วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

บริหารงานด้วยกลยุทธ์สามก๊ก ภาค 5 ว่าด้วยการจัดจำหน่าย เรื่องที่ 34. จูล่งชื่อกระเดื่องข่มข้าศึก เปรียบเสมือนใบผ่านด่านของสินค้า

บริหารงานด้วยกลยุทธ์สามก๊ก 
ภาค 5 ว่าด้วยการจัดจำหน่าย 
เรื่องที่ 34. จูล่งชื่อกระเดื่องข่มข้าศึก เปรียบเสมือนใบผ่านด่านของสินค้า
..........ใน "ตำนานสามก๊ก" จูล่งเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ มีชื่อเลื่องระบือว่า เป็นขุนพลรบชนะตลอดกาล เมื่ออยู่ในสนามรบ ข้าศึกได้ยินชื่อเข้าต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ดังที่ "ตำนานสามก๊ก" ได้เขียนไว้ใน 2 ตอนต่อไปนี้

..........ตอนที่ 71 ภาษาจีน เขียนไว้ว่า "เตียวคับกับซิหลงสองนายคุมทหารเข้าล้อมฮองตงไว้ พวกทหารซึ่งอยู่ในค่ายล้อมนั้นก็ได้รบพุ่งป้องกันไว้เป็นช้านาน จูล่งจึงเคียงม้าเข้ามาใกล้ตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วขับม้ารำทวนไล่ทหารทั้งปวงไปแต่ซ้ายตลบมาขวาดังหนึ่งว่า หามีคนไม่ เตียวคับเห็นจูล่งมีกำลังนักไม่อาจที่จะออกสู้รบ จูล่งก็แก้เอาฮองตงออกได้
..........โจโฉตั้งกองทัพอยู่ที่สูงแลไปเห็นก็ตกใจ ถามทหารทั้งปวงว่า คนนี้คือผู้ใด? ทหารทั้งปวงจึงบอกว่า เป็นชาวบ้างเซียงสันชื่อจูล่ง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่า แต่ก่อนเรายกทหารแปดสิบหมื่นไปที่เมืองตองเอี๋ยงสะพานเตียงปันโป๋มีทหารฝีมือกล้าแข็งคือผู้นี้ จึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งจะรบกับจูล่งอย่าได้ประมาทเป็นอันขาดทีเดียว
..........ฝ่ายจูล่ง ฮองตงพากันมาตามทาง ทหารทั้งปวงซึ่งมาด้วยนั้น จึงชี้บอกว่า ข้างทิศใต้ทหารโจโฉล้อมเตียวคีพวกเราไว้ จูล่งได้ฟังก็ไม่กลับไปค่าย จึงให้เอาธงซึ่งเขียนเป็นอักษรสี่ตัวว่า "เซี่ยงสันจูล่ง" ให้ทหารถือนำหน้าไป ทหารโจโฉซึ่งล้อมอยู่นั้นแลเห็นธงเป็นอักษรสี่ตัวก็รู้แจ้ง จึงบอกกันว่า ทัพซึ่งยกมานี้คือ จูล่ง มีฝีมือกล้าแข็งนักเห็นจะสู้มิได้ จึงต่างคนต่างก็ถอยหนีไป"

..........ตอนที่ 95 ภาษาจีน เขียนไว้ว่า "เขาหูก็ยกทหารสามพันรีบมาถึงตำบลกิก๊ก เห็นทัพเตงจี๋เดินรีบหนีไปตามทางใหญ่ซึ่งมีธงสำคัญชื่อจูล่ง ก็คิดว่ากองทัพจูล่งจริง จึงขับทหารตามกระชั้นไปทางประมาณสามสิบเส้น
..........จูล่งเห็นเชาหูไล่ล่วงขึ้นไป ก็ให้ทหารจุดประทัดโห่ร้องออกมาข้างหลังร้องว่า กูชื่อจูล่งรู้จักหรือไม่? เชาหูเหลียวหลังมาเห็นจูล่งก็ตกใจ ชักม้าจะกลับหน้าออกมาสู้กำลังขวางตัวอยู่ จูล่งก็แทงด้วยทวน เชาหูปัดมิทันถูกสีข้างตกม้าตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็แตกหนีเข้าป่าสิ้น จูล่งก็ขับทหารรีบตามเตงจี๋มา
..........ขณะเมื่อจูล่งรบกันเชาหูนั้น มีเสียงโห่ร้องเอิกเกริกอยู่โกฉุยก็ให้บั้นเจ้งคุมทหารรีบยกขึ้นไปดู จูล่งเห็นทหารยกตามมาก็รออยู่แต่ผู้เดียว จนเตงจี๋ยกทหารไปไกลทหารประมาณสามสิบเส้น บั้นเจ้งแลไปจำสำคัญได้ว่าจูล่ง ก็กลัวมิอาจจะตามไป จึงให้หยุดทหารอยู่ จูล่งคอยอยู่จนเวลาเย็นแล้วไม่เห็นทหารตามมาก็ขับม้าเดินไปเป็นปกติ
..........ครั้นโกฉุยยกทัพมาทันบั้นเจ้ง บั้นเจ้งจึงบอกว่าข้าพเจ้ามาพบจูล่ง ครั้งจะขับทหารติดตามรบพุ่งไปก็เกรงอยู่ ด้วยจูล่งยังกล้าหาญเหมือนเดิมจึงรอท่าท่านอยู่ โกฉุยแจ้งดังนั้นก็มิฟัง ให้บั้นเจ้งขับทหารรีบตามไป บั้นเจ้งก็คุมทหารร้อยหนึ่งติดตามมาถึงทางซอกเขาได้ยินเสียงจูล่งร้องตวาดขึ้นว่า "จูล่งอยู่ที่นี่" ทหารของบั้นเจ้งตกใจ พลัดตกจากหลังม้าร้อยกว่าคน นอกนั้นก็วิ่งตะกายหนีข้ามภูเขาไปสิ้น
..........เห็นธง "เซียงสันจูล่ง" ทหารวุยก๊ก "ต่างคนต่างก็ถอยหนี" ได้ยินเสียงตวาด "จูล่งอยู่ที่นี่" ทหารวุยก๊กก็พลัดตกจากหลังม้าร้อยกว่าคน เช่นนี้ก็จะเห็นพลังแห่งชื่อเสียงของจูล่งได้ชัดเจนยิ่งนัก

..........เหตุไฉนชื่อเสียงของจูล่งมีพลานุภาพขนาดนั้น?

..........ขอให้เรามาดูการรบหลายครั้งซึ่งจูล่งเข้าร่วมด้วยก็จะรู้ได้ดี ดังนี้

..........ตอนที่ 41 ภาษาจีน "เล่าปี่นำราษฎรข้ามแม่น้ำ จูล่งช่วยนายน้อยแต่ลำพัง" เขียนว่า
.........."นางบิฮูหยินก็เอาอาเต๊าผู้บุตรเลี้ยงเป็นลูกของนางกำฮูหยินภรรยาหลวงวางลงไว้เหนือแผ่นดินต่อหน้าจูล่ง แล้วก็โจนลงในบ่อน้ำตาย
..........จูล่งเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ จึงกวาดเอาดินถมบ่อเสียหวังจะมิให้ทหารโจโฉเห็นซากศพ จึงเอาผ้าห่อตัวอาเต๊าเข้าทำเป็นอู่สวมคอลงแล้ว ปลดกระดุมเกราะเสียแหวกอกออกเอาอาเต๊าซ่อนเข้าในเกราะกลัดดุมหุ้มตัวไว้แล้วก็ขึ้นม้าขับออกมา
..........พอพบฮันเบ๋งซึ่งเป็นทหารรองโจโฉคุมทหารเดินเท้ากองหนึ่งออกสกัดทางไว้ จูล่งก็ขับม้าเข้ารบด้วยฮันเบ๋งได้สามเพลง ฮันเบ๋งเสียที จูล่งแทงด้วยทวนตกม้าตายก็รบหักฝ่าออกมา พอพบกองทัพเตียวคับตั้งสกัดอยู่อีก จึงขับม้าเข้ารบด้วยเตียวคับได้สิบห้าเพลงก็ชักม้าควบหนี เตียวคับเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่ตามไป
..........จูล่งขับม้าหนีไปโดยเร็ว ปะหลุมเก่าแห่งหนึ่งม้ายั้งตัวมิทันก็ตกลง เตียวคับได้ทีขับม้าสะอึกกระโจนมาจะแทงด้วยทวน ขณะนั้นเป็นบุญของอาเต๊าซึ่งจะได้เป็นกษัตริย์มิควรที่จะตายด้วยอาวุธ ก็ให้บันดาลเป็นแสงเพลิงวาบสว่างเป็นเปลวขึ้นจากหลุม เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ ม้านั้นก็ยืนชะงักอยู่
..........จูล่งกระทบเตือนพนังข้างม้าโดนเผ่นขึ้นจากหลุมหนีไปได้ เตียวคับเห็นประจักษ์ดังนั้นก็มิอาจที่จะตาม แต่ม้าเอี๋ยนและเตียวคีสองคนคุมทหารวิ่งตามร้องมาข้างหลังว่า จูล่งครั้งนี้คงจะหนีเรามิพ้นแล้ว ฝ่ายเจียวเหียและเจียวหลำสองคนก็คุมทหารก้าวสกัดอยู่ข้างหน้า จูล่งก็ขับม้าเข้ารบด้วยทหารทั้งสี่นายเป็นสามารถ และทหารเลวทั้งนั้นก็เข้าล้อมรุมรบพุ่งเป็นอลหม่าน จูล่งก็ชักกระบี่ออกไล่ฟันทหารทั้งปวงล้มตายเป็นอันมาก
..........โจโฉขึ้นอยู่บนเนินเขาเกงสัน แลลงไปเห็นจูล่งเข้ารบพุ่งตะลุมบอนด้วยทหารทั้งปวง และฝ่าฟันไปมิได้ย่อท้อ จึงถามว่าทหารเล่าปี่คนนั้นชื่อใดมีฝีมือเข้มแข็งนัก โจหองได้ยินโจโฉถาม ก็ขับม้ารีบลงไปจากเนินเขาสกัดหน้าจูล่งไว้ แล้วก็ร้องถามท่านนี้ชื่อใด จูล่งจึงร้องบอกว่า เราชื่อเตียวจูล่ง โจหองชักม้ากลับไปแจ้งแก่โจโฉ
..........โจโฉจึงสรรเสริญว่า ทหารคนนี้มีอำนาจประดุจเสือ แล้วจึงสั่งให้ไปร้องประกาศว่าอย่าให้ผู้ใดเอาเกาทัณฑ์ยิงจูล่งเลยจะตายเสีย จงช่วยกันล้อมจับเป็นให้ได้
..........ฝ่ายจูล่งก็ขับม้าไล่ฟันทหารทั้งปวงออกมาได้ฆ่านายกองใหญ่เสียได้ถึงสองนาย ทหารเอกห้าสิบคนโลหิตติดเกราะและข้างม้าดุจหนึ่งรดด้วยน้ำครั่ง"

..........ตอนที่ 52 ภาษาจีน "ขงเบ้งใช้อุบายปฏิเสธโลซก จูล่งวางแผนตีเมืองฮุยเอี๋ยง" เขียนไว้ว่า
.........."จูล่งคุมทหารสามพันยกไปจะรบเอาเมืองฮุยเอี๋ยง ม้าใช้ครั้นเห็นกองทัพก็เอาเนื้อความรีบไปบอกเตียวหอมเจ้าเมืองฮุยเอี๋ยงว่า บัดนี้จูล่งทหารเล่าปี่ยกกองทัพจะมารบเอาเมือง เตียวหอมได้ฟังดังนั้นก็ปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใด ตันเอ๋งกับเลาหลงนายทหารจึงว่า อันเล่าปี่ให้ยกทัพมานี้ ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารออกไปรบพุ่งต้านทานไว้มิให้มีอันตรายถึงเมือง
..........เตียวหอมจึงตอบว่า ท่านอย่าดูหมิ่นเล่าปี่ อันเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มีสติปัญญาสัตย์ซื่อเป็นอันมาก ทั้งกวนอู เตียวหุย ซึ่งมีฝีมือกล้าแข็งเป็นทหารเอก บัดนี้เล่าปี่ให้จูล่งนายทหารยกกองทัพมาจะตีเอาเมืองเรา อันจูล่งนั้นมีกำลังกล้าหาญนัก ครั้งโจโฉคุมทหารประมาณร้อยหมื่นมา ณ ทุ่งเตียวปันโป๋ จูล่งรบพุ่งหักหาญเข้าออกรวดเร็วเหมือนหนึ่งที่เปล่าอันหาทหารมิได้ ซึ่งท่านยังบังอาจจะไปต่อสู้นั้นไม่ได้ ทั้งทหารเราก็น้อย เราจะคิดอ่านอ่อนน้อมจึงจะมีความสุขสืบไป
..........ตันเอ๋งจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปรบดูสักครั้งหนึ่งก่อน แม้ต้านทานไม่ได้จึงอ่อนน้อมต่อภายหลัง เตียวหอมก็ว่าตามเถิด ตันเอ๋งจึงจัดแจงทหารยกออกไปใกล้ค่ายจูล่ง ฝ่ายจูล่งเห็นดังนั้นก็ขี่ม้าถือทวนออกมาหน้าทหาร แล้วร้องว่า ตัวกูเป็นทหารเล่าปี่ เล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วก็เป็นน้องของเล่าเปียวผู้ตาย บัดนี้เล่าปี่ทำนุบำรุงเล่ากี๋ผู้หลานไว้ แล้วให้กูยกกองทัพมาปราบปรามเมืองฮุยเอี๋ยงซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว เหตุใดมึงจึงบังอาจคุมทหารออกมาต่อสู้ด้วยกูอันมีฝีมือนี้ มึงไม่กลัวความตายหรือ?
..........ตันเอ๋งตอบว่า อันเมืองฮุยเอี๋ยนนี้ขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วก็จริง แต่บัดนี้เล่าเปียวก็ตายแล้ว เตียวหอมนายกูจึงเอาเมืองไปขึ้นแก่โจโฉ มึงอย่าอวดฝีมือเลย อันกูจะอ่อนน้อมเล่าปี่นั้นหาไม่ จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำทวนเข้ารบด้วยตันเอ๋งได้ห้าเพลง ตันเอ๋งทานกำลังจูล่งไม่ได้ก็ขับม้าหนี จูล่งขับม้าไล่ตามไปทันจับตันเอ๋ง ให้ทหารมัดไว้และทหารตันเอ๋งนั้นก็แตกหนีไปสิ้น
..........จูล่งให้แก้มัดออกเสียแล้วว่าแก่ตันเอ๋งว่า เราไม่ฆ่าชีวิตตัวแล้ว เราจะปล่อยให้ตัวเอาเนื้อความเข้าไปบอกเตียวหอมเจ้าเมืองให้เร่งมาอ่อนน้อมต่อเราโดยดี ถ้าขัดแข็งอยู่เรารบเข้าไปในเมืองได้ก็จะฆ่าเสียทั้งบุตรภรรยา
..........ตันเอ๋งมีความยินดีรับคำจูล่งแล้ว ก็คำนับลากลับเข้าไป จึงเอาเนื้อความนั้นเล่าให้เตียวหอมฟัง เตียวหอมจึงว่าเราได้ห้ามแล้วท่านก็ไม่ฟัง ขืนยกทัพออกไปสู้รบจนได้ความอัปยศแล้วเตียวหอมจัดแจงสิ่งของกับตราสำหรับที่ พาทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคนออกไปคำนับจูล่ง"

..........ตอนที่ 61 ภาษาจีน "จูล่งสกัดแย่งอาเต๊ากลางแม่น้ำ ซุนกวนมีหนังสือลวงซุนฮูหยิน" เขียนความกล้าหาญของจูล่งไว้ว่า
.........."ขณะนั้นจูล่งรู้ว่านางซุนฮูหยินจะไปเมืองกังตั๋ง ก็คุมทหารสี่คนตามมาทัน เห็นชักสมอจะออกเรือก็เรียกว่าอย่าเพิ่งถอยเรือไป หยุดอยู่ก่อน เราจะขอพูดด้วยนางซุนฮูหยินสักสองคำ
..........จิวเสี้ยนจึงร้องว่า เอ็งนี้ผู้ใดจึงบังอาจมาห้ามนายไว้ฉะนี้มิได้ยำเกรง แล้วก็ให้ทหารจับเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อมมือ จึงให้เคลื่อนเรือออกไป
..........จูล่งก็ขับม้ารีบตามมาริมตลิ่ง แล้วว่าท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ว่าข้าพเจ้าจะขอเจรจาคำนับสักหน่อย จิวเสี้ยนก็มิได้หยุด เร่งให้ทหารแจวเรือรีบไป
..........จูล่งก็ขับม้าตามทางมาประมาณร้อยเส้น พอเห็นเรือปลาลำหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง จูล่งก็โจนลงจากหลังม้า เรียกทหารลงเรือด้วยถือทวนง่าอยู่กลางเรือให้แจวตามออกไป จิวเสี้ยนก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิง จูล่งปัดด้วยคันทวนมิได้ถูก
..........ครั้นใกล้เรือจิวเสี้ยนเข้าไป  จิวเสี้ยนก็ให้ทหารเอาทวนและง้าวแทง จูล่งก็เอากระบี่กีเทนเกี้ยมออกปัดป้องอาวุธทั้งปวง ให้ทหารรุกเข้าไปปีนขึ้นบนเรือได้ ทหารจิวเสี้ยนต่างคนต่างกลัวจูล่งก็วิ่งเข้าแอบตัวอยู่ เหมือนดังที่บทกวีได้เขียนสรรเสริญไว้ว่า "ดุจดังเมื่อครั้งช่วยนายน้อยที่ตองเอี๋ยง วันนี้ฝ่าข้ามแม่น้ำใหญ่ ทหารง่อก๊กในเรือล้วนขยาดสิ้น จูล่งกล้าหาญไร้ผู้เทียมทาน"
..........จากการบรรยายของ "ตำนานสามก๊ก" ในหลายตอนที่ยกมาให้เห็น เราก็รู้ว่า จูล่งได้ใช้ความกล้าหาญและผลแห่งชัยชนะตลอดกาลของตนซึ่งชนะไปทุกแห่งหนทำให้ชื่อเสียงของเขาเกิดพลังแห่งการข่มขวัญอย่างหนึ่งขึ้นมา
..........โดยเหตุผลเดียวกัน ในการแข่งขันแก่งแย่งตลาดของสินค้า เมื่อสินค้านั้นมีชื่อเสียงขึ้นมา อันได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์มีชื่อ สินค้านั้นก็เท่ากับมี "ใบผ่านด่าน" อยู่ในการแข่งขันในตลาด สามารถที่จะเกิดพลังชนิดหนึ่งขึ้น
..........ในการค้าขายระหว่างประเทศ เคยมีผู้ดำเนินการสำรวจและค้นพบว่า มีผลิตภัณฑ์ประมาณกึ่งหนึ่งที่ได้มีการตกลงซื้อขายกันสำเร็จเกิดจากยี่ห้อหรือตราของสินค้านั้น ๆ เป็นสำคัญ

..........เหตุใดผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงจึงมีพลานุภาพอันใหญ่หลวงเช่นนี้?

..........แน่นอนผลิตภัณฑ์ที่ไต่ขึ้นไปสู่การมีชื่อเสียงได้จะต้องประกอบไปด้วยเงื่อนไขหลายประการ ดังเช่นมีแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีรูปโฉมอันสวยงาม กระทั่งชื่อก็จะต้องผิดแปลกแตกต่างกว่าของผู้อื่นแต่ที่สำคัญยังคงต้องอาศัยคุณภาพดีราคายุติธรรมคุณสมบัติแน่นอน
..........คุณภาพดีเป็นรากฐานแห่งการสร้างชื่อเสียงเป็นมูลเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีความเชื่อถือและมีความปรารถนาที่จะซื้อหามาเป็นกรรมสิทธิ์อีก การที่สินค้ามีชื่อสามารถจะยืนอยู่เป็น "หงส์ในฝูงกา" ชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วสารทิศ กระทั่งได้ผ่านยุคสมัยต่าง ๆ ก็ยังยืนยงคงกระพันอยู่นั้น ถ้าหากไม่มีหลักประกันในด้านคุณภาพที่แน่นอนแล้ว ก็ไม่อาจจะเป็นไปได้โดยสิ้นเชิง
..........กล้องถ่ายรูปของเยอรมันตะวันตก นาฬิกาสวิส ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และรถเก๋งของญี่ปุ่น เครื่องสำอางของฝรั่งเศส เครื่องดื่มโคคา-โคลาของอเมริกา ผ้าแพรของจีน เป็นต้น เกือบจะไม่ต้องการคำแนะนำอย่างใดเลยในการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันทั้งปริมาณการค้าก็สูงมาก วิสาหกิจบางแห่งซึ่งสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาโดยอาศัยการสร้างผลิตภัณฑ์มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ฉันใด ประเทศหนึ่ง ๆ ก็สามารถที่จะอาศัยผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก มั่งคั่งขึ้นมาได้ฉันนั้น

..........การมีชื่อเสียงของสินค้าได้มาอย่างไร?

..........เราลองย้อนไปมองประวัติการมีชื่อเสียงของซาลาเปาเทียนสินที่มีชื่อว่า "หมายังเมิน" ก็จะเห็นได้ชัด "หมายังเมิน" ก่อตั้งขึ้นในศักราชถงจื้อแห่งราชวงศ์ชิงมีประวัติห่างจากปัจจุบันไปร้อยกว่าปีแล้ว มันได้ผ่านการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประวัติศาสตร์มาหลายครั้งหลายครา แต่ชื่อเสียงของมันก็มิได้ล้มไป หากกลับรุ่งเรืองยิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบัน ในทุกวันนี้ร้านซาลาเปาที่ใช้ชื่อว่า "หมายังเมิน" ได้แพร่หลายกว้างขวางไปทั่วประเทศ ผู้ที่เคยกินซาลาเปา "หมายังเมิน" ล้วนแต่ชมเปาะกันทุกคน แม้แต่พระนางซูสีไทเฮา ซึ่งคุ้นเคยแต่อาหารรสดีมีราคา หลังจากได้ลองชิมซาลาเปา "หมายังเมิน" ที่ยวนซีไขถวายไปให้แล้วก็ยังชมว่าซาลาเปานี้รสอร่อยมาก รีบส่งคนไปเทียนสินซื้อมาเสวยเป็นพิเศษ
..........ในธุรกิจนาฬิกาข้อมือ นาฬิกาโรเล็กซ์ของสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเพราะความแข็งแรงทนทานของมัน คุณภาพเป็นที่เชื่อถือได้ ความพยายามที่ต้องใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงชิ้นนี้ขึ้น มิใช่กระทำกันเพียงวันสองวัน พิจารณาเฉพาะการตรวจสอบผลิตภัณฑ์แต่เพียงอย่างเดียว ก็จะเห็นได้ว่า ได้กระทำกันอย่างละเอียดประณีตและเข้มงวดเป็นอันมาก
..........นาฬิกาโรเลกซ์เป็นนาฬิกาจักรกลที่ประกอบด้วยมือ ในขณะที่ประกอบจะต้องใช้กล้องขยายขนาดใหญ่ นำเอาเส้นใย วงล้อเหวี่ยงและตัวจักรควบคุมการเหวี่ยงขยายใหญ่ไว้บนจอภาพ ซึ่งได้ทำให้การเคลื่อนไหวการประกอบนาฬิกาสามารถจะเห็นได้ชัดและเที่ยงตรงไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย นาฬิกาที่ประกอบสำเร็จแล้ว ยังจะต้องผ่านการทดสอบจากสถานที่ อุณหภูมิและความชื้น เป็นต้น ที่แตกต่างกัน ซึ่งการตรวจสอบเหล่านี้ได้ดำเนินไปในห้องซึ่งควบคุมสภาพแวดล้อมเป็นพิเศษ ภายในห้องควบคุมยังมีกล้องถ่ายรูปที่ใช้ถ่ายนาฬิกาทุกเรือนตามเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งนาฬิกาปรมาณูอยู่เรือนหนึ่ง เพื่อใช้ตรวจสอบความเที่ยงตรงของนาฬิกาแต่ละเรือน นาฬิกาที่ออกมาจากโรงงานของบริษัทโรเลกซ์สามารถจะกันน้ำได้ดีในใต้น้ำลึก 50 เมตร นาฬิกาที่ตรวจสอบแล้วหากไม่ได้มาตรฐานจะถูกส่งกลับคืนเข้าโรงงานไปทั้งหมด การที่นาฬิกาโรเลกซ์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เคล็ดลับของมันอาจจะอยู่ที่ตรงนี้ก็เป็นได้
..........ในฐานที่เป็นผู้บริหารธุรกิจ ควรที่จะพยายามไปสร้างและพัฒนาสินค้าที่มีชื่อของตน ยกระดับความแพร่หลายแห่งชื่อเสียงแห่งผลิตภัณฑ์ของตนอย่างสุดความสามารถดังเช่นบริษัทหงเสียงแห่งเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทรับตัดเย็บเสื้อผ้าเก่าแก่บริษัทหนึ่ง เจ้าของบริษัทชื่อ จินหงเสียง เพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ร้านของตนในต่างประเทศ เขาฉวยโอกาสที่พระนางเจ้าอลิซาเบธแห่งอังกฤษ ประกอบพิธีสวมมงกุฎ สร้างเสื้อราตรีแบบจีนที่ประณีตงดงามส่งไปถวาย ปรากฏว่าราชินีอังกฤษพอใจมาก ส่งหนังสือลงพระนามด้วยพระองค์เองมาขอบใจจินหงเสียง จินหงเสียงก็นำหนังสือที่พระราชินีอังกฤษส่งมาให้ใส่กระจกแขวนอยู่ในร้านค้าของตนเพื่อดึงดูดลูกค้า และจินหงเสียงมิได้ผิดหวัง ชาวต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอังกฤษ ต่างพากันมาซื้อเสื้อผ้าที่ร้านของเขา แย่งกันดูหนังสือชมเชยของพระราชินีเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งยกย่องว่า "จินหงเสียงนี่ยอดจริง ๆ" หลังจากนั้นมา ชาวต่างประเทศก็พากันมาตัดเย็บเสื้อผ้าสตรีที่หงเสียงอย่างไม่ขาดสาย
..........ยังมีอีกครั้งหนึ่ง จินหงเสียงพบกับเมี่ยวป้อคนรู้จักซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในคณะตระเตรียมการแสดงสินค้าโลกที่ภัตตาคารจินเหมินโดยบังเอิญ และได้ข่าวจากปากเมี่ยวป้อว่า ในงานแสดงสินค้าโลกนี้ มีเสื้อผ้านานาชาตินำไปแสดงกันทั่วโลก แต่ประเทศจีนกลับไม่มี จินหงเสียงเห็นเป็นโอกาสจึงได้ตัดเสื้อผ้าแบบฉีเผา 6 ชนิด ให้เมี่ยวป้อช่วยส่งไปยังงานแสดงสินค้าโลกที่ชิคาโก การดำเนินงานของจินหงเสียงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผลิตภัณฑ์ของหงเสียงได้รับรางวัลเหรียญเงิน ชื่อเสียงของหงเสียงก็ยิ่งกระเดื่องดังออกไปอีก
..........ในการแข่งขันกันทางตลาดของสินค้าหนึ่ง ๆ นั้นมิใช่แต่จะต้องพยายามสร้างชื่อเสียงอย่างเอาการเอางานอย่างสุดความสามารถเท่านั้น ยังจะต้องรักษาชื่อเสียงนั้นไว้ให้ได้ และทำให้มันขยายบทบาทกว้างออกไปอย่างไม่ขาดสายด้วย

.........."ตำนานสามก๊ก" ตอนที่ 92 ภาษาจีน "จูล่งสังหาร 5 ขุนพล ขงเบ้งใช้ปัญญาได้ 3 เมือง" เขียนไว้ดังนี้
.........."ฮันเต๊กก็แต่งตัวขี่ม้าถือขวานใหญ่ด้ามยาวพาบุตรยกทหารออกจากเมืองมาถึงเขาฮองเบงส้น พอทัพจูล่งยกมา ฮันเต๊กกับบุตรสี่คนก็ควบม้ารำขวานออกหน้าทหารแล้วร้องด่าจูล่งว่า อ้ายพวกโจรขบถต่อแผ่นดิน เหตุไฉนมึงไม่รักชีวิตบังอาจล่วงเข้ามาในแดนกู
..........จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธควบม้ารำทวนรบกับฮันเต๊ก ฮันเอ๋งเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับจูล่งแทนบิดาได้สามเพลง จูล่งเอาทวนแทงถูกฮันเอ๋งตกม้าตาย ฮันเอี๋ยวเห็นพี่ตายก็โกรธ ควบม้ารำดาบเข้ารบกับจูล่งเป็นสามารถ
..........ฮันเขงเห็นพี่ชายกำลังน้อยกลัวจะเสียทีแก่จูล่ง ก็ชวนฮันกี๋ ควบม้ารำดาบเข้าช่วยรบล้อมจูล่งเข้าไว้เป็นสามด้าน จูล่งก็เอาทวนแทงถูกฮันกี๋พลัดตกม้าทหารวิ่งเข้าช่วยประคองเข้าไปในเมืองได้จูล่งก็ควบม้าไล่ตาม ฮันเขงก็เอาเกาทัณฑ์ยิงจูล่งถึงสามลูก จูล่งเอาทวนปัดเสียได้ ฮันเขงก็โกรธก็ควบม้าเข้าไล่ฟันจูล่ง จูล่งเอาลูกเกาทัณฑ์ยิงถูกหน้าผากฮันเขงตกม้าตาย
..........ฮันเอี๋ยวเห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าตรงเข้าไปเงื้อดาบขึ้นจะฟันจูล่ง จูล่งชิงดาบรวบจับตัวฮันเอี๋ยวได้ส่งให้ทหาร แล้วจูล่งก็ควบม้าเข้าไปในกองทัพฮันเต๊ก ฮันเต๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าหนีเข้าไปในหมู่ทหารแล้วว่า จูล่งคนนี้เขาลือชื่อว่ามีฝีมือเข้มแข็งนักก็สมทุกประการ แล้วฮันเต๊กก็ควบม้าพาทหารกลับเข้าเมือง
..........จูล่งเห็นดังนั้นก็ไล่ไปแต่ผู้เดียว เตงจี๋เห็นได้ทีก็ขับทหารตามจูล่งเข้าไปไล่ฟัน ทหารฮันเต๊กก็ล้มตายเป็นอันมาก ฮันเต๊กเห็นจูล่งไล่มาจะใกล้ทันก็ตามใจ ถอดเกราะทิ้งเสียโดดลงจากม้าวิ่งหนีเข้าเมือง จูล่ง เตงจี๋ก็พาทหารกลับมาค่ายของเบงสัน เตงจี๋จึงว่าแก่จูล่งว่า ไม่เสียทีท่านเป็นชาติทหารอายุถึงเจ็ดสิบแล้วยังมีฝีมือเข้มแข็งหาผู้เสมอมิได้
..........จูล่งจึงว่ามหาอุปราชดูหมิ่นว่าเราแก่กลัวจะได้ความอัปยศแก่ข้าศึก ตัวเราถึงมาตรว่าแก่ฉะนี้แล้ว แม้จะให้สู้กับทหารหนุ่มที่มีวิชาและฝีมือเราก็ไม่กลัว"
..........ชีวิตก้องเกียรติของจูล่งไม่มีใครสามารถจะสั่นคลอนได้ ปมเงื่อนอยู่ที่ความองอาจและพลังของเขาซึ่ง "ห้าวหาญเหมือนเดิม" "ฮึกเหิมเหมือนเก่า" "ความกล้าหาญยังอยู่" มิฉะนั้นแล้ว มีแต่ใจอยากทำแต่กำลังไม่พอ ชื่อเสียงเกียรติยศก็ยากที่จะดำรงคงอยู่ได้
..........โดยเหตุผลเช่นเดียวกัน ในการประลองกำลังกันทางตลาดของสินค้านั้น ถ้าหากต้องการรักษาชื่อเสียงของตนไว้ก็จะต้องปรับปรุงผลิตภัณฑ์อยู่ไม่ขาดระยะตามความต้องการของตลาด มาตรฐานแห่งคุณภาพของผลิตภัณฑ์จะต้องยกระดับให้สูงขึ้นเรื่อยตามการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และการยกระดับแห่งการบริโภคของประชาชน ดังนี้จึงจะทำให้ชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เกิดผลในระยะยาวได้
..........รถจักรยานตรานกหงส์คู่ หนึ่งในสามตราที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน ได้รับเลือกให้อยู่ในอันดับหนึ่งถึง 6 ครั้งในการแสดงสินค้า ได้รับรางวัลเหรียญเงินจากรัฐบาลรวมทั้งประกาศนียบัตรคุณภาพดีจากนครเซี่ยงไฮ้ด้วย ขอบเขตการจำหน่ายขยายไปทั่วโลก 80 กว่าประเทศ แต่โรงงานนี้ก็มิได้นอนทับอยู่กับผลสำเร็จของตนโดยไม่ยอมก้าวหน้าอีกต่อไปหากแต่ได้บุกเบิกผลิตสินค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา หลังจากที่พวกเขามีความเข้าใจว่าสีรถซึ่งมักจะเป็นสีดำและสีคล้ำนั้น พวกคนหนุ่มสาวไม่ค่อยชอบ จึงได้เพิ่มสีรถให้มีสีแดง สีม่วง สีเขียวอ่อน สีครีม สีน้ำเงิน สีเทา เป็นต้น อีกหลายสี และได้ปรับปรุงแบบและน้ำหนักของรถไม่ขาดสายตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เพิ่มผลิตรถสำหรับผู้หญิงและรถจักรยานที่ใช้สำหรับกายบริหารของผู้สูงอายุ รวมไปถึงรถแข่งสำหรับคนหนุ่ม ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ของโรงงานนี้ก็ได้รักษาชื่อเสียงของตนตามแบบ "ห้าวหาญเหมือนเก่า" ปรับปรุงไม่ขาดระยะและรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงของตนเรื่อยมา
..........สินค้ามีชื่อเสียงนั้นจะรอให้ชื่อเสียงวิ่งมาหาเองไม่ได้ จำเป็นที่วิสาหกิจหรือผู้ประกอบธุรกิจจะต้องพยายามไปช่วงชิงมา ชื่อเสียงก้องเกียรติของจูล่งขุนพลเฒ่าจำเป็นที่จะต้องดำรงไว้ซึ่งจิตใจที่ขามเกรงของคนทั้งหลายท่ามกลางการประลองกำลังกันจึงจะเป็นไปได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงก็มิได้มีข้อยกเว้น มีแต่เสริมความเข้มแข็งและแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบและพลังของตนอย่างไม่ขาดสายเท่านั้น จึงจะทำให้สินค้าที่มีชื่อเสียงเกิดผลเป็นใบผ่านด่านไปนานเท่านาน