่วยุเด็ก ทำให้เด็กโกรธโดยไม่จำเป็น ผู้ใหญ่นี่ก็แปลกนะคะ
            เวลาแหย่เด็กให้โกรธมักจะสนุก เวลาเด็กโกรธเด็กแสดงออกมา
            และทันทีที่แสดงความก้าวร้าวปั๊บแล้วผู้ใหญ่ยอม เด็กก็จะเรียนรู้ว่า
           ยิ่งแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเท่าไหร่บางครั้งมันได้ผล
           บางครั้งจะทำให้คนยอมเรา บางครั้งก็จะทำให้คนสนใจเรา
           หลายครั้งเด็กเลือกวิธีลองผิดลองถูกแบบนี้
           แล้วก็เลือกว่าทำพฤติกรรมแบบนี้แหละ และผลสุดท้ายมันก็จะได้
           เด็กก็จะทำพฤติกรรมนั้นออกมาซ้ำ ๆ สุดท้ายเลยติดเป็นนิสัย
           อันนี้ก็จะเป็นสาเหตุของพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการเลี้ยงดู

          ปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็กที่มาจากครอบครัวที่แตกแยกแล้ว
          เด็กก็ยังอยู่กับผู้ปกครองคนใดคนหนึ่ง ซึ่งจุดหนึ่งที่เห็นคือ
          ผู้ใหญ่มักจะสงสารเด็กเพราะเห็นว่าครอบครัวแตกแยก
          ก็เลยให้และมักให้เกินกว่าที่ควรจะให้โดยไม่รู้ตัว แต่เด็กก็คือเด็กแหละค่ะ
         พอได้ 1 จะเอา 2 ได้ 2 จะเอา 3 ได้ 3 จะเอา 4
         ฉะนั้นขอบเขตในการเลี้ยงดูเด็กจำเป็นต้องชัดเจน
         ไม่ว่าเขาจะมาจากครอบครัวที่แตกแยกหรือไม่แตกแยกก็ตาม
         ถ้าสิ่งใดที่จะให้เด็กเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ไม่จำเป็นแม้เด็กเรียกร้องก็ต้องไม่ได้
         แล้วขอบเขตกฎเกณฑ์ที่เราจะให้กับเด็กแต่ละคนก็ต้องเหมือนกัน
         ไม่ใช่ให้เพราะมีข้อแม้ว่าเขามาจากครอบครัวที่แตกแยก หรือเขามีปัญหามาก่อน
         จึงต้องได้มากกว่า ลักษณะแบบนี้แหละค่ะที่จะทำให้เด็กซึ่งมาจากครอบครัว
        ที่แตกแยกมีปัญหาเพิ่มขึ้น นอกจากมีปัญหาครอบครัวแตกแยกแล้วยังมีนิสัยที่ไม่ดีอีกด้วย

          อันที่สองก็คือ การเลี้ยงที่ไม่สม่ำเสมอกลับไปกลับมา
          บางวันอยู่กับแม่แล้วบางวันก็มาอยู่กับพ่อ คุณแม่อาจจะเลี้ยงแบบหนึ่ง
          คุณพ่ออาจจะเลี้ยงอีกแบบหนึ่ง สลับไปสลับมา
          ที่พบบ่อยในครอบครัวแบบคนไทยหลังจากที่เลิกร้างกันแล้ว คือ
          ความโกรธแค้นระหว่างผู้ใหญ่ยังมีอยู่ และบางครั้งที่เอาเด็กมาเป็นตัวกลาง
          เช่น พ่อถือโอกาสว่าแม่ผ่านเด็กไป เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อเด็กกลับมาอยู่กับพ่อ
         พ่อก็จะฝากว่าคุณแม่กลับไปด้วย กลับกันไปกลับกันมา
         โดยใช้เด็กเป็นสื่อกลาง แบบนี้สุดท้ายเด็กก็แย่

          วิธีแก้ปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวโดยเอาเด็กมาเลี้ยงนั้น
           วิธีแรกคือ เมื่อไหร่เด็กกลับมาอยู่ภายใต้บรรยากาศที่สงบสุข
                            ก็จะช่วยทำให้ความก้าวร้าวนั้นสงบลง
           วิธีที่ 2 คือ การแสดงความรัก เด็กทุกคนยังต้องการความรัก ความมั่นคง
                            ความสม่ำเสมอ ในการแสดงออกของความรักอย่างตรงไปตรงมา
                            แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และแสดงออกอย่างชัดเจน
           วิธีที่ 3 คือ เด็กต้องการขอบเขตที่ชัดเจนว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้
                            จุดนี้โดยเฉพาะคุณต้องระวังนะคะ เพราะคุณอยู่ในฐานะแม่เลี้ยง
                             เท่าที่พูดคุยกับคนที่อยู่ในตำแหน่งแม่เลี้ยง
                            สิ่งที่จะเป็นปัญหามากก็คืออันที่หนึ่งสงสารเด็ก
                            ความที่สงสารเด็กว่าเขามาจากครอบครัวที่แตกแยก
                            จะทำให้คนตามใจเขามากกว่าปกติ คุณจะยอมเขามากกว่า
                            คุณยอมลูกอีกด้วยซ้ำ เพราะคุณกลัวว่าเขาจะหาว่ารักไม่เท่ากัน
                            บางครั้งจะให้มากเกินไปในสิ่งที่เด็กไม่ควรได้
                            อันที่สองคือไม่สม่ำเสมอ ความที่คุณกลัวว่าเดี๋ยวคนอื่นจะมาว่าคุณ
                            ว่าคุณเลี้ยงลูกเขาไม่ดี เพราะฉะนั้นมันจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึก
                            ของคุณโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ต้องระวังส่วนนี้จะเป็นจุดอ่อนอย่างยิ่ง
                            สิ่งใดที่เราทำกับลูก ก็ทำกับลูกเลี้ยงในลักษณะเดียวกัน
                            สิ่งใดเราห้ามลูกเรา ก็ห้ามลูกเลี้ยงในลักษณะเดียวกัน
                            สิ่งใดที่เรายอมลูกเรา ก็ยอมลูกเลี้ยงในแบบเดียวกัน

           และที่สำคัญเด็ก 2 คนอยู่ในช่วงอายุคนละอายุกัน เพราะฉะนั้นถ้าเรายอม
           ให้ลูกคนโตซึ่งเป็นลูกติดสามีทำได้ และลูกคนเล็กจะพยายามที่จะเอาบ้าง
           เราก็คงจะต้องบอกลูกคนเล็กว่าลูกจะทำได้เมื่อลูกโตเท่ากับพี่ หรือในขณะที่
          ลูกคนเล็กพยายามอ้อน และลูกคนโตอยากจะอ้อนเอาอย่าง คุณก็บอกเลยว่า
          อยากอ้อนแบบน้องก็มาให้แม่กอดให้แม่รักได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งหนูโตแล้วนะคะ
          หนูก็จะต้องเติบโตช่วยตัวเองได้มาก อย่างนี้แม่ก็รักและแม่ก็ชอบด้วย

           ก็อยากจะบอกคุณไว้ด้วยว่า เด็กที่มาจากครอบครัวที่แตกแยกจะมีจุดอ่อน
           อยู่ในหัวใจก็คือกลัวว่าจะไม่เป็นที่รัก เขาจะหวั่นไหวมาก
          เพราะจากประสบการณ์ที่เคยได้รับมาว่าพอหลังจากพ่อแม่เลิกกัน
          ความรักที่เขาเคยได้มามันหดหายไปเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เขา
          มาอยู่กับคุณเขาเห็นคุณแสดงความรัก มันเป็นโดยธรรมดา โดยธรรมชาติ
          เราต้องรักลูกเรามากกว่าลูกคนอื่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้รู้ว่าเวลา
          เราแสดงความรักกับลูกคนโต เราอาจรักเขาระดับหนึ่ง อาจจะไม่เท่ากับ
          ความรักที่เรารักลูกตัวเอง แต่ความรักที่เราให้กับเขาต้องแสดงให้ชัดสม่ำเสมอ
         รักแค่นี้ก็คือรักแค่นี้ การที่เรารักเขามันคนละเรื่องกับการที่เรายอมตามใจเขา
          การที่เรายอมตามใจเขาแสดงว่าเรารักเขามากหรือเปล่า ก็คือเปล่า

           การแสดงความรักนั้น สิ่งที่เด็กต้องการก็คือการแสดงออกอย่างชัดเจน
           ต้องมีการกอดกัน มีการหอมแก้มกัน มีการลูบไหล่ ลูบตัว ลูบหัว
           หรือไม่ก็จะมีอาการจ้องมองสบตาและก็ยิ้มให้กัน
           พฤติกรรมที่แสดงความรักนี่แหละค่ะ
           ขอให้แสดงออกให้ชัดเจนตรงนั้นก็เป็นหัวใจสำคัญ
           เพราะว่าเด็กคนนี้อายุแค่ 3 ขวบ ยังต้องการคนที่ชี้แนะอย่างจริงใจ
           และก็ต้องการความมั่นคงที่สำคัญที่สุด
************************
พ.ญ.วินัดดา ปิยะศิลป์
************************

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ไอมากระหว่างตั้งครรภ์

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ไอมากระหว่างตั้งครรภ์
ถาม---ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนแล้ว มีอาการไอมากจนเจ็บหน้าท้อง
          แต่ไม่ได้เป็นไข้ ไม่มีน้ำมูก ไม่ปวดศีรษะ จะมีผลต่อลูกในท้องมั้ยคะ
          ทำอย่างไรจึงจะหาย เพราะกินยาแก้ไอที่คุณหมอให้ก็ไม่ดีขึ้น
ตอบ---อาการไอมาก ไม่มีผลต่อลูกในครรภ์
           อย่างมากลูกคงตกใจจากเสียงไอและแรงกระเพื่อมในครรภ์จากการไอ
           แต่เกิดปัญหากับคุณแม่มากกว่า
          เพราะนอกจากจะเจ็บหน้าท้องจากการหดเกร็งของผนังหน้าท้องแล้ว
          มดลูกจะมีการหดเกร็งบ่อยและบางครั้งอาจรุนแรงคล้ายเป็นตะคริว
          ทำให้เจ็บและกังวล ถ้าคุณแม่ที่เคยคลอดและช่องคลอดหย่อนอยู่เดิม
          ก็อาจมีอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ ทำให้เปียกแฉะรำคาญและเกิดตกขาวจากเชื้อราได้
          ถ้าอาการไอไม่ได้เกิดจากหวัดคือไม่มีไข้หรือน้ำมูก
          ก็น่าจะเกิดจากอาการระคายเคืองที่หลอดลมหรือแถวกล่องเสียงจากมลภาวะ
          เช่น ฝุ่น ควันบุหรี่ ควันรถและอื่น ๆ หรืออาจเป็นภูมิแพ้ด้วย
         จึงควรหาสาเหตุของการไอให้ถูกต้อง
          เพราะยาแก้ไอเป็นการแก้ปลายเหตุจึงทำให้อาการไม่หายค่ะ
**********************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
**********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-รกเสื่อมและหลุดออก

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-รกเสื่อมและหลุดออก
ถาม---ตอนท้องลูกชายคนแรกมีอาการตกเลือดมาก
          หมอบอกว่ารกเสื่อมและหลุดออกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
          แต่ลูกก็ปลอดภัย แข็งแรงดี
          ตอนนี้ตั้งใจจะมีลูกอีกคนแต่กลัวเกิดปัญหาเดิมอีกป้องกันได้อย่างไรคะ
ตอบ---ปกติรกจะลอกตัวภายหลังเด็กคลอด แต่ถ้ารกเริ่มลอกตัวก่อนเวลา
           จะทำให้เลือดออกและเกิดการตกเลือดก่อนคลอดได้ ถ้าช่วยคลอดไม่ทันเวลา
           คุณแม่จะเสียเลือดมากและเกิดภาวะลิ่มเลือดไม่แข็งตัว
           ลูกจะเกิดอันตรายจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ
           สาเหตุเกิดจากคุณแม่มีโรคความดันโลหิตสูงแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์
           ทำให้รกเสื่อมก่อนเวลา หรือหน้าท้องถูกกระแทกอย่างแรง
           บางรายเกิดจากสายสะดือสั้น เมื่อลูกเคลื่อนผ่านทางคลอด
           สายสะดือจะดึงรั้งให้รกเกิดการลอกตัวได้ โอกาสเกิดซ้ำจึงขึ้นกับสาเหตุค่ะ
           แต่จะเห็นว่าทุกสาเหตุสามารถป้องกันได้
           และคุณหมอที่ดูแลครรภ์คงจะต้องเฝ้าระวังกันเป็นพิเศษ
           ไม่เป็นข้อห้ามถ้าต้องการจะตั้งครรภ์อีก
           แต่ต้องฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ และตรวจครรภ์ตามที่คุณหมอนัดทุกครั้งนะคะ
**********************************
รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ
**********************************

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-เป็นตะคริวในระหว่างตั้งครรภ์

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-เป็นตะคริวในระหว่างตั้งครรภ์
ถาม---เป็นความดันต่ำและเป็นตะคริวบ่อย ตะคริวนี่เกิดจากความดันต่ำใช่หรือไม่คะ
          และจะเกิดอันตรายต่อลูกหรือไม่ถ้าเกิดเป็นตะคริวในระหว่างตั้งครรภ์
ตอบ---ปัญหาความดันโลหิตต่ำจำเป็นจะต้องได้รับการวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าเป็นจริงหรือไม่
           ส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มอาการมากกว่า ซึ่งมักเกิดจากผู้ที่มีความรู้สึกว่ามีอาการหน้ามืด
           วิงเวียนบ่อย ๆ โดยเฉพาะเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงท่า เช่น จากนั่งเปลี่ยนเป็นยืน
           อาการดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดจากภาวะมีความดันโลหิตต่ำอย่างเดียว
           อาจจะเกิดจากภาวะซีดก็ได้
           ดังนั้นคุณควรได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
           ส่วนการเป็นตะคริวนั้นเป็นภาวะที่อาจพบได้ในระหว่างการตั้งครรภ์
           เชื่อว่าอาจเกิดจากการขาดธาตุแคลเซียม แพทย์จะแนะนำให้ทานแคลเซียมเพิ่ม
          แต่ก็ไม่ได้ทำให้หายจากการเป็นตะคริวทุกรายนะครับ
          ส่วนการเป็นตะคริวนั้น ไม่พบว่าเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์แต่ประการใด
**********************************
นท.น.พ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ
**********************************