วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

DETOX ล้างพิษเพื่อชีวิตที่สดใส - ใกล้หมอ

DETOX ล้างพิษเพื่อชีวิตที่สดใส - ใกล้หมอ

ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าความแรงของกระแสการบำบัดรักษาโรคด้วยวิถีทางธรรมชาติยังคงเป็นที่่นิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง

การล้างพิษก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการทางธรรมชาติ
เพราะในแต่ละวัน ร่างกายมีโอกาสได้รับสารพิษสารเคมีจากสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนมากับอาหาร อากาศ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่เราสัมผัสและรับเข้าสู่ร่างกาย

การสะสมของสารพิษเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดความผิดปกติหรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ อาทิ โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคทางเดินหายใจอื่นๆ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ไปจนถึงโรคที่รุนแรงอย่างโรคมะเร็ง เป็นต้น

"การล้างพิษ" จึงถือเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย คล้ายๆ กับการอาบน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่ตามร่างกายภายนอก ซึ่งสิ่งที่ได้ตามมาก็คือ ความสดชื่น เช่นเดียวกับการล้างพิษ เพราะสิ่งที่ได้ตามมาก็คือ สุขภาพที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้น

Part 1 รู้จักกับการล้างพิษ

ในชีวิตประจำวันของเราทั้งหลายล้วนคุ้นเคยกับคำว่า "ล้าง" เป็นอย่างดี เนื่องจากการล้างเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เรากระทำเป็นประจำ อย่างการล้างหน้า ล้างมือ ล้างตัว หรืออาบน้ำ ไปจนถึงล้างจาน ล้างรถ หรือบางคนอาจจะเคย "ล้างใจ" อยู่บ่อยๆ
แต่ตอนนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกับคำว่า "ล้าง" อีกคำหนึ่ง ซึ่งเป็นการล้างเพื่อสุขภาพที่ดี นั่นคือคำว่า "ล้างพิษ"

ความหมายของการล้างพิษ
คำว่า "ล้าง" ตามพจนานุกรมนั้นหมายถึง การทำให้หมดสิ้นไป ส่วนคำว่า "พิษ" นั้นหมายถึง สิ่งที่ร้ายเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือให้ความเดือดร้อนแก่จิตใจ

การล้างพิษ จึงมีความหมายรวมกันเป็น "การทำให้สิ่งร้ายที่เป็นอันตรายหมดสิ้นไป"

และคำว่า "ล้างพิษ" ที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดก็คือ การจัดการกับสารที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในร่างกาย

ลองคิดดูเล่นๆ ซิว่า วันๆ หนึ่ง ร่างกายของคุณต้องสัมผัสกับอะไรบ้าง ?
- ฝุ่นละออง
- คราบไคล
- ความสกปรกจากสิ่งของเครื่องใช้ที่คุณสัมผัส
- สารปนเปื้อนอื่นๆ ที่มาสัมผัสร่างกายโดยไม่รู้ตัว
แต่ร่างกายก็ได้รับการชำระล้างสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกไป อย่างน้อยวันละ 2 หน

อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของเราก็เหมือนกัน โดยเฉพาะอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบการกินและการย่อยอาหาร ซึ่งถือเป็นช่องทางสำคัญในการนำพาสารต่างๆ จากภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกาย อวัยวะเหล่านี้ วันๆ นึงได้สัมผัสกับอะไรบ้าง ?
... อาหารหลากหลายประเภท
... ไขมันรูปแบบต่างๆ
... สารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
แต่อวัยวะภายในไม่โชคดีเหมือนร่างกายภายนอกที่ได้รับการชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปทุกวัน ด้วยเหตุนี้ในแต่ละวัน อวัยวะต่างๆ จึงมีการสะสมของสารพิษและสิ่งสกปรกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

และนี่คือ เหตุผลที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการ "ล้างพิษ"

ความเป็นมาของการล้างพิษ
สำหรับบางคนอาจเข้าใจว่า การล้างพิษเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นและกำลังได้รับความนิยม แต่แท้จริงแล้ว การล้างพิษมีมานานหลายศตวรรษ โดยมีวิธีการที่แตกต่างกันไป เช่น ในสมัยของพระนางคลีโอพัตรา พระนางใช้วิธีนอนแช่ตัวในน้ำนมแพะ เพื่อรักษาผิวพรรณให้นุ่มนวล เพราะรู้ว่าน้ำนมจะช่วยกระตุ้นการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว

ส่วนชาวกรีกและชาวโรมันสมัยโบราณนิยมการกินกระเทียมเป็นจำนวนมาก ด้วยเชื่อว่ากระเทียมสามารถทำลายสารพิษที่ตกค้างในเลือดได้ และทุกวันนี้สรรพคุณของกระเทียมก็ได้รับการพิสูจน์และยอมรับว่า สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ รวมทั้งยังช่วยลดความดันและคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

วิธีการล้างพิษมีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นการล้างพิษด้วยน้ำเปล่า น้ำผลไม้ การปรับสูตรอาหารเพื่อล้างพิษ การสวนทวาร การอดอาหารหรืองดอาหารบางประเภทตามความเชื่อทางศาสนาเพื่อชำระล้างร่างกายจิตใจและจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์

การล้างพิษอย่างเข้มงวดเกินไปอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีหากไ่ม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ฉะนั้น วิธีการล้างพิษที่เหมาะสมจึงควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักดิบ แต่ควรมีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ ด้วยเพราะทุกๆ วัน ร่างกายก็จะมีการสะสมของสารพิษเพิ่มขึ้นทุกขณะ

สารพิษรอบตัวเรา
สารพิษ คือ สารที่ก่อให้เกิดโทษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดความผิดปกติ โดยอาจเริ่มจากความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เช่น มีอาการอ่อนเพลีย คันตามผิวหนัง จนกระทั่งเกิดเป็นโรคร้ายอย่างโรคมะเร็งได้ในที่สุด

เมื่อได้ชื่อว่าสารพิษแล้ว ไม่ว่าจะก่อเกิดอาการมากหรือน้อยก็ล้วนแต่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น และหนทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงไม่ปะทะสัมผัสกับสารพิษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะชีวิตเราในปัจจุบันทุกๆ วันก็ต้องเจอะเจอและสัมผัสกับสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นสารปนเปื้อนในอาหาร ยาฆ่าแมลง สารปรุงแต่งอาหาร สารกันบูด ควันพิษจากโรงงาน และท่อไอเสีย ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ การล้างพิษจึงกลายมาเป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อสภาพชีวิตในปัจจุบัน เพราะการล้างพิษจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

Part 2 ล้างพิษ เพื่อชีวิตที่สดใส

ก่อนอื่นเราลองมาทดสอบสุขภาพกันดูสักหน่อยมั๊ยว่า ร่างกายของคุณนั้น มีการสะสมของสารพิษอยู่ภายใน และแสดงอาการที่เป็นสัญญาณเตือนให้ทราบว่า ร่างกายควรได้รับการล้างพิษแล้วหรือยัง

ลองดูซิว่า คุณมีอาการเหล่านี้บ้างไหม ?
-  อ่อนเพลีย
-  นอนไม่หลับ
-  วิตกกังวล
-  หงุดหงิดง่าย
-  ความจำไม่ดี
-  เหม่อลอย
-  ขาดสมาธิ
-  ปวดท้อง
- ท้องอืด
-  อาหารไม่ย่อย
-  ขับถ่ายไม่คล่อง
-  แน่น คัดจมูก
-  มีเสมหะมาก
-  ปวดข้อ และกล้ามเนื้อ
-  คัน และมีัตุ่มขึ้นตามผิวหนัง
-  เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง
-  เป็นสิว
-  ลมหายใจมีกลิ่น
-  ลิ้นเป็นฝ้า
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ตั้งแต่ 3 อย่างขึ้นไป แสดงว่าคุณควรเริ่มทำการล้างพิษได้แล้ว

การล้างพิษแบบต่างๆ
การล้างพิษมีอยู่มากมายหลากหลายวิธี ตามความเหมาะสมกับร่างกาย อาการ สภาพแวดล้อม โอกาส รวมถึงวิถีชีวิตของชุมชนและภูมิประเทศ การล้างพิษบางวิธีใช้เวลา 2 - 3 วัน บางวิธีใช้ 10 วัน หรือ อาจจะถึง 3 - 6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับ รูปแบบ ความเหมาะสม และผลที่ต้องการได้รับจากการล้างพิษ การล้างพิษบางวิธีต้องใช้ร่วมกับการล้างพิษแบบอื่นๆ ด้วย จึงจะช่วยส่งเสริมกันให้ได้ประสิทธิผลที่ดีขึ้น การล้างพิษบางวิธีทำไ้ด้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง ในขณะที่บางวิธีต้องอาศัยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้ การล้างพิษบางวิธีจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ผู้ทำจะต้องปรึกษาแพทย์เสียก่อน เพื่อวิธีการล้างพิษที่เหมาะสม
และนี่คือ วิธีการล้างพิษแบบต่างๆ ที่ปฏิบัติกันอยู่ อาทิ
-  การอดอาหาร โดยดื่มน้ำผัก ผลไม้ และชาสมุนไพร
-  การปรับสูตรอาหาร
-  การออกกำลังกาย จนถึงจุด Peak เพื่อให้ Growth Hormone หลั่ง
-  ล้างพิษด้วยวิธีวารีบำบัด (Hydropathic Teatments)
-  การฝึกการหายใจ และระบบช่วยการหายใจ
-  การใช้เอนไซม์ เพื่อช่วยเรื่องการหมุนเวียนโลหิตและช่วยล้างโลหิตให้สะอาดขึ้น
-  การให้โลหิต หรือการถ่ายโลหิต (Blood Transfusion)
สำหรับวิธีการล้างพิษที่นิยมทำกันมากที่สุดก็คือ การล้างพิษใน 4 แบบแรก (เรียงตามลำดับ) เนื่องจากเป็นวิธีการล้างพิษที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

การล้างพิษด้วยการอดอาหาร โดยดื่มน้ำผัก ผลไม้และชาสมุนไพร เป็นโปรแกรมการล้างพิษระยะสั้นๆ ซึ่งกินเวลาเพียง 1 - 3 วัน โดยการงดบริโภคอาหารทุกชนิด แล้วดื่มน้ำสะอาด น้ำผัก น้ำผลไม้ และชาสมุนไพรแทน การล้างพิษระยะสั้นนี้ขอแนะนำให้ทำให้ได้ครบ 3 วัน จึงจะเห็นผล อาจเลือกทำในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่ต้องทำกิจกรรมใดๆ ที่ใช้แรงมาก โดยเน้นการพักผ่อนร่างกาย และผ่อนคลายอารมณ์ด้วย

ข้อแนะนำในการเข้าโปรแกรมล้างพิษ 1 วัน
1. เริ่มต้นวันโดยการดื่มน้ำสะอาดผสมน้ำมะนาวคั้นสด ครึ่งลูก
2. เลือกผักหรือผลไม้ปลอดสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ ได้แก่ แอปเปิ้ล องุ่น ลูกแพร์ สับปะรด มะละกอ แครอท แตงกวา หรือเซเลอรี โดยเลือกเพียงชนิดเดียวเท่านั้น
3. รับประทานผักหรือผลไม้ชนิดที่เลือกเพียงอย่างเดียว โดยรับประทานประมาณ 4 - 5 มื้อ แต่ไม่ควรทานตลอดเวลา เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารไม่ได้พัก
4. สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบในการรับประทานได้ เช่น ทานเป็นชิ้นๆ หรือปั่นเป็นน้ำดื่ม เป็นต้น

การทานผลไม้ชนิดเดียวกันตลอดทั้งวัน จะทำให้ระบบย่อยทำงานได้สะดวก แต่หากผลไม้ชนิดนั้นมีไม่พอที่จะทานได้ทั้งวัน สามารถเปลี่ยนไปทานผลไม้ชนิดอื่นได้ แต่ต้องทิ้งระยะห่างอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หากคุณหิวระหว่างมื้อให้ดื่มน้ำผลไม้ได้

ข้อแนะนำในการเข้าโปรแกรมล้างพิษ 3 วัน
1. ดื่มน้ำผัก และน้ำผลไม้สลับกัน ทุกๆ ชั่วโมง
2. ไม่ควรดื่มน้ำผัก และน้ำผลไม้ผสมกัน แต่ให้เลือกดื่มอย่างใดอย่างหนึ่งสลับกัน
3. ผลไม้และผักที่เหมาะในการล้างสารพิษ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท บิทรูท มะเขือเทศ แอปเปิ้ล ส้ม องุ่น มะม่วง
4. ใน 2 วันแรกจะรู้สึกเพลีย หมดแรง และอาจมีอาการเวียนศีรษะเนื่องจากร่างกายขับสารพิษออก และจะรู้สึกดีขึ้นในวันที่ 3
5. 2 วันแรกควรดื่มเพียงน้ำผักและผลไม้เท่านั้น เมื่อเข้าวันที่ 3 จึงแนะนำให้ดื่มชาสมุนไพรได้

การล้างพิษด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ด้วยโปรแกรมการขจัดสารพิษในระยะเวลาสั้นๆ กล่าวคือ 1 - 3 วัน นั้นสามารถช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษที่จะก่ออันตรายแก่ร่างกายออกได้ การล้างพิษแบบนี้มีวิธีปฏิบัติที่เรียบง่าย โดยการรับประทานอาหารจากธรรมชาติโดยไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยความร้อน หรือวัสดุปรุงแต่งรสและดื่มน้ำสะอาด น้ำผัก ผลไม้ น้ำชาสมุนไพรให้มากในแต่ละวัน เพียงเท่านี้ ร่างกายของเราก็จะถูกกระตุ้นให้ขับสารพิษออกจากระบบ และฟื้นฟูพลังงาน คืนความสดชื่นอ่อนเยาว์ กระปรี้กระเปร่ากลับมาให้เราได้

การล้างพิษด้วยการปรับสูตรอาหาร
การล้างพิษแบบนี้จะใช้เวลาประมาณ 10 วัน โดยทำเพียงปีละ 2 - 3 ครั้งเท่านั้น ก็ให้ผลดีที่เห็นได้ชัด การล้างพิษด้วยการปรับสูตรอาหารไม่มีสิ่งใดซับซ้อนเลย เพียงแค่คุณเลือกรับประทานอาหารที่สดจากธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่านการปรุงแต่ง เช่น ผักสด ผลไม้สด และเมล็ดพืชที่ไม่ผ่านการปรุงสุก แต่จะต้องงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ (ไม่ต้องกังวลว่าร่างกายจะขาดโปรตีน เพราะร่างกายจะได้รับโปรตีนจากพืชทดแทนอยู่แล้ว)

การทานอาหารสดจากธรรมชาติ โดยไม่ผ่านการปรุงสุกจะทำให้คุณดูมีชีวิตชีวา สบายตัวมากขึ้น ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับการเสื่อมของร่างกายได้ การทานอาหารแบบนี้แม้จะเป็นอาหารเบาๆ แต่กลับให้พลังงานมากเพียงพอในการเสริมสร้างสุขภาพ ทั้งนี้การได้รับพลังงาน วิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์ปริมาณสูงจากธรรมชาติโดยตรง มีความสำคัญต่อสุขภาพ เพราะเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง คาร์โบไฮเดรตจากธรรมชาติที่ย่อยง่ายมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ตลอดจนเส้นใยที่จำเป็น

การล้างพิษด้วยการปรับสูตรอาหารเป็นเวลา 10 วัน จะช่วยละลายสารพิษและของเสียที่หมักหมมอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหาร สร้างสมดุลให้กับความเป็นกรด และด่างในร่างกาย ทำให้อวัยวะและเนื้อเยื่อกลับมาทำงานได้อย่างเป็นปกติ จึงทำให้รู้สึกสดชื่น อ่อนเยาว์และมีพลังอย่างเต็มที่ วิธีการล้างพิษวิธีนี้จึงนิยมใช้ในวงการเสริมสวย และใช้ในการลดความอ้วนแบบธรรมชาติที่ให้ผลดี เพราะร่างกายยังคงได้รับคุณค่าทางอาหารอย่างครบถ้วน ไม่ทำให้รู้สึกเพลียเหมือนการกินอาหารลดน้ำหนักแบบอื่นๆ และไม่ทำให้อยากอาหารด้วย

ผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งเวียนนาพบว่าอาหารสด โดยไม่ผ่านการปรุงรส ช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกมีพลัง มีชีวิตยืนยาว มีผลในการซ่อมแซมและเสริมสร้างร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนเยาว์ลง (แต่ต้องอาศัยปัจจัยอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกาย)

การล้างพิษด้วยการสวนทวาร
การล้างพิษด้วยการสวนทวาร คือ การล้างพิษออกจากร่างกายอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งมีผลทำให้ได้ระบายท้องด้วย การล้างพิษแบบนี้ต้องอยู่ในการควบคุม ดูแล และแนะนำจากแพทย์ มักใช้การล้างพิษแบบสวนทวารร่วมกับการล้างพิษแบบอื่นๆ

กระบวนการของการล้างพิษ
การล้างพิษจะเป็นการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก โดยในช่วงที่ล้างพิษ ตับจะขับของเสียออกมาตลอดเวลา จนทำให้บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ การล้างพิษด้วยการงดอาหาร เป็นการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ อวัยวะ และระบบต่างๆ ในร่างกาย เนื่องจากเมื่อร่างกายถูกงดอาหารประมาณ 3 วัน ร่างกายจะเริ่มต้นดึงสารอาหารที่สะสมไว้ในร่างกายออกมาใช้ โดยจะเลือกดึงเซลล์ที่ด้อยคุณภาพมาใช้ก่อน เช่น เซลล์ที่มีอายุมาก เซลล์ที่เสื่อมสภาพ หรือ เซลล์ที่มีสิ่งแปลกปลอมแฝงอยู่

และเมื่อจบกระบวนการล้างพิษแล้ว ร่างกายจะกระตุ้นพลังในการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนอย่างรวดเร็ว ตลอดจนอวัยวะต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการกรองของเสีย เช่น ปอด ตับ ไต และผิวหนังจะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีการพิสูจน์พบว่าของเสียและสิ่งตกค้างต่างๆ จากการสันดาปอาหาร รวมทั้งท็อกซินต่างๆ จะถูกขจัดทิ้งจากร่างกายอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ได้มีการตรวจวัดอัตราความเข้มข้นของสารพิษในปัสสาวะของผู้เข้ารับการทดลองล้างพิษด้วยการงดอาหารและดื่มเพียงน้ำผัก ผลไม้ และน้ำสมุนไพร พบว่ามีความเข้มข้นของสารพิษที่ถูกขับออกมามากขึ้นถึง 10 เท่า ทำให้เห็นว่าไตสามารถขับของเสียได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ถือเป็นช่วงพักไต เพราะไตไม่ต้องรับภาระในการกรองสารต่างๆ อย่างหนักหน่วงเหมือนช่วงการรับประทานอาหารปกติ

ในภาวะปกติร่างกายจะขับพิษออกมาทาง
1. ทางจมูก ขับพิษออกมาด้วยการหายใจ การจาม การหลั่งน้ำมูกทั้งแบบใส และแบบข้น
2. ทางปาก ขับพิษออกมากับน้ำลาย
3. ทางลำคอ ขับพิษออกโดยการไอ
4. ทางตา ขับพิษออกมาโดยน้ำตา
5. ทางหู ขับพิษออกมาด้วยขี้หู และด้วยการทำงานของต่อมในหู
6.ทางผิวหนัง ขับพิษออกมาทางเหงื่อ และด้วยวิธีระบายความร้อนทางรูขุมขน
7. ทางทวารเบา ขับพิษออกมาเป็นปัสสาวะ
8. ทางทวารหนัก ขับพิษออกมาเป็นอุจจาระ

การขับพิษออกมาตามช่องทางต่างๆ ดังกล่าวนี้ เป็นการขับพิษของร่างกายตามปกติ ซึ่งจะไม่สามารถขับพิษทุกอย่างออกจากร่างกายจนหมดสิ้น เนื่องจากพิษบางตัวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของร่างกายก็มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น เชื้อโรคและแบคทีเรียบางชนิดที่มีส่วนสำคัญในระบบการย่อย โดยช่วยทำลายเชื้อโรคตัวอื่นๆ ที่เป็นอันตราย และช่วยผลิตกรดแลคติกจากอาหารจำพวกแป้งที่เรารับประทานเข้าไป ฉะนั้น การล้างพิษจึงต้องคำนึงถึงการรักษาความสมดุลของร่างกายไว้ด้วยการรักษาพิษบางอย่างให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย

แต่ในกรณีที่ร่างกายไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ เช่น ในยามที่ร่างกายเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเจ็บหนัก หรือเจ็บน้อย จำเป็นจะต้องรีบกำจัดพิษออกโดยเร็ว เพราะในขณะที่เราป่วยนั้น เชื้อโรคที่ทำให้เราป่วยจะผลิตพิษของมันเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลเสียต่อร่างกายได้ จึงต้องเร่งกำจัดเชื้อโรคพวกนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด

หลังจากการล้างพิษแล้ว จะสังเกตเห็นว่าระบบขับของเสียในร่างกายนั้นทำงานได้ดีขึ้น ปฏิกิริยาที่แสดงให้เห็นถึงผลดังกล่าว ได้แก่
1. ปัสสาวะสีเข้มกว่าธรรมดา
2. ลมหายใจมีกลิ่นผิดปกติ
3. อาจมีผื่นขึ้นในบางครั้ง
4. เหงื่อออกมากกว่าปกติ

ปฏิกิริยาจากการล้างพิษ 
การทานผลไม้ทำให้ร่างกายเกิดการกำจัดของเสียอย่างรวดเร็วเกินกว่ากระบวนกำจัดของเสียในภาวะปกติ บางคนที่ทำการล้างพิษจึงอาจเกิดอาการคล้ายคนไม่สบาย โดยจะมีอาการ ปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หงุดหงิด อ่อนเพลีย เนื่องจากสารพิษและของเสียในร่างกายพากันหลั่งไหลเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะอาการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาปกติของกระบวนการกำจัดของเสีย ซึ่งหากเกิดอาการเหล่านี้ ให้คุณนอนพักในห้องเงียบๆ ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับของเสียดีขึ้น

ข้อห้ามของการล้างพิษ
1. สตรีระหว่างตั้งครรภ์
2. ผู้ที่อยู่ในระหว่างการทานยาตามแพทย์สั่ง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำการล้างพิษทุกครั้ง
3. คนที่น้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ
4. นักกีฬากำลังเตรียมตัวแข่งขัน
5. คนที่อยู่ในภาวการณ์กดดัน เช่น คนที่เพิ่งสูญเสียคนรัก
6. เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 75 ปี

แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถทำการล้างพิษได้ แต่สามารถเลือกปฏิบัติตามคำแนะนำและโปรแกรมเพื่อสุขภาพได้ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคที่ถูกต้อง หรือการพักผ่อน ออกกำลังกายที่เหมาะสม

อาหารกับการล้างพิษ
ในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องการล้างพิษ เราจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของอาหารประกอบกันไปด้วย เนื่องจากกระบวนการล้างพิษมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาหาร เราต้องเรียนรู้ว่าอาหารแบบใดเหมาะสมกับเรา อาหารแบบใดให้คุณค่า และเอื้อต่อการขจัดสารพิษจากร่างกายและอาหารประเภทใดที่เราควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดโอกาสการเกิดพิษในร่างกายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเรียนรู้ก็คือ การปฏิบัติตามเพราะไม่ว่าเราจะมีข้อมูลที่ดีเพียงใด แต่ถ้าเราไม่นำข้อมูลที่ได้มาใช้ก็จะไม่เกิดประโยชน์เลย เมื่อได้เรียนรู้เรื่องอาหารแล้ว เราต้องปรับนิสัยการกินให้ได้ ด้วยการเลิกกินอาหารตามใจปากอีกต่อไป การทานอาหารอย่างถูกต้องเหมาะสม บางครั้งอาจไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น เพราะคุณคาดหวังว่าจะได้เห็นผลในทันที ความคิดเช่นนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนท้อถอยกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ขอให้คุณนึกเอาไว้เสมอว่า แม้จะยังไม่เห็นผลในวันนี้ แต่ก็จะเกิดผลดีต่อสุขภาพในวันข้างหน้า เรื่องของสุขภาพบางครั้งจึงต้องอาศัยความอดทนด้วย

คุณควรปรับนิสัยการกินให้ถูกต้องอยู่เสมอ ไม่ใช่ปรับเฉพาะช่วงเวลาที่คุณอยู่ในโปรแกรมการล้างพิษเท่านั้น แต่ควรทำทั้งก่อน - หลังการล้างพิษ และถ้าเป็นไปได้ก็ควรทำเป็นประจำทุกๆ วันเรื่อยไป ด้วยวิธีง่ายๆ โดยการเลือกทานคาร์โบไฮเดรตจากข้าวกล้องหรือข้าวไม่ขัดสี ผัก ผลไม้สดปลอดสาร ทานเนื้อสัตว์ในปริมาณน้อย ทานโปรตีนจากพืช เมล็ดถั่วปละปลาแทน ใช้น้ำมันรำข้าวแทนน้ำมันชนิดอื่นในการประกอบอาหาร เป็นต้น

อาหารล้างพิษ
อาหารล้างพิษ เป็นอาหารที่เรารับประทานในขณะที่อยู่ในโปรแกรมล้างพิษ และอาหารบางอย่างควรพยายามรับประทานอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวันด้วย เพื่อเป็นการปรับสภาพร่างกาย และช่วยลดการเกิดพิษต่อไป

อาหารล้างพิษ แ่บ่งเป็นกลุ่มๆ ได้ดังนี้

กลุ่มผลไม้สด
ในการล้างพิษจะขาดผลไม้สดไม่ได้เลย เนื่องจากผลไม้สดเป็นแหล่งสะสมของสารอาหารที่ทรงคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุ ใยธรรมชาติ กรดอะมิโน และเอนไซม์นานาชนิด ซึ่งล้วนแล้วแต่จำเป็นต่อการล้างพิษและจำเป็นในชีวิตประจำวันด้วย

ผลไม้ประเภทส้ม
ผลไม้สดประเภทนี้มีวิตามินซีอยู่ในปริมาณสูง โดยวิตามินซีเป็นสารต่อต้านการทำปฏิกิริยาระหว่างเซลล์ เนื้อเยื่อ กับออกซิเจน (อนุมูลอิสระ) ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงสามารถต่อต้านความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

มะนาว
จัดเป็นผลไม้ประเภทส้มที่เป็น "ตัวทำความสะอาด" ได้ดีที่สุด สรรพคุณในการฆ่าเชื้อ และสมานแผลของมะนาวช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ และถุงน้ำดี การผสมมะนาวคั้นสดๆ ในน้ำสะอาดหนึ่งแก้วดื่มในตอนเช้า เป็นการช่วยทำความสะอาดร่างกายได้

น้ำส้มคั้นสดๆ 
ผสมกับน้ำเกรฟฟรุตคั้นสดๆ มีประโยชน์ในการกระตุ้นระบบย่อยอาหาร และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายได้ทั้งระบบ และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม

แอปเปิ้ล
ผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียก็คือ แอปเปิ้ล เพราะมีกรดเมลิก และกรดทาร์ทาริก ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และขจัดสารพิษในตับ สารเพ็คตินที่มีจำนวนมากในแอปเปิ้ลสามารถช่วยจับโลหะที่มีน้ำหนัก เช่น ตะกั่ว และฟรุคโต๊ส น้ำตาลธรรมชาติที่มีในแอปเปิ้ลช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ลูกแพร์
ลูกแพร์ช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยให้เส้นผมเงางามเป็นมันวาวหากรับประทานเป็นประจำ ลูกแพร์เป็นยาขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายที่มีประสิทธิภาพด้วย

องุ่น
องุ่นเป็นผลไม้ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขจัดสารพิษในร่างกาย ช่วยบำบัด และรักษาโรคท้องผูก โรคไต โรคตับ ระบบย่อยอาหาร และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวหนัง

มะม่วง
ผลไม้ที่เมื่อสุกแล้วมีเนื้อนุ่ม รสหวานเช่นมะม่วงนี้นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังสามารถช่วยทำความสะอาดระบบเลือด และช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และหลอดอาหาร

สับปะรด
มีเอนไซม์โปรเมลินสูง ช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น สับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก

มะละกอ
มะละกอมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซิน ในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร

แตงโม
แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันเลือด ช่วยให้สบายท้อง

กลุ่มผลไม้แห้ง
ผลไม้แห้งบางชนิดให้พลังงานสูง และให้ประโยชน์ต่อการล้างพิษด้วย เช่น อินทผลัม ลูกเกด สับปะรด มะม่่วง มะละกอ จึงเหมาะใช้เป็นอาหารว่างมื้อเบาๆ ในระหว่างการล้างพิษ การเลือกซื้อผลไม้แห้งควรเลือกประเภทที่ไม่ผสม หรือเคลือบน้ำตาล เนื่องจากตัวผลไม้แห้งเองนั้นมีน้ำตาลตามธรรมชาติในปริมาณที่สูงอยู่แล้ว และในโปรแกรมการล้างพิษไม่ต้องการปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินไป

กลุ่มผักสด
ผักสดเป็นแหล่งอาหารที่จะขาดไม่ได้เลยในการล้างพิษ เนื่องจากในผักสดมีสารอาหารที่จำเป็นประเภทวิตามิน แร่ธาตุ ไบโอฟลานอยด์ และสารไฟโตเคมีอื่นๆ และมีสรรพคุณในการบำบัด ผักสดจึงเป็นพระเอกตัวสำคัญในการล้างพิษเพื่อสุขภาพ

แครอท
หัวแครอท ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ราชินีแห่งผัก" ด้วยความสามารถในการทำความสะอาดร่างกาย ฟื้นฟูพลังงาน และช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายทุกระบบ แครอทอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็ง โดยหากรับประทานแครอทหนึ่งหัวเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอดได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

บีทรูท
บีทรูทมีประสิทธิภาพสูงในการทำความสะอาดตับ มีประโยชน์ต่อระบบเลือด และยังเป็นยาระบายได้ดี นอกจากนี้บีทรูทยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน แคลเซียม และธาตุเหล็ก

ผักในตระกูลครูซี่เฟอรัส
ผักประเภทนี้มีใยเป็นรูปกากบาท หรือไม้กางเขน ได้แก่ หน่อบรัสเซลล์ บร็อคโคลี่ กระหล่ำดอก กระหล่ำปลี ผักคะน้า และผักกระเฉด ผักเหล่านี้มีฉายาว่าเป็นนักทำความสะอาดที่เก่งกาจ และยังสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของตัุบ และเป็นศูนย์รวมของสารไฟโตเคมีที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคมะเร็ง โดยเฉพาะบร็อคโคลี่นั้น อุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินซี แคลเซี่ยม กรดโฟลิก ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และสังกะสี

ผักโขม
เราพบว่าผักโขมเป็นแหล่งอาหารที่ประกอบไปด้วยสารขจัดอนุมูลอิสระนานาชนิด และยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม กรดโฟลิก ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม เธียมิน และสังกะสี จึงแนะนำผักโขมให้เป็นอาหารเพื่อการล้างพิษของคุณด้วย

กระเทียมและหัวหอม
อาหารที่มีกลิ่นฉุนทั้ง 2 ประเภทนี้มีสารที่ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ช่วยทำความสะอาดร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยต่อต้านมะเร็ง อีกทั้งยังกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และต่อต้านการอักเสบอย่างได้ผล โดยควรทานสดๆ โดยไม่ผ่านการปรุงสุก เนื่องจากสารอาหารในหัวหอมจะถูกทำลายโดยความร้อน

กลุ่มเมล็ดพืชและผลไม้เปลือกแข็ง
สารอาหารเปี่ยมคุณค่าที่มีอยู่ในเมล็ดพืชและผลไม้เปลือกแข็งนั้น มีสรรพคุณในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ทั้งยังมีวิตามินอีที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บให้มีสุขภาพดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ งา ถั่วพิคาชิโอ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน วอลนัท เฮซนัท และถั่วลิสง ล้วนให้ประโยชน์และความอร่อย โดยจะรับประทานเป็นของว่างหรือผสมอาหารทานก็ได้ โดยปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวันคือ ประมาณ 1 กำมือ เนื่องจากผลไม้เปลือกแข็งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยไขมันจึงต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

ถั่วเมล็ดแห้ง
ถั่วเมล็ดแห้งเป็นอาหารจากพืชที่มีโปรตีนสูง โดยเฉพาะถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงกว่าถั่วชนิดอื่น โปรตีนในถั่วเมล็ดแห้งมีคุณภาพสูงมาก แต่เนื่องจากถั่วเหลือง และถั่วอื่นๆ ทั่วไปมีกรดอะมิโนบางชนิดต่ำ แต่เป็นแหล่งอาหารที่ดีของกรดอะมิโนบางชนิดที่น้อยในข้าว ดังนั้น เพื่อให้ได้คุณค่าโปรตีนอย่างสมบูรณ์ จึงควรทานเมล็ดพืชร่วมกับธัญพืชแบบไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง หรือเมล็ดพืชชนิดอื่นเช่น งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง จะช่วยเสริมให้กรดอะมิโนครบถ้วน สมบูรณ์

ถั่วเมล็ดแห้งมีใยอาหารสูง โดยมีทั้งชนิดที่ละลายในน้ำ และไม่ละลายในน้ำ ชนิดที่ไม่ละลายในน้ำจะช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหาร และสามารถอุ้มน้ำ ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ลดความเสี่ยงของมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ และลดการเกิดริดสีดวงทวารได้ ส่วนเส้นใยชนิดที่ละลายในน้ำได้นั้น ช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำลง โดยเส้นใยสามารถจับกับน้ำดีที่ประกอบไปด้วยคอเลสเตอรอล แล้วขับออกจากร่างกาย แทนที่จะดูดซึมกลับเข้าไป ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และภาวะหัวใจล้มเหลว

จากการศึกษาพบว่า ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีสารสังเคราะห์จากพืชธรรมชาติชื่อฟลาไวนอยด์ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และสารอีกตัวที่ชื่อไฟโตเอสโตรเจน ที่มีการทำงานเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง จึงช่วยลดอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือนได้

กลุ่มข้าวกล้องและข้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี
เป็นเวลานานนับพันๆ ปีแล้ว ที่ข้าวกล้อง และข้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสีอื่นๆ ได้เป็นแหล่งอาหารสำคัญของมนุษย์ และมีปลูกทั่วโลก

เราจัดข้าวกล้องอยู่ในกลุ่มแหล่งอาหารที่มีโปรตีนไขมันต่ำ ไม่เพียงเท่านั้น ข้าวกล้องยังประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ใยธรรมชาติ วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการกระตุ้นพลังงานในระหว่างที่อยู่ในโปรแกรมล้างพิษอีกด้วย

ข้าวกล้องมีสรรพคุณช่วยบำบัดความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลง และช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ ข้าวโอ๊ตช่วยดูดซึมสิ่งแปลกปลอมในเลือด ช่วยทำให้เลือดสะอาด ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีขึ้น

ใยอาหารธรรมชาติที่มีในข้าวกล้อง และข้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสีมีทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายไม่ได้ มีสรรพคุณในการป้องกันโรคท้องผูก บำบัดและบรรเทาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง (ลำไส้ส่วนที่อยู่ใกล้ทวารหนัก) การบริโภคอาหารที่มีเส้นใยธรรมชาติสูงจะช่วยจับคอเลสเตอรอลที่เป็นอันตราย และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม

จมูกข้าวหรือวีทเจอร์ม
เป็นส่วนปุ่มที่จะงอกของข้าวสาลีที่ถูกขัดออกมา วีทเจอร์มเป็นแหล่งรวมของวิตามินบีรวม ธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินอี การทานวีทเจอร์ม อาจผสมกับนม โยเกิร์ต หรือโรยบนโจ๊ก

ระวัง !!! ข้าวสาลี
แม้ข้าวสาลีจะเป็นข้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี แต่ข้าวสาลีมีส่วนประกอบของสารก่อภูมิแพ้ที่อาจรบกวนประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารบางชนิด ดังนั้นจึงควรงดรับประทานข้าวสาลีชั่วคราวในระหว่างการล้างพิษ

โยเกิร์ต
โยเกิร์ตนับเป็นอาหารมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายสามารถคงความอ่อนเยาว์ได้ยาวนานขึ้น ทำให้อายุยืนขึ้น โยเกิร์ตช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส ทำให้จิตใจสบาย ไม่หงุดหงิดเศร้าซึม นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตจะช่วยผลิตวิตามินบี ไอนอสซิทอลที่ช่วยป้องกันผมร่วง ทำให้วิตามินบีแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้อย่างรวดเร็วโยเกิร์ตยังเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยอีกด้วย เพราะช่วยกำจัดสิ่งที่บูดเน่าในลำไส้ได้ การทานโยเกิร์ตให้ได้คุณค่ามากที่สุดคือ เลือกทานแบบรสธรรมชาติโดยอาจเิติมผลไม้สดลงไปได้ตามชอบ

การปรับระดับกรด - ด่างของอาหารให้สมดุล
อาหารทุกอย่างที่คนเราทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น จะผ่านการหมุนเวียนในร่างกายแล้วแปรสภาพเป็น กรด - ด่าง ซึ่งทั้งกรด และด่างนี้ควรได้รับการควบคุมให้สมดุล เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ถ้าหากเราไม่สามารถรักษาสภาพกรด และด่างให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ ร่างกายก็จะเกิดปัญหา ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย

อาหารประเภทกรดได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่ ธัญพืช ขนมหวาน กาแฟ ชา ส่วนอาหารประเภทด่างได้แก่ ผัก ผลไม้ ถั่ว นม

รูปแบบการดำรงชีวิตในปัจจุบันทำให้เราบริโภคอาหารประเภทกรดมากเกินไปโดยไม่รู้ตัวทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้น ปริมาณกรดในเส้นเลือดสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย วิตกกังวล นอนไม่หลับ เกิดโรคผิวหนัง ท้องผูก เมื่ออาการหนักขึ้นจะทำให้เป็นโรคเส้นเลือดอุดตัน ความดันโลหิตสูง กระเพาะอาหารเป็นแผล เป็นต้น

นักธรรมชาติบำบัดเสนอความเห็นว่าควรรักษาอัตราส่วนระหว่างกรดและด่างให้ได้ประมาณ 2 ต่อ 8 โดยทานเนื้อสัตว์และธัญพืช เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ และทานผัก ผลไม้และถั่วให้ได้ 80 เปอร์เซ็นต์

อาหารที่ควรงดระหว่างการล้างพิษ
1. ลูกกวาด ลูกอมทุกชนิด
2. ขนมปังขาว ข้าวขัดขาว
3. ผลไม้กระป๋อง
4. น้ำอัดลม
5. ช็อกโกแลต
6. ไอศกรีม
7. เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
8. เค้ก คุกกี้ ขนมปังอบกรอบ
9. ขนมขบเคี้ยวต่างๆ
10. แอลกอฮอล์
11. ขนมที่สีสันฉูดฉาด
12. อาหารขยะ
13. น้ำตาลทรายขาว
อาหารเล่านี้ต้องงดอย่างเด็ดขาดในระหว่างการล้างพิษ และควรบริโภคให้น้อยที่สุดในชีวิตประจำวัน

เครื่องดื่มเพื่อการล้างพิษ
ในร่างกายของเราประกอบไปด้วยของเหลวประมาณร้อยละ 80 ร่างกายจึงต้องการน้ำเพื่อใช้ในระบบต่างๆ และเพื่อให้การทำงานของร่างกายดำเนินไปด้วยดี นอกจากนี้น้ำยังช่วยนำพาของเสียออกจากร่างกายในการล้างพิษจึงต้องอาศัยน้ำเป็นตัวช่วยที่สำคัญ

นอกเหนือจากน้ำสะอาดแล้ว น้ำสมุนไพร และน้ำผัก ผลไม้ ถือเป็นเครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์แ่ก่สุขภาพ มีคุณค่าทางยา คุณค่าทางอาหาร ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น กระชุ่มกระชวย ช่วยบำรุงโลหิต ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง  ช่วยล้างไขมันอันตรายออกจากระบบเลือด และยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมคุณค่าสารอาหารจากแหล่งอื่นๆ ด้วย

ในระหว่างการล้างพิษ จึงควรดื่มพวกน้ำสมุนไพรและน้ำผัก ผลไม้ เนื่องจากในระหว่างการงดอาหารจะมีของเสียและพิษตกค้างต่างๆ เป็นจำนวนมากถูกขับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดมีฤทธิ์เป็นกรด จึงจำเป็นต้องดื่มน้ำผัก ผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เพื่อสร้างสมดุลในระบบชีวเคมีของเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเสริมให้ร่างกายขับพิษและสิ่งตกค้าง และเร่งการผลัดเซลล์ใหม่ ทำให้ผู้ล้างพิษหายจากความเจ็บป่วย และช่วยฟื้นฟูสุขภาพ รวมทั้งช่วยให้ระบบประสาทและภาวะจิตใจเกิดการผ่อนคลาย สมดุล ต่อมต่างๆ จะทำหน้าที่หลั่งเคมี และผลิตฮอร์โมนอย่างเหมาะสม จึงทำให้การล้างพิษเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลสูงสุด

น้ำผักผลไม้
- น้ำลูกยอ เป็นยาระบาย แก้อาเจียน แก้ร้อนใน บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง ต้านมะเร็ง
- น้ำแตงกวา มีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก ขับปัสสาวะ บำรุงผิว ให้พลังงาน แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- น้ำบีทรูท กระตุ้นการทำงานของตับ บำรุงเลือด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกของมะเร็ง
- น้ำมะม่วง มีวิตามินเอ และซี สูง ช่วยบำรุงสายตา บำบัดโรคเกี่ยวกับเหงือกและฟัน และยังประกอบไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็กอีกด้วย
- น้ำเซลลารี มีวิตามินเอ อี ซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปตัสเซียม และธาตุเหล็ก ลดไขมัน ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิตสูง บำรุงสมอง บำรุงประสาท
- น้ำสะระแหน่ มีวิตามินเอ และซี สูง คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็กแก้ปวดศีรษะ เจ็บคอ มีสารเมนทอล ทำให้ชุ่มคอ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้
- น้ำเสาวรส มีวิตามินซี น้ำตาล และกรดอินทรีย์
- น้ำข้าวโพด มีวิตามินเอ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ช่วยขับปัสสาวะ
- น้ำว่านหางจระเข้ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ใช้สมานแผล เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร
- น้ำตำลึง ช่วยลดไข้ ขับเสมหะ แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้ลม หน้ามืด ตาลาย วิงเวียน บำรุงหัวใจ
- น้ำมะระจีน มีวิตามินเอ วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ทำให้เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย
- น้ำมะขาม มีกรดอินทรีย์สูง วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไขมัน เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ
- น้ำมะเขือเทศ มีวิตามินเอ บี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม ธาตุเหล็ก ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยระบายและช่วยฟอกเลือด
- น้ำใบบัวบก แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน กระหายน้ำ บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ
- น้ำแครอท มีสารต้านมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้มีคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม โปรตีน ฟอสฟอรัส เส้นใย และธาตุเหล็ก

น้ำสมุนไพร

- ชามะตูม มีวิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส น้ำตาล น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบายท้อง บำรุงธาตุ ขับลม
- ชาขิง ขิงเต็มไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ธาตุแคลเซียม และสารเบต้าแคโรทีน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ขับเสมหะ แก้คอแห้ง เจ็บคอ
- ชาส้มป่อย มีวิตามินสูง ขับเสมหะ แก้ไอ แก้บิด ฟอกโลหิต
- ชาหญ้าแพรก แก้ไข้ ท้องเสีย ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้
- ชาชะเอม บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ลดอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลดอาการแ้พ้ ลดพิษของสารเคมี ยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ทำให้ชุ่มคอ
- ชาอบเชย บำรุงหัวใจ ตับ ไต ขับลมในกระเพาะอาหาร ลำไส้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ชาหญ้าหนวดแมว มีส่วนประกอบของสารโปแตสเซียมสูงมาก มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อีกทั้งสามารถขับกรดยูริก บรรเทาอาการปัสสาวะไม่เป็นปกติ บรรเทาอาการปวดจากโรคนิ่ว ช่วยทำให้ขนาดของก้อนนิ่วลดลงได้ บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว
- ชาตะไคร้ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ขับเหงื่อ แก้ท้องอืด ลดความดัน รักษานิ่ว
- ชาฟ้าทะลายโจร แก้โรคบิด ท้องร่วง แก้ไอ เจ็บคอ บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต
- ชามะขามแขก เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวง
- น้ำกระชายดำ บำรุงหัวใจ เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง แก้ใจสั่น ช่วยขับลม ขับปัสสาวะ แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องเดิน
- น้ำเก๋าเกี้ย ประกอบไปด้วยโปรตีน วิตามินเอ ซี และบี 2 ลดอาการเมื่อยล้า และพร่ามัวของสายตา มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนหลายชนิด บำรุงกระดูก ขับลมในกระเพาะอาหาร ลดอาการปวดหลัง ปวดเอว ลดความเครียด และวิงเวียนศีรษะ ช่วยให้หลับสบาย
- ชาคำฝอย ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด บำรุงระบบการไหลเวียนของโลหิต
- น้ำเตยหอม อุดมไปด้วยสารแอนโธไซยานิน ช่วยบำรุงหัวใจ แก้กระหาย ทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการอ่อนเพลีย รากของเตยหอมช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด

การออกกำลังกายเพื่อการล้างพิษ
เราคงทราบถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายกันดีอยู่แล้ว ทั้งในแง่ของการเสริมสุขภาพ การป้องกันรักษาโรค ชะลอความชรา หรือว่าสามารถทำให้คนที่อ้วนนั้นกลับมีรูปร่างผอมเพรียวลง รวมทั้งยังทำให้คนที่ผอมเกินไปนั้นอ้วนขึ้นมาได้

การออกกำลังกายจึุงเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบกับการล้างพิษ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด คิดว่าจะให้คุณออกกำลังกายในขณะที่คุณกำลังอดอาหารตามโปรแกรมการล้างพิษ แต่คุณควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทั้งก่อน - หลังการล้างพิษ และออกกำลังกายเป็นประจำเรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ โปรดจำไว้ว่าไม่ว่าคุณจะปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างพิษอย่างเคร่งครัดเพียงใด แต่หากคุณตัดการออกกำลังกายออกไปจากชีวิตประจำวันแล้วละก็ การล้างพิษก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ดีได้

การออกกำลังกายมีความจำเป็นต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเพื่อการล้างพิษนั้น ต้องเป็นการออกกำลังกายจนถึงจุด Peak คือ เมื่อกล้ามเนื้อทั้งภายในและภายนอกร่างกายได้ออกแรงเต็มที่ มีเหงื่อออกเปียกชุ่ม ชีพจรเต้นเร็ว ถึง 100 - 120 ครั้ง ต่อนาที จนทำให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) หลั่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมพิทูทารีในสมอง จัดเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เซลล์มีความสดชื่นแข็งแรงอยู่เสมอ เมื่อคนเราอายุเลยวัยเจริญเติบโตเต็มที่ คือ ประมาณ 18 - 22 ปี ร่างกายก็จะหลั่ง Growth Hormone น้อยลง จนถึงวัยสูงอายุก็จะหยุดหลั่ง เป็นเหตุให้เกิดความแก่ชรา แต่หากใครพยายามทำให้เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ยังหลั่งอยู่เสมอ ก็จะสามารถยืดเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาวไปได้อีก และทำให้สุขภาพแข็งแรง สดชื่นอยู่เสมอ

สำหรับบางคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย ขอให้ลองพิจารณาถึงประโยชน์อันมหาศาลของการออกกำลังกายเหล่านี้ดู เชื่อว่าจะทำให้ใครหลายๆ คนกลับตัวกลับใจหันมาออกกำลังกายกันบ้าง

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

1. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทำให้มีพลังมากขึ้น ไม่ว่าจะทำงานหรือหยิบจับอะไรก็สบาย ง่าย คล่อง ไม่เหนื่อยง่าย เมื่อเจอปัญหาก็จะแก้ไขได้ดีกว่า
2. ทำให้รูปร่างและบุคลิกภาพดีขึ้น คนที่อ้วนเกินไปจะผอมลง ส่วนคนผอมที่อยากอ้วนขึ้นก็ทำได้ด้วยการออกกำลังกาย ทั้งนี้การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดี และได้ผลมากที่สุดสำหรับการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ยังทำให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ท่าทางสง่าผ่าเผยมากขึ้น สามารถเข้าสังคมได้ดีขึ้น
3. ทำให้การทรงตัวดีขึ้น มีความแคล่วคล่องว่องไวกระฉับกระเฉง การทำงานของอวัยวะต่างๆ มีความสัมพันธ์และประสานงานกันได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่ออกกำลังกายอยู่เสมอจึงประสบอุบัติเหตุน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะจะช่วยให้ขึ้นลงบันได ขึ้นรถ ลงเรือ ได้ปลอดภัยมากกว่า
4. ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายหนัก หรือถ่ายเบา จนกระทั่งระบบขับเหงื่อ ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจปลอดโปร่ง หมดปัญหาเรื่องท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก และไม่ต้องพึ่งยาระบาย
5. ชะลอความเสื่อมของอวัยวะ หากเราออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ จะทำให้แก่ช้า มีอายุยืนยาว และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นมาก ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะได้อย่างดีที่สุด
6. ทำให้สุขภาพจิตดี การออกกำลังกายที่หนักพอสมควรทำให้สารเอ็นเดอร์ฟินหลั่ง ทำให้ลดความเจ็บปวดและต่อต้านความซึมเศร้าได้ด้วย กล่าวกันว่าการวิ่งติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 18 - 20 นาที จะทำให้อาการทางจิตดีขึ้นเท่ากับ การกินยากล่อมประสาท 1 โดส จิตแพทย์จึงนิยมใช้การออกกำลังกายเป็นวิธีช่วยให้ผู้ป่วยคลายเครียด
7. ทำให้นอนหลับดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่นอนไ่ม่หลับจากความเครียด และความวิตกกังวล จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะเกิดอาการวิตกกังวลได้มากกว่าผู้ที่ออกกำลังกายถึง 4 เท่า
8. ทำให้ดูดีขึ้น การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมช่วยให้ฮอร์โมนเพศหลั่งมากขึ้น ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รูปร่างสมส่วน กล้ามเนื้อกระชับได้รูป เต่งตึง ทำให้ดูดีขึ้นอีกมากโข
9. ทำให้หัวใจ ปอด และหลอดเลือดทำงานดีขึ้น การออกกำลังกายบางรูปแบบเช่น แอโรบิก ช่วยให้การทำงานของ หัวใจ ปอด และหลอดเลือดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
10. ช่วยบรรเทา และรักษาโรค เมื่อออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ ผู้ป่วยเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลต่ำลง ทำให้ลดการใช้ยาได้ คนที่มีความดันสูงก็จะต่ำลงได้ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เป็นโรคความดันต่ำก็ทำให้ความดันสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำให้ไขมันในเลือดลดลง บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดคอ
11. ช่วยรักษาสุขภาพของสุภาพสตรี หากท่านเป็นคนที่ตั้งครรภ์ยาก การออกกำลังกายอาจช่วยทำให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น และเมื่อครบกำหนดคลอดก็ทำให้คลอดง่ายด้วย ช่วยลดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังคลอด และสามารถฟื้นฟูรูปร่างให้กลับสู่สภาพเดิมได้ดีขึ้นด้วย ทั้งยังลดโอกาสของการเกิดมะเร็ง มดลูก และมะเร็งเต้านมด้วย
12. ทำให้ประหยัดค่ารักษาพยาบาล ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ป่วยน้อย จึงประหยัดค่ารักษาพยาบาลได้มาก จากสถิติในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีวันลาเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

เมื่อนับข้อดีได้ 12 ข้อขนาดนี้แล้วยังจะอดใจไม่ไปออกกำลังกายกันได้อยู่อีกหรือ ?

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย
หลายๆ คนมีความเข้าใจผิดในเรื่องของการออกกำลังกาย ทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องที่ดูยุ่งยากมากขึ้น โอกาสในการที่จะออกกำลังกายจึงลดน้อยลง เพราะบางคนถึงกับท้อแท้และเลิกออกกำลังกาย หากแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ได้จะช่วยให้เราตัดสินใจออกกำลังกายได้มากขึ้น

ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่พบอยู่เป็นประจำ อาทิ

1. การออกกำลังกายทำให้กินมากขึ้น นับเป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยมาก โดยเข้าใจว่า เมื่อยามคนเราออกกำลังมาก ย่อมต้องเหนื่อยมาก จึงน่าจะต้องกินอาหารมากตามไปด้วย เป็นเหตุให้คนที่อ้วนอยู่แล้ว หรือคนที่ไม่อยากอ้วนขึ้น ไม่กล้าออกกำลังกาย นักสรีระวิทยาจึงได้ทำการศึกษา วิจัย แล้วจึงได้ข้อสรุปว่า ความคิดนี้ ไม่เป็นความจริง การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยทั่วๆ ไปนั้น ไม่ได้ทำให้กินอาหารมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามยังพบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้นทำให้กินน้อยลงอีกด้วย
2. อายุมากแล้วไม่ควรออกกำลังกาย บางคนมีความคิดว่า ร่างกายของคนเหมือนเครื่องจักร คือเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยชรา ทำงานมากนาน อวัยวะต่างๆ เริ่มชำรุดทรุดโทรม การออกกำลังกายจะยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้ร่างกายต้องทำงานมากขึ้น ร่างกายก็คงจะต้องแย่ลงเร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริง ร่างกายของเราแตกต่างจากเครื่องจักรอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากร่างกายของคนเราสามารถซ่อมแซม และปรับตัวเองได้ อวัยวะต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก ที่ถูกใช้งานบ่อยๆ จะแข็งแรงกว่าปล่อยให้อยู่เฉยๆ ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงยังควรต้องออกกำลังกายอยู่เสมอ โดยทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับวัย และไม่หักโหมจนเกินไป ยิ่งหากผู้ใดได้ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้วตั้งแต่อายุยังน้อยก็จะสามารถออกกำลังกายไปได้เรื่อยๆ เช่น คุณลุงคนหนึ่งแกเริ่มวิ่งมาตั้งแต่ 10 กว่าๆ แล้วยังคงวิ่งจนถึงอายุ 76 ปี เมื่อคุณหมอ ลองตรวจสมรรถภาพของคุณลุงวัย 70 กว่าคนนี้ดู ก็พบว่า คุณลุงมีสมรรถภาพเทียบเท่าได้กับคนทั่วๆ ไปที่มีอายุ 40 ปีเท่านั้นเอง
3. ทำงานเหนื่อยพอแล้ว อย่าออกกำลังกายอีกเลย บางคนคิดว่าการออกกำลังกายหลังจากทำงานมาทั้งวันแล้ว จะทำให้ยิ่งเหนื่อยมากขึ้น ควรจะไปนั่งเล่น นอนเล่น ดูหนังฟังเพลงจะดีกว่า บางคนแม้ตลอดวันไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ใช้เพียงความคิด ก็ยังอุตส่าห์คิดไปว่า สมองล้าเครียดแล้ว ไปพักผ่อนดีกว่า อย่าออกกำลังกายเลย แต่ความจริงแล้วการออกกำลังกายอย่างพอดี กลับจะช่วยทำให้ผ่อนคลายทั้งความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าและความเครียดด้วย โดยควรดูตามความเหมาะสมกับกิจกรรมที่คุณทำในแต่ละวัน เช่น หากคุณต้องเดินมาทั้งวันแล้ว คุณอาจเลือกการออกกำลังกายที่ไม่ใช้กล้ามเนื้อส่วนขามากนัก โดยหันมาใช้แขน หรือลำตัวจะดีกว่า เช่น เลือกการว่ายน้ำ เป็นต้น
4. การออกกำลังกายจะทำให้จะทำให้มีกล้ามเป็นมัด คุณสุภาพสตรีมักจะกลัวว่า ถ้าออกกำลังกายแล้วจะทำให้มีกล้ามแขน ขา ใหญ่ขึ้น ดูไม่สวย แท้จริงการที่ผู้หญิง จะมีกล้ามเป็นมัดๆ ได้นั้น จะต้องเกิดจากการเพาะกายอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่เกิดจากการออกกำัลังกายเพื่อสุขภาพ ในทางตรงกันข้ามคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ หย่อนยาน ลีบ เหลว ดูน่าเกลียดจริงๆ และไม่ว่าจะใช้ครีมอะไรๆ ก็ไม่สามารถทำให้ผิวกระชับขึ้นมาได้เลย
5. การออกกำลังกายทุกแบบสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดของหัวใจได้ คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเท่านั้น

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ได้รับการยอมรับว่าเป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด กล่าวคือ สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้อย่างแท้จริง เนื่องจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยทำให้ปอด หัวใจ หลอดเลือด และระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายมีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพจึงทำงานตามระบบได้อย่างดี
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือ การออกกำลังกายที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากติดต่อกันเป็นระยะเวลาพอสมควร ที่จะทำให้ระบบการทำงานของหัวใจ ปอด หลอดเลือด และการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มีการออกกำลังกายหลายแบบที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนแต่ไม่จัดว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น นักกล้ามที่ออกกำลังจนกล้ามเป็นมัดๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า ปอด และหัวใจ ของพวกเขาจะแข็งแรงไปด้วย เคยมีการทดลองโดยให้ผู้ที่ชนะเลิศในการประกวดชายงามมาทดสอบความแข็งแรงของปอดและหัวใจ โดยการให้วิ่งบนสายพาน ผลปรากฏว่าวิ่งกันได้ไม่นานก็หอบแฮกๆ เสียแล้ว ทำเอาซึมไปตามๆ กัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักกล้ามไม่ได้รับการฝึกแบบแอโรบิกเลย จึงมีแต่พลังที่จะใช้ได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น ขาดความทนทาน จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงอย่างแท้จริง ปัจจุบันนี้นักกล้ามจึงนิยมหันมาออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยการยกน้ำหนักกันมาก

เมื่อเราออกกำลังกายแบบแอโรบิกร่างกายจะถูกฝึกฝนโดยการ
1. ระบบหายใจทำงานเร็ว และแรงมากขึ้น 
เพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น เพื่อนำไปฟอกเลือดที่ต้องหมุนเวียนมากขึ้น
2. หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น
เพื่อให้สูบเลือดได้มากขึ้น เพราะขณะที่ออกกำลังกายอย่างหนัก กล้ามเนื้อจะต้องการเลือดมากขึ้นประมาณ 10 เท่า
3. หลอดเลือดใหญ่ และหลอดเลือดเล็กขยายตัวมากขึ้น
เพื่อลำเลียงเลือดไปยังส่วนต่างๆ ในร่างกายได้อย่างเต็มที่

ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกจึงสามารถปรับตัวให้ร่างกายทนต่องานหนักได้เป็นเวลานาน
การออกกำลังกายแบบนี้จะต้องใช้เวลาประมาณ 20 - 45 นาที โดยทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จึงจะเห็นผล สิ่งสำคัญก็คือ ต้องออกกำลังกายให้หนักพอ แต่ไม่หนักจนเกินไป โดยดูตามความเหมาะสมของสภาพร่างกายและวัยประกอบด้วย

เริ่มต้นออกกำลังกายเสียแต่วันนี้
ทั้งๆ ที่รู้ว่า การออกกำลังกายมีคุณประโยชน์อันมหาศาลขนาดไหน แต่คนหลายคนก็ปฏิเสธการออกกำลังกายโดยให้เหตุผลว่า "ไม่มีเวลา"

ซึ่งน่าเห็นใจ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาจริงๆ แต่สำหรับบางคนที่ใช้คำว่า "ไม่มีเวลา" กับการออกกำลังกาย แต่มักจะ "มีเวลา" เสมอสำหรับ การไปเดินช็อปปิ้งเป็นเวลานานๆ ดูหนัง ฟังเพลง สังสรรค์ กินดื่ม หรือนั่งคุยเล่น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ต้องใช้เวลามากกว่าการออกกำลังกายเสียอีก อย่างนี้เรียกว่ายังไม่เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย

สำหรับคนที่ทำงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกายนั้น ต้องขอบอกว่า คุณกำลังยุ่งเกินไปแล้วจริงๆ ควรจะหาทางลดงานที่ทำลงบ้าง ไม่อย่างนั้นคุณอาจล้มป่วยวันใดวันหนึ่ง แล้วงานที่ทำอยู่จะต้องเสียหายมาก เห็นได้จากหลายๆ คนที่ไม่เจียดเวลาในการออกกำลังกาย จนร่างกายของเขาเองต้องประท้วงด้วยการล้มป่วย เป็นวันๆ ทำให้เสียเวลา เสียเงินทองในการพยาบาลรักษาโดยไม่จำเป็น

ดังนั้นเรื่องที่คนเราจะแบ่งเวลา สัก 20 นาทีจากที่มีวันละ 1,440 นาที จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ขอเพียงเราเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย เราก็จะสละเวลาได้เสมอ แต่หากเราไม่เห็นค่าเสียแล้ว เราก็จะหาข้ออ้างอื่นๆ มาอ้างอีกจนได้

เริ่มต้นวันด้วยการทำกายบริหาร
เมื่อคุณตื่นขึ้นตอนเช้า ก่อนที่คุณจะลุกขึ้นจากเตียงควรจะยืดเส้นยืดสายให้กับร่างกายเสียก่อน โดยการเหยียดตัวออกอย่างเต็มที่ บิดข้อเท้าและนิ้วเท้าไปมา อย่างที่เราเรียกว่า "บิดขี้เกียจ" นั่นเอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวยนของโลหิต และทันทีที่ลุกขึ้นควรทำกายบริหาร เพื่อให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวและมีชีวิตชีวาตลอดวัน
1. เหยียดตัวขึ้น ยืนตรง แยกเท้าออกจากันยกแขนขึ้นเหนือศีรษะและเหยียดมือออกไป ท่านี้จะช่วยยืดเส้น และกล้ามเนื้อได้ทั่วตัว
2. ก้มตัวลง งอเข่าเล็กน้อยและโน้มตัวลงให้มือแตะพื้น (หากมือไม่ถึงพื้น ไม่เป็นไร ทำเท่าที่ทำได้อย่าฝืนเกินไป) โดยปล่อยคอ และศีรษะตามสบาย แล้วค่อยๆ ยืดหลังขึ้นมา
3. เหยียดตัวไปด้านข้าง ยืนตรงแยกเท้าออกจากกันให้กว้างเท่าขนาดความกว้างของหัวไหล่ ค่อยๆ เอนตัวไปทางขวาเพื่อยืดกล้ามเนื้อซี่โครงด้านซ้าย แล้วกลับมายืนท่าตรงอย่างช้าๆ ทำเช่นเดียวกันอีกข้างหนึ่ง
4. หมุนไหล่ ไปด้านหลัง 5 รอบ หมุนกลับมาด้านหน้าอีก 5 รอบ ทำซ้ำ 3 ครั้ง
5. เหยียดต้นคอ ก้มหน้าให้คางชิดหน้าอก ค้างไว้สักครู่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้น
6. แหงนศีรษะไปด้านหลังเพื่อยืดลำคอด้านหน้าและกระดูกสันหลังตอนบน นิ่งในท่านี้สักพักก่อนกลับมาสู่ท่าปกติ ทำท่าเหยียดต้นคอ และท่าแหงนศีรษะสลับกันท่าละ 3 ครั้ง

การนวดและการกดจุดเสริมการล้างพิษ
การนวดสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ และยังช่วยกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

การนวดเพื่อให้ได้ผลดีมีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้
1. เริ่มจากการนวดไล้อย่างแผ่วเบา เพื่อผ่อนคลายและอบอุ่นร่างกายและเตรียมความพร้อมให้กับเนื้อเยื่อภายใน
2. หลังจากนั้นจึงเริ่มออกแรงนวดกล้ามเนื้อต่างๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
3. เสร็จแล้วตามด้วยการออกแรงกด นวดให้ลึกตามจุดต่างๆ เพื่อบรรเทาสภาวะตึงเครียด
4. จบท้ายด้วยการนวดไล้อย่างแผ่วเบาอีกครั้งเพื่อปรับร่างกายให้สงบ และสมดุล
ซึ่งในที่นี้จะแย่งการนวดออกเป็นข้อๆ ตามวัตถุประสงค์และลักษณะการนวด

การนวดไล้ร่างกาย
เป็นการนวดโดยออกแรงอย่างแผ่วเบา ด้วยการ
1. กางมือแบนราบบนแผ่นหลังส่วนบน แล้วค่อยๆ เคลื่อนมือทั้ง 2 ข้างไปตามแนวกระดูกสันหลังจนกระทั่งถึงกลางหลัง
2. แยกมือทั้ง 2 ออกจากกันตามแนวซี่โครง แล้วลากมือย้อนกลับมาด้านบนช้าๆ จนถึงกระดูกสะบักหัวไหล่
3. หมุนข้อมือให้อยู่บริเวณที่เอียงลาดของหัวไหล่ แล้วค่อยๆ ออกแรงกดให้กล้ามเนื้อหัวไหล่ผ่อนคลายออก
4. ลากมือทั้ง 2 ข้างไปตามแนวไหล่ลงไปยังแขนทั้ง 2 ข้าง แล้วย้อนทำซ้ำตามขั้นตอนอีกประมาณ 3 ครั้ง

การนวดบีบ
การบีบและการคลึงจะช่วยให้กล้ามเนื้อถูกกระตุ้น ทำให้ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่เนื้อเยื่อ พร้อมกับกำจัดของเสียที่อยู่ในเนื้อเยื่อ ทำให้จุดที่นวดบีบเกิดความกระฉับกระเฉง

การบีบหัวไหล่
1. ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วที่เหลือของมือขวาบีบเนื้อบริเวณหัวไหล่ขึ้นมา แล้วคลึงเนื้อที่บีบอยู่นั้นไปหามือซ้าย
2. ใช้มือซ้ายรับเนื้อที่บีบขึ้นมาแล้วบีบเนื้อนั้นไว้และส่งกลับไปให้มือขวา ทำอย่างนี้สลับไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ ต้นคอ

การบีบลำตัว
ทำได้โดยการบีบกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างของลำตัวตามแนวซี่โครงและบริเวณเหนือกระดูกหัวไหล่ และช่วงต้นแขน

การบีบคลายอาการตึง
ผู้ถูกนวดอยู่ในท่านั่งตามสบาย ผู้นวดใช้นิ้วทั้ง 4 ของมือแต่ละข้างจับหัวไหล่เอาไว้ แล้วใช้นิ้วโป้งคลึงและบีบเนื้อแล้วปล่อย ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง

การนวดกล้ามเนื้อ
การนวดกล้ามเนื้อเป็นการนวดโดยเน้นการลงน้ำหนัก เพื่อคลายเส้น โดยใช้แรงกดจากนิ้วโป้งและนิ้วอื่นๆ หรืออาจใช้อุ้งมือ โดยผู้นวดควรออกแรงกดอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอในระดับที่ผู้ถูกนวดรับไหว โดยไม่ให้กล้ามเนื้อระคายเคือง ทุกครั้งที่นวดกล้ามเนื้อแบบลงน้ำหนักแล้ว ควรตามด้วยการนวดไล้ตรงบริเวณนั้นๆ ด้วย

การนวดกล้ามเนื้อแบบคลึงเป็นวงกลม
ให้ผู้นวด นวดกล้ามเนื้อตามแนวข้างกระดูกสันหลัง ด้วยการนวดคลึงเป็นวงกลม โดยวางมือทั้ง 2 บนหลัง กดนิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างลงไปที่ด้านข้างกระดูกสันหลังตอนบนทั้ง 2 ข้าง แล้วนวดคลึงเป็นวงเล็กๆ ไล่ลงไปถึงกลางหลังและนวดซ้ำประมาณ 3 เที่ยว

การนวดกล้ามเนื้อแบบไถลเป็นแนวดิ่ง
เริ่มด้วยการวางมือเหมือนกับการนวดกล้ามเนื้อแบบคลึงเป็นวงกลม ใช้นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างกดลงไปเบาๆ ที่กล้ามเนื้อแต่ละข้างของกระดูกสันหลังตอนบน ค่อยๆ ถ่ายน้ำหนักลงไปที่นิ้วโป้ง แล้วไถลมือลงไปช้าๆ และสม่ำเสมอจนถึงกลางหลัง นวดซ้ำประมาณ 3 เที่ยว

การนวดตัวเองอย่างง่ายๆ
การนวดตัวเองจะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าในการดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น สามารถทำได้ทั้งตอนเช้าเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีชีวิตชีวา และตอนเย็นเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายจากอาการเมื่อยล้าและขับไล่ความเครียดทิ้งไปได้

นวดลูบใบหน้า
ใช้มือทั้ง 2 ข้างลูบใบหน้าทั้ง 2 ข้างให้ทั่วเป็นวงกลมหลายๆ ครั้ง ทั้งบนหน้าผาก แก้ม ขากรรไกร เพื่อให้ใบหน้าเกิดความผ่อนคลาย แล้วตามด้วยการคลึงขมับด้วยปลายนิ้ว

นวดรูดลำแขน
รูดแขนโดยให้น้ำหนักสม่ำเสมอกันด้วยมือข้างเดียว โดยไล่จากหัวไหล่ลงมาถึงหลังมือตลอดจนสุดปลายนิ้ว ช่วยลดอาการตึงยึดของร่างกาย ควรรูดซ้ำหลายๆ เที่ยวที่แขนทั้ง 2 ข้าง

นวดมือ
เป็นการช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อมือ โดยใช้นิ้วโป้งของมือข้างหนึ่งนวดไปตามมืออีกข้างหนึ่ง ใช้นิ้วที่เหลือประคองมือที่ถูกนวดไว้

บีบไหล่และแขน
ใช้มือข้างหนึ่งบีบกล้ามเนื้อไหล่อีกข้างหนึ่ง ตั้งแต่คอจนถึงหัวไหล่ ไล่เรื่อยมาถึงต้นแขน

นวดกล้ามหน้าอก
กดปลายนิ้วลงบนกล้ามเนื้อที่ด้านหนึ่งของกระดูกหน้าอก ไล่คลึงเบาๆ ไปจนถึงหัวไหล่

ทุบไหล่
กำมือข้างหนึ่งหลวมๆ แล้วทุบไปที่หัวไหล่ หลังคอและต้นแขนอีกข้างหนึ่ง โดยใช้มืออีกข้างหนึ่งจับข้อศอกข้างที่จะใช้ทุบเพื่อให้ทุบได้ถนัดขึ้น

สับต้นขา
การสับเป็นวิธีการนวดที่เหมาะสำหรับบริเวณที่มีเนื้อมากเช่นต้นขา เริ่มโดยการชันเข่าขึ้นโดยวางเท้าบนเก้าอี้ที่ไม่สูงมากนัก แล้วสับด้วยสันมือทีละข้าง

คำแนะนำในการนวด
- เลือกสถานที่เงียบสงบ โปร่งสบาย และมีความเป็นส่วนตัว
- ควรให้ผู้รับการนวดนอนบนฟูกหรือเสื่อ
- การนอนที่ถูกต้องคือให้ส่วนหลังและคอยืดตรง ไหล่ขยายออกไม่ห่อตัว
- ใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ๆ คลุมร่างกายส่วนที่ยังไม่นวดเพื่ออบอุ่นร่างกาย
- ใช้น้ำมันหอมระเหยช่วยในการนวด โดยหยดน้ำมันหอมระเหยสัก 2 - 3 หยด ผสมกับน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันอโวคาโด ก่อนนวดให้หยดน้ำมันลงบนฝ่ามือถูมือทั้ง 2 ข้างให้พออุ่นก่อนนวด

การกดจุด
การกดจุด เป็นศาสตร์เก่าแก่ของชาวตะวันออกที่สืบทอดกันมานานนับพันปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อ และระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับอวัียวะส่วนที่ขาดความสมดุล กลับสู่ภาวะปกติ และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้วย แต่กว่าที่่ทางการแพทย์จะยอมรับเรื่องการกดจุดนั้น ใช้เวลาในการพิสูจน์สรรพคุณยาวนานพอดู ปัจจุบันการกดจุดเป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยเฉพาะการแพทย์แผนตะวันตกได้หันมาศึกษาเรื่องการกดจุดกันมาก

การกดจุดเป็นทางเลือกในการดูแลตัวเองเพื่อเสริมการล้างพิษอย่างง่ายๆ ก่อนอื่นลองตอบคำถามข้างล่างนี้ดูก่อน

คุณเคยทำสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่า
1. เมื่อเกิดอาการปวดหัว ก็เอานิ้วคลึงที่ขมับทั้ง 2 ข้าง
2. บางครั้งปวดตา ก็ใช้นิ้วบีบที่หัวตาทั้ง 2 ข้างเหนือสันจมูก

ถ้าคุณเคยทำข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้อข้างต้น ก็แสดงว่า คุณได้กดจุดให้ตัวเองแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง เรียกได้ว่าธรรมชาติการรักษา ดูแลตัวเองที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ได้สอนเรื่องการกดจุดกับเรา และเมื่อมีการศึกษาทดลอง อย่างเป็นระบบ จึงได้เกิดศาสตร์แห่งการกดจุดขึ้นมา ทั้งนี้การกดจุดนั้นมีรายละเอียดมากพอสมควร แต่ไม่ยากที่จะเรียนรู้ หากคุณสนใจที่จะกดจุดด้วยตัวเอง ทำได้โดยการหาซื้อหนังสือเรื่องการกดจุดดีๆ สักเล่มมาอ่าน โดยเลือกเล่มที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจศาสตร์แห่งการกดจุดอย่างถ่องแท้ และได้รับการยอมรับก่อนเริ่มลงมือกดจุดควรอ่านและทำความเข้าใจ โดยทั่วไปหนังสือเรื่องการกดจุดจะมีภาพประกอบ และคำอธิบายที่กระชับและเข้าใจง่าย สามารถทำตามได้ทันทีหรือจะเลือกไปเรียนกับอาจารย์ตามคอร์สต่างๆ ที่เปิดสอนกันอย่างแพร่หลายก็ได้

จุดสำคัญอยู่ที่มือและเท้า
การกดจุด คือการใช้มือ หรือนิ้ว กดลงไปยังจุด ที่มีเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต ที่เชื่อมต่อหรือเกี่ยวข้องกับอวัยวะหรืออาการต่างๆ เพื่อบรรเทา หรือรักษาอาการนั้นๆ โดยมักจะอยู่บริเวณมือและเท้า เนื่องจากที่มือและเท้าเป็นศูนย์รวมของจุดสำคัญต่างๆ ในร่างกาย

โดยที่มือเปรียบได้กับเป็น สมองที่ 2 ของร่างกาย เนื่องจากปลายนิ้วสามารถรับสัมผัสได้ดีมาก เพราะมีเส้นประสาทอยู่มากมาย เมื่อบริเวณนี้ถูกกระตุ้น จะเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังสมอง จึงสามารถติดต่อกับสมองได้โดยตรง การกดจุดที่มือแม้เพียงแผ่วเบาก็สามารถแก้ไขอาการต่างๆ ได้ และยังเป็นการกระตุ้นสมองที่ให้ผลดีอีกด้วย

ส่วนเท้านั้นเปรียบได้กับ หัวใจดวงที่ 2 เนื่องจากเท้าทำหน้าที่ช่วยสูบเลือดดันส่งเลือดให้ไหลผ่านเส้นเลือดดำ กลับเข้าสู่หัวใจโดยการยืดหดตัวของกล้่ามเนื้อเท้าช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตในหลอดเลือดดำเป็นปกติ เราจึงควรพยายามทำให้เลือดบริเวณเท้าไหลเวียนได้สะดวก เพราะจะส่งผลดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายด้วย

นอกจากนี้ การกดจุดจะช่วยปรับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติให้เป็นปกติ (ระบบประสาทอัตโนมัติ คือ ระบบประสาทที่อยู่นอกอำนาจการควบคุมของจิตใจ) เช่น การเต้นของหัวใจ การทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ การยืด - หดตัวของหลอดเลือด การปรับสภาพภายในปอดและหลอดลม เป็นต้น

การกดจุด เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดนั้น ถ้าจุดกดอยู่บนกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่ไม่ได้มีอาการอักเสบ บวมแดง หรือรู้สึกร้อน หรืออุ่นตรงบริเวณนั้นๆ จะสามารถกดจุดให้หายปวดได้ แต่ต้องระวังไม่กดแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระบมได้ และไม่ควรกดจุดที่ข้อ เมื่อเกิดอาการข้ออักเสบ เพราะจะทำให้อักเสบมากยิ่งขึ้น

การกดจุดช่วยเสริมการล้างพิษได้อย่างดี แต่ผู้ปฏิบัติต้องมีความอดทน พยายามทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนจึงจะเห็นผลได้

ข้อแนะนำในการกดจุด
1. เลือกสถานที่ที่เป็นส่วนตัว เงียบสงบ เช่น ในห้องนอน อาจจุดน้ำมันหอม หรือเปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย
2. เวลาที่เหมาะสม คือ เช้า และก่อนเข้านอน หรือหลังอาบน้ำ
3. เมื่อ่เจ็บป่วยต้องพบแพทย์ก่อน แล้วจึงใช้การกดจุดรักษาอาการร่วมด้วย ไม่ควรรักษาด้วยวิธีการกดจุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
4. ไม่ควรกดจุดขณะตั้งครรภ์ มีไข้ หรือมีแผลอักเสบ บวม บริเวณที่จะกดจุด
5. หลังทานข้าวใหม่ๆ หรือขณะหิว ไม่ควรกดจุด

ตัวอย่างการกดจุดแบบง่ายๆ

กดจุดแก้ปวดศีรษะ
ตำแหน่งกด ตรงรอยบุ๋มที่ท้ายทอย แนวเดียวกับกกหู
วิธีกด ใช้หัวแม่มือทั้ง 2 ข้างกดลงบนจุดดังกล่าว โดยให้นิ้วที่เหลือกางออกจับศีรษะเอาไว้ กดค้างไว้ประมาณ 2 - 3 นาที

กดจุดแก้สะอึก
ตำแหน่งกด อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง
วิธีกด นั่งตัวตรงหรือนอนหงาย ใช้หัวแม่มือทั้ง 2 ข้างกดลงบนจุดที่หัวคิ้ว ให้กดเบาๆ แล้วค่อยๆ แรงขึ้น ประมาณ 3 - 6 นาที

กดจุดแก้อาการหาว
การหาวอาจเกิดจาก การเคลื่อนไหวของชีพจรคอและกล้ามเนื้อบริเวณคอเกิดอุดตัน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการหมุนเวียนโลหิตในสมอง จึงทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เมื่อสมองขาดออกซิเจน จึงทำให้หาว เมื่อกดจุดจะช่วยให้อาการหาวหายไป และยังทำให้ไม่ง่วงนอน ไม่ปวดศีรษะอีกด้วย
ตำแหน่งกด บริเวณลำคอด้านหน้าใกล้กับกระดูกไหปลาร้า มีัจุดกดทั้งหมด 4 จุด ด้านซ้าย 2 จุด ด้านขวา 2 จุด
วิธีกด ให้ใช้หัวแม่มือข้างเดียวกดจุดดังกล่าวทีละจุด จุดละ 3 วินาที กดซ้ำ 3 รอบ


นอน ไม่ปวดศีรษะอีกด้วย
ตำแหน่งกด บริเวณลำคอด้านหน้าใกล้กับกระดูกไหปลาร้า มีัจุดกดทั้งหมด 4 จุด ด้านซ้าย 2 จุด ด้านขวา 2 จุด
วิธีกด ให้ใช้หัวแม่มือข้างเดียวกดจุดดังกล่าวทีละจุด จุดละ 3 วินาที กดซ้ำ 3 รอบ

ผิวพรรณกับการล้างพิษ
ขัดผิวกาย
การขัดผิวเป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษออกทางผิวหนัง ช่วยขจัดคราบสกปรก และเปิดรูขุมขน ซึ่งเป็นการทำความสะอาดผิวหนังที่ฝังแน่นอยู่ใต้ผิวหนัง และส่วนที่อยู่ลึกลงไปในเซลล์เนื้อเยื่อ การขัดผิวนับเป็นวิธีกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล

การใช้ผงหรือครีมขัดผิวเนื้อหยาบที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขัดผิว ช่วยขับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและยังให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย สบายตัว

ขัดผิวหน้า
ปัจจัยด้านมลภาวะ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และสภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลให้ผิวหน้าหยาบกร้านมีริ้วรอย การขัดผิวหน้าด้วยสารขัดผิวที่อ่อนโยนจะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดอ่อนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น

อบหน้า 
เมื่อเราอบหน้าด้วยไอน้ำร้อน ความร้อนจากไอน้ำจะช่วยเปิดรูขุมขน และช่วยทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือด ช่วยให้ผ่อนคลาย ผิวหน้ามีสุขภาพดี

เราสามารถอบหน้าด้วยวิธีง่ายๆ โดยการเตรียมอ่างใบเล็กๆ ที่มีความกว้างกว่าใบหน้าของเรามา 1 ใบ เทน้ำร้อนลงไปพอประมาณ เติมน้ำมันหอมระเหย เช่น กลิ่นกุหลาบ หรือคาโมไมน์ลงไป แล้วก้มหน้าให้ใกล้กับภาชนะ ให้ใบหน้าได้สัมผัสกับไอน้ำ แล้วคลุมศีรษะตลอดจนภาชนะด้วยผ้าขนหนูเพื่อเก็บได้ความร้อนไว้ การอบหน้าใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที

เราสามารถอบหน้าด้วยการใช้กลีบดอกไม้แทนน้ำมันหอมระเหยได้ โดยใช้กลีบดอกไม้สดๆ เช่น กลีบกุหลาบ กลีบดอกคาโมไมน์ หรือใบสะระแหน่ ก็ให้ความหอมและความสดชื่นได้ไม่แพ้กัน

ทั้งนี้ผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดไม่ควรใช้วิธีอบหน้าด้วยไอความร้อน

พอกโคลน
ด้วยสรรพคุณในด้านการบำบัดของโคลนธรรมชาติอันเต็มไปด้วยอินทรีย์สาร ทำให้การพอกโคลนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เมื่อเรานำโคลนมาพอกที่ผิวกายอินทรีย์สาร และแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในโคลนนี้จะช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ ช่วยรักษาบาดแผล บำบัดอาการผื่นคัน และชจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไป

การพอกโคลนให้ได้ประสิทธิผลอย่างเต็มที่คือการพอกให้ทั่วทั้งตัว โดยจะพอกด้วยตัวเองที่บ้าน หรือไปใช้บริการตามศูนย์สปาต่างๆ ก็ได้ การเลือกใช้โคลนที่มีส่วนผสมของสมุนไพร หรือเครื่องเทศที่มีสรรพคุณในการบำบัดก็เป็นทางเลือกที่ดี โดยทั่วไปการพอกโคลนจะใช้โคลนชนิดพิเศษที่มีสรรพคุณในการบำบัดแตกต่างกันออกไป ของไทยเราก็มีโคลนสีขาวที่เรารู้จักกันดี คือ ดินสอพอง โดยดินสอพองของไทยเรานี้เมื่อนำมาผสมกับขมิ้นมาร์โจแรมและน้ำแร่ จะมีสรรพคุณต่อต้านการขับเหงื่อ ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น เย็นสบาย

Part 3 ล้างพิษจิตใจและจิตวิญญาณ

ร่างกายและจิตใจของคนเรามีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เมื่อเราเห็นว่าการล้างพิษในร่างกายนั้นมีความจำเป็นเพียงใดแล้ว ก็คงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า "การล้างพิษในจิตใจ" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและไม่อาจมองข้ามไปได้อย่างแน่นอน

การล้างพิษในจิตใจ คือ การกำจัดความคิด อารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปจากจิตใจ พร้อมทั้งเติมความคิดที่ีดีสร้างสรรค์ และความรู้สึกที่ดีๆ เข้าไปแทน โดยเรียนรู้ที่จะมองโลกในแง่ดี คิดในแง่บวก มีใจชื่นชม และเห็นคุณค่าของคนรอบข้าง รู้จักให้อภัย รู้จักรอคอย รู้จักควบคุมอารมณ์ ยับยั้งชั่งใจ และยังรวมไปถึงการมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือคนอื่นๆ ด้วย เพื่อให้ทั้งตัวเราและคนรอบข้างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีสุขภาพจิตที่ดี

เริ่มต้นจาก ......
ทำใจให้เป็นสุข
ความจริงที่หลายๆ คนอาจมองข้ามไปจนทำให้ใจเผลอเป็นทุกข์อยู่เสมอคือ ความจริงที่ว่า "คนเราทุกคน สามารถทำใจให้เป็นสุขได้ ในทุกๆ สถานการณ์" เราสามารถคิดว่าเราจะมีความสุขและทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ด้วย ทั้งนี้เริ่มที่ความคิดของเราเอง แม้ว่าเราทุกคนต่างก็ต้องพบเจอปัญหาเหมือนกันทุกๆ วัน แต่คนแต่ละคนตอบสนองปัญหาไม่เหมือนกัน ซึ่งการจะตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดีมากน้อยเพียงใดนั้นก็อยู่ที่ความคิดของคนแต่ละคน

ยกตัวอย่างเช่น
เรานัดไปทานข้าวกับเพื่อนแล้วเพืื่อนของเรายังไม่มาสักที หากเราคิดดี ว่าเพื่อนเราคงติดธุระอยู่ หรือมีเหตุสุดวิสัยบางอย่างที่ทำให้ยังมาไม่ได้ เพื่อนคงไม่ตั้งใจอยากให้เรารอนาน หากเราไม่อยากให้เวลาอันมีค่าต้องเสียไปเปล่าๆ เราก็ลองคิดดูว่าตอนนี้จะทำอะไรได้บ้าง เช่น อาจจะหยิบหนังสือดีๆ มาอ่าน ทำงานที่เอาติดมาด้วย โทรศัพท์ติดต่อลูกค้า ฯลฯ ซึ่งหากเราคิดดี เราจะมีความคิดที่สร้างสรรค์ทำให้เกิดผลดีต่อตัวเราเอง เรียกว่าเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสที่เราจะได้คิดได้ทำอะไรใหม่ๆ เมื่อเราคิดได้อย่างนี้เราก็จะไม่อารมณ์เสีย ไม่ต่อว่าเพื่อน ไม่นั่งหน้าบูดบึ้ง และไม่ปล่อยเวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่เสียสุขภาพจิตอีกด้วย

การที่ใจจะเป็นสุขนั้นจึงขึ้นอยู่กับความคิดเป็นสำคัญหากเราเป็นคนหนึ่งที่อยากมีความสุข เราจำเป็นต้องฝึกฝนความคิดให้คิดแง่บวกอยู่เสมอ คิดในสิ่งทีดีมีประโยชน์มีคุณค่า คิดในสิ่งที่จริง คิดถึงความสำเร็จ และฝึกคำพูดให้เป็นคำพูดแง่บวกเสมอ เช่นคำว่า เราต้องทำได้ ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณ ดีจัง เยี่ยมมาก น่ารัก สวย เป็นต้น และเลิกใช้คำที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น เรียกว่าถ้อยคำที่บ่อนทำลาย ได้แก่ คำว่า ตายแน่ เบื่อ เซ็ง ซวย ไม่ไหว หมดหวัง แย่แล้ว ใช้ไม่ได้เลย คำเหล่านี้ไม่พูดเลยจะดีที่สุด

ทุกคนร่าเริงแจ่มใสได้ ถ้าเห็นคุณค่า และตั้งใจทำจริง

สร้างความสุขด้วยการให้
"การให้เป็นเหตุให้เกิดความสุขมากกว่าการรับ" นี่เป็นสุภาษิตสากลที่สอนให้เราเรียนรู้ และตระหนักถึงผลดีของการให้ การให้เป็นวิธีการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดีและง่ายที่สุด การให้แสดงถึงความมั่นคงของจิตใจ ความเป็นผู้ใหญ่ของผู้ให้ ถ้าทุกคนในสังคมรู้จักการให้ ทุกๆ คนในสังคมก็จะมีความสุข

การให้มีหลักที่ต้องพิจารณาบางประการคือ
1. ให้แล้วเราไม่ลำบากจนเกินไป
2. ให้แล้วมีประโยชน์ต่อผู้รับอย่างแท้จริง
3. ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
การให้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการให้สิ่งของหรือเงินตราเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการให้ความรัก ความเมตตาให้กำลังใจ หรือแม้แต่ให้รอยยิ้ม ก็ทำให้ทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้างมีความสุขได้มากขึ้นทีเดียว

ทำงานด้วยใจรัก
เลือกงานที่เหมาะกับตัวคุณ และทุ่มเททำงานด้วยใจรักไม่ใช่เพียงเพื่อเงินตอบแทน หรือเพียงความก้าวหน้าในอาชีพการงานเท่านั้น หากแต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เอง หากเราได้ทำงานด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ในงานอย่างแท้จริง สิ่งที่เราควรระลึกไว้เสมอก็คือ ความก้าวหน้าในการงานหรือเกียรติยศ ชื่อเสียงไม่ได้เป็นตัววัดคุณค่าคน เพราะมีคนมากมายที่ทำงานอย่างสัตย์ซื่อ เต็มกำลัง ที่ไม่ได้รับการยกย่อง ไม่เป็นที่รู้จัก แต่สิ่งที่ควรยึดถือ ก็คือ ความเคารพและภาคภูมิใจในตนเอง และความเชื่อมั่นว่าตนกำลังทำในสิ่งที่ดีและถูกต้อง ขวัญและกำลังใจในการทำงานไม่ต้องรอให้ใครมาสร้างขึ้น แต่ต้องเกิดจากความรู้สึกภายในจิตใจของเราเอง ไม่ว่างานนั้นจะหนัก หรือยากลำบากแค่ไหน หากเรามีใจรัก และรู้ว่างานนั้นๆ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนมากมาย เราก็จะสามารถมีความสุขในการทำงานได้เสมอ

ความสุขเริ่มต้นที่ครอบครัว
มนุษย์ทุกคนย่อมปรารถนาที่จะมีความสุขภายในครอบครัว เนื่องจากครอบครัวเป็นส่วนของสังคมที่ใกล้ชิดและเราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ไ่ม่ว่าชีวิตภายนอกบ้านของเราจะเป็นอย่างไร แต่หากสภาพภายในของครอบครัวเรามีความอบอุ่น ผาสุข เปี่ยมไปด้วยความรักแล้ว เราก็จะมีพลังกาย มีกำลังใจที่จะต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรคภายนอกได้อย่างเข้มแข็ง เด็กที่เติบโตจากครอบครัวที่มีคุณภาพก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน

ครอบครัวที่มั่นคง ไม่จำเป็นต้องมีความร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จอย่างสูง หากเพียงแต่มีการจัดสรรรายได้อย่างเหมาะสม มีการใช้จ่ายอย่างสมควรกับฐานะ ดูแลบ้านให้สะอาด สวยงาม เป็นระเบียบ ดูแลลูกด้วยความรักและความเข้าใจ มีัคุณธรรมประจำครอบครัว มีความรัก และอดทนต่อกันและกัน ให้โอกาสและให้กำลังใจกันและกันเสมอ ก็ทำให้สามารถสร้างสุขให้กับทุกคนในครอบครัวได้

รู้ทันความเครียด
ความเครียดเป็นพิษในจิตใจชนิดหนึ่งที่เกิดได้บ่อยที่สุด และดูเหมือนจะเป็นปัญหาสำคัญของคนในปัจจุบัน เมื่อเรามีงานที่ต้องรับผิดชอบ มีเรื่องให้ต้องคิด มีแรงกดดันที่ต้องเผชิญหรือมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ทำให้เราอยู่ในภาวะเครียด การเกิดภาวะเครียดเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ทัน คือรู้ตัวเมืื่อเกิดความเครียด และหาวิธีกำจัดความเครียดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งอาจทำได้โดยการพักผ่อน เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย แล้วจึงกลับมาทำงานใหม่

การเปลี่ยนทัศนคติความคิดก็ช่วยลดความตึงเครียดได้โดยตรง เช่น การคิดว่า ไม่มีงานใดที่จะไม่มีปัญหา และชีวิตของคนทุกคนต่างก็ต้องเผชิญกับอุปสรรค ดังนั้น จึงไม่ต้องไปตกใจ หรือเครียดให้เสียเวลา บอกกับตัวเองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขเสมอ และเมื่อเราได้ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว เราก็ควรภูมิใจว่าเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรเราก็ไม่ต้องกังวลกับมัน เพียงแต่ตั้งใจว่าต่อไปจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เพียงพอแล้ว

รู้ทันความโกรธ
ความโกรธ เป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ จัดอยู่ในกลุ่มของความไม่พึงพอใจ และคนเราจะแสดงออกเมื่อเกิดความโกรธแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะทางจิตใจและอิทธิพลของการเลี้ยงดูก็มีส่วนด้วย ความโกรธสามารถกลายเป็นพิษที่ส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น เป็นความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจอุดตัน แผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

ความโกรธไม่ได้เป็นความผิดเสมอไป แต่การจะแสดงออกความโกรธต้องมีความสมเหตุสมผล และต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยให้ได้ พยายามหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น

เมื่อเกิดความโกรธทางแก้ที่ดีคือการพูดคุยปรับความเข้าใจกับคนที่เป็นต้นเหตุของความโกรธนั้นๆ ไม่ใช่เก็บไว้จนเป็นความขุ่นเคือง ขมขื่น หากเขาขอโทษแล้วก็ให้ลืมไปเสียไม่ต้องจดจำความผิดกันอีก แต่หากเขาไม่ให้ความร่วมมือ ก็อย่าไปใส่ใจ อย่าไปจดจ่ออยู่กับคนที่ทำให้เราโกรธ เสียเวลา เสียสุขภาพจิดเปล่าๆ

หากเรามีความเข้าใจมากขึ้นเราจะโกรธน้อยลง ไม่โกรธในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ถือสาหาความใครง่ายๆ อะไรยอมได้ก็ยอม ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ก็จะทำให้ชีวิตมีสุขขึ้นอีกเยอะ

จิตใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี
ผลทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่าอารมณ์มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย

โดยเฉพาะต่อมไร้ท่อที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้สุขภาพดี อายุยืนยาว อารมณ์ที่ดีเกิดจากจิตใจที่เป็นสุข ทำให้ใบหน้าที่อิ่มเอิบ ยิ้มแย้มแจ่มใส จนทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกดีตามไปด้วย เหมือนเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง นอกจากนี้การมีอารมณ์ที่ดียังช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบต้านทานของร่างกายอีกด้วย

การจะสร้างและรักษาอารมณ์ดีให้อยู่กับเราตลอดไปนั้น ต้องเริ่มจากการสร้างทัศนคติที่ดีให้ชีวิต มองโลกดี มองชีวิตดี มองผู้คนรอบข้างดี ทั้งนี้ต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นจริงด้วย แต่หากต้องพบพานกับปัญหาหรืออุปสรรคก็ต้องมีความเข้าใจ ทำใจให้สงบ ยิ้มสู้ปัญหาและไม่จดจ่ออยู่แต่กับเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และไม่สร้างสรรค์

เทคนิคคลายเครียด
1. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อคลายเครียด
เมื่อเกิดความเครียดส่งผลให้กล้ามเนื้อหดตัว การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ เมื่อฝึกคลายกล้ามเนื้อจะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ และในขณะที่ฝึกจิตใจจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ช่วยลดความคิดฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวล ทำให้มีสมาธิมากกว่าเดิมด้วย

วิธีการฝึก
เลือกสถานที่ๆ สงบ นั่งในท่าสบาย คลายเสื้อผ้าให้หลวม ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ให้ใจจดจ่ออยู่กับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ 10 กลุ่มต่อไปนี้
1. มือ และแขนขวา โดยการกำมือ เกร็งแขนแล้วคลาย
2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
3. หน้าผาก โดยการเลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
4. ตา แก้ม จมูก โดยการหลับตาปี๋ ย่นจมูกแล้วคลาย
5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยการกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
6. คอ โดยการก้มหน้าให้คางจดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
8. หน้าท้อง และก้น โดยแขม่วท้องแล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
9. เท้า และขาขวา โดยการเหยียดขา งอนิ้วเท้าแล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
10. เท้า และขาซ้าย โดยทำเช่นเดียวกัน

ข้อแนะนำ
1. ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3 - 5 วินาที ผ่อนคลาย 10 - 15 วินาที เป็นต้น
2. ระวังอย่าให้เล็บจิกเนื้อตัวเองเวลากำมือ
3. เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเกร็งก่อน
4. คุณอาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาเท่านั้นก็ได้

2. การฝึกหายใจ
โดยปกติคนทั่วไปจะหายใจตื้นๆ โดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอก ทำให้ได้ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายน้อยกว่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เครียด เราจะยิ่งหายใจถี่และตื้นมากกว่าเดิม ทำให้เกิดอาการถอนหายใจเป็นระยะๆ เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากขึ้น

การฝึกหายใจอย่างช้าๆ ลึกๆ โดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณท้องจะช่วยให้ร่างกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง และลำไส้อีกด้วย การฝึกหายใจอย่างถูกวิธี จะทำให้หัวใจเต้นช้าลงสมองแจ่มใส และทำให้รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเครียดออกไป

วิธีการฝึก
1. นั่งในท่าสบาย หลับตา เอามือวางไว้บริเวณท้อง ส่วนมืออีกข้างวางไว้ที่หน้าอก ค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ โดยใช้ท้อง ถ้าหายใจอย่างถูกต้องมือที่จับท้องจะสัมผัสได้ว่าท้องพองขึ้น ส่วนที่หน้าอกแทบจะไม่ขยับเลย
2. ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกโดยใช้กล้ามเนื้อท้อง โดยที่ท้องจะยุบลงอย่างเห็นได้ชัด และบริเวณหน้าอกแทบจะไม่ขยับเลยเช่นกัน
3. ควรฝึกการหายใจแบบนี้ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด และฝึกให้เป็นนิสัยทุกวัน

ท่าบริหารกายคลายเครียดขณะทำงาน
การบริหารตา
พักจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์ แล้วบริหารตาโดยการกลอกตาไปทางซ้าย แล้วย้ายกลับมาทางขวา ทำซ้ำข้างละ 5 รอบ
บริหารคอด้วยการหมุนศีรษะ การหมุนศีรษะจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ
1.  เริ่มจากก้มศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วหมุนไปทางขวาช้าๆ
2. จากนั้นแหงนศีรษะไปข้างหลังเล็กน้อยก่อนหมุนไปทางซ้าย 5 รอบ และหมุนกลับไปทางขวาอีก 5 รอบ
การยืดหลังและหน้าอก
ท่านี้จะช่วยคลายอาการตึงที่ลำตัวส่วนบนและช่วยคลายกล้ามเนื้อระหว่างกระดูกไหล่
1. นั่งโดยไม่ต้องเกร็ง ห้อยแขนลงมาไว้ข้างลำตัว ห่อไหล่ไปข้างหน้า นับ 1 - 5 ในใจ แล้วกลับไปนั่งท่าปกติ
2. ผึ่งไหล่ทั้ง 2 ไปด้านหลัง นับ 1 - 5 แล้วกลับมาสู่ท่าปกติ

ท่าคลายเมื่อย 
ช่วยกำจัดอาการเมื่อยขบที่หัวไหล่ แขน และมือ ทำให้ร่างกายส่วนบนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น หายใจเข้าได้ลึกและสะดวกขึ้น
1. การหมุนหัวไหล่ นั่งท่าสบายๆ ปล่อยแขนทั้ง 2 ข้างไว้ข้างลำตัว หมุนหัวไหล่ไปข้างหน้า 5 รอบ หมุนไปข้างหลัง 5 รอบ แล้วหมุนไปข้างหน้าอีก 5 รอบ
2. การยืดตัว นั่งบนเก้าอี้ วางแขนข้างลำตัว สอดฝ่ามือทั้ง 2 ข้างไว้ใต้ต้นขา ดันตัวขึ้นมาด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เพื่อเป็นการเหยียดตัว แล้วกลับไปนั่งท่าปกติ
3. การเหยียดตัว ยืนตรงเพื่อเหยียดตัวขึ้นทั้งตัว ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ประสานนิ้วมือโดยให้ฝ่ามือหงายขึ้นหาเพดาน แล้วค่อยๆ กลับมาสู่ท่าปกติ
4. การหมุนแขน หมุนแขนทีละข้างเป็นวงกลมโดยไม่ต้องเกร็งข้อศอกและหัวไหล่ โดยเริ่มจากการหมุนไปข้างหลัง 5 รอบ แล้วหมุนไปข้างหน้าอีก 5 รอบ
5. การสะบัดแขน ให้สะบัดทีละข้าง โดยห้อยแขนลงมาและเริ่มสะบัดจากปลายนิ้วก่อน แล้วค่อยๆ ส่งแรงเคลื่อนไหวมาที่มือ ข้อมือ ปลายแขน ศอก ต้นแขน เรื่อยไปจนถึงหัวไหล่

ท่าผ่อนคลายมือ
ช่วยลดอาการตึงตามข้อต่อ เส้นเอ็น และกระดูก
1. กำมือทั้ง 2 ข้างให้แน่นเพื่อเกร็งกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น นับ 1 - 5 จากนั้นกางนิ้วให้เต็มเหยียดเพื่อยืดเส้นเอ็นนับ 1 - 5 ทำซ้ำสลับกัน 3 ครั้ง
2. งอข้อสอบเข้าหาตัว พนมมือขึ้นระหว่างหน้าอกแยกส้นเท้าเล็กน้อยเพื่อกดฝ่ามือและนิ้วเข้าหากัน นับ 1 - 5 แล้วกลับมาท่าปกติ

การบริหารหน้า
ความเครียดเป็นตัวการที่ทำให้ใบหน้าเมื่อย เกร็งโดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ตา ปาก และขากรรไกร วิธีบริหารหน้าที่ช่วยได้คือ
1. ย่นหน้า ย่นตา และจมูก ทำปากจู๋ และห่อขากรรไกร พร้อมกับพยายามเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที
2. ยืดหน้า เบิกตาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ อ้าปากกว้าง ค้างไว้ 20 วินาที แล้วจึงกลับมาท่าปกติ

ล้างพิษระดับจิตวิญญาณ
"สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ (Spiritual well being) หมายถึง สุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทำความดี หรือจิตสัมผัสกับสิ่งที่มีคุณค่าอันสูงส่งหรือสิ่งสูงสุด เช่น การเสียสละ การมีเมตตา กรุณา การเข้าถึงพระรัตนตรัย หรือการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น ความสุขทางจิตวิญญาณเป็นความสุขที่ไม่ระคนอยู่กับความเห็นแก่ตัว แต่เป็นสุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์หลุดพ้นจากความมีตัวตน (Self transcending) จึงมีอิสรภาพ มีความผ่อนคลายอย่างยิ่ง เบาสบาย มีความปีติแผ่ซ่านทั่วไป มีความสุขอันประณีตและล้ำลึก หรือความสุขอันเป็นทิพย์ สบายอย่างยิ่ง สุขภาพดีอย่างยิ่ง มีผลดีต่อสุขภาพทางกาย ทางจิต และทางสังคม"
นพ.ประเวศ วะสี

แต่เดิมการแพทย์ตะวันตกนั้นจะเน้นเรื่อง "สุขภาพทางกาย" โดยการกล่าวถึงภาวะของร่างกายที่ มองเห็น สัมผัส จับต้องได้ การศึกษาทางการแพทย์ก็มีการพัฒนามาจากฐานของการแพทย์ทางกาย หลังจากนั้นเมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19 - 20 ผู้คนเริ่มหันมามอง "สุขภาพจิต" และให้ความสนใจศึกษากันมากขึ้น เนื่องจากเริ่มพบว่า คนบางคนแม้มีสุขภาพกายดีหมดทุกอย่าง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ แต่กลับไม่มีความสุขในชีวิต ไม่สามารถเข้าสังคมได้เหมือนอย่างคนปกติ เนื่องจากมีปัญหาทางสุขภาพจิตนั่นเอง พอได้ศึกษาเรื่องสุขภาพจิตจึงได้พบว่าเรื่องของจิตใจนั้น มีความละเอียดอ่อน และสลับซับซ้อนไม่แพ้ระบบต่างๆ ในร่างกายเช่นกัน

คนอีกหลายๆ คนที่มีสุขภาพทางกายและจิตดีแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมและบุคคลรอบข้าง เนื่องจากขาดทักษะชีวิต และทักษะสังคม ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า "อุดมการณ์ชีวิตหรือจิตวิญญาณ" มีความหมายว่าอย่างไร ทำให้มีคำว่า "สุขภาพทางจิตวิญญาณ" ขึ้นมา โดยการที่จะพัฒนาปรับปรุงพฤติกรรม และจิตใจให้เกิดผลดีอย่างถาวรต้องเริ่มต้นจากการพัฒนาปัญญา และจิตวิญญาณให้เข้าถึงสัจจะได้ จนเกิดความรู้แจ้ง เห็นจริง เพราะปัญญาเป็นตัวที่จะปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ ทำให้จิตมีดุลยภาพโดยสมบูรณ์ เรียกว่าเป็นสุดยอดของ E.Q. นั่นเอง

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าโรคทางจิตวิญญาณ หรือการที่จิตวิญญาณเป็นพิษนั้นก่อให้เกิดผลเสียมากที่สุด เพราะบางครั้งพิษทางกายนั้นนานๆ จะส่งผลให้เจ็บป่วยกันสักหนหนึ่ง แต่พิษทางจิตวิญญาณนี้แสดงผลออกมาได้ตลอดเวลาโดยที่หลายๆ คนไม่รู้ตัว และยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคทางกายอีกด้วย เช่น ทำให้วิตกกังวล นอนไม่หลับ หากมีการรบกวนทางจิตมากก็จะทำให้เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ ตลอดจนโรคร้ายต่างๆ ก็จะตามมา

ตัวอย่างพิษในจิตวิญญาณ
1. ความโกรธ
2. ความเกลียด
3. ความกลัว
4. ความตืนเต้น
5. ความวิตกกังวล
6. ความอาลัยอาวรณ์
7. ความอิจฉาริษยา
8. ความหวง
9. ความหึง
10. ความสงสัย ไม่แน่ใจ
11. ความหยิ่ง
12. ความลุ่มหลง
13. ความคิดแง่ลบ
14. ความโลภ

ตัวอย่างเหล่านี้คงพอจะทำให้คุณได้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องล้างพิษทางจิตวิญญาณกันอย่างจริงจัง โดยการจะกำจัดพิษในระดับนี้จำเป็นต้องเข้ามาเรียนรู้ฝึกฝนจากศาสนา โดยที่ศาสนาต่างๆ ทั่วโลก มักมีจุดยืนที่ตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ การให้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพื่อการอยู่อย่างมีคุณค่า มีเป้าหมาย และเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดี ตลอดจนส่งผลถึงชีวิตหลังความตาย

การจะล้างพิษออกจากจิตวิญญาณสามารถทำได้โดยการเริ่มต้นสร้างศรัทธาให้กับชีวิต

ศรัทธาในชีวิตคือการเห็นคุณค่า และความงามของชีวิต เป็นการกระตุ้นพลังวิเศษที่มีอยู่ภายในชีวิตของเราทุกคนออกมา โดยที่ทุกระบบของร่างกายนับตั้งแต่เซลล์ เนื้อเยื่อ ไปจนถึงอวัยวะต่างๆ จะทำงานสอดประสานกันอย่างดีเยี่ยม เมื่อร่างกายทำงานดี ระบบคุ้มกันเข้มแข็ง ทำให้ร่างกายสามารถปกป้องอันตรายจากเชื้อโรค สารพิษหรืออนุมูอิสระ ไม่ให้มารบกวนร่างกายได้ เราก็จะมีอายุยืนยาว ซึ่งโดยปกติ มนุษย์เราจะมีอายุยืนยาวได้ถึง 120 ปี

การสร้างศรัทธาให้ชีวิตเป็นเรื่่องที่เราต้องเริ่มต้นทำด้วยตนเอง ไม่มีใครทำแทนเราได้ ครั้นจะไปหาซื้อด้วยเงินทองก็ไม่ได้ ไม่มีใครเขาทำขายกัน วิธีเดียวคือเราต้องเริ่มสร้างความตระหนัก และเรียนรู้ในคุณค่าของชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งการเริ่มโดยการศึกษาหลักคำสอนของศาสนาต่างๆ ก็เป็นวิธีที่ดี และง่ายที่สุด

บทส่งท้าย  --  ร่วมกันขจัดสารพิษรอบตัว
อย่างที่กล่าวเอาไว้ใน Part แรก ว่าทุกวันนี้ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา ล้วนเต็มไปด้วยการปนเปื้อนของสารพิษอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะในน้ำ อาหาร อากาศ สิ่งของเครื่องใช้ และสิ่งต่างๆ ที่เราต้องสัมผัสอยู่เป็นประจำ การดูแลรักษาความสะอาด และการหลีกเลี่ยงไม่ปะทะสัมผัสกับสารพิษจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด

และนี่คือ ตัวอย่างของการปฏิบัติเพื่อป้องกันและช่วยขจัดสารพิษต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา

1. ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง โดยใช้น้ำยาล้างผัก หรือแช่ผงล้างผัก (ที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป) การล้างควรเปิดก็อกน้ำให้น้ำไหลเวียนได้และล้างหลายๆ น้ำ
2. เลือกซื้อชา กาแฟ ผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ
3. ไม่ควรแช่ผักไว้ในตู้เย็นนานเกิน 2 - 3 วันจะทำให้ผักไม่สด หากไม่สะดวกซื้อผักสดทุกวันอาจเลือกซื้อผักแช่แข็งสำเร็จรูป เช่น ถั่วลันเตาแช่แข็ง จะให้สารอาหารที่ครบถ้วนกว่า
4. เลือกซื้อปลากระป๋อง ประเภท ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน ไว้ใช้ปรุงอาหารเมื่อไม่มีเวลาไปซื้อปลาสดๆ มาทาน
5. เลือกซื้ออาหารหรือซุปกระป๋อง ซุปกล่องที่มีคุณภาพ และไ่ม่ใส่สารปรุงแต่ง
6. หากไม่สามารถซื้อน้ำผลไม้คั้นสดดื่มได้ อาจเลือกซื้อน้ำผลไม้แบบบรรจุกล่องหรือกระป๋องที่ไม่ใส่สารกันบูด และควรเลือกชนิดมีเนื้อผลไม้่ปนอยู่ด้วย เพราะจะมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ และบรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ
7. ติดเครื่องกรองน้ำไว้ที่ห้องครัว เพื่อใช้ทำอาหาร ชงชา กาแฟ ล้างผักผลไม้ และใช้ดื่ม
8. ใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงแทนการจุดยากันยุง
9. ใช้เครื่องสำอาง และครีมบำรุงผิวที่มีสารเคมีน้ำหอม และแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด โดยหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติแทน
10. ถ้าต้องทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน ควรทานโยเกิร์ตทุกวันเพื่อชดเชยเชื้อแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ในลำไส้ หรือทานอะซิโดฟิลัสที่มีทั้งชนิดผงและชนิดเม็ดแทนก็ได้
11. อ่านรายละเอียดของยา อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง และตรวจสอบวันหมดอายุก่อนรับประทาน
12. ลดการใช้พลาสติก โดยหันมาใช้ถุงผ้า หรือตะกร้าแทน
13. ซื้อผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดบ้านตลอดจนผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่ไม่มีสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม หรือสารตกค้างต่างๆ
14. หันมาใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว ใช้สีทาบ้านและเครื่องครัวที่ไม่มีส่วนประกอบของตะกั่ว
15. เปลี่ยนหมอน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และซักผ้าห่มบ่อยๆ สำหรับผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบหรือภูมิแพ้ ควรใช้หมอนชนิดที่ป้องกันภูมิแพ้
16. เลือกใช้ฟูกที่ทำจากยางพารา เพราะช่วยป้องกันไรฝุ่นและสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้อื่นๆ
17. จุดน้ำมันหอมเพื่อความผ่อนคลาย และขจัดกลิ่นอับในบ้าน หรือในที่ทำงาน แนะนำให้ใช้กลิ่นยูคาลิปตัส เปปเปอร์มิ้นต์ หรือลาเวนเดอร์
18. เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่สามารถดูดไรฝุ่นออกจากพรมไ้ด้ หรือปูพื้นบ้านด้วยไม้แทนพรม
19. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่
20. พยายามลดปริมาณแอลกอฮอล์โดยงดดื่มสัปดาห์ละ 3 - 4 วัน และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์หลายๆ ชนิดผสมกัน

เพาะกล้าอ่อนไว้รับประทาน
กล้าอ่อน เป็นอาหารมากคุณค่าอยากแนะนำให้มีติดครัวไว้เสมอ เพราะนอกจากคุณค่าที่แสนดีแล้ว ยังมีราคาถูก เพาะเองได้ง่ายมาก ทำให้เป็นผักปลอดสารพิษที่รับประทานได้อย่างสบายใจ อีกทั้งยังรู้สึกสนุก และภูมิใจที่ได้เพาะเอง

เหตุผลที่ทำให้กล้าอ่อนมีคุณค่าอาหารมากเนื่องจากในกระบวนการที่พืชกำลังงอกนั้นปริมาณวิตามินจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 700 เปอร์เซ็นต์ กล้าอ่อนยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ซึ่งหาได้ในผักไม่กี่ชนิดเท่านั้น ขณะที่ต้นกล้าเริ่มงอก แป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลโมเลกุลไม่ซับซ้อน ไขมันกลายเป็นกรดไขมัน โปรตีนเป็นกรดอะมิโน จึงย่อยง่ายและไม่ทำให้เยื่ออ่อนในร่างกายเกิดน้ำมูกเหมือนตอนที่เป็นเมล็ด กล้าอ่อนเรียกได้ว่าเป็นอาหารอายุวัฒนะที่หาได้ง่ายที่สุด

วิธีเพาะกล้าอ่อน
1. ล้างเมล็ดพืชให้สะอาด เลือกเมล็ดที่แตก และสิ่งสกปรกออก
2. นำเมล็ดพืชใส่ภาชนะ เช่น ถัง หรือชามขนาดใหญ่ เติมน้ำสะอาด เช่น น้ำกรอง น้ำแร่ หรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ให้น้ำท่วมเมล็ดสูงประมาณ 2 - 3 นิ้ว (ไม่ควรใช้น้ำประปา เพราะกล้าอ่อนจะดูดสารเคมีที่ปนมากับน้ำ และคลอรีนในน้ำประปาจะยับยั้งการงอกของต้นกล้าด้วย)
3. แช่เมล็ดพืชไว้ตามเวลาที่กำหนดให้ในตาราง หากแช่เป็นเวลานานควรเปลี่ยนน้ำด้วย
4. เมื่อครบกำหนดเวลาให้เทน้ำทิ้ง หรือบางครั้งเมล็ดอาจดูดน้ำจนหมด
5. เทน้ำสะอาดเข้าไปใหม่ให้ทุกเมล็ดได้คลุกเคล้ากับน้ำ แล้วเทน้ำออกให้หมด ทำเช่นนี้วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ระวังอย่าให้น้ำค้างในภาชนะมากเกินไปจะทำให้เมล็ดเน่าได้
6. หลังจาก 3 - 5 วัน กล้าอ่อนที่งอกออกมาก็กินได้ นำออกมาล้างแล้วใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ในตู้เย็น ไว้นำออกมากินกับสลัด (หรือใช้ประกอบอาหารต่างๆ สำหรัีบผู้ที่ ไม่ได้อยู่ในช่วงล้างพิษ) กล้าอ่อนที่อยู่ในตู้เย็นควรทายให้หมดใน 5 - 7 วัน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น