วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะพร้าว ธรรมชาติบำบัด

มะพร้าว ธรรมชาติบำบัด

มะพร้าวเป็นพืชยืนต้นที่คนไทยคุ้นเคยมานานแสนนาน ในอดีตบรรพบุรุษของเราเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืชชนิดนี้และได้บอกต่อลูกหลาน จนกลายเป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น การนำใบมะพร้าวทั้งอ่อนและแก่รวมถึงก้านใบมาใช้มุงหลังคา ทำเครื่องจักสานและไม้กวาดทางมะพร้าว การนำเปลือกมะพร้าวไปแยกเอาเส้นใยใช้ทำเชือก รวมถึงการนำกะลามาทำเป็นภาชนะ เครื่องประดับ และเครื่องดนตรีอย่างซออู้ที่หลายคนรู้จักกันดี เหล่านี้ยังไม่นับรวมถึงคุณประโยชน์ของมะพร้าวที่นำมาประกอบอาหารและมีสรรพคุณทางยานานัปการ

นอกจากเนื้อและยอดมะพร้าวที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารทั้งคาวหวานแล้ว คนไทยยังเชื่อว่าน้ำมะพร้าวคือสุดยอดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่หาได้ง่ายๆ จากธรรมชาติ เนื่องจากมะพร้าวมีลำต้นสูง การลำเลียงสารอาหารมายังลูกมะพร้าวจึงต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้น ทำให้น้ำมะพร้าวที่ได้มีความบริสุทธิ์และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส  ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที ซึ่งสามารถช่วยในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายได้อีกด้วย มากกว่าประโยชน์ในแง่ของการขับพิษ หลายคนไม่คาดคิดว่าการดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ โดยผลจากงานวิจัยพบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนชนิดหนึ่งคล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง

สำหรับสาวๆ ท่านใดที่อยากมีผิวพรรณสดใส น้ำมะพร้าวก็สามารถช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งและขาวเด้งขึ้นได้จากภายในสู่ภายนอก เพราะอุดมไปด้วยเอสโตรเจนซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ แถมในน้ำมะพร้าวยังมีสารที่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโต มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

ถึงแม้ว่าน้ำมะพร้าวจะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย เนื่องจากไม่มีการปรุงแต่งและไม่มีสารตกค้างเหมือนน้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่จำหน่ายตามท้องตลาด แต่กระนั้นก็ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรีที่กำลังมีประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าว เพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุด เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผนังเยื่อบุมดลูกหยุดการลอกตัว

วิธีที่ดีที่สุดในการดื่มน้ำมะพร้าว ควรเปิดฝาลูกมะพร้าวแล้วรับประทานให้หมดทันทีในครั้งเดียว เพื่อคุณประโยชน์และสารอาหารที่ร่างกายพึงได้รับอย่างเต็มที่ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรเลือกบริโภคมะพร้าวจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตำรับยาวิเศษ...สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

ตำรับยาวิเศษ...สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

ความเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่นัก ระยะเวลา 10 เดือนของการอุ้มท้องที่ต้องเผชิญกับอาการต่างๆ หรือความกังวลที่มีบุตรในครรภ์ ทำให้ชาวจีนคิดค้นตำรับยาบำรุงครรภ์หลากหลายตำรับ หนึ่งในตำรับที่คุณแม่หลายท่านอาจเคยรับประทานกัน นั่นก็คือตำรับยา "จับซาไท่เป้า" ซึ่งเป็นตำรับยาบำรุงครรภ์ที่นิยมกันมากในหมู่ชาวจีน มีชื่อเดิมที่แปลว่า "ตำรับยาวิเศษบำรุงครรภ์" ตำรับยานี้วิเศษอย่างไร เรามาดูกัน

"จับซาไท่เป้า" เป็นตำรับยาที่บันทึกโดยปรมาจารย์ฟู่ชิงจู่ แพทย์จีนผู้เชี่ยวชาญทางสูตินรีเวชในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมีประวัติมานานกว่า 200 ปี ในตำรับยานี้ประกอบด้วยตัวยาสมุนไพร 13 ตัว มีสรรพคุณช่วยบำรุงครรภ์ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "จับซาไท่เป้า" แปลว่า สิบสามองครักษ์ผู้พิทักษ์ครรภ์

ตัวยาที่ประกอบในตำรับมี โกศเชียงหรือตังกุย จิงเจี้ยชุ่ยคั่วดำ โกศหัวบัวหรือชวนชวง โกศจุฬาลำพาหรืออ้ายเย่ จื่อเชี่ยว หวางฉี ทู่ซือจื่อ โฮ่วพ่อ เชียงหัว ชวนเป้ยหมู่ไป๋เสา ชะเอมเทศ และขิงสด
สรรพคุณในการรักษาตำรับยานี้มีฤทธิ์ในการบำรุงไม่มาก แต่สามารถช่วยรักษาอาการเด็กในครรภ์ดิ้นผิดปกติ มีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของการแท้งบุตร ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยเอว ปวดท้องของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ และยังช่วยให้เด็กในครรภ์อยู่ในท่าปกติตามอายุครรภ์ ช่วยเร่งคลอดในกรณีที่คลอดยาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษาอาการแพ้ท้องของคุณแม่ที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนเป็นน้ำ หงุดหงิด ตาลาย วิงเวียนศีระษะ เหม็นกลิ่นอาหาร ท้องอืด อาหารไม่ย่อย

การรับประทานนำยาต้มกับน้ำ แล้วดื่มเมื่อยาอุ่น ในตำราเดิมบันทึกไว้ว่า เมื่อตั้งครรภ์เดือนที่ 7 ให้รับประทาน 1 ห่อ เดือนที่ 8 ให้ รับประทาน 2 ห่อ เดือนที่ 9 และ 10 รับประทาน 3 ห่อ ช่วงใกล้คลอดรับประทานอีก 1 ห่อ
จากการศึกษาทางการแพทย์แผนจีน สาเหตุหลักของการแท้งบุตรมีอยู่ 2 สาเหตุด้วยกัน
1. คือชี่และเลือดพร่อง ทำให้ไม่มีแรงเหนี่ยวยึดครรภ์
2. คือขณะตั้งครรภ์พักผ่อนมากเกินไป ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี เกิดการติดขัดที่เส้นลมปราณของเด็กในครรภ์ เป็นเหตุทำให้เลือดลมไปหล่อเลี้ยงที่ครรภ์ไม่เพียงพอจนเกิดการแท้งบุตร การใช้ตำรับยานี้ จะช่วยบำรุงชี่และเลือด ปรับให้ชี่ไหลเวียนได้ดี ทำให้เด็กในครรภ์แข็งแรงเป็นปกติ การกำเนิดเด็กก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดภาวะคลอดยาก สำหรับการที่เด็กในครรภ์ไม่กลับหัว หรืออยู่ในท่าที่ผิดปกติ เป็นเพราะชี่และเลือดของร่างกายคุณแม่พร่อง เด็กไม่มีแรงพอที่จะเคลื่อนตัว การใช้ตำรับนา "จับซาไท่เป้า" จะช่วยกระตุ้นให้การไหลเวียนของเลือดลมในเส้นลมปราณไหลเวียนได้คล่อง ส่งเสริมให้เด็กเคลื่อนไหวมากขึ้น จึงทำให้เด็กสามารถเคลื่อนตัวอยู่ในตำแหน่งที่ปกติ ตำรับยา "จับซาไท่เป้า" เป็นตำรับยาที่ช่วยดูแลปกป้องทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์ไปพร้อมๆ กัน เมื่อคุณแม่แข็งแรง เด็กในครรภ์ย่อมแข็งแรงไปด้วย

**************************************************************************
แพทย์จีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
**************************************************************************

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ป้องกัน-รักษา มะเร็ง ด้วยธรรมชาติบำบัด

ป้องกัน-รักษา มะเร็ง ด้วยธรรมชาติบำบัด

พลังแห่งธรรมชาตินั้นมีมากมายอย่างที่คนเราคาดไม่ถึง เมื่อมนุษย์ทำลายธรรมชาติ ผลร้ายต่างๆ ก็ย่อมตกมาที่เราเอง เพราะจริงๆ แล้วชีวิตของเราย่อมเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างแยกจากกันไม่ได้ เช่นเดียวกับ "มะเร็ง" นอกจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรมที่เราได้เพาะพันธุ์โรคนี้จากสายเลือดแล้ว ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่เป็นตัวเพาะเชื้อให้เราได้เช่นกัน เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อน ในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเข้าถึงธรรมชาติก็สามารถป้องกันและรักษาโรคร้ายนี้ได้เช่นกัน

เราคงได้ยินได้ฟังการรักษามะเร็งด้วยธรรมชาติบำบัดมามากมายหลายทฤษฎีแล้ว สำหรับมะเร็งในวันนี้ ขอนำเสนอวิธีการป้องกันรักษามะเร็งอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นถึงพลังของธรรมชาติที่สามารถบำบัดรักษาโรคนี้ได้เช่นกัน

อย่างที่เรารู้กันว่า สาเหตุของการเกิดมะเร็งนั้น ก็มาจากวิธีการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติเนื่องจากมีสิ่งสกปรกหรือสารแปลกปลอมที่ร่างกายรับเข้าไป ตามทฤษฎีแพทย์ทางเลือกเชื่อว่า เซลล์มะเร็งนั้นเกิดขึ้นทุกนาทีหากกลไกของร่างกายสามารถจัดการกับเซลล์นั้นได้ร่างกายเราก็จะเป็นปกติ แต่ถ้าเราปล่อยให้เรื้อรังหรือมีสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายกำจัดไปไม่ได้ ก็จะทำให้เนื้อร้ายนั้นกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

สำหรับแนวทางตามหลักของธรรมชาติบำบัดก็คือ ใช้ธรรมชาติเป็นหลักในการจัดการกับตัวร้ายอย่างมะเร็ง เป็นต้นว่า ทานผัก ผลไม้ (ถ้าเป็นออร์แกนิกหรือที่เราปลูกเองได้จะดีที่สุดเพราะไม่มีสารพิษ) เน้นทานผัก 5 สี เพื่อช่วยเพิ่มเอนไซม์ฟื้นฟูภูมิต้านทานให้แข็งแรง

จากผลงานการวิจัยที่มีมากมายในขณะนี้ ทำให้เราพบว่า พืชผัก-สมุนไพร จำนวนมากมีฤทธิ ์ต้าน "มะเร็ง" ได้เป็นอย่างดี เช่น
ฟักเขียว และสารสกัดจากเมล็ดฟักเขียวที่มีสารเทอร์พีน สามารถต้านและป้องกันมะเร็งได้
เห็ดหลินจือ มีเบต้า-ดีกลูแคน ช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างดี

นอกจากการหันไปทานผักผลไม้เป็นหลักแล้ว ยังควรงดโปรตีนจากสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู หันมาทานปลา เพื่อให้เซลล์มะเร็งนั้นฝ่อและตายไปเอง งดไขมัน เพราะมันจะเข้าไปช่วยห่อหุ้มเซลล์มะเร็ง ทำให้เม็ดเลือดขาวทำลายเซลล์มะเร็งยากขึ้น
นอกจากนี้ ยังควรงดอาหารที่มีความเค็ม โดยเฉพาะที่มีส่วนประกอบของเกลือ เพราะอาหารเหล่านี้จะไปทำให้เซลล์มะเร็งแข็งแรงขึ้น

เมื่อฟื้นฟูดูแลร่างกายจากการทานแล้ว ขั้นต่อไปสำหรับการป้องกันรักษามะเร็งด้วยธรรมชาติก็คือ อยู่ในอากาศที่บริสุทธิ์
อากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้เม็ดเลือดขาวมีความแข็งแรงสามารถต่อกรกับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้มากขึ้น ถึงขนาดสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับการนอนหลับและการออกกำลังกาย ซึ่งมีความจำเป็นในการต้านโรคมะเร็งเช่นเดียวกัน ขณะที่การได้รับสารพิษจากฝุ่นละออง และหมอกควันที่เป็นมลพิษอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ง่ายที่สุด เช่น ฝุ่นละออง มีอันตรายมากเนื่องจากส่วนที่ละเอียดที่สุดของมัน สามารถแทรกเข้าไปในปอดและไหลเวียนเข้าไปในกระแสเลือดได้ ส่วนหมอกควัน เช่น โอโซน (เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมควบคุมมลพิษได้สำรวจในรอบ 10 ปี พบว่าประเทศไทยมีก๊าซโอโซนเข้มข้นเกินมาตรฐาน) ไนโตรเจนออกไซด์ ออกไซด์ของกำมะถันและสารอื่นๆ จากรถยนต์ โรงงานเคมี โรงกลั่นน้ำมัน ปั๊มน้ำมัน และโรงงานอื่นๆ ก็เป็นสารก่อมะเร็งชั้นดีเช่นกัน

สุดท้ายที่เราควรรับจากธรรมชาติคือ การปรับอารมณ์ให้เบิกบานอยู่เสมอ เชื่อไหมว่าถ้าเราเครียดจะทำให้ภูมิต้านทานของเราต่ำลง โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็ง (หรือโรคร้ายอื่นๆ) สังเกตว่าถ้าใครมีอารมณ์ที่แจ่มใสจะทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นและมีโอกาสหายขาดจากโรคร้ายง่ายกว่าเช่นกัน ลองเปลี่ยนสิ่งรอบข้าง ทำใจให้เป็นกลาง มองโลกในแง่ดี หาโอกาสอยู่ในที่ที่สงบ หรือทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายคนที่ได้ก็คือตัวเรานั่นเอง

เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของธรรมชาติบำบัดที่นำมาเล่าอย่างสังเขป ซึ่งท่านสามารถนำไปใช้ ป้องกัน - รักษา "มะเร็ง" และดูแลร่างกายได้

5 สูตรพิชิตมะเร็งด้วยธรรมชาติบำบัด1. ลด ละ เลิก การนำสารพิษเข้าสู่ร่างกาย เลือกทานอาหารออร์แกนิก หรือพืชผักที่ปลูกเอง บางคนเลือกทานอาหารที่ได้ชื่อว่าเป็นพลังธรรมชาติอย่าง "แม็คโครไบโอติกส์" คืออาหารที่ผ่านการปรุงน้อยที่สุด ไม่ขัดขาว ไม่มีเนื้อสัตว์ (บางท่านเลือกทานปลา)
2. อารมณ์ดีอย่าโกรธ อยู่ด้วยความรัก เพราะเมื่อโกรธจะส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทันที
3. เพิ่มออกซิเจนใครๆ ก็รู้ว่า มะเร็งไม่ชอบออกซิเจน เพราะออกซิเจนจะทำให้เราเกิดการเผาผลาญอย่างสมบูรณ์ ทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง เมื่อเม็ดเลือดขาวแข็งแรงก็มีโอกาสต่อกรกับโรคต่างๆ ได้
4. ดีท็อกซ์มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่ออกกำลังกายให้เหงื่อขับออก การอบซาวน่า การสวนล้างลำไส้ (ตามหลักของแพทย์บางท่าน)
5. ทานผักผลไม้ - วิตามินที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง หรือ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายดีขึ้น

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เลือกอาหารอย่างไรไม่เสี่ยงมะเร็ง

เลือกอาหารอย่างไรไม่เสี่ยงมะเร็ง

เมื่อพูดถึง "มะเร็ง" หลายคนอาจรู้สึกเหมือนเป็นโรคที่ไกลตัว แต่ความจริงแล้วมะเร็งเป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก เนื่องจากในชีวิตประจำวันทุกคนล้วนมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารก่อมะเร็งทั้งจากการกิน การหายใจ รวมถึงการสัมผัส ผลจากการสำรวจสถานการณ์โรคมะเร็งในรอบปี 53 พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากถึง 56,058 ราย หรือ 8,834 รายต่อประชากร 1 แสนคน คิดเป็น 4,671 ราย/เดือน หรือ 156 ราย/วัน เพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% ทำให้มะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยพบว่ามะเร็งที่คร่าชีวิตของคนจำนวนมากนั้น ก็คือ มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งเม็ดเลือดขาว รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ทวารหนักและปากมดลูก ฯลฯ

นอกจากนี้บรรดานักวิชาการทั้งหลายยังออกมายืนยันว่า "พฤติกรรมการกิน" ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่นำมาสู่การเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศ ทั้งยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งไว้อีกด้วย เริ่มตั้งแต่การจำกัดการกินไขมันและน้ำมัน (Totalfat and oils) ลดการกินอาหารมันโดยเฉพาะที่มาจากสัตว์และควรกินไขมันและน้ำมันที่ให้พลังงานไม่เกินร้อยละ 15-20 ของพลังงานทั้งหมดต่อวัน จำกัดการกินเกลือและอาหารเค็ม (salt and salting) ในผู้ใหญ่ควรกินวันละไม่เกิน 6 กรัม (1 ช้อนชา) ส่วนในเด็กไม่ควรเกิน 3 กรัมต่อ 1,000 กิโลแคลอรี่ต่อวันและควรเป็นเกลือผสมไอโอดีนเพื่อป้องกันการขาดไอโอดีน นอกจากนี้ทางที่ดีผู้บริโภคควรหันมาใช้สมุนไพรหรือเครื่องเทศแทนเกลือแกงในการปรุงอาหาร

การเก็บรักษาอาหาร (Storage) ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีผลต่อการสะสมสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อรา ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เก็บในอุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน หากเป็นอาหารสดหรืออาหารที่เสียได้ควรเก็บในตู้เย็นหรือแช่แข็งในตู้แช่เพื่อลดอัตราการเกิดเชื้อรา

ทั้งยังควรกินอาหารที่ผ่านการควบคุมสารผสมและสารตกค้าง (Additives and Residues) ตามกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการจำกัดขีดความปลอดภัยของสารผสมอาหารสารเคมีฆ่าแมลง สิ่งตกค้างและสารเคมีอื่นที่อาจเจือปนอยู่ในอาหารเพื่อความปลอดภัยสูงสุดต่อตัวผู้บริโภค

ในอีกทางหนึ่งผู้บริโภคยังควรเสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยการกิน "ผักผลไม้" ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากผลไม้เกือบทุกชนิดล้วนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidants ที่ช่วยต้านโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ ในบรรดาผลไม้ที่จำหน่ายตามท้องตลาดจะพบว่า "สตรอเบอร์รี่" มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงที่สุด รองลงมาก็คือ ส้ม องุ่นแดง และพลัม ในส่วนของผักที่มีสรรพคุณในการต้านมะเร็งนั้นก็มีมากมายหลายชนิดไม่แพ้ผลไม้ ยกตัวอย่างเช่น "บล็อคโคลี่" ที่อุดมไปด้วยสารซัลฟอราเฟน ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง รวมถึงสมุนไพรพื้นบ้านอย่าง "ตะไคร้" ที่มีรายงานว่าสามารถยับยั้งอาการเริ่มแรกก่อนนำไปสู่มะเร็งลำไส้อีกด้วย

ถึงแม้ว่า "มะเร็ง" จะเป็นอสูรกายร้ายที่อยู่ใกล้ตัว แต่เราก็สามารถเอาชนะมันได้ง่ายๆ ด้วยการควบคุมพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังต้องใส่ใจในเรื่องแหล่งที่มาของอาหารเหล่านั้น โดยคำนึงถึงระบบการผลิตและการจัดจำหน่ายที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย .

เบาหวานกับการดูแลสุขภาพเท้า (2)

เบาหวานกับการดูแลสุขภาพเท้า (2)

สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลเท้าก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดแผล การละเลยต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนของทั้งระบบประสาทและหลอดเลือด

ผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีปลายประสาทรับความรู้สึกเสื่อมลงจะมีระดับของการสูญเสียความรู้สึกแตกต่างกันมาก บางคนอาจจะเหยียบตะปู เดินเตะถูกของแข็งโดยไม่รู้สึกเจ็บ จนถึงบางคนรองเท้าหลุดไปแล้วก็ยังไม่รู้ เป็นต้น 

การตีบตันของหลอดเลือดนั้นถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการส่งผลให้แผลหายเร็วหรือช้า ทั้งนี้ เนื่องจากหลอดเลือดเป็นเส้นทางซึ่งสารอาหารและยาถูกขนส่งไปยังบริเวณที่เป็นแผล รวมทั้งเป็นเส้นทางกำจัดของเสียจากแผลด้วย

อาการที่บ่งบอกว่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับหลอดเลือด คือ อาการปวดขาเวลาเดินเมื่อหยุดพักสักครู่ก็จะหายเป็นแผลแล้วหายช้า ผิวหนังบริเวณเท้าและขาแห้งและปราศจากขน เป็นต้น

ดังนั้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยที่มีปัญหาแทรกซ้อนของโรคเบาหวานควรปฏิบัติดังนี้

1. ล้างเท้าทุกวันด้วยสบู่อ่อน และอย่าแช่เท้าในน้ำนานกว่า 5 นาที
2. เช็ดเท้าเบาๆ ให้แห้งด้วยผ้าที่นุ่ม โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้าอย่าให้อับชื้น
3. ตัดเล็บด้วยความระมัดระวัง โดยตัดขวางเป็นเส้นตรงใช้ตะไบถูให้เรียบพอดีกับเนื้อ อย่าตัดให้สั้นเกินไป
4. รักษาความชุ่มชื้นของเท้าให้เหมาะสม ถ้าผิวหนังบริเวณเท้ามีลักษณะแห้งควรทาครีม ถ้าผิวหนังดังกล่าวมีลักษณะชื้นง่ายก็ควรใช้แป้งฝุ่นโรย อย่าให้ครีมหรือแป้งจับตัวกันเป็นก้อนเพราะจะทำให้เกิดการหมักหมม เป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคได้ง่าย
5. เปลี่ยนถุงเท้าทุกวันและเลือกสวมถุงเท้าที่ซึมซับเหงื่อได้ดี ถุงเท้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเหมาะสมกว่าถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์เนื่องจากมีการถ่ายเทอากาศที่ดีกว่าและทำให้เท้าแห้งอยู่เสมอ
6. เลือกรองเท้าที่มีขนาดกระชับเหมาะสมให้ความรู้สึกสบายขณะสวมใส่ รองเท้าควรทำด้วยหนังและไม่ควรเลือกขนาดที่คับเกินไปเพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก ถ้าเท้าชาควรสวมรองเท้าหุ้มส้น การสวมรองเท้าใหม่ควรค่อยๆ ใส่ให้ชิน โดยลองสวมใส่วันละ 1-2 ชั่วโมงก่อน
7. ปกป้องเท้าของท่านอยู่เสมอ โดยหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกบ้าน
8. สำรวจดูเท้าทุกวันว่ามีบาดแผล ตุ่มพองรอยแดงเขียวช้ำ และรอยแตกหรือไม่ ถ้าก้มลงมองไม่สะดวกควรใช้กระจกส่องดู
9. ก่อนสวมรองเท้าทุกครั้งควรตรวจสอบภายในก่อนว่ามีวัตถุหรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ อยู่หรือไม่ เช่น กรวด ทราย ฯลฯ
10. ออกกำลังกายบริเวณขาและเท้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 15 นาที เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดตามขาและเท้าดีขึ้น
11. ปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีบาดแผล เช่น เล็บขบ เชื้อราในซอกเท้า มีอาการปวดหรือบวมบริเวณกล้ามเนื้อน่องหรือเท้า

ไคโรแพรคติก

ไคโรแพรคติก

คือ แพทย์ทางเลือกศาสตร์หนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูกสันหลัง ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยการจัดปรับข้อกระดูกที่คลาดเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมแล้วไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท (subluxation) ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ด้วยมือของผู้เชี่ยวชาญโดยไม่มีการใช้ยาเพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

Fact on Chiropracticศาสตร์วิชาการแพทย์ไคโรแพรคติก เริ่มต้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Davenport รัฐ Iowa ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1985 (พ.ศ.2438) ผู้ริเริ่มคนแรก คือ Dr.D.D Palmer ท่านได้พัฒนาศิลปะปรัชญาและวิทยาศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติก

คำว่า Chiropractic เป็นภาษากรีกซึ่งมีรากศัพท์มาจาก "Cheir" และ "Praktikas" มาผสมกันซึ่งความหมายก็คือ การบำบัดโดยการใช้มือของผู้เชี่ยวชาญ Subluxation

Subluxation คือ ความผิดปกติของข้อกระดูกสันหลังที่คลาดเคลื่อนผิดตำแหน่งทำให้ข้อต่อกระดูกเสียหาย เกิดแรงบีบกดดันหมอนรอบกระดูกและกระเทือนส่วนประสาททำให้ร่างกายเสียดุลในการปรับปรุงซ่อมแซมตัวเอง

เมื่อกระดูกสันหลังคลาดเคลื่อนผิดตำแหน่งจะทำให้โครงสร้างร่างกายไม่สมดุล ส่งผลให้เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้ออักเสบ บวม ตึง อีกทั้งยังรบกวนการทำงานของกระแสประสาทให้ทำงานผิดปกติส่งผลให้กล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแอลง แล้วจะมีอาการปวด ตึง ตามมา หากเป็นเรื้อรังมากๆ จะส่งผลทางจิตใจได้อีกทั้งภูมิต้านทานโรคจะต่ำลง

การตรวจรักษาด้วย .. ไคโรแพรคติกการตรวจรักษา จะเริ่มต้นด้วยการซักถามประวัติอาการไปจนถึงการอ่านฟิล์มเอ็กซเรย์คนไข้ ส่วนการรักษาโดยปกติจะบำบัดด้วยการใช้มือของผู้เชี่ยวชาญเองหรืออุปกรณ์ในการช่วยปรับข้อกระดูกสันหลังและข้อกระดูกต่างๆ จากตำแหน่งที่ผิดปกติให้กลับสู่สภาวะที่ถูกต้อง รวมถึงการปรับการทำงานของเส้นประสาทให้ดีขึ้นด้วย โดยไม่มีการใช้ยาเข็ม หรือผ่าตัดแต่อย่างใดและมุ่งเน้นไปที่สาเหตุ (cause) ของการเกิดอาการต่างๆ

สำหรับระยะเวลาในการรักษาจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
1. อาการรุนแรงเพียงใด
2. อาการที่เป็นเรื้อรังมานานเพียงใด
3. ร่างกายของคนไข้มีความสามารถในการฟื้นฟูและรักษาตัวเองได้มากเพียงใด
4. คนไข้ปฏิบัติตามคำแนะนำโดยเคร่งครัดหรือไม่

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะเร็งจีสต์ (Gastrointestinal Stromal Tumor - GIST)

มะเร็งจีสต์ (Gastrointestinal Stromal Tumor - GIST)

ขอเล่าเรื่องในยุโรปซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วให้ฟังกันสักหน่อยที่โน่นนอกจากปัญหาของเศรษฐกิจของ EU แล้ว ปัญหาเรื่องโรคมะเร็งก็กำลังเป็นปัญหาไม่แพ้กัน โดยประชาชนในยุโรปและสแกนดิเนเวียราวปีละ 270,000 คน ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่ เช่น มะเร็งปอด ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะ อย่างไรก็ตามมีข้อมูลว่า สถิติมะเร็งของจีนและอินเดียกำลังแซงหน้าทางฝั่งยุโรปไปแล้ว

ส่วนที่บ้านเรามะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ก็ยังคงเป็นปัญหาเช่นเดิม และที่เพิ่มมาก็เป็นมะเร็งชื่อแปลกๆ
ที่ชื่อแปลกๆ คงไม่ใช่ว่ามะเร็งชนิดนี้เพิ่งจะเกิด แต่อาจจะเพราะเราไม่เคยได้ยินเพราะเป็นกันน้อย หรือด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และเทคโนโลยี ทำให้สามารถแยกมะเร็งจากสาเหตุการเกิด รวมทั้งอวัยวะที่เกิดได้ดีมากขึ้น อย่างเร็วๆ นี้เราก็มีชื่อที่ไม่คุ้นหูอย่าง "มะเร็งจีสต์" หลังจากที่เราได้ยินชื่อ "มะเร็งเน็ต" กันมาแล้ว

ทั้งๆ ที่มะเร็งจีสต์ (Gastrointestinal Stromal Tumor - GIST) เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อประมาณ 20-30 ปีที่ผ่านมา
มะเร็งจีสต์เป็นมะเร็งที่แตกต่างจากมะเร็งระบบทางเดินอาหารอื่นๆ เนื่องจากมะเร็งจีสต์เกิดจากเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิดคือเซลล์ที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้

ดังนั้นจึงสามารถพบมะเร็งจีสต์ได้ตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินอาหาร
แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดคือกระเพาะอาหาร รองลงมาได้แก่ในลำไส้เล็ก โดยมะเร็งจีสต์ เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ 4,000-5,000 รายต่อปี ในส่วนของประเทศไทยพบผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งจีสต์ ปีละ 300-500 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งของระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

สาเหตุที่สำคัญของมะเร็งชนิดนี้ 95% เกิดจากความผิดปกติของโปรตีนชื่อ KIT ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่บนผิวเซลล์ปกติทั่วไป ปกติเซลล์ชนิดนี้จะส่งสัญญาณตลอดเวลา ทำให้เซลล์ต่างๆ เจริญเติบโตและแบ่งตัวแม้ในเวลาที่ไม่ต้องการ การตรวจมักจะพบโดยบังเอิญ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด รู้สึกเหมือนมีก้อนในช่องท้อง ซึ่ง ผศ.นพ.วิเชียร ศรีมุนิทร์นิมิต ที่ปรึกษาและอดีตนายกมะเร็งวิทยาสมาคม กล่าวว่า ในปัจจุบันสามารถวินิจฉัยและรักษามะเร็งชนิดนี้ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะนวัตกรรมยารักษาแบบพุ่งเป้าหรือ Targeted Therapy หลังการผ่าตัดก้อนมะเร็งออก ซึ่งช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นโรคอีก

นับเป็นมะเร็งอีกหนึ่งชนิดที่น่าจับตามอง ใครปวดท้อง น้ำหนักลด หรือมีความผิดปกติเหมือนมีก้อนในช่องท้องอย่าปล่อยไว้ ไปหาหมอกันดีกว่าครับ

3 เทคนิค หน้าเรียวใส ไม่ศัลยกรรม

3 เทคนิค หน้าเรียวใส ไม่ศัลยกรรม

ปีนี้ กระแสทำหน้าเล็กยังคงเป็นที่นิยมของสาวไทย เพราะโครงสร้างของผู้หญิงไทยส่วนใหญ่มักมีเนื้อบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะแก้ม ทั้งรูปหน้าที่เกิดโดยกรรมพันธุ์ตามธรรมชาติ ทั้งแก้มยุ้ย อวบอูม หน้ากาง หรือด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนน้อยลง จึงเกิดริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย ยิ่งสมัยนี้ดารานักร้องมีรูปหน้าเล็กแหลมเรียว กรอบหน้าชัดเจนทำให้ถ่ายรูปได้สวย จึงไม่แปลกที่กระแสหน้าเล็กจะกลายเป็นเทรนด์ฮิตในขณะนี้

นพ.ทรงยศ จันทจิตร์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง ยศยาคลินิก ให้คำแนะนำเรื่องการทำหน้าเล็กเรียวแบบดาราว่า ปัจจุบันมี 3 ทางเลือกที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

1. หน้าเล็กด้วยโบท็อกซ์วิธีการนี้น่าจะรู้จักกันดี โดยแพทย์จะตรวจดูโครงสร้างของหน้า เพื่อวางแนวทางในการฉีดว่า จะปรับลักษณะกล้ามเนื้อบริเวณใดบ้าง เพื่อให้รูปหน้าเรียวลง และช่วยยกกระชับผิวหนัง โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน ทำให้ต้องฉีดบ่อยๆ ซึ่งการปรับรูปหน้าด้วยโบท็อกซ์ ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่รูปหน้าใหญ่จากระดูกกรามใหญ่ไม่ใช่กล้ามเนื้อ และไม่สามารถลดพวงแก้มที่เกิดจากไขมันบนใบหน้าได้ โบท็อกซ์จึงเหมาะกับคนหน้าใหญ่ที่มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อเคี้ยวที่ใหญ่เท่านั้น

2. ร้อยไหมให้หน้าเรียวเรียกว่ายังคงฮิตกันไม่เลิก วิธีการคือแพทย์จะให้ยาชาบริเวณที่ต้องการร้อยไหม แล้วนำเส้นไหมละลายที่อยู่ตรงปลายเข็มเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิว โดยร้อยเข้าไปที่ระหว่างชั้นผิวหนังแท้กับชั้นใต้ผิวหนัง แต่ไม่ลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ข้อดีของการร้อยไหมคือคนไข้ไม่ต้องพักฟื้นนาน และจะค่อยเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 2 เดือน โดยสามารถคงสภาพได้นานประมาณ 1-2 ปี ส่วนตัวไหมเองร่างกายสามารถกำจัดไหมละลายได้หมดไปเองไม่เหลือตกค้าง ทั้งนี้จำเป็นต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการร้อยเรียงเส้นไหมให้ได้สมดุลและให้เกาะยึดกับเนื้อเยื่อให้สวยงามจำเป็นต้องอาศัยความรู้เชิงกายวิภาคและประสบการณ์ความชำนาญเท่านั้น

3. เลเซอร์ลดไขมัน และยกกระชับใบหน้า Small Face Laser ปัจจุบันเลเซอร์ได้เข้ามามีบทบาทด้านความงามมากขึ้นเรื่อยๆ Small Face Laser เป็นเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้เล็กลง โดยศัลยแพทย์จะใช้ไฟเบอร์ที่มีขนาดเล็กมาก (น้อยกว่า 1 มิลลิเมตร) สอดเข้าไปใต้ผิวหนัง แล้วปล่อยพลังงานเลเซอร์เข้าไปสลายไขมันบริเวณที่ต้องการอย่างอ่อนโยน เซลล์ไขมันจะถูกหลอมละลาย โดยไม่รบกวนเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง หลังจากนั้นศัลยแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กดูดไขมันออกมา นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ริ้วรอยลดลง ผิวตึงกระชับขึ้นและรูขุมขนเล็กลง ซึ่งยกกระชับผิวได้ดีกว่าเลเซอร์ผิวหนังธรรมดาหรือทรีตเมนต์ด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ที่ใช้กันทั่วๆ ไป

เทคนิคหน้าเรียวเล็กอาจใช้วิธีการหลายๆ วิธีการร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างหรือสภาพปัญหาของคนทำ สิ่งสำคัญคือผู้บริโภคต้องศึกษาและทำความเข้าใจในแต่ละทางเลือกอย่างละเอียดรอบคอบ ว่าเทคนิคใดเหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากที่สุด จะให้ดีควรปรึกษาศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ตั้งใจว่า สวยแบบไม่เสี่ยงดีกว่า

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปวดคอนั้น...สำคัญไฉน...อาจตายได้...แค่ปวดคอ

ปวดคอนั้น...สำคัญไฉน...อาจตายได้...แค่ปวดคอ

ทำไมต้องดูแลโครงสร้างร่างกาย หลายท่านอาจมีคำถามในใจว่าในเมื่อเรายังแข็งแรงอยู่ จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องดุแลตัวเอง ต้องดูแลโครงสร้างร่างกาย หากยังมีความสงสัยอยู่ต้องคลายความสงสัยกันด้วยเหตุผลเหล่านี้

ระบบโครงสร้างร่างกายเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการดำรงชีวิตที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะประกอบด้วยระบบที่สำคัญคือ
ระบบกระดูกกล้ามเนื้อ ทำให้เราทำงานได้ เคลื่อนไหวได้
ระบบการลำเลียงอาหารให้แก่เซลล์ นำของเสียออกจากเซลล์

ร่างกายเราจะแข็งแรงได้นั้นเซลล์ต้องแข็งแรง การทำให้ระบบของโครงสร้างร่างกายสมดุล จึงเป็นวิถีของผู้ที่ต้องการมีสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคร้าย ใช้ศักยภาพของร่างกายจนถึงวัยอันควร ไม่ใช่เสื่อมก่อนวัย หรือมีชีวิตอยู่คู่ไปกับโรคต่างๆ

เมื่อไหร่ ควรต้องหันมาดูแลโครงสร้างร่างกาย โดยทั่วไปเมื่อร่างกายเรายังดี เราจะรู้สึกคล่องแคล่ว กระปรี้กระเปร่า คล่องตัว ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย สัญญาณเตือนภัยใน 10 ข้อนี้ จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่า ท่านอาจเป็นผู้หนึ่งที่เสี่ยงต่อการมีโครงสร้างร่างกายที่ขาดสมดุลไปแล้วหรือเปล่า หากมีอาการเพียง 4 ใน 10 ข้อ ท่านควรจะต้องได้รับการตรวจโครงสร้างร่างกายโดยด่วน ก่อนที่ความเสื่อมของโครงสร้างร่างกาย จะเป็นภัยจนสายเกินจะแก้ไข ลองเช็คคะแนนดูนะครับ คะแนนน้อยที่สุดยิ่งดีครับ

1. ปวด / เมื่อย หรือล้า บริเวณกล้ามเนื้อบ่า ต้นคอ เมื่อทำงานต่อเนื่องเพียงไม่กี่ชั่วโมง เช่น ขับรถ ทำคอมพิวเตอร์ เขียนงาน หิ้วของหรือกระเป๋าสะพายบ่า (เบาๆ) นั่งประชุม ฯลฯ
2. อาการปวดมักมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกรำคาญ บางครั้งทนไม่ไหวต้องทานยา หรือบีบนวดแล้วอาการจึงทุเลาลง
3. เมื่อใช้มือจับบริเวณต้นคอหรือบ่ารู้สึกได้ว่ามีอาการร้อนรุมๆ มากกว่าบริเวณอื่นๆ
4. มีเสียงกรอกแกรก เวลามีการเคลื่อนไหวธรรมดา หรือเวลาหันคอ ซึ่งอาจมีร่วมกับอาการปวดเสียวแปล๊บๆ ได้
5. เมื่อปวดมากๆ มักร้าวขึ้นศีรษะ ทำให้ปวดเหมือนไมเกรน หรือปวดรุมๆ ที่กระบอกตา มึนๆ ตึงๆ ที่ศีรษะ มีร้าวลงแขนหรือสะบัก
6. บางครั้งมีอาการชาหรือปวดร้าวตลอดแขน ไปจนถึงฝ่ามือ หรือนิ้วมือ หยิบจับของไม่มั่นคง มักหล่นบ่อยๆ
7. เมื่อทานยาหรือนวดผ่อนคลายแล้ว อาการปวดทุเลาลงได้ไม่ถึง 2-3 วัน อาการก็กลับมาอีก ต้องทานยาหรือติดนวดบ่อยๆ เป็นประจำ
8. รู้สึกหนักหัว และง่วงเพลียตลอดทั้งวัน หาวบ่อยโดยเฉพาะช่วงบ่ายๆ ทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ
9. ตื่นเช้ามักมีอาการเหมือนคอตกหมอน หรือคอเคล็ดบ่อยๆ หันคอแล้วปวดตึง
10. อาการที่เป็นอยู่ทำให้รำคาญ หงุดหงิดใจ รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ศักยภาพการทำงานลดลง คิดไม่ออก ไม่สดชื่น

หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้ 4 คะแนน ไม่ควรปล่อยเอาไว้ ควรรีบเข้ารับการตรวจโครงสร้างร่างกาย (ที่คะแนนมากกว่า 4 ต้องตรวจด่วนเดี๋ยวนี้) เพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เป็นนั้น เป็นเพียงกล้ามเนื้อเมื่อยธรรมดา หรือกล้ามเนื้อเกร็งมากจนดึงรั้งให้แนวกระดูกเสียสมดุล กระทบต่อการไหลเวียนของเส้นประสาทและหลอดเลือด ซึ่งหากรุนแรงถึงขั้นนั้น คงไม่อาจจะหายได้ด้วยการนวดผ่อนคลาย หรือการทานยา แต่จะต้องปรับโครงสร้างร่างกายให้สมดุล ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทนทานต่อการทำงาน เพื่อให้กระดูกอยู่ในแนวที่สมดุล การทำงานอยู่ในท่าทางทึ่ถูกต้องเหมาะสม ใช้อิริยาบถในวิถีชีวิตได้ถูกเป็นวิธีที่จะสามารถใช้ร่างกายนี้ได้เต็มศักยภาพตราบชราโดยไม่มีโรคร้าย ไม่ต้องเป็นภาระแก่ใคร ช่วยเหลือตนเองได้จนถึงวัยที่สุดของชีวิต

สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้ ความรู้เรื่องสุขภาพมากมายก็ไม่ได้ทำให้สุขภาพดี หากไม่นำมาปฏิบัติจริงจนเป็นวิถีชีวิต เริ่มลงมือตั้งแต่วันนี้ วันที่ยังเป็นผู้เลือกได้ว่าจะเดินด้วยตนเอง ดูแลรักษาตนเอง หรือจะมีคนเข็น/หามเราไปรักษา แล้วตัดสินใจในการรักษาแทนเรา การปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย เป็นแนวทางของผู้ที่ปรารถนาจะมีสุขภาพแข็งแรงอย่างแท้จริง วันนี้ท่านควรได้เห็นสิ่งที่ร่างกายท่านเป็น
ท่านควรตรวจโครงสร้างร่างกายประจำปีแล้วหรือยัง

ก้อนที่คอแบบไหนอันตราย

ก้อนที่คอแบบไหนอันตราย

มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มาโรงพยาบาลด้วยเรื่องมีก้อนเกิดขึ้นที่คอ (ลำคอส่วนนอก) จากการบังเอิญคลำได้เอง หรือมีคนทักเอาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้มาก่อน ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติอะไร กินอาหารได้ตามปกติ หายใจได้ไม่มีหอบเหนื่อย แต่สิ่งที่กลัวมากที่สุดก็คือกลัวว่าจะเป็นมะเร็ง ดังนั้น บทความในวันนี้จะมาดูกันนะครับว่า เมื่อมีก้อนที่คอเกิดขึ้น ก้อนนั้นเป็นอะไรได้บ้าง ก้อนแบบไหนที่มีความสำคัญ ที่ต้องรีบไปพบแพทย์ หู คอ จมูก

เมื่อมีก้อนที่คอเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ

1. ตำแหน่งของก้อน ว่าอยู่บริเวณใดของลำคอ
2. ขนาดของก้อน ที่วัดเป็นความยาวเส้นผ่าศูนย์กลาง
3. จำนวนก้อน
4. ลักษณะก้อนว่านุ่มหรือแข็ง จับเคลื่อนที่ได้หรือติดแน่น
5. เป็นมานานเท่าไร คือระยะเวลาตั้งแต่พบก้อนจนมาพบแพทย์
6. มีอาการอะไรบ้าง เช่น กดเจ็บ เป็นหนอง เหนื่อย ใจสั่น ผอมลง เป็นต้น

ตำแหน่งของก้อน
จะเป็นตัวบอกว่า ก้อนนั้นคืออะไร เช่น ก้อนที่อยู่ด้านหน้าของคอส่วนล่าง มักจะเป็นก้อนของต่อมไทรอยด์ ก้อนที่คอส่วนบนด้านข้างจะเป็นข้างซ้ายหรือขวาก็ตามมักจะเป็นต่อมน้ำเหลือง ก้อนที่อยู่ตรงกลางของคอมักจะเป็นก้อนซีสต์ (Cyst) ก้อนที่อยู่ใต้คางอาจจะเป็นต่อมน้ำลาย หรือต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

ขนาดของก้อน
มีความสำคัญมาก กล่าวคือ ถ้าก้อนที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 3 ซม. จะถือว่าเป็นก้อนที่มีการพยากรณ์โรคดี มักเป็นเพียงการอักเสบ แต่ถ้าก้อนขนาดใหญ่กว่า 3 ซม. มักจะต้องหาสาเหตุ และติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดว่าจะโตขึ้นช้าหรือเร็วมากน้อยเพียงใด เพราะถ้าโตเร็วการพยากรณ์โรคมักจะไม่ค่อยดี

จำนวนของก้อน
ถ้าเป็นก้อนเดี่ยวมักจะเป็นเรื่องของโรคในอวัยวะเดียว เช่น ไทรอยด์ ต่อมน้ำลาย เส้นประสาท ฯลฯ แต่ถ้ามีจำนวนหลายก้อน และเป็นหลายแห่งของลำคอ จะเป็นก้อนต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

ลักษณะของก้อน
เช่น ถ้าก้อนนุ่ม เป็นเหมือนน้ำอยู่ข้างใน มักจะเป็นก้อนซีสต์ (Cyst) ซึ่งไม่มีอันตราย แต่ถ้าเป็นก้อนแข็ง เคลื่อนที่ไม่ได้ มีลักษณะติดแน่น จะมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี

การโตของก้อนมีความสำคัญ
ถ้าก้อนโตช้า ใช้เวลาเป็นหลายเดือนหรือเป็นปี ก็มักจะไม่มีอันตราย แต่ถ้าก้อนโตเร็ว ภายใน 2-3 เดือน โตจาก 1-2 ซม. กลายเป็นเท่าลูกมะนาว หรือไข่ไก่มักจะมีแนวโน้มเป็นเนื้องอกร้าย

ส่วนอาการอื่นๆ ที่ร่วมประกอบด้วย
เช่น ก้อนกดเจ็บ แต่ไม่มาก มักจะคิดถึง เรื่องการอักเสบติดเชื้อ คลำก้อนแล้วรู้สึกก้อนมีการเต้นตามจังหวะของชีพจร หรือหัวใจให้สงสัยก้อนเนื้องอกเของเส้นเลือด หรือก้อนที่มีเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก ถ้ามีก้อนที่คอร่วมกับอาการเหนื่อย ใจสั่น ผอมลง ทั้งที่รับประทานอาหารได้เป็นปกติ ต้องสงสัยโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว ก้อนผิดปกติที่คอสงสัยว่าจะเป็นเนื้อร้าย มักจะเป็นก้อนขนาดใหญ่กว่า 3 เซนติเมตร มีลักษณะแข็ง ติดแน่น โตเร็วมาก อยู่บริเวณด้านข้างของลำคอข้างใดข้างหนึ่ง หรือ ทั้ง 2 ข้าง อาการไม่เจ็บปวดมาก แต่จะรู้สึกเพียงตึงๆ ขัดๆ เมื่อหันศีรษะหรือบิดลำคอ ถ้าคุณสงสัยเมื่อมีก้อนที่ลำคอไม่แน่ใจโปรดมาพบแพทย์หู คอ จมูกนะครับ

*****************************************************************************************
นพ.ชัยยศ เด่นอริยะกูล หัวหน้ากลุ่มงานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
*****************************************************************************************

ไทรอยด์ขึ้นตา โรคนี้มีจริงหรือ

ไทรอยด์ขึ้นตา โรคนี้มีจริงหรือ

ถ้าพูดถึงไทรอยด์ทุกคนมักนึกถึงก้อนบริเวณคอ
ในอดีตคนไทยขาดไอโอดีนกันมาก ก็เลยเกิดโรคคอพอก หรือต่อมไทรอยด์บริเวณคอนั่นเอง
แล้วเจ้าต่อมไทรอยด์นี้มันขึ้นไปตาได้อย่างไรกัน

โรคไทรอยด์ขึ้นตานั้น ตัวไทรอยด์ไม่ได้กระโดดขึ้นไปที่ตาหรอกครับ
แต่มันเป็นภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่มีการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป
ส่งผลให้มีอาการหลายอย่างรวมถึงอาการทางตาซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรคนี้ด้วยครับ

แล้วเจ้าไทรอยด์เป็นพิษมันเกิดจากอะไร และส่งผลถึงตาอย่างไร คงต้องคุยกันยาวหน่อยครับ

โรคไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป สาเหตุหลักๆ มักเกิดจากการควบคุมในสมองผิดปกติ
หรือถูกกระตุ้นโดยภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อต่อมไทรอยด์
การที่มีไทรอยด์ฮอร์โมนมากเกินไป ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว น้ำหนักลด เหงื่อออกมาก มือสั่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ในบางรายจะมีอาการทางตาด้วยที่เรียกว่าไทรอยด์ขึ้นตานั่นเองครับ

โดยปกติไทรอยด์ขึ้นตามักเกิดในอายุ 30 ถึง 50 ปีมักเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายครับ
แต่ถ้าเกิดในผู้ชายหรือเกิดตอนอายุมาก มักเป็นรุนแรงครับ
อาการไทรอยด์ขึ้นตาอาจจะมาก่อนหรือมาหลังไทรอยด์เป็นพิษก็ได้
อาการหลักๆ ของไทรอยด์ขึ้นตาได้แก่ ตาแห้ง ตาโปน เปลือกตาบนยกสูงขึ้นดูคล้ายคนโกรธจัดหรือคนตกใจ เปลือกตาบวม
ในกรณีรุนแรงขึ้นจะมีภาพซ้อนกลอกตาบางทิศทางไม่ได้ ถ้ารุนแรงมากอาจส่งผลให้การมองเห็นแย่ลงหรือสูญเสียการมองเห็นจากเส้นประสาทตาโดนกดทับครับ

สาเหตุของไทรอยด์ขึ้นตาไม่ได้สัมพันธ์กับต่อมไทรอยด์โดยตรง แต่สัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันที่ทำลายต่อมไทรอยด์ กล้ามเนื้อตารวมถึงผิวหนังบริเวณหน้าแข้ง
นอกจากนี้มีผลการวิจัยหลายรายยืนยันว่าการสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับโรคนี้ครับ และยังสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคนี้ด้วย

โรคนี้ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วโรคนี้สามารถหยุดได้เองเพียงแต่ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ปีครับ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรงดสูบบุหรี่เพื่อลดความรุนแรงของโรคลงด้วย

การรักษาหลักๆ ของโรคนี้คือการให้ยากดภูมิคุ้มกัน ประเภทสเตียรอยด์ครับ ยานี้จะช่วยลดการอักเสบและลดภาวะความรุนแรงของโรคได้แต่ต้องให้ด้วยความระมัดระวังเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากยาสเตียรอยด์ด้วยครับ

การฉายรังสีก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคนี้ที่มีการอักเสบรุนแรงและกดทับเส้นประสาทตา ข้อเสียของวิธีนี้คือกว่าจะเห็นผลต้องใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์ครับ

นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนบางประการเช่น การผ่าตัดแก้ไขเปลือกตาเพื่อลดภาวะตาแห้ง การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาเพื่อช่วยให้ตากลอกได้มากขึ้น หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดแก้ไขภาวะกดทับเส้นประสาทตา การแก้ไขส่วนใหญ่ต้องทำหลายครั้งและควรทำเมื่อมีภาวะอักเสบสงบลงแล้วครับ

ภาวะไทรอยด์ขึ้นตาแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีการป้องกัน แต่การตรวจพบเจออาการของโรคแต่ระยะเริ่มต้นอาจช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากตัวโรคไม่ให้รุนแรงได้ครับ

ถึงตอนนี้ คุณลองหันไปดูหน้าเจ้านาย แล้วพบว่าเจ้านายคุณกำลังทำท่าทางโกรธเกรี้ยว ตาโปนใส่คุณ คุณลองแนะนำเจ้านายให้ตรวจโรคนี้ดูด้วยคงจะดีไม่น้อยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าลูกน้องไม่เตือน

******************************************************************
นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ศูนย์จักษุและต้อกระจก รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)
******************************************************************

เบาหวาน กับ โรคแทรกซ้อนทางตา

เบาหวาน กับ โรคแทรกซ้อนทางตา

อาการเบาหวานขึ้นตา คือ เส้นเลือดของจอรับภาพของตาจะโป่งพองหรือมีเส้นเลือดแตก แต่อาจไม่มีอาการแสดงออก ผู้ป่วยจึงมักไม่รู้ตัวยกเว้นความผิดปกตินั้น เกิดขึ้นในตำแหน่งที่สำคัญของจอรับภาพ คือ บริเวณจุดศูนย์กลางของการมองเห็น (Macula) หรือบางครั้งอาจจะมีการแตกของเส้นเลือดอย่างมากจนบังจอรับภาพหมดก็จะทำให้มองไม่เห็นหรือเกิดตาบอดกะทันหันได้

เบาหวานขึ้นตามีความสัมพันธ์โดยตรงกับระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวาน ตามสถิติพบว่าหากผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินมา 10 ปี จะมีโอกาสเกิดเบาหวานขึ้นตาได้ 50 คน ใน 100 คน หรือหากเป็นเบาหวานมานาน 20 ปี โอกาสที่จะเกิดสูงถึง 90 คน ใน 100 คน
ความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการเป็นเบาหวาน และการควบคุมเบาหวานว่าทำได้ดีเพียงใด และสุดท้ายคือกรรมพันธุ์

ปัจจุบันโรคเบาหวานเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดตาบอดได้มากที่สุด ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสตาบอดสูงเป็น 20 เท่า ของคนปกติ

การป้องกันมิให้ตาบอดสามารถทำได้โดยการตรวจตากับจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แต่จะบ่อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสภาวะตาของผู้ป่วยแต่ละคน หากจักษุแพทย์พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดใกล้กับประสาทตา (optic disc) หรือบริเวณใกล้จุดศูนย์กลางของการมองเห็นการรักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์จะป้องกันมิให้ตาบอดได้ อย่างไรก็ตามการยิงแสงเลเซอร์อาจทำให้ผู้ป่วยมีลานสายตาแคบลงหรือความสามารถในการมองเห็นภาพตอนกลางคืนลดลง นอกจากนี้ การยิงแสงเลเซอร์ไม่สามารถทำให้ตาที่มองไม่เห็นหรือมัวอยู่แล้วตั้งแต่ต้นกลับชัดขึ้นได้ แต่เป็นการป้องกันมิให้รุนแรงขึ้น หรือตาบอดเท่านั้น

ในกรณีที่เบาหวานขึ้นตารุนแรงจนมีเลือดออกในน้ำวุ้นของลูกตา (vitreous hemorrhage) เกิดการลอกหลุดของจอภาพทำให้ตาบอด การผ่าตัดตาเพื่อเปลี่ยนน้ำวุ้นลูกตาและซ่อมจอภาพอาจช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นได้ แต่จะไม่เหมือนปกติ

ต้อกระจกต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ของลูกตาขุ่นมัวลงทำให้การมองเห็นลดลงหรือมองไม่เห็นเลยก็ได้ พบในคนสูงอายุทุกคน ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมโรคไม่ดีจะทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วขึ้น การรักษาทำได้โดยการผ่าตัดลอกเอาเลนส์ที่เสื่อมออกและเอาเลนส์เทียมใส่แทนก็จะช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้น

เป็นโรคปริทันต์จะจัดฟันได้มั้ย

เป็นโรคปริทันต์จะจัดฟันได้มั้ย

******** มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับฟัน และการจัดฟันที่กำลังฮอตฮิตกันในขณะนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาของคนรักฟันจำนวนมากสงสัยว่าเมื่อเป็นโรคปริทันต์แล้วจะสามารถจัดฟันได้หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบครับ

******** อวัยวะปริทันต์ คือ กลุ่มของเนื้อเยื่อที่อยู่ล้อมรอบฟัน ทำหน้าที่ยึดและพยุงฟัน ทำให้ฟันสามารถอยู่ในกระดูกขากรรไกรได้ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 4 ชนิด คือ เหงือก เอ็นยึดปริทันต์ เคลือบรากฟัน และกระดูกเบ้าฟัน

โรคปริทันต์ (Periodontal disease) คือ โรคที่มีการอักเสบของอวัยวะปริทันต์ ลักษณะอาการที่พบคือ เหงือกอักเสบ บวม มีเลือดออก ร่องเหงือกลึกกว่าปกติมาก ในคนที่มีอาการอักเสบรุนแรงจะมีการละลายของกระดูกหุ้มรากฟัน ซึ่งมีผลให้ฟันโยกและต้องถูกถอนฟันไปในที่สุด โดยมีสาเหตุมาจากคราบจุลินทรีย์ที่เกาะบริเวณรอยต่อระหว่างขอบเหงือกและฟัน หรือที่เรียกว่าคอฟัน ซึ่งจะกลายเป็นหินน้ำลาย หรือหินปูนในเวลาต่อมา

การจัดฟันมีประโยชน์ในผู้ป่วยโรคปริทันต์อย่างไรจัดเรียงฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ผู้ป่วยสามารถทำความสะอาดด้วยตนเองได้ ลดความจำเป็นในการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความพิการของกระดูกรองรับรากฟันที่เกิดจากการทำลายของโรคปริทันต์ ปิดหรือลดช่องว่างระหว่างฟันซึ่งเกิดจากภาวะของโรคปริทันต์ แก้ไขฟันที่ยื่นยาวออกมาทางด้านริมฝีปากซึ่งเกิดจากการทำลายกระดูกรองรับรากฟันของโรคปริทันต์

แล้วถ้าหากเป็นโรคปริทันต์แต่จะจัดฟันต้องทำอย่างไรเริ่มจากผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจอวัยวะปริทันต์อย่างละเอียดเพื่อประเมินความรุนแรงของโรคปริทันต์ ต่อมาจะต้องได้รับการรักษาโดยการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟันให้สะอาดเรียบร้อย หรืออาจได้รับการทำศัลยกรรมตกแต่งแผ่นเหงือก
กรณีที่เหงือกร่นรวมถึงทำการศัลยกรรมตกแต่งกระดูก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทันตแพทย์ผู้ดูแลโรคปริทันต์อยู่ สำหรับฟันที่เป็นโรคปริทันต์มากๆ จนคิดว่าควรได้รับการถอน อาจพิจารณาเก็บฟันซี่นั้นไว้ก่อน เพื่อใช้เป็นฟันหลักยึดชั่วคราว สำหรับติดเครื่องมือจัดฟัน ทั้งนี้ผู้ป่วยจะต้องสามารถดูแลความสะอาดช่องปากได้เป็นอย่างดีก่อนจัดฟัน เพราะเมื่อติดเครื่องมือจัดฟันแล้ว การทำความสะอาดจะทำได้ค่อนข้างยุ่งยากกว่ามาก

หลังจากรักษาโรคปริทันต์แล้วเป็นเวลา 4-6 เดือน ก่อนที่จะเริ่มการจัดฟัน เพื่อให้เกิดการหายของแผลที่เกิดจากการรักษาโรคปริทันต์ และทันตแพทย์เล็งเห็นว่าผู้ป่วยสามารถดูแลสุขอนามัยช่องปากของตนเองได้

หลังจากรักษาโรคปริทันต์แล้วจะมีโอกาสสูญเสียอวัยวะปริทันต์มากขึ้นจากการจัดฟันหรือไม่?ขึ้นอยู่กับสภาพของอวัยวะปริทันต์ ถ้าหากมีสภาพสมบูรณ์ดีก็จะไม่มีการสูญเสียอวัยวะปริทันต์เพิ่มขึ้น แต่หากยังมีการลุกลามของโรคอยู่ การจัดฟันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการทำลายอวัยวะปริทันต์เพิ่มมากขึ้นได้

*************************************************************************************
อ.ทพ.พงศธร พู่ทองคำ อาจารย์ประจำภาควิชาทันตกรรมจัดฟัน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยามหิดล
*************************************************************************************

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นประจำเดือน

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นประจำเดือน

ประจำเดือนเป็นเรื่องที่การแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญมาก เพราะประจำเดือนสามารถสะท้อนความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย และในช่วงที่เป็นประจำเดือน ไม่ว่าสาวๆ จะมีอาการไม่สบายตัวหรือไม่ แพทย์จีนก็ยังคงเน้นให้ใส่ใจดูแลตัวเองเสมอ

ในช่วงที่เป็นประจำเดือน
สาวๆ หลายท่านอาจมีอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ เพลีย ตัวบวม สิวขึ้น อารมณ์แปรปรวน.... อาการต่างๆ เหล่านี้แพทย์จีนมีวิธีแก้อย่างไร
วันนี้เราจะแนะนำวิธีปฏิบัติตัวให้ประจำเดือนเป็นไปอย่างราบรื่นตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนมาให้ทุกท่านทราบกัน

พักผ่อนให้เพียงพอ
การทำงานมากเกินไปจะทำให้ชี่พร่อง มีผลทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ

หลีกเลี่ยงความเย็น
เช่น ตากฝน อาบน้ำเย็น ว่ายน้ำ เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี

รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและรสอ่อน
ลดอาหารรสเผ็ด เปรี้ยว เพราะอาจทำให้ประจำเดือนมามาก  ปวดประจำเดือน

ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด
เพราะจะทำให้โซเดียมและน้ำตกค้างในร่างกายมากขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ โกรธง่าย

รับประทานอาหารธัญพืช
ทานอาหารที่มีกากใยอาหาร ป้องกันท้องผูก ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ลดดื่มชาหรือกาแฟ ลดอาหารหวาน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

รับประทานอาหารที่ปรุงร้อน
ไม่ควรรับประทานของเย็นๆ เช่น แตงโม มะระ ฟัก น้ำเย็น น้ำแข็ง เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ประจำเดือนน้อยลง หรือ ปวดประจำเดือน

งดการออกกำลังกายที่หักโหม
เลือกออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดิน กายบริหารเบาๆ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ทำจิตใจเบิกบาน อารมณ์ดี อาจฟังเพลงเบาๆ หรือเดินเล่น งดการมีเพศสัมพันธ์ เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ง่าย

ไม่ควรตะโกน หรือใช้เสียงมากเกินไป
เพราะในช่วงนี้มีเลือดคั่งที่กล่องเสียง จึงง่ายต่อการเกิดเสียงหายหรือเสียงแหบ

ไม่ถอนฟัน
เพราะอาจมีเลือดออกมาก และแผลหายช้า

หากปวดประจำเดือน สามารถทำชาสมุนไพรดื่มได้ เช่น
ชาดอกกุหลาบ ใช้ดอกกุหลาบ 15 กรัม น้ำร้อนชงดื่ม ช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น คลายอาการเครียด
หรือใช้ขิง 3 แว่น พุทราจีน 5 เม็ด น้ำร้อนชงดื่ม

เนื่องจากช่วงเป็นประจำเดือน ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ง่ายต่อการเจ็บไข้ ดังนั้น การดูแลตัวเองในช่วงนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง วิธีปฏิบัติตัวข้างต้นเป็นการดูแลเบื้องต้น หากมีอาการไม่สบายรุนแรง ปวดประจำเดือนมาก ปวดศีรษะมาก หรือประจำเดือนมาผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการปรับสมดุลร่างกาย และป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ด้วย

****************************************************************************
แพทย์จีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
****************************************************************************

บัวฮาขาว...ปัดเสนียด ไม่เฉียดใกล้

บัวฮาขาว...ปัดเสนียด ไม่เฉียดใกล้

ตามบ้านเรือนโดยทั่วไป มักมีการปลูกไม้มงคลไว้ตามบ้านด้วยความเชื่อที่ว่า ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในบ้านเป็นไปอย่างสงบสุข ร่มเย็น
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วไม้มงคลที่คนโบราณนิยมปลูกกันตามบ้านทั่วไปนั้น มักเป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์ เช่น มะยม ขนุน ไผ่ เป็นต้น ทั้งในสรรพคุณที่เป็นยา และการใช้สอยอื่นๆ ที่ควรมีปลูกไว้คู่บ้านอันเป็นกุศโลบายอันแยบคายของคนแต่เก่าก่อน

บัวฮาขาว

ก็เป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกตามบ้าน และเป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์เช่นเดียวกัน
ชาวไทยใหญ่ จะเรียกว่าเจริมเผือก เป็นไม้มงคลที่ชาวไทยใหญ่ ล้านนา และชาวอีสานนิยมปลูกไว้หน้าบ้าน เพื่อปัดเป่าความอัปมงคล ใช้ในพิธีกรรม เช่น ไหว้พระ ตั้งเสาเอกบ้าน หรือแม้แต่การตั้งเตาไฟ สำหรับชาวไทยภาคกลาง ต้นไม้ต้นนี้ถูกเรียกว่า ต้นปัดเสนียด และปลูกไว้เป็นไม้มงคลเช่นกัน แต่เมื่อความรู้ตรงนี้หายไป เหลือเพียงชื่อเสนียด ต้นไม้ต้นนี้เลยกลับกลายเป็นไม้ที่ไม่เป็นมงคลและห่างหายไปจากบ้านคนไทยแถบภาคกลางอย่างน่าเสียดาย

ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าต้นไม้ที่เป็นไม้มงคลย่อมไม่ธรรมดานั้น ต้นบัวฮาขาวก็เช่นกัน
เพราะมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ คือ นิยมใช้ในการทำยาแก้ไอแบบพื้นบ้านที่มีประสิทธิภาพจนมีการนำไปพัฒนาเพื่อผลิตเป็นยาแก้ไอแผนปัจจุบันเพราะสามารถใช้แก้ไอ แก้หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาบำรุงปอด ลดการเจริญเติบโตของวัณโรค กระตุ้นการหายใจ แก้หวัด แก้แพ้
ซึ่งวิธีใช้เป็นยาแก้ไอแบบพื้นบ้านก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงนำใบของบัวฮาขาวมาบด ผสมน้ำผึ้งกิน ก็สามารถใช้แก้ไอได้ดี

บัวฮาขาวไม่เพียงแต่มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอเท่านั้น เรายังใช้ในการเป็นยาแก้ฟกช้ำ แก้อักเสบอีกด้วย โดยใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาประคบ อบ อาบ ย่าง ที่มักจะมาพร้อมกับผีเสื้อเสมอ ทั้งในตำรับยาโบราณของหมอยาพื้นบ้านไทยภาคเหนือและภาคอีสานเสมอ จนเรียกติดปากคล้องจองกันว่า ผีเสื้อบัวฮา

***************************
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
***************************

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สัญญาณบอกเหตุ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

สัญญาณบอกเหตุ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

******** ถ้าจะกล่าวถึงโรคเรื้อรังลำดับต้นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลกคงหนีไม่พ้นโรคเบาหวาน เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีโดยดูจากการศึกษาข้อมูลทางระบาดวิทยาของประเทศไทยและทั่วโลก ในประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคเบาหวานประมาณ 7% ของประชากร แต่จำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่แท้จริงน่าจะมากกว่านี้

******** จากการประมาณการณ์คาดว่ามีผู้ป่วยเบาหวานเพียง 50 % ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา เนื่องจากคนไทยมีการตรวจสุขภาพน้อย การรอให้มีอาการของโรคก่อนจึงมาพบแพทย์ มักสายเกินไปเพราะบางโรคต้องเป็นมากพอสมควรจึงจะมีอาการ เมื่อมาพบแพทย์จึงเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนของโรคแล้ว ทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าเปรียบเทียบกับการรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกๆ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 การมีน้ำตาลสูงไม่มากในระยะแรกมักไม่มีอาการ ถ้าได้รับการวินิจฉัย ให้คำแนะนำการดูแลตนเองและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องก็สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดกลับไปสู่ภาวะปกติได้ถึง 50% ของผู้ป่วย

******** แต่ถ้ารอให้มีอาการของโรคเบาหวานก่อน เช่น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดน่าจะมากกว่า 180 mg/dl เนื่องจากไตเราสามารถเก็บน้ำตาลในเลือดได้ไม่เกิน 180 mg/dl ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อย เมื่อเสียน้ำทางปัสสาวะมากก็จะมีอาการหิวน้ำบ่อย และการสูญเสียน้ำตาลทางปัสสาวะไปมากก็จะทำให้น้ำหนักลดในแบบที่ไม่ดีกับสุขภาพ คือมีอาการอ่อนเพลีย ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 บางรายเมื่อมีอาการและได้รับการวินิจฉัยก็มีภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดแดงขนาดเล็กแล้ว เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือเบาหวานลงไต ซึ่งจัดว่าสายเกินไปเพราะต่อให้สามารถรักษาเบาหวานได้ดีก็ไม่สามารถทำให้ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวกลับมาเป็นปกติได้ แต่สามารถลดการดำเนินของภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวได้

ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพที่ถูกต้อง คือ การป้องกันโรคที่ถูกต้องและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกๆ ปี

5 วิธีสวย (แต่) เสี่ยงมะเร็ง

5 วิธีสวย (แต่) เสี่ยงมะเร็ง

เมื่อเดือนที่ผ่านมามีการรณรงค์ให้ผู้หญิงหันมาตระหนักหรือให้ความสำคัญกับ "มะเร็งเต้านม" เนื่องจากเป็นเดือนแห่งการ "รณรงค์เพื่อป้องกันมะเร็งเต้านมโลก" ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็คงรู้กันดีว่ามะเร็งเต้านมนั้นพบมากเป็นอันดับ 1 ของผู้หญิงไทยในวันนี้ ส่วนผู้หญิงทั่วโลกพบว่าในทุกๆ ปี จะมีอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมราว 1.5 ล้านคน

และไม่เฉพาะมะเร็งเต้านมเท่านั้นที่ถือเป็นมฤตยูร้าย แต่ในบรรดาโรคต่างๆ คนไทยกลัวการเป็นมะเร็งมากที่สุด เพราะจากผลวิจัยเรื่องสังเคราะห์งานวิจัยสู่ข้อเสนอโมเดลลดปัจจัยเสี่ยงจากวิถีอาหารปลอดภัย โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพๆ เมื่อปีที่ผ่านมาพบว่า โรคร้ายแรงที่คนไทยกลัว อันดับ 1 ร้อยละ 71.9 คือ โรคมะเร็ง

แนวทางสำคัญที่จะสู้กับโรคนี้ได้ จึงอยู่ที่การเลือกตั้งแต่เลือกกิน เลือกอยู่ เลือกพักผ่อน - ออกกำลังกาย รวมทั้งต้องเลือกตรวจคัดกรองมะเร็ง เมื่ออายุเข้าเลข 4 โดยเฉพาะคนที่มีญาติพี่น้องที่ป่วยเป็นโรคนี้

เมื่อพูดถึงมะเร็ง นอกจากจะต้องระมัดระวังภัยจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องความสวยความงาม ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้เช่นกัน เราไปดู 5 วิธีสวย (แต่) เสี่ยงมะเร็ง ซึ่งคุณอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยเสี่ยงต่อวิธีการเหล่านี้แล้วก็ได้

1. กลูต้าไธโอน

เห็นใครๆ ก็อยากขาวใสไร้ที่ติ คนผิวเข้มจำนวนไม่น้อยจึงเลือกทางลัดด้วยการฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อเร่งผลัดผิวให้กระจ่างใส ไวเหมือนโกหก แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากความขาวจะไม่คงทนถาวรแล้ว ยังเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังอีกด้วย เพราะอย่าลืมว่า คุณไม่ได้ขาวแบบธรรมชาติภูมิต้านทานผิวจึงไม่มี เมื่อสารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ดูขาวขึ้นเมื่อเจอกับแสงแดดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดด และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะคนที่ฉีดสารในปริมาณมากและต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อมะเร็งตับและการทำงานของไต ซึ่งรวมไปถึงกลูต้าไธโอนชนิดที่รับประทานติดต่อกันไปนานๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของตับ รวมทั้งโรคต้อได้เช่นกัน
2. เปลี่ยนสีผมบ่อยๆ

มีการวิจัยอย่างต่อเนื่องถึงฤทธิ์ของสีย้อมผม ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่เรียกตัวเองว่าอินเทรนด์สุดๆ จะสีไหนแบบไหนขอให้ได้เปลี่ยน (สี) หากเปลี่ยนมากกว่า 9 ครั้ง/ปี มีสิทธิ์เสี่ยงต่อโรคลูคีเมีย หรือมะเร็งในเม็ดเลือด โรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง รวมทั้ง โรคเนื้องอกในสมอง ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปถึงร้อยละ 60 ผลวิจัยยังบอกอีกว่า ผู้หญิงที่ใช้น้ำยาปกปิดสีผมขาวชนิดสีดำจะมีโอกาสที่มะเร็งจะพัฒนาไปเป็นเนื้องอกในสมอง และมะเร็งในเม็ดเลือดชนิดที่ไม่ลุกลามได้ง่ายขึ้นกว่าถึงร้อยละ 50 คนที่เปลี่ยนสีผมหลากสีสันไปมาอยู่เรื่อยๆ จะมีความเสี่ยงสูงกว่าถึงร้อยละ 70

3. ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาว

นอกจากกลูต้าไธโอนที่เน้นฉีดเข้าร่างกายแล้ว สารพัดครีมเพื่อผิว - หน้า ขาว ก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่ทำให้เราเสี่ยงมะเร็วผิวหนังได้ ตัวอย่างที่ได้ยินกันอย่างครึกโครมก็คือ การใช้ "ครีมกัดผิว" เปลี่ยนสีผิวให้ขาวใสทันใจสไตล์เกาหลี ซึ่งหากใช้บ่อยจะอันตราย เพราะทำให้ผิวบาง ผิวแพ้สารเคมีง่ายขึ้น เพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนระคายเคืองสูง อาจทำให้เกิดระคายเคือง แสบ คัน เป็นผื่น และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หากใช้ต่อไปเรื่อยๆ ผิวจะไม่ทนต่อแสงแดด ทำให้อนาคตเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง รวมทั้งเนื้องอกจากสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ผสมอยู่ในครีม

4. ยาสิว

ยาที่คุณทานเพื่อรักษาสิวส่วนใหญ่ คือ ยากลุ่มกรดวิตามินเอ เป็นยาที่ห้ามหญิงตั้งครรภ์ทาน ยาตัวนี้ต้องทานต่อเนื่องกันนานเพื่อให้ได้ขนาดยาที่เหมาะสมต่อการรักษา
อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้ทำให้ริมฝีปากแห้ง ตาแห้ง ผิวแห้ง บางคนอาจมีเลือดกำเดาไหล หรือคนไข้บางรายอาจทำให้ตับอักเสบได้ และอาจทำให้มีไขมันในเลือดสูง จากการศึกษาพบว่า ยากลุ่มนี้หลายตัวมีผลเสียต่อตับ จึงต้องควรระมัดระวังไม่ใช้ยาเหล่านี้โดยไม่จำเป็น ต้องให้แพทย์สั่ง หรือต้องคอยตรวจการเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการของตับอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นอาจเข้าทำนอง "สิวหายแต่ตับไตพัง"

5. ฟิลเลอร์ปลอม
กรณีของการฉีดฟิลเลอร์ขนาดของแท้แกะกล่องยังมีความเสี่ยง ยิ่งถ้าเป็นฟิลเลอร์ของปลอมราคาถูกที่ประกาศขายทางเว็บไซต์ นอกจากจะเสี่ยงต่อร่างกาย (หากไม่เป็นอะไร) แล้ว ในระยะยาว คุณอาจเสี่ยงมะเร็งได้ไม่ยาก เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าฟิลเลอร์ปลอมที่ฉีดเข้าไปจะไปทำปฏิกิริยาอย่างไรกับอวัยวะของเรา ตัวอย่างที่มีให้เห็นกรณีพริตตี้สาวที่สังเวยชีวิตด้วยการฉีดคอลลาเจนปลอมด้วยสารโพลีอะคริลาไมด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่สลายตัว ให้ผลคล้ายซิลิโคน ถ้าหากไม่เป็นอะไรในระยะยาวก็เสี่ยงมะเร็งอยู่ดี

มะขาม ความเปรี้ยวที่เยียวยา คุณค่าที่น่าอร่อย

มะขาม ความเปรี้ยวที่เยียวยา คุณค่าที่น่าอร่อย

******** เดิมทีแล้วมะขามไม่ใช่พืชบ้านเรา แต่มาจากแอฟริกาเมื่อกว่า 700 ปีก่อน จนกลมกลืนไปกับวิถึชีวิตของคนไทย ซึ่งครัวไทยในอดีตจะนิยมใช้มะขามเป็นตัวหลักในการให้รสเปรี้ยวในการทำอาหาร เพราะมะนาวไม่ได้ออกผลทั้งปี และเก็บไว้ได้ไม่นาน แต่มะขามสามารถเก็บไว้ได้นาน
โดยนิยมใช้มะขามใส่ในแกงส้ม ต้มส้ม ใช้ทำน้ำพริก ใช้ทำแจ่ว จิ้มผักปลา ยำต่างๆ และขาดไม่ได้เลยคือเวลาทำแกงบอนหรือต้มไหลบอนจะต้องใช้มะขามด้วย มิเช่นนั้นแล้วบอนจะทำให้คันได้

******** นอกจากเนื้อมะขามเปียกแล้ว ใบมะขามอ่อนและฝักมะขามอ่อนยังนำมาทำอาหารได้อีกด้วย ที่อร่อยมากคือ มะขามกรอก ซึ่งจะเก็บในช่วงที่มะขามแก่เต็มที่กำลังจะกลายเป็นมะขามเปียก กะเทาะเปลือกออกง่าย ไม่เปรี้ยวมาก จิ้มพริกเกลือ รสชาติเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ดพอดีๆ หรือจะเอามาแช่อิ่มก็ได้

******** มะขามเป็นยาแก้ท้องผูกที่ทุกคนรู้จักดี สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใช้ก็ง่าย เพียงแต่เอามะขามมาจิ้มเกลือกินแล้วดื่มน้ำมากๆ พอข้ามวันก็ถ่ายสะดวก
แต่ในเด็กจะต้องต้มและปรุงรสเค็มหวานสักหน่อย
แม่หลังคลอดก็ต้องกินน้ำมะขามเปียกใส่เกลือเพื่อช่วยขับเลือดเสีย ขับน้ำคาวปลาและช่วยระบายด้วย แถมยังต้องอาบน้ำต้มใบมะขามเพื่อให้สบายตัวและสดชื่น ไม่มีน้ำนมก็เอากิ่งมะขามไปต้มกิน น้ำนมก็มา แม่ที่เป็นฝ้าจะใช้มะขามล้างหน้าแทนสบู่ และใช้อาบน้ำเพื่อดับกลิ่นตัว เมื่อมีรังแคทำน้ำมะขามเป็นครีมข้นนวดหนังศีรษะก็ช่วยได้

******** บางท่านที่มีอาการเจ็บคอ มีเสมหะ รู้สึกระคายคอ มะขามก็สามารถช่วยได้ โดยใช้เนื้อของมะขามเปียกต้มน้ำให้เดือด เอาเนื้อออก เติมเกลือ น้ำตาล นำมาจิบอาการระคายคอก็จะดีขึ้น
สำหรับท่านที่ต้องการจะขับพยาธิ มะขามก็สามารถช่วยได้ โดยคนโบราณจะใช้เม็ดมะขามที่แก่ๆ นำไปคั่วให้สุก นำไปแช่น้ำสักพักเพื่อให้นิ่มและเคี้ยวง่ายให้กินครั้งละประมาณ 20-30 เม็ด

******** ส่วนของมะขามที่ใช้มากที่สุดในการทำเป็นยาคือใบ เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับของยาอาบ อบ ประคบ นวด ซึ่งเป็นวิถีของผู้หญิงสมัยก่อน ตำรับยาเหล่านี้ ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก แต่หญิงที่เป็นแม่ทั้งหลายและหมอตำแยจะรู้เรื่องดีกว่าพ่อหมอผู้เชี่ยวชาญเสียอีก
สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยในยาเหล่านี้คือ สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวเนื่องจากฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยกำจัดคราบไคล ชำระล้างสิ่งสกปรก ทำให้ตัวยาอื่นๆ แทรกซึมสัมผัสกับผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มความต้านทานโรคให้แก่ผิวหนัง นอกจากรสเปรี้ยวแล้ว ใบมะขามยังมีรสฝาดอยู่ด้วย จึงช่วยกระชับรูขุมขนและลดการอักเสบ

******** มะขาม พืชต่างถิ่นที่มาปักหลักปักฐานอย่างมั่นคงในแผ่นดินเรา เป็นยาและอาหารที่ได้รับการคัดสรร เป็นของดีที่สืบทอดกันมา และจะต้องส่งต่อให้ลูกหลาน ให้ช่วยกันสืบสานต่อไป

***************************
ภญ.ดร. สุภาภรณ์ ปิติพร
***************************

เบาหวานกับการดูแลสุขภาพเท้า

เบาหวานกับการดูแลสุขภาพเท้า

******** ปัญหาหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวานที่มักจะวิตกกันมากก็คือ "การเกิดแผลที่เท้า" แผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานนั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุสำคัญ ได้แก่ ปลายประสาทเสื่อม การเกิดปลายประสาทเสื่อมเกิดขึ้นกับเส้นประสาทรับความรู้สึก เส้นประสาทควบคุมกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทในระบบประสาทอัตโนมัติ

1. ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม

ทำให้สูญเสียการรับความรู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกร้อนเย็น ดังนั้นเมื่อเป็นแผลขึ้นแล้วผู้ป่วยเบาหวานมักไม่หยุดใช้เท้าเนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลจึงเกิดการอักเสบลุกลามมากขึ้น แผลที่เท้าอาจเกิดจากอุบัติเหตุโดยตรง เช่น การเดินเท้าเปล่าแล้วเหยียบของมีคมหรือการใช้ของมีคมโดยขาดความระมัดระวัง การเตะของแข็ง การสวมรองเท้าคับเกินไป หรือแผลซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่รู้ เช่น วางกระเป๋าน้ำร้อนที่เท้าเพื่อแก้อาการเท้าชา จนเกิดเป็นแผลพุพองเพราะอุณหภูมิของน้ำสูงเกินไป เนื่องจากผู้ป่วยรับรู้ไม่ได้เพราะปลายประสาทเสื่อม
2. ประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม

การเสื่อมสมรรถภาพของประสาทชนิดนี้ทำให้กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่เท้าลีบลง กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล เท้าของผู้ป่วยจึงผิดรูป นิ้วเท้าจิกลงคล้ายกรงเล็บ ทำให้จุดรับน้ำหนักผิดไป มีโอกาสเกิดตาปลาหรือเป็นแผลได้ง่ายขึ้น
3. ประสาทอัตโนมัติ

ระบบประสาทควบคุมเกี่ยวกับการหลั่งเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสียไป การเสื่อมของระบบประสาทชนิดนี้ยังผลให้ผิวหนังแห้ง มีเหงื่อออกน้อย และผิวหนังแตกได้ง่ายโดยเฉพาะบริเวณที่มีการพับงอบ่อยๆ เชื้อโรคอาจเข้าไปตามรอยแตกแล้วเกิดเป็นแผลลุกลามมากขึ้น ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อมทำให้เท้าบวม รองเท้าจึงคับขึ้นและกดเท้าจนเป็นแผลได้
******** ยังไงผู้ป่วยเบาหวานเองก็จะต้องดูแล และรักษาเท้าของตัวเองให้ดี หมั่นสังเกตความผิดปกติ ไม่ทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ ที่จะทำให้เกิดแผล และหากมีความผิดปกติต้องรีบไปพบแพทย์

การจัดฟันทำให้สวยขึ้นจริงหรือ

การจัดฟันทำให้สวยขึ้นจริงหรือ

******** เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันส่งเสริมให้บุคลิกภาพผู้ป่วยดี ผลการจัดฟันมีหลายระดับ อาทิ การจัดฟันเพื่อแก้ไขการมีฟันซ้อนเก แก้ไขการสบฟันผิดปกติ เช่น ฟันซ้อนเก ฟันยื่น ฟันห่าง ฟันสบลึก ฟันสบเปิด ฟันล่างคร่อมฟันบน ทำให้การเรียงตัวของฟันเป็นระเบียบ มีการสบฟันทีดีขึ้น เพื่อการบดเคี้ยวอาหารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดฟันผุหรือโรคหงือกอันเนื่องมาจากความลำบากในการทำความสะอาดฟันและเหงือก ทำให้รอยยิ้มสวยงามส่งเสริมให้บุคลิกภาพผู้ป่วยดี มีความมั่นใจ

******** นอกจากนี้ การจัดฟันจะมีผลต่อรูปปากได้ เช่น การจัดฟันร่วมกับการถอนฟันและดึงฟันหน้าไปข้างหลังจะมีผลทำให้ริมฝีปากยุบลง ลดความอูมนูนของริมฝีปาก ทำให้ใบหน้าด้านข้างดูสวยขึ้น ส่วนการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกร แก้ปัญหาความผิดปกติของขนาดและความสัมพันธ์ของขากรรไกรของใบหน้า สามารถเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของขากรรไกรได้อย่างเด่นชัด และทำให้ดูสวยขึ้น

******** การจัดฟันนอกจากทำเพื่อให้ฟันเรียงตัวสวยแล้ว สิ่งสำคัญคือเรื่องสุขภาพฟันและเหงือก ที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เราต้องพิจารณาการจัดฟัน ทั้งนี้ การจัดฟันเมื่อมีอายุมากขึ้นไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันของเราหลุดง่าย แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เราต้องเสียฟันไปในตอนแก่นั่นก็คือ โรคเหงือกอักเสบและโรคฟันผุ ส่วนการจัดฟันไม่ได้ทำให้ฟันหลุดง่ายเมื่ออายุมากขึ้น

******** เมื่อจัดฟันแล้วก็ยังคงใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน ( Retainer ) ไว้ต่ออีกอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้ฟันคงรูปสวยได้อย่างยาวนาน นอกจากนี้ อย่างที่บอกในตอนต้นว่า สุขภาพฟันและเหงือกก็เป็นสิ่งสำคัญนอกเหนือจากเรื่องความสวยงาม หากคุณเป็นคนมีปัญหาสุขภาพฟันแล้วไม่ไปจัดฟัน อาจมีปัญหาสุขภาพฟันและเหงือกตามมากวนใจได้ในภายหลัง เช่น การบดเคี้ยวอาหาร การทำให้เกิดการเจ็บปวดของข้อต่อกระดูกขากรรไกร เพราะการสบฟันที่ผิดปกติ

******** เมื่อจัดฟันแล้ว บทสรุปที่มาพร้อมกับความสวย นั่นคือ อย่าลืมดูแลสุขภาพช่องปาก ตั้งแต่การให้เวลากับการทำความสะอาดฟันมากขึ้น โดยค่อยๆ แปรงฟันช้าๆ ซ้ำๆ ที่เดิม เพื่อไม่ให้เศษอาหารตกค้าง ควรแปรงฟัน หรือบ้วนน้ำหลังกินอาหารทุกมื้อ ไม่ควรกินอาหารเหนียวหนึบติดฟันง่าย และควรได้รับการขูดหินปูนทุกๆ 6 เดือน

*******************************************************************************
รศ.ทพญ.นิตา วิวัฒนทีปะ ภาควิชาทันตกรรมจัดฟัน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
*******************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หยิกสันหลัง...นวดจีนรักษาโรคเด็ก

หยิกสันหลัง...นวดจีนรักษาโรคเด็ก

******** เมื่อเด็กเล็กเจ็บไข้ได้ป่วย มักเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่หนักใจที่ลูกน้อยไม่ยอมทานยา
ยิ่งถ้าลูกป่วยบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ยิ่งกังวลว่า ลูกทานยามากไปจะมีผลข้างเคียงต่อลูกหรือไม่
การเจ็บป่วยในวัยเด็ก นอกจากจะมีวิธีการรักษาด้วยการทานยาที่แสนจะลำบากแล้ว สำหรับการแพทย์แผนจีน ยังมีวิธีที่ใช้ได้ผลดี ไม่ด้อยไปกว่าการทานยา และไม่มีผลข้างเคียงด้วย
นั่นก็คือ การนวดจีน หรือที่เรียกกันว่า "ทุยหนา" โดยใช้หลักทฤษฎีการแพทย์จีนเป็นพื้นฐาน สำหรับการนวดเด็กเล็กในแพทย์แผนจีน มีการบันทึกมานานกว่าพันปี การนวดเด็กเล็กมีท่านวดมากมาย วันนี้เราขอแนะนำหนึ่งในวิธีการนวดที่ชาวจีนนิยมกันมาก

การหยิกสันหลัง

******** การนวดด้วยการหยิกสันหลัง เป็นวิธีการนวดโดยการหยิกดึงผิวหนังบริเวณข้างแนวกระดูกสันหลัง เป็นวิธีป้องกันและรักษาที่มักใช้ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร การหยิกสันหลัง สามารถปรับสมดุลอินหยางเสริมพลังชี่ ทะลวงเส้นลมปราณ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลม ช่วยปรับการทำงานของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารให้ทำงานเป็นปกติ กระตุ้นการย่อยและดูดซึมของกระเพาะอาหารและลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มักใช้รักษาเด็กที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ มีปัญหาการเจริญเติบโต อาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร ท้องเสีย ปวดท้อง อาเจียน ท้องผูก ลมชัก ร้องไห้ตอนกลางคืน เป็นต้น

******** วิธีการนวด ควรนวดหลังตื่นนอนหรือก่อนนอนให้เด็กนอนคว่ำ
เริ่มนวดจากก้นกบขึ้นไปจนถึงบริเวณใต้คอตามแนวด้านข้างของกระดูกสันหลังทั้งสองข้าง โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดไว้ด้านหน้า นิ้วโป้งดันผิวหนัง ใช้สามนิ้วร่วมกันหยิกผิวหนัง พร้อมดันไปด้านหน้า ให้หยิกทุกๆ 3 ครั้ง แล้วดึงผิวหนังขึ้น 1 ครั้ง หยิกจากล่างขึ้นบนนับ 1 รอบ ให้หยิก 3-5 รอบ โดยให้ผิวหนังบริเวณที่หยิกออกแดงๆ เล็กน้อย เวลาหยิกควรหยิกเป็นแนวเส้นตรง ไม่ควรเอียงไปมา หรือบิดผิวหนัง แรงหยิกและแรงดึงผิวหนังควรพอเหมาะ ไม่แรงหรือเบาจนเกินไป

******** การหยิกสันหลัง เป็นวิธีการนวดจีนที่ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ผลการรักษาก็เป็นที่ยอมรับกันทั้งในและนอกประเทศจีน มีงานศึกษาวิจัยรองรับมากมาย การหยิกสันหลังไม่เพียงแต่เป็นวิธีที่ชาวจีนใช้รักษาโรค แต่ยังมักใช้เป็นการป้องกันโรคได้อีกด้วย

**************************************************************************
แพทย์จีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
**************************************************************************

ออกกำลังกายยังไงเมื่อเป็นเบาหวาน

ออกกำลังกายยังไงเมื่อเป็นเบาหวาน

******** เราเคยพูดถึงผลดีของการออกกำลังกายกับผู้ป่วยเบาหวานไปบ้างแล้ว เพราะการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้ เนื่องจากขณะออกกำลังกายร่างกายจะต้องใช้พลังงานและแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในร่างกายก็คือน้ำตาล
หากออกกำลังกายให้เพียงพอร่างกายจะใช้น้ำตาลในเลือดเพื่อเปลี่ยนไปเป็นพลังงานมากพอที่จะลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไวต่ออินซูลินมากขึ้น กล่าวคือ ด้วยอินซูลิน ปริมาณเท่าเดิมร่างกายจะสามารถใช้น้ำตาลได้มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

******** นอกจากผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว การออกกำลังกายยังก่อให้เกิดประโยชน์อีกหลายประการ ได้แก่ น้ำหนักตัวลดลง ทำให้ควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจน้อยลงไขมันในเลือดต่ำลง
การออกกำลังกายสามารถทำให้ระดับคอเลสเทอรอลในเลือดต่ำลงได้ ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเพราะเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยลง และสุขภาพจิตดีขึ้น อารมณ์แจ่มใสมากขึ้น

******** สำหรับชนิดของการออกกำลังกายนั้นขึ้นกับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงต้านมากๆ เช่น การยกน้ำหนัก เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดและหัวใจระหว่างการออกกำลังกายได้มาก
การออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานควรเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนได้เคลื่อนไหวออกแรงพร้อมๆ กัน และไม่ต้องใช้แรงต้านมาก เช่น การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ และการว่ายน้ำ เป็นต้น และควรออกกำลังกายครั้งละประมาณ 20-45 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย

******** ผู้ป่วยควรเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อที่จะออกกำลังกายในแต่ละวันสำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 (ชนิดพึ่งอินซูลิน) หากจะออกกำลังในช่วงบ่าย (ประมาณ 15.00-17.00 น.) ควรรับประทานอาหารว่างก่อนออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาที เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเพราะช่วงนี้เป็นเวลาที่อินซูลินจะถูกดูดซึมเต็มที่และออกฤทธิ์สูงสุด อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยเลือกที่จะออกกำลังในเวลาอื่นๆ หรือเมื่อออกกำลังแล้วเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรรับประทานอาหารว่างก่อนออกกำลังกาย
ข้อควรระวังสำหรับการออกกำลังกายนั้น ผู้ป่วยควรงดการออกกำลังกายทันทีและรีบปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการต่อไปนี้ระหว่างการออกกำลังกาย

===>>>   เจ็บแน่นหน้าอก
===>>>   อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หิวเหงื่อออก หรือใจสั่น
===>>>   ตาพร่ามัว หน้ามืด
===>>>   เป็นแผลที่เท้า
===>>>   เหนื่อยมากผิดปกติ

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เพชรสังฆาต ความหวังป้องกันกระดูกพรุน สมานกระดูก

เพชรสังฆาต ความหวังป้องกันกระดูกพรุน สมานกระดูก

******** เมื่อพูดถึงเพชรสังฆาตแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงสรรพคุณในการรักษาโรคริดสีดวง เพราะมีการใช้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ โดยจะนำเพชรสังฆาตประมาณ 1 ข้อนิ้วมือของคนไข้ ใส่ในแตงกวา ลูกกล้วย หรือห่อด้วยมะขามเปียกก่อนกลืนลงไป เพื่อไม่ให้เพชรสังฆาตสัมผัสริมฝีปากโดยตรงเนื่องจากตัวเพชรสังฆาตมีสารแคลเซียมออกซาเลตที่ระคายเคืองต่อเยื่อบุ แต่เมื่อกลืนลงสู่กระเพาะแล้วจะถูกทำให้เป็นกลาง โดยกรดจะไปจับทำให้ไม่ระคายเคืองแต่อย่างใด
ดังนั้น คนโบราณจึงใช้น้ำมะขามเปียก เป็นน้ำกระสายยา เวลาปั้นเพชรสังฆาตเป็นลูกกลอน หรือปัจจุบันจะทำเป็นแคปซูล เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
แต่สรรพคุณของเพชรสังฆาตไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ในหลายพื้นที่ยังใช้ในสรรพคุณบำรุงกระดูกอีกด้วย

******** คนอินเดียเรียกชื่อเจ้าต้นเพชรสังฆาตว่า Asthisringhala แปลว่า สมานกระดูก
ซึ่งวิธีใช้นั้นเค้าจะนำเพชรสังฆาตไปผสมแป้งและสมุนไพรบางชนิด ทำเป็นยาพอกในรายที่กระดูกหักหรือกระดูกแตก
แต่ก็มีบางตำรับใช้กิน รักษาอาการปวดหลัง (Rheumatic Back Pain)
หมอยาแถวราชบุรีเรียกต้นเพชรสังฆาตว่า ต้นต่อกระดูก โดยจะใช้เถาเพชรสังฆาตที่ไม่แก่ ไม่อ่อนเกินไปตำผสมกับเหล้า ทาบริเวณที่กระดูกหัก
ในตำรายาไทยกล่าวว่าราก เป็นยาพอกรักษาโรคกระดูก เถาลำต้น แก้กระดูกหัก

******** ปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยประโยชน์ของเพชรสังฆาตต่อกระดูกอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า สารสกัดของเพชรสังฆาตเพิ่มความหนาและความแข็งแรงของกระดูกในหนู กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์สร้างเนื้อกระดูก (osteoblast) ในหลอดทดลองและรักษาสภาวะกระดูกพรุนที่ถูกเหนี่ยวนำหรือเกิดจากการตัดเอารังไข่ออกไป ในหนูทดลองมีประสิทธิภาพที่คล้ายคลึงกับยาต้านภาวะกระดูกพรุนในปัจจุบันซึ่งก็คือ Raloxifen ทั้งยังเพิ่มความหนาของกระดูกส่วน cortical และ trabecular
ดังนั้นเพชรสังฆาตจึงเหมาะที่จะนำไปใช้ในการแพทย์ทางเลือกสำหรับป้องกันหรือรักษาโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยพบว่า เพชรสังฆาตมีฤทธิ์แก้ปวดแก้อักเสบได้ดีมาก

******** ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เพชรสังฆาตจำหน่ายอยู่ในตลาดโลกรวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ในการเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับซ่อมแซมกระดูก ข้อต่อ และเนื้อเยื่อ รวมทั้งทำให้ข้อและกระดูกแข็งแรง และช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ
โดยระบุว่าเพชรสังฆาตมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงสามารถรับประทานร่วมกับยาตัวอื่นได้

******** สำหรับการกินเพชรสังฆาตในสรรพคุณบำรุงกระดูกนั้น สามารถนำเพชรสังฆาตไปต้มกินเป็นน้ำสมุนไพรได้ เพราะความร้อนจะทำให้เพชรสังฆาตไม่ระคายคอ และยังช่วยในการแก้ร้อนในกระหายน้ำได้ดี โดยมีวิธีการทำงายๆ ดังนี้

น้ำเพชรสังฆาต
เพชรสังฆาตสด 1 กำมือ
น้ำ 1 ลิตร
น้ำผึ้ง หรือ น้ำตาลกรวด

วิธีทำ
******** นำเพชรสังฆาตมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง เด็ดหนวดออก ขดเป็นม้วนขนาด 1 กำมือ

******** นำน้ำขึ้นตั้งไฟ ใส่เพชรสังฆาตลงไปต้ม เป็นเวลาประมาณ 1 - 1.30 ชั่วโมง หรือจนกว่าสีจะออกเขียวอ่อน สามารถปรุงรสด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลตามชอบ ยกลงพักไว้

**********************************************
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
**********************************************