วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

All about BOTOX ทุกเรื่องที่ควรรุ้เกี่ยวกับโบท็อกซ์ - ใกล้หมอ

All about BOTOX 

ทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับโบท็อกช์
กองบรรณาธิการ "ใกล้หมอ"

Part 1
รู้จักโบท็อกซ์

แม้ว่าชื่อของโบท็อกซ์จะเป็นชื่อที่เราจะได้ยินกันหนาหูเลยว่า เป็นสารที่ฉีดเข้าไปแล้วช่วยทำให้รอยย่นหายไป แด่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่รู้ว่าโบท็อกช์นี้ทำมาจากอะไร ดังนั้นในบทนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเจ้าโบท็อกซ์นี้กัน แบบให้หมดเปลือกกันไปเลยนะคะ
ก็แหม..จะไปฉีดเจ้าสารที่เรียกว่าโบท็อกช์นี้เข้าไปในร่างกายเราทั้งที ก็ควรจะได้รู้ว่าโบท็อกช์เนี่ย มันคืออะไร และทำจากอะไร แล้วจะเป็นอันตรายต่อร่างกายเราหรือเปล่าหนอ...

โบท็อกซ์คืออะไร
โบท็อกช์คือการทำศัลยกรรมความงามที่ไม่ใช่การผ่าตัด ซึ่งสามารถลบรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว และหางคิ้วให้หายไปได้ โบท็อกช์ถูกค้นพบโดยบังเอิญว่าสามารถใช้รักษารอยย่นได้ จากการที่ก่อนหน้านี้โบท็อกช์ถูกใช้เพื่อรักษาไมเกรน ซึ่งต้องฉีดโบท็อกช์เข้าที่บริเวณหางตา หัวคิ้ว และมีแพทย์บางคนสังเกตเห็นว่า ริ้วรอยย่นบริเวณที่ฉีดกลับลดลงไปด้วย จึงทำให้ค้นพบว่า โบท็อกช์ช่วยลดรอยย่นได้

โบท็อกซ์ทำจากอะไร
โบท็อกซ์เป็นชื่อทางการค้าของ botulinum toxin A ซึ่งสกัดมาจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลอสทิเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) อันเป็นแบคทีเรียที่สร้างสารพิษ ชื่อ Botulinum Toxin ตัวการที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในอาหารกระป๋องที่ไม่สะอาด โดยสารพิษนี้มีสองชนิดคือ โบทูลินั่ม ชนิด เอ (Botulinum type A) และ โบทูลินั่ม ชนิด บี (Botulinum type B)
สาร Botulinum Toxin นี้เป็นสารชนิดนิวโรท็อกชิน (Neurotoxin) ที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ด้วยการยับยั้งเซลล์ประสาทไม่ให้ผลิตสาร ocetylcholine ชึ่งเป็นสารที่สั่งให้กล้ามเนื้อยืดและหดตัว เมื่อไม่มีสารนี้มาสื่อสาร กล้ามเนื้อจึงไม่ได้รับสัญญาณจากประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราว จึงทำให้การทำงานของระบบประสาท และทางเดินอาหารหลายอย่างเกิดอาการผิดปกติ
สำหรับเชื้อดังกล่าว เมื่อนำมาสกัดให้บริสุทธิ์แล้ว สามารถนำมาใช้รักษาในทางการแพทย์ จากคุณสมบัดิที่ต่อต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ และต่อมาจึงมีการนำมาใช้ในวงการความงาม เพราะคุณสมบัติที่ช่วยลดรอยย่นต่างๆ โดยทำให้ผิวหน้าบริเวณหน้าผากและเหนือคิ้ว กระชับมากยิ่งขึ้น

เส้นทางของโบท็อกซ์
หลังจากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum ถูกค้นพบเมื่อนานมาแล้ว และสามารถสกัดออกมาจนได้ ยา Botulinum toxin ชนิด A หรือที่เราเรียกว่าโบท็อกซ์นั้น สารชนิดนี้ก็ค่อยๆ ถูกค้นพบคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆ มากขึ้น

- ทศวรรษที่ 1950
นายแพทย์เวอร์มอน บรู๊คส์ ค้นพบว่ายา Botulinum toxin ชนิด A เมื่อฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่ทำงานมากเกินไป จะยับยั้งการหลั่งสาร ocetylchlollne จากปลายประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายชั่วคราว

- ทศวรรษที่ 1970
นายแพทย์อลัน สก็อต ซึ่งเป็นจักษุแพทย์ได้ศึกษาวิธีการรักษาอาการตาเข (Strabismus) โดยไม่ต้องผ่าตัด และทดลองใช้ยา Botulinum toxin ชนิด A ในลิง พบว่าสามารถปรับลักษณะตาเขได้ ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มาใช้ในคน จึงถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยใช้รักษาคนไข้ที่มีกล้ามเนี้อหนังตาบีบรัดหรือกระตุก เช่น เปลือกตากระตุก อาการตาเข จนทำให้ปิดตาไม่สนิท เมื่อฉีดยาตัวนี้เข้าไปแล้วกล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะเป็นอัมพาตไปบางส่วน ทำให้สามารถเปิดตาได้ ซึ่งโบทูลินั่มท็อกซินที่นำมาใช้นี้เป็นชนิดบริสุทธิ์ และใช้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น และฉีดบริเวณเฉพาะที่ สารนี้มีจำนวนน้อยมากจนไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายและจะให้ผลเฉพาะที่ชั่วคราวอยู่นานประมาณ 3 - 5 เดือน จากนั้นจึงจะจางหายไป ต้องฉีดใหม่

- ทศวรรษที่ 1980
เอลาสแทร์ และจีน การ์รูเธอร์ส แพทย์สามีภรรยาชาวคาเนเดียนจากแวนคูเวอร์ เอลาสแทร์ ชึ่งเป็นแพทย์ผิวหนัง เริ่มทำการจดบันทึกการลบเลือนริ้วรอยด้วย การฉีดโบท็อกซ์แทนคอลลาเจน ชึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี ส่วนจีนภรรยาของเขาซึ่งเป็นจักษุแพทย์ ใช้โบท็อกช์ฉีดตรงบริเวณหนังตาเพื่อลดอาการตากระตุก ผลที่ได้ นอกจากจะรักษาอาการกระตุกแล้ว โบท็อกช์ยังทำให้กล้ามเนื้ออ่อนตัวและริ้วรอยตีนกาจางลงด้วย ดังนั้นทั้งสองจึงได้ทำการทดสอบกับตนเองและพนักงานต้อนรับของตน ผลสรุปออกมาว่าโบท็อกช์สามารถช่วยให้ริ้วรอยจางลง ผิวเนียนดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการฉีดคอลลาเจน

- ปี 1989
องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้สารชนิดนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ยาชนิดใหม่ที่ใช้รักษาโรคตาเขและตากระพริบผิดปกติในผู้ป่วยอายุ 12 ปีขึ้นไป ในเดือนธันวาคม และต่อมา ยาชนิดนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่อจาก Botulinum toxin ชนิด A เป็น โบท็อกช์ (Botox)

- ปี 2000
องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้โบท็อกช์ในการบำบัดรักษาการทรงตัวของศีรษะที่ผิดปกติ และความเจ็บปวดที่คอ อันเกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อคอในผู้ใหญ่

- ปี 2002
องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนโบท็อกช์เป็นสารที่มีคุณสมบัติการรักษารอยย่นระหว่างคิ้ว

- ปี 2004
องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา อนุมัติได้ขึ้นทะเบียนโบท็อกซ์ใช้สำหรับการบำบัดรักษาอาการเหงื่อออกใต้วงแขนมากผิดปกติ

เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปแล้ว
เมื่อฉีดโบท็อกช์เข้าไปแล้ว จะเข้าไปช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งริ้วรอยนั้นเกิดจากกล้ามเนื้อตึงเครียดเพราะการเคลื่อนไหวนั่นเอง เมื่อเข้าไปคลายกล้ามเนื้อจึงทำให้ริ้วรอยหายไป แต่ริ้วรอยจะไม่หายไปอย่างถาวร โดยสามารถลดริ้วรอยได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

โบท็อกซ์เหมาะกับใครบ้าง
สำหรับในบ้านเราตอนนี้ ที่นิยมมาฉีดโบท็อกช์กันจะมีอายุระหว่าง 21 - 75 ปี ซึ่งโดยหลักแล้ว การฉีดโบท็อกช์เพื่อลดริ้วรอย ไม่จำกัดว่าต้องเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 18 - 65 ปี เพราะในบางกรณีเช่น วัยรุ่นบางคนที่เล่นกีฬากลางแจ้งมากเกินไปจนมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร ก็สามารถมาฉีดโบท็อกช์เพื่อลดริ้วรอยได้ แต่สำหรับคนที่มีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งริ้วรอยเกิดจากผิวหนังที่หย่อนยานด้วยวัยที่มากขึ้นไม่ใช่ริ้วรอยจากกล้ามเนื้อเกร็ง โบท็อกซ์ก็ไม่สามารถช่วยลดริ้วรอยได้มากนัก อาจพอช่วยให้หน้าตาดูดีขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ ควรเป็นผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่อย่างหนัก เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ประสิทธิภาพของโบท็อกช์หลังการฉีดออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
และสำหรับคุณผู้ชายที่สนใจอยากจะฉีดโบท็อกช์ก็ไม่ต้องเขินอายไปนะคะ เพราะอัตราส่วนของผู้ชายในบ้านเราที่มาฉีดโบท็อกช์ดอนนี้มาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียวค่ะ

ฉีดนานเท่าใด จึงจะเห็นผล
หลังการฉีดโบท็อกช์จะค่อยๆ กระจายไปรอบๆ กล้ามเนื้อกว้าง 1 ชม. ใช้เวลาประมาณ 4 วัน จึงเข้าสู่ระบบประสาท จากนั้นจึงจะค่อยรู้สึกถึงความตึงของผิว ดังนั้นกว่าจะเห็นผลว่าริ้วรอยหายไปนั้น จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์หลังฉีด แด่บางรายอาจใช้เวลาถึง 1 เดือนเลยก็ได้

กลไกการทำงานของโบท็อกซ์
เมื่อสารโบท็อกช์ถูกฉีดลงไปยังใต้ผิวหนังของคุณแล้ว กลไกการทำงานของสารชนิดนี้ประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอน คือ
- ยับยั้งการสื่อสารระหว่างเชลล์ประสาทและกล้ามเนื้อ
โบท็อกช์จะพุ่งไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างปลายประสาทและกล้ามเนื้อ และจัดการยับยั้งประสาทไม่ให้หลั่งสาร acetylcholine ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่มีการหดเกร็งและรอยย่นคลายหายไป
- การสื่อสารระหว่างประสาทและกล้ามเนื้อกลับคืนสู่สภาพปกติ
โบท็อกช์จะทำให้กล้ามเนื้อไม่มีการหดเกร็งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น จากนั้นการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อจะกลับสู่สภาพปกติภายใน 2 - 5 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการปฎิบัติตัวของแต่ละคน

ผลข้างเคียงจากการใช้โบท็อกซ์
หลังจากการฉีดโบท็อกช์ บางคนอาจมีตุ่มแดงบริเวณที่ฉีดขึ้นมานานประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนบางคนที่ฉีดโบท็อกช์บริเวณหน้าผากก็อาจมีอาการปวดศีรษะในวันแรกที่ฉีด หรืออาจเกิดอาการหนังตาตกหรือคิ้วตก และถ้าฉีดบริเวณลำคอก็อาจทำให้กลืนอาหารได้ไม่ค่อยสะดวก แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองค่ะ
และสำหรับคุณผู้หญิงบางคน พอฉีดโบท็อกช์เข้าไปแล้วกลับไม่ได้ผล นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายมีการสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาค่ะ ทำให้ไม่ได้ผล แต่ว่าคนที่ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันต่อโบท็อกช์นี้ จะมีไม่ถึงร้อยละ 3 - 5
ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ หลังการฉีดโบท็อกช์ที่อาจมี เช่น ปวดหัว หายใจติด เป็นไข้ ตาปรือ และคลื่นเหียน เป็นต้น

ฉีดติดต่อกันนานๆ จะเป็นอันตรายไหม
โบท็อกช์นั้น เมื่อฉีดเข้าร่างกายแล้วก็จะค่อยๆ สลายตัวไป ไม่เหลือตกค้างในร่างกาย แต่การฉีดชํ้าบ่อยๆ หรือฉีดมากเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อที่จุดนั้น เป็นอัมพาต คืออาจกลายเป็นคน "หน้าตาย" ไม่สามารถแสดงความรู้สึกบนใบหน้าได้ แม้จะหัวเราะหรือร้องไห้ก็หน้าตาเหมือนเดิม ซึ่งข้อเสียตรงจุดนี้อาจไม่เหมาะกับนักแสดงที่ต้องใช้ใบหน้าในการแสดงความรู้สึกเวลาแสดงละคร

ฉีดโบท็อกซ์ได้บ่อยแค่ไหน
สำหรับคำแนะนำของแพทย์คือ ควรฉีดโบท็อกช์ในระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 เดือน เป็นอย่างน้อย และควรฉีดในปริมาณที่น้อยที่สุดที่เห็นผลว่ารอยย่นหายไป

ข้อจำกัดในการฉีดโบท็อกซ์
ในการฉีดโบท็อกช์เพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้า มีจุดที่ต้องระมัดระวังนั่นก็คือ บริเวณริมฝีปาก ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากอาจทำให้ริมฝีปากเบี้ยวเวลายิ้มได้ ดังเช่นประสบการณ์ของ Dr. Angelika Schleicher ศัลยกรรมพลาสติกแห่งโรงพยาบาล Caritas-Krankenhaus St. Josef เมือง Regensburg ประเทศเยอรมนี กล่าวถึงคนไข้คนหนึ่งของเขา ซึ่งเคยชินกับการพูดเร็ว เวลาพูดริมฝีปากจะดูแข็งกระด้าง ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติเวลาพูด
นอกจากนี้ ผู้ที่เคยทำศัลยกรรมพลาสติกหรือเคยผ่านการดึงหน้ามาก่อน ก็ต้องระมัดระวังในการใช้โบท็อกช์ เพราะจะมีปฎิกิริยาตอบสนองต่อตัวยาแตกต่างไป และอาจทำให้สมดุลของใบหน้าแต่ละข้างไม่เท่ากัน เช่น เกิดปัญหาหนังตาหย่อน หรือปัญหาคิ้วไม่อยู่ในแนวเดียวกัน เป็นต้น

ความปลอตภัยของโบท็อกช์
โบท็อกช์ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการอาหารและยา (Food Drug Association) หรือ FDA ของสหรัฐอเมริกา ว่าให้สามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้เมื่อเดือนเมษายน ปี 2002 หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 1989

ข้อดีของโบท็อกซ์
ไม่เจ็บตัว
การเสริมความงามด้วยการผ่าตัดดึงหน้านั้น นอกจากจะมีราคาแพงกว่าฉีดโบท็อกช์แล้ว ยังต้องเจ็บตัวมากกว่าด้วย เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการผ่าตัด ที่ต้องมีรอยแผล มีการพักฟื้นหลังผ่าตัด ทำให้ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ระหว่างพักฟื้น ไม่เหมือนการฉีดโบท็อกช์ที่ฉีดเสร็จแล้วสามารถไปไหนมาไหนได้ทันที

ถ้าผิดพลาด..แก้ไขได้
แม้ประสิทธิภาพของโบท็อกช์ในข้อที่ว่ามันจะสลายตัวไปหลังจากเราฉีดเข้าไป 4 - 5 เดือน หลายคนมองว่าเป็นข้อด้อยของโบท็อกช์ แต่ข้อด้อยตรงนี้ก็เปรียบเป็นข้อดีของโบท็อกช์ได้เช่นกัน สำหรับในกรณีที่ถ้าแพทย์ที่ทำการฉีดโบท็อกซ์ให้เราทำการฉีดผิดพลาด จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น หนังตาตก อาการนี้ก็จะค่อยๆ หายไปภายใน 3 - 4 เดือน จนกว่าโบท็อกช์จะหมดฤทธิ์ของตัวยาไปนั่นเอง ไม่เหมือนกับการทำศัลยกรรมพลาสติก ที่เมื่อทำผิดพลาดแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือถ้าแก้ไขได้ก็ทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ทำไม่ได้แล้ว เช่น การผ่าจมูก เสริมหน้าอก การดึงหน้า

โบท็อกซ์อันตรายต่อไหมหนอ
โบท็อกช์นั้นไม่มีอันตรายต่อร่างกายเพราะเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งการที่ฉีดโบท็อกช์เข้าไปแล้วจะเป็นอันตรายได้นั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดให้ ในการฉีดให้ถูกตำแหน่งและฉีดให้ในปริมาณที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน

ความนิยมในการฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกช์เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมาก ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากร้อยละ 13.1 ในปี 2544 พุ่งเป็นร้อยละ 14.3 ในปี 2546
และสำหรับประเทศไทย ในปี 2547 มีการฉีดโบท็อกช์เพื่อความงามมากถึง 250,000 ครั้ง และคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ



$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$


Part 2
Botox เสริมความงาม

หลังจากทราบถึงที่มาที่ไปของโบท็อกซ์ว่ามีข้อดีข้อเสียยังไงบ้างกันแล้ว ก็อาจทำให้บางคนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า เอาละ..ฉันจะฉีดโบท็อกซ์แน่นอนแล้ว...คราวนี้ เราจะไปทราบถึงขั้นตอนต่างๆ เมื่อแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ให้เรากันบ้างดีกว่านะคะ ซึ่งขั้นดอนต่างๆ นั้นก็ไม่ค่อยยุ่งยากอะไรเลย ใช้เวลาไม่นาน ก็เตรียมตัวสวยได้เลยค่ะ
ฮั่นแน่..อยากรู้กันแย่แล้วสิ ว่านอกจากการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่หน้าผาก หัวคิ้ว และหางคิ้วแล้ว โบท็อกซ์จะช่วยเสริมความงามตรงส่วนไหนให้เราได้อีกบ้าง...

เสริมความงามด้วยโบท็อกซ์
การเสริมความงามด้วยโบท็อกช์นั้นบางคนคิด อาจจะเคยได้ยินแค่การฉีดโบท็อกช์เพื่อให้รอยย่นบริเวณหน้าผากหรือบริเวณหางคิ้วจางหายไป แต่จริงๆ แล้ว โบท็อกซ์สามารถเสริมความงามให้คุณได้มากกว่านั้นค่ะโดยไม่ใช่แค่ที่ใบหน้าเท่านั้น ที่โบท็อกช์สามารถเสริมความงามให้คุณได้ และถ้าอยากรู้ว่า เอ..ชั้นจะเสริมสวยด้วยโบท็อกซ์ ตรงส่วนไหนได้บ้างเนี่ย...ไปดูกันค่ะ

ใบหน้า
ริ้วรอยบริเวณใบหน้านี้เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อในส่วนนั้นมากเกินไป เช่น รอยย่นที่หัวคิ้วก็เกิดจากการชอบขมวดคิ้วเป็นประจำ หรือคนที่ชอบย่นหน้าผากก็จะมีรอยย่นที่หน้าผากเร็วกว่าปกติ ชึ่งริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเหล่านี้ เรียกว่า "Dynamic Wrinkles" โดยบริเวณใบหน้าที่โบท็อกช์สามารถฉีดเพื่อช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ได้แก่ รอยตีนกา (Crow's feet) รอยย่นที่หน้าผาก (Horizontal Forehead Lines) และรอยย่นที่บริเวณหัวคิ้ว (Glabellar Frown Lines)
สำหรับการแก้ไขรอยย่นบริเวณใบหน้าด้วยการฉีดโบท็อกช์ หลังการฉีด 7 - 10 วัน รอยย่นจะค่อยๆ หายไป และจะอยู่ได้นานประมาณ 4 เดือน จากนั้นริ้วรอยจะค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม จึงต้องฉีดซ้ำใหม่ไปเรื่อยๆ

ปรับความโค้งของคิ้ว (Brown Lift @ Shaping)
ด้วยคุณสมบัติของโบท็อกซ์ที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ต้องการ จึงได้นำมาฉีดในบริเวณคิ้ว ทำให้สามารถปรับรูปร่างของคิ้วได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วตรงตามธรรมชาติ คิ้วโค้งเป็นมุม หรือคิ้วที่ดูโฉบเฉี่ยว ตามแต่ที่เราต้องการ

เสริมความกว้างให้ดวงตา (Eye Widening)
ดวงตาของบางคนดูคล้ายกับคนที่มีถุงไขมันใต้ตา ทำให้ความกว้างรอบดวงตาดูเล็กลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่มีกล้ามเนื้อรอบดวงตา (Orbicularis Occuli) โตและหดเกร็ง สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำให้อาการบวมใต้ตาลดน้อยลง และความกว้างรอบดวงตามีมากขึ้น ด้วยการฉีดโบท็อกช์คลายกล้ามเนื้อ

จมูก
รอยย่นในบริเวณจมูกที่บางคนเป็นนั้น จะมีรอยย่นเล็กๆ ตั้งแต่หัวตาลงไปยังบริเวณปีกจมูกด้านข้างเรียกว่า "Bunny Lines" ซึ่งมักพบในคนที่ชอบขยี้จมูกหรือมีปัญหาแพ้อากาศทำให้จามอยู่เป็นประจำ ซึ่งแก้ปัญหาเหล่านื้ได้ด้วยการฉีดโบท็อกช์ และนอกจากจะแก้ปัญหารอยย่นนี้แล้ว ยังสามารกแก้ปัญหาจมูกบาน หรือช่วยยกปลายจมูกให้ยกตั้งขึ้นได้อีกด้วย

ร่องแก้มลึก (Nasolabial Folds) 
และริ้วรอยรอบริมฝีปาก (Perioral up Lines)
โดยปัญหาร่องแก้มลึกนี้ ยังมีข้อจำกัดตรงที่แก้ได้ เฉพาะร่องแก้มที่ไม่ลึกมากนัก ส่วนร่องแก้มที่ลึกมากๆ ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ในกรณนี้จึงอาจต้องใช้เทคนิคการฉีดสารสังเคราะห์อื่นๆ (Dermal Fillers) เช่น กรดไฮยาลูโรนิก หรือคอลลาเจนสังเคราะห์แทน และในการฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้ต้องมีความระมัดระวังมากเพราะถ้าผู้ทำการฉีดให้ไม่มีประสบการณ์ดีพออาจทำให้เกิดปัญหามุมปากตกได้
ส่วนริ้วรอยรอบริมฝีปาก จะพบบ่อยในคนที่สูบบุหรี่จัดหรือชอบทำปากจู๋เป็นประจำ จนเห็นเป็นลอนริ้วรอยเล็กๆ รอบริมฝีปาก ริ้วรอยเหล่านี้เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า "Orbicularis Oris" ชึ่งเมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปริ้วรอยก็จะหายไปได้

ทำใบหน้าให้เรียวเล็ก
โดยการลดกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร
สำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรที่ชื่อว่า "Masseter" มีขนาดใหญ่ผิดปกติ เนื่องจากนอนกัดฟัน หรือสบฟันไม่สนิท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรโตขึ้นผิดปกติ โดยถ้าสังเกตดูบริเวณใบหน้าจะพบว่าคางเป็นเหลี่ยมชัดเจน ถ้ากัดฟันจะเห็นลำของกล้ามเนื้อที่ขากรรไกรทั้งสองข้างชัดเจนกว่าคนทั่วไป ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร ทำให้ใบหน้าค่อยๆ เรียวเล็กลง โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากฉีดและสามารถอยู่ได้นานประมาณ 5 เดือน

รอยหยัก (Mental Crease) 
และรอยบุ๋ม (Dimpled Chin) บริเวณคาง
รอยหยักที่ว่านี้จะเห็นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงค่ะ โดยถ้าฉีดโบท็อกช์เข้าไปที่กล้ามเนื้อบริเวณคาง จากนั้น 7 - 10 วัน รอยหยักหรือรอยบุ๋มก็จะหายไป...แด่การลดรอยหยักประเภทนี้อาจไม่ค่อยมีใครนิยมฉีดนักนะคะ ก็แหม..ผู้ชายที่มีรอยหยักหรือรอยบุ๋มที่คางน่ะ ดูแล้วเซ็กซี่ออกจะตายไปค่ะ

ยกกระชับใบหน้าให้ตึง (Meso-Botox fof Lifting)
สำหรับวิธีนี้ เป็นเทคนิคใหม่คือ แพทย์จะผสมโบท็อกช์ที่มีลักษณะเป็นผงกับน้ำเกลือ โดยจะใช้โบท็อกซ์ในปริมาณที่มากกว่าการฉีดแก้ริ้วรอย จากนั้นก็จะฉีด Meso-Botox เข้าไปยังชั้นหนังแท้ ต่างจากการฉีดโบท็อกช์ชนิดอื่นที่ฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อตื้นๆ หลังฉีดเข้าไปประมาณ 1 สัปดาห์จะรู้สึกว่าใบหน้าตึงกระชับขึ้น นอกจากใบหน้าตึงกระชับแล้ว ยังรู้สึกว่ารูขุมขนเล็กลง ผิวหน้าดูละเอียดขึ้น และทำให้ใบหน้าไม่มัน
สำหรับฉีดโบท็อกช์เพื่อยกกระชับใบหน้าให้ตึงนี้ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการฉีดโบท็อกซ์ชนิดอื่น เพราะต้องใช้ปริมาณของโบท็อกช์ที่สูงกว่าปกติ การฉีดชนิดนี้จะทำให้ใบหน้าตึงกระชับได้นานประมาณ 4 - 5 เดือน

รอยย่นบริเวณลำคอแนวยาว (Plastysmol Neck Lines) 
และลำคอแนวขวาง (Horizontal Neck Lines)
รอยย่นบริเวณลำคอจะมี 2 ลักษณะคือ รอยย่นตามลำกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า "Plasysma" ในแนวยาวขนานกันทั้งสองข้าง ซึ่งแก้ไขด้วยการฉีดโบท็อกช์เข้าไปที่ลำกล้ามเนื้อดังกล่าว ส่วนรอยย่นตามแนวขวางนั้น จะฉีดเข้าไปที่แนวของเส้นร่องริ้วรอยเป็นแนวฟันปลา
สำหรับการแก้ไขรอยย่นที่บริเวณลำคอนี้ อาจไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นมาได้ 100% แต่รอยย่นจะดีขึ้นได้มากสุดประมาณ 50% เท่านั้น

การใช้โบท็อกซ์ร่วมกับวิธีเสริมความงามแบบอื่น
การเสริมความงามด้วยโบท็อกช์นี้ นอกจากจะฉีดโบท็อกช์ลงไปทำให้รอยย่นหายไปแล้ว ถ้ามีการใช้เทคนิคด้านความงามอื่นๆ มาใช้ร่วมกับการฉีดโบท็อกช์ ก็จะยิ่งทำให้สามารถลดริ้วรอยต่างๆ ได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โบท็อกช์กับคอลลาเจน
การฉีดโบท็อกช์นั้นทำให้ผิวเรียบขึ้น ไม่มีรอยเหี่ยวย่น ส่วนคอลลาเจนจะเป็นตัวมาช่วยเติมให้ผิวบริเวณนั้นมีความกระชับมากขึ้น เต่งตึงมากขึ้น เช่น บริเวณร่องแก้มที่หย่อนคล้อยจากวัย โบท็อกช์จะไม่สามารถแก้ไขในจุดนี้ได้ แต่คอลลาเจนสามารถทำได้ โดยเป็นตัวพยุงให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นได้มีทึ่ยึด

โบท็อกช์กับเลเซอร์
วิธีการคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้าด้วยการใช้เลเซอร์ เพื่อรักษารูขุมขน สีผิว และการขยายตัวของหลอดเลือด เมื่อใช้โบท็อกช์ร่วมด้วยแล้ว จะมีสภาพผิวที่ดีกว่าการรักษาด้วยการทำเลเซอร์เพียงอย่างเดียว



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



Part 3
เมื่อคิดจะฉีดโบท็อกซ์

เมื่อได้ข้อมูลของโบท็อกซ์มากันเต็มที่แล้ว คงจะตัดสินใจกันได้แล้วนะคะ ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดดี.. โบท็อกซ์เนี่ย .. และถ้าตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันจะฉีดโบท็อกซ์อย่างแน่นอนแล้วละก็ ควรได้มีการเตรียมตัวในขั้นต่อไป นั่นคือการเตรียมพร้อมก่อนที่จะฉีดโบท็อกซ์ค่ะ ก็แหม..อยู่ๆ พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะฉีด ก็เดินหาสถานที่ที่รับฉีด แล้วก็ฉีดทันทีเลย ดูจะไม่เป็นการรีบร้อนไปหน่อยเหรอคะ ยังไงก็ควรจะลองหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปแล้วเนี่ย จะทำให้ริ้วรอยย่นของคุณหายไป อย่างไร้ร่องรอยและไม่เกิดอันตรายต่อคุณภายหลังจริงๆ
เรามาเริ่มกันทีละสเต็ปเลยนะคะ...

ฉีดโบท็อกซ์ที่ไหนดี
การฉีดโบท็อกช์นี้ ทางที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือ ควรจะฉีดกับแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์เท่านั้นนะคะ และไม่ได้จำกัดว่าจะต้องฉีดเฉพาะกับแพทย์ศัลยกรรมพลาสติกเท่านั้น แต่ควรเป็นแพทย์ที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญพอสมควร
เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์นั้น เช่น เวลาฉีดลดรอยย่นที่หางตา แพทยที่ทำการฉีดต้องรู้ว่าการฉีดรอบดวงตานั้น ฉีดบริเวณไหนบ้าง และฉีดในปริมาณมากน้อยแค่ไหน เพราะโบท็อกซ์นี้มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตนาน 3 - 6 เดือน
ซึ่งถ้าฉีดผิดที่ หรือฉีดในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ทำให้เกิดความผิดปกติของการเปิดปิดตา หรือถ้าฉีดลดรอยย่นรอบปาก ถ้าฉีดโบท็อกซ์รอบปากมากเกินไป ก็จะทำให้ริมฝีปากอ่อนแรง บังคับไม่ได้ ทำให้น้ำลายไหลตลอดเวลา เป็นต้น
จะเห็นว่า การฉีดโบท็อกซ์แล้วเกิดปัญหาตามมา สาเหตุสำคัญอยู่ที่แพทย์หรือผู้ฉีดไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือฉีดเข้าผิดที่เนี่องจากไม่มีความเชี่ยวชาญพอ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวและประสบการณ์ของแพทย์เป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงขอย้ำเลยนะคะ ว่าการฉีดโบท็อกซ์เนี่ย ควรจะฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น เช่นแพทย์ตามโรงพยาบาล หรือคลินิก..ทางที่ดี ก็ควรหาข้อมูลเยอะๆ ก่อนตัดสินใจ ว่าที่ไหนดูแล้วน่าเชื่อถือและแพทย์ดูมีความเชี่ยวชาญมากที่สุด อาจลองเข้าไปพูดคุยกับแพทย์เพื่อสอบถามและดูประสบการณ์ของแพทย์ก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจไปฉีดค่ะ

ก่อนไปฉีดโบท็อกซ์
เตรียมพร้อม...ก่อนพบแพทย์
เมื่อไปพบแพทย์เพื่อทำการฉีดโบท็อกซ์ การรู้จักเตรียมตัวมาอย่างดีเป็นสิ่งที่ควรทำ อย่างที่เราเคยได้ยินกันมาว่า "เริ่มต้นดี..มีชัยไปกว่าครึ่ง" อย่างไรล่ะคะ วิธีการนั้นก็ไม่ยากค่ะ คุณเพียงแค่
- ก่อนไปฉีดโบท็อกซ์อย่างน้อย 1 - 2 สัปดาห์ ควรงดการรับประทานกลุ่มยาและอาหารเสริมเหล่านี้
---------- ยากลุ่มลดเกล็ดเลือด (antiplatelet) และลดการแข็งตัวของเลือด ได้แก่ alteplase, streptokinase, urokinase .heparin, warfarin
---------- ยาแก้ปวดแอสไพริน และยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs ได้แก่ azapropazone, diclofenac, diflunisai. ethodolac, fenbufen. fenoprofen, flublprofen. indomethacln. ibuprofen. ketoprofen, ketorolac, mefenamic acid, nabumetone, tiaprofenic acid, naproxen, piroxicam, sulindac. tenoxicam. tolmetin
---------- อาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น Vitamin E .Ginkgo Biloba เป็นต้น ..อ้อ..แล้วก็ควรงดการดื่มเครื่องดื่มพวกแอลกอฮอล์ด้วยค่ะ
พบแพทย์ครั้งแรก
ถ้าคุณอยู่ในภาวะเหล่านี้ เมื่อไปพบแพทย์ คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบและปรึกษาถึงการฉีดโบท็อกซ์
---------- เป็นภูมิแพ้
ถ้าคุณเคยมีอาการแพ้โบท็อกซ์มาก่อน ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หรือถ้าเคยแพ้ยาหรือสารอื่นๆ ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน
--------- ตั้งครรภ์
แม้จะยังไม่เคยมีผลวิจัยว่าโบท็อกซ์มีผลต่อการตั้งครรภ์และเด็กในครรภ์หรือไม่ แต่ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ รวมถึงถ้ามีการวางแผนว่าจะตั้งครรภ์ในระหว่างที่ใช้โบท็อกซ์ ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน
--------- อยู่ระหว่างให้นมลูก
เพราะเราไม่รู้ได้ว่าโบท็อกซ์นั้นมีการส่งผ่านไปยังทารก ทางนํ้านมหรือไม่
--------- มีอายุมาก
เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีปฎิกิริยาต่อยา หรือสารต่างๆ ได้ง่ายขึ้น การปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์ จะเป็นการลดโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาข้างเคียงเมื่อฉีดโบท็อกซ์
--------- มีประวัติแพ้แอลบูมิน (albumin)
เนื่องจากตัวยาโบท็อกซ์นี้มีส่วนประกอบของสารนี้อยู่ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าจะสามารถฉีดโบท็อกซ์ได้หรือไม่
--------- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่คุณกำลังใช้
การใช้ยาตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ยาบางอย่างสามารถทานร่วมกันได้หรือบางอย่างก็ไม่สามารถทานร่วมกันได้ ชึ่งเมื่อจะฉีดโบท็อกซ์ แพทย์อาจต้องให้คุณเปลี่ยนแปลงปริมาณยาที่คุณกำลังทานอยู่ถ้าจำเป็น ดังนั้นถ้ากำลังทานยาอะไรอยู่บ้างจึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
--------- เคยมีประวัติอาหารเป็นพิษอันเกิดจากเชื้อ Botulinum toxin มาก่อน
เพราะถ้าเคยมีประวัติว่าเคยติดเชื้อนี้มาก่อน ร่างกายอาจสร้างสาร antibody ต่อสารชนิดนี้ ทำให้เมื่อฉีดเข้าไปแล้วทำให้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
--------- ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง คือ myasthenia gravis หรือ Eaton - Lambert syndrome
--------- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
--------- ผู้มีปัญหาเรื่องปวดข้อ
--------- ผู้ที่มีแผลติดเชื้ออยู่ ตรงบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
--------- ผู้ที่กำลังทานวิตามินอี หรือทานแปะก๊วย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด

นอกเหนือจากการแจ้งถึงโรคประจำตัว หรืออาการต่างๆ ที่คุณเป็นแล้ว การพูดคุยกับแพทย์และหาสิ่งที่ช่วยให้การฉีดโบท็อกซ์มีประสิทธิภาพ ถูกใจคุณมากที่สุด เช่น
--------- นำภาพถ่ายของคุณตอนอายุยังน้อยติดมือไปด้วย ก็จะยิ่งดี เพื่อที่ว่าแพทย์จะได้ประมาณถูกและทราบว่าควรฉีดโบท็อกซ์ให้คุณในปริมาณเท่าใด จึงทำให้ใบหน้าออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สุด
--------- พูดคุยกับแพทย์ให้เข้าใจตรงกันก่อนฉีด ว่าคุณอยากให้ฉีดออกมาแล้วเป็นแบบไหน เพราะบางคนก็ชอบแบบฉีดออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติ แต่บางคนชอบให้ฉีดออกมาแล้วหน้าตึงๆ ...ซึ่งอันนี้ก็เป็นความชอบส่วนบุคคลนะคะ ยังไงก็ลองปรึกษาแพทย์ดูค่ะ

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์
เมื่อจะฉีดโบท็อกซ์
เมื่อจะทำการฉีดโบท็อกซ์นั้น แพทย์จะกำหนดบริเวณที่จะฉีดสารโบท็อกซ์ โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้น เพราะแต่ละคนก็จะใช้กล้ามเนื้อต่างกัน เช่น เวลาคุณเอ๋ขมวดคิ้วจะใช้กล้ามเนื้อในการขมวดมากกว่าคุณโม ทำให้คุณเอ๋มีร่องลึกที่หน้าผากมากกว่า ฉะนั้นปริมาณของโบท็อกซ์ที่จะฉีดเข้าไปของคุณเอ๋และคุณโมก็จะมีปริมาณที่ต่างกัน
แพทย์มักจะฉีดในท่าที่คุณนั่งเอนศีรษะไปด้านหลัง เพื่อความสะดวกในการฉีด โดยก่อนที่จะทำการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะให้คุณลองยิ้ม ขมวดคิ้ว หรือเลิกหน้าผาก เพื่อดูตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่จะทำการฉีดโบท็อกซ์ จากนั้นจะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ต้องการฉีด แล้วจึงใช้เข็มที่มีขนาดเล็กมาฉีดโบท็อกซ์เข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณที่ต้องการ
ปริมาณโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไป
สำหรับปริมาณโบท็อกซ์ที่จะฉีดเข้าไปให้นั้น โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะละลายโบท็อกซ์กับนํ้าเกลือ 0.9% ปราศจากสารกันบูดปริมาณ 2.5 ลิตร / 1 ขวด ซึ่งจะทำให้ได้โบท็อกซ์ขนาด 4 หน่วย ต่อการฉีด 0.1 มล. ส่วนเข็มที่นิยมใช้ในการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะนิยมใช้เข็มขนาด 30 ยาว 0.5 นิ้ว ซึ่งเป็นเข็มที่มีขนาดเล็กที่สุด ทำให้เจ็บน้อยที่สุด
ในการฉีด จะไม่มีการใช้ยาสลบ แพทย์บางท่าน อาจฉีดให้ทันทีหรือบางท่านอาจใช้การประคบด้วยความเย็น (ice packs) ตรงบริเวณที่จะฉีดก่อน เพื่อลดอาการปวดและลดรอบชํ้าจํ้าเลือดที่อาจเกิดขึ้น หรือบางท่านอาจมีการทายาชาเฉพาะที่ EMLA (lidocaine 2.5 % และ procaine 2.5 %) ให้นานประมาณ 40 นาทีก่อนฉีด
สำหรับปริมาณยาที่ฉีดเข้าไปนั้นจะน้อยมาก คือ ประมาณ 0.05 - 0.4 ซีซี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด
เมื่อกำหนดปริมาณได้แล้ว ในการฉีดนั้น แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อชั้นล่างของบริเวณที่มีริ้วรอย โดยแพทย์จะค่อยๆ ฉีดขึ้นไปในทิศทางที่จากเบ้าตาหรือคิ้ว โดยถ้าฉีดเพื่อลดรอยย่นที่หน้าผาก หัวคิ้ว และตีนกา แพทย์จะไม่ฉีดพร้อมกันทั้ง 3 จุด แต่จะฉีดก่อน 2 จุด เช่น หัวคิ้วกับรอยตีนกา หรือหน้าผากกับรอยตีนกา จากนั้นจึงค่อยฉีดจุดที่เหลือในอีก 1 - 2 สัปดาห์ถัดมา
ตำแหน่งในการฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ ได้ผลดีกับรอยย่นที่เกิดจากกล้ามเนื้อใบหน้าหดรั้งตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อซีกครึ่งบนของใบหน้า คือ รอยย่นที่หน้าผาก รอยย่นที่หัวคิ้ว และรอยตีนกา

- รอยย่นที่หน้าผาก (forehead wrinkles)
จะฉีด 10 ตำแหน่ง ตำแหน่งละ 2 หน่วยที่หน้าผาก ตามแนวรอยย่นของหน้าผาก โดยต้องอยู่สูงกว่าคิ้วอย่างน้อย 1 ซม. จึงไม่เหมาะสมที่จะฉีดในผู้ที่มีคิ้วต่ำ และมีหนังตาบนมากกว่าปกติ
การฉีดในตำแหน่งนี้ ฉีดรวม 20 หน่วย

- รอยตีนกา (Crow's feet)
จะฉีดที่ตำแหน่ง 1.5 ซม. จากขอบตาด้านนอกจำนวน 0.1 มล. (4 หน่วย) และที่จุด 1 ซม. เหนือและใต้จุดนี้ อาจฉีดใต้ตาแต่ต้องไม่เกินตำแหน่งกึ่งกลางตาดำ และต้องฉีดเหนือโหนกแก้ม (zygomatic arch) ตำแหน่งนี้ฉีดรวม 12 - 20 หน่วย

- รอยย่นที่หัวคิ้ว (glabellar line)
จะฉีดปริมาณ 0.1 มล. (4 หน่วย) ที่ 2 ข้างของกล้ามเนื้อใช้ขมวดคิ้ว (frown-corrugator muscles) และฉีดปริมาณ 0.1 มล. (4 หน่วย) ที่กึ่งกลางระหว่างและต่ำกว่ากล้ามเนื้อ brow procerus ตำแหน่งนี้ฉีดรวมทั้งหมด 12 หน่วย.

เวลาที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์นั้นใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น

หลังฉีดโบท็อกซ์
การปฎิบัติตัวหลังจากฉีดโบท็อกซ์
หลังจากที่ฉีดโบท็อกซ์เข้าไปยังบริเวณที่ต้องการ ลดรอยเหี่ยวย่นแล้ว ก็ต้องมีการดูแลตัวเองด้วยเหมือนกันนะคะ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเจ้าโบท็อกซ์เนี่ย มันจะค่อยๆ สลายตัวไปภายใน 4 - 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการปฎิบัติตัวของแต่ละคน ซึ่งการที่คุณรู้จักปฎิบัติตัวอย่างถูกวิธีก็จะทำให้โบท็อกซ์อยู่กับคุณได้นานที่สุด จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปฉีดบ่อยเกินไปยังไงล่ะค่ะ ซึ่งวิธีการนั้นก็..ไม่ยากค่ะ

--------- หลังจากฉีดโบท็อกซ์ ไม่ควรขยี้หรือนวดคลึงบริเวณที่ฉีด เพราะว่าอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายตัว และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
--------- พยายามใช้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นภายใน 2 - 3 ชั่วโมง หลังการฉีดโบท็อกซ์ เช่น ยิ้มหรือขมวดคิ้ว ทุก 15 นาที นานซัก 1 ชั่วโมง เพราะจะช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ในเซลล์กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้เต็มที่
--------- ห้ามนวดหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังฉีด
--------- ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสหรืออยู่ในอุณหภูมิที่ร้อน เช่น การล้างหน้าด้วยนํ้าอุ่น การอบไอนํ้า หรือการอบซาวน่า เพราะการสัมผัสความร้อนโดยตรงเหล่านี้จะทำให้โบท็อกซ์สลายตัวเร็วขึ้น โดยทำให้ยาออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อได้สั้นลง และริ้วรอยอาจกลับมาเร็วกว่าปกติ
--------- ห้ามนอนราบ 2 - 3 ชั่วโมง หลังฉีดเวลา 4 ชั่วโมง ยังไม่ควรออกกำลังกาย หรือมีการเคลื่อนไหวในท่าที่ต้องก้มศีรษะไปข้างหน้า เช่น ก้มหน้าลงไปหยิบของ และการเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่ไม่ควรทำ ได้แก่ การสระผมหรือย้อมผม การสวมหมวก การแต่งหน้า การถอดเสื้อด้วยการดึงออกทางศีรษะ เป็นต้น

อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิด
บางคนอาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ แด่ก็จะเกิดไม่นานนัก โดยหลังจากนั้นไม่นานอาการแทรกซ้อนก็จะค่อยๆ หายไปเอง
--------- รอยช้ำจ้ำเลือด (bruising) พบได้บ่อยเมื่อฉีดรอยตีนกา
--------- บวมบริเวณที่ฉีด
--------- หนังตาบนตก ซึ่งมักหายไปได้เองใน 2 ลัปดาห์
--------- ปวดบริเวณที่ฉีด หรือปวดศีรษะเป็นเวลานาน 2 - 3 ชั่วโมงหลังฉีด
--------- อาจทำให้ใบหน้าแลดูไม่เป็นธรรมชาติ แสดงสีหน้าไม่ได้ แต่มักไม่เกิดหากไม่ฉีดเกินแนวกึ่งกลางตาดำออกมาด้านนอก จึงไม่แนะนำให้ฉีดในดารา นักแสดง นักการเมือง ทหาร ซึ่งบางครั้งจำเป็นด้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้า แสดงอารมณ์โกรธ ก้าวร้าวไม่พอใจ
--------- ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภูมิคุ้มกันต่อตัวยาและทำให้เกิดอาการดื้อยาขึ้นได้

ค่าใช้จ่าย
สำหรับราคานั้นก็ขึ้นอยู่กับริ้วรอยของคุณเองว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าริ้วรอยมาก ต้องฉีดหลายจุด ก็ยิ่งต้องใช้โบท็อกซ์ในปริมาณมากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งมากขึ้นโดยการฉีดแต่ละครั้งจะเสียค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 5,000 บาทขึ้นไป จนถึงหลักหมื่น

ข้อควรระวัง !!!!!!!!!!
คุณควรระมัดระวังถ้ามีคนมาเสนอการฉีดโบท็อกซ์ให้ใน "ราคาถูก" ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณได้รับโบท็อกซ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะราคาที่ถูกนั้นอาจเป็นการได้รับในปริมาณที่น้อยเกินไป หรือถูกผสมจนเจือจาง จนประสิทธิภาพของโบท็อกซ์อยู่ได้ไม่ยาวนานเท่าที่ควร



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


Part 4
ประสิทธิภาพอื่นๆ ของโบท็อกซ์

นอกจากโบท็อกซ์จะนิยมมาใช้ในวงการความงาม เพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนส่วนต่างๆ บนใบหน้าได้แล้ว ยังมีคุณสมบัติที่มากไปกว่านั้น ซึ่งบางคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าโบท็อกซ์นี้มีคุณสมบัติที่มากมายขนาดนี้

โบท็อกซ์รักษาอาการปวดศีรษะ
สำหรับการใช้โบท็อกช์เพื่อรักษาอาการปวดศีรษะนี้ เป็นการรักษาที่ทำให้ค้นพบว่าโบท็อกซ์สามารถช่วยลดรอยเหี่ยวย่นไค้ โดยจะฉีดเข้าไปที่ร่องคิ้ว เพื่อลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน โดยสามารถลดอาการปวดศีรษะได้ถึง 80%

โบท็อกซ์ฉีดน่องให้เรียวเล็กลง (Calf Contouring)
สำหรับคุณที่มีปัญหาน่องใหญ่ หรือที่เรียกว่า "ขาโต๊ะบิลเลียด" นั้น เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณน่องที่มีขนาดโตผิดปกติ อาจมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์หรือวิธีการเดินที่ผิดวิธี เมื่อฉีดโบท็อกช์แล้วจะเข้าไปช่วยทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง ทำให้น่องมีขนาดเรียวเล็กลงได้

โบท็อกซ์แก้ปัญหาหน้ามัน
โบท็อกซ์สามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้า และยกผิวหน้าให้กระชับมากขึ้น ด้วย Mesobotox ซึ่งเป็นเทคนิคในการฉีดโบท็อกซ์หลากชนิดเข้าผิวหนัง ทำให้ลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และกล้ามเนื้อบนผิวหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับมากขึ้น ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น และความมันของผิวหน้าลดลง

โบท็อกซ์ปรับโครงสร้างรูปหน้าเหลี่ยม
ส่วนใหญ่คนเอเซียมีรูปหน้าสั้นและกว้าง เนื่องจากมีขากรรไกรที่เหลี่ยมและขนาดใหญ่ ซึ่งหลายคนไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่าทำให้หน้าดูแข็งกร้าว ไม่นุ่มนวล
ในการแก้ไขปัญหาหน้าเหลี่ยมนี้ ถ้าทำศัลยกรรมก็จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่คนไข้และยังเสี่ยงอันตราย เพราะบริเวณนี้อยู่ใกล้ต่อมน้ำลายใกล้หู และใกล้เส้นประสาทบนใบหน้า การฉีดโบท็อกซ์จึงเป็นทางเลือกที่มาช่วยแก้ปัญหานี้โดยไม่สร้างความเจ็บปวดให้ร่างกาย
การรักษานี้ แพทย์จะฉีดโบท็อกซ์เข้ากล้ามเนื้อขากรรไกร ทำให้ไประงับการกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อขากรรไกร ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรเล็กลงและมีรูปทรงเพรียวบางขึ้น

โบท็อกซ์ระงับกลิ่นตัว
กลิ่นตัวที่เกิดจากการมีเหงื่อออกมากผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาคือสูญเสียความมั่นใจในตัวเองและเสียบุคลิกภาพ ยิ่งสภาพอากาศบ้านเราที่เป็นอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้เหงื่อออกง่าย จึงยิ่งแก้ปัญหาได้ยาก ซึ่งภาวะเหงื่อออกผิดปกติ (Hyperhydrosis) นี้ทำให้เกิดกลิ่นตัวที่รุนแรง บางคนเหงื่อออกมากจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าวันละหลายครั้ง
ผู้มีปัญหากลิ่นตัวที่เกิดจากการมีเหงื่อออกมากผิดปกติ และไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเฉพาะที่ สามารถใช้โบท็อกซ์ระงับอาการนี้ได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ตรงจุดที่มีเหงื่อออกมาก ได้แก่ บริเวณรักแร้ เพื่อไปยับยั้งการหลั่งสารเคมี Acetylcholine จากเซลล์ประสาท ที่ทำหน้าที่กระตุ้นต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อ
ในการใช้โบท็อกซ์เพื่อระงับการมีเหงื่อออกมากนี้ บางคนที่ไม่มีภาวะเหงื่อออกผิดปกติก็นิยมมาฉีด เช่น ดาราฮอลลีวู้ดบางคนก็นิยมฉีดเพื่อให้เวลาอยู่หน้ากล้องที่ต้องเผชิญแสงไฟที่ร้อนแรง จะได้ไม่มีเหงื่อออกมาเปียกเสื้อจนเสียบุคลิกภาพ

โบท็อกซ์แก้ปัญหาความอ่อนแอของกระเพาะปัสสาวะ
ปัญหาเรื่องความอ่อนแอของกระเพาะปัสสาวะ อันอาจส่งผลต่อระบบปัสสาวะ สาเหตุอาจเกิดจากกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะหย่อน แก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่ผนังกระเพาะปัสสาวะ

โบท็อกซ์แก้ปัญหาพูดติดอ่าง
โบท็อกซ์สามารถนำไปปรับการสั่นของเส้นเสียงได้ ทำให้ช่วยแก้ปัญหาการพูดติดอ่างได้

โบท็อกซ์รักษาโรคแผลเรื้อรังที่ช่องทวารหนัก
การใช้โบท็อกซ์รักษาโรคนี้ โดยใช้ฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อหูรูดของทวารหนัก เพราะแผลในช่องทวารหนักเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหูรูด ทำให้ขาดออกจากกันบางส่วน




%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



Part 5

สารพันปัญหาเกี่ยวกับโบท็อกซ์

สำหรับผู้หญิงหลายคน ก็ยังอาจมีข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องโบท็อกซ์กันอยู่ใช่รึเปล่าคะ เราจึงได้รวบรวมปัญหาและข้อสงสัยต่างๆ มารวมไว้ เพื่อจะได้ตอบข้อสงสัยในเรื่องโบท็อกซ์ได้กระจ่างกันมากขึ้น
คำถาม
การฉีดโบท็อกซ์ต่างจากการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้าอย่างไร
คำตอบ
การฉีดโบท็อกซ์คือการฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไป แล้วให้รอยย่นบนใบหน้าในบริเวณที่ฉีดนั้นเรียบตึงขึ้น และเมื่อฉีดเสร็จแล้ว ก็สามารถกลับบ้านได้ทันที โดยสารโบท็อกซ์นี้จะอยู่ในร่างกายได้นานอย่างน้อย 4 เดือนหรือมากกว่านั้น แต่เมื่อสารนี้สลายไป รอยย่นก็จะกลับมาเหมือนเดิม
ส่วนการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้านั้น ต้องใช้เวลานานคือ ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน แถมยังต้องเจ็บตัวจากแผลผ่าตัด และมีการพักฟื้นหลังผ่าตัด จนกว่ารอยแผลผ่าตัดจะหายไป ทำให้เมี่อผ่าตัดทำศัลยกรรมแล้ว กว่าจะออกจากบ้านไปไหนมาไหน ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง และในการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้านี้ เมื่อผ่าไปแล้ว ถ้าเกิดข้อผิดพลาด ก็จะไม่สามารถแก้ไขได้ หรือถ้าแก้ไขได้ ก็ยากที่จะทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
คำถาม
โบท็อกซ์สามารถลบรอยย่นได้ทุกจุดบนใบหน้าหรือไม่
คำตอบ
ไม่ใช่รอยย่นทุกชนิดที่จะสามารถรักษาได้ด้วยโบท็อกซ์ โบท็อกซ์สามารถลดรอยย่นที่เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อได้เท่านั้น แต่รอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นจากความชรา จะไม่สามารถช่วยลดได้ อาจต้องไปใช้สารอย่างอื่นแทน ซึ่งแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงสามารถแยกได้ออกว่ารอยย่นแบบใดที่โบท็อกซ์ช่วยได้จึงควรไปฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น
คำถาม
อายุยังไม่ถึง 20 ปี สามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ไหม
คำตอบ
สำหรับอายุที่สามารถฉีดโบท็อกซ์ได้แล้วนั้น อย่างน้อยควรจะมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพราะถ้าอายุยังน้อยกว่านั้น ซึ่งเป็นวัยที่สดใส ผิวพรรณกำลังสวย คงไม่จำเป็นด้องฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบรอยเหี่ยวย่น ยกเว้นแต่ในกรณีวัยรุ่นบางคนที่อาจจะชอบเล่นกีฬากลางแจ้งเป็นประจำ เช่น วินเซิร์ฟ ซึ่งต้องเจอทั้งแดด ทั้งลมเป็นประจำ จนทำให้ผิวบนใบหน้าเกิดเป็นรอยย่นก่อนวัยอันควร ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็สามารถลองมาปรึกษาคุณหมอเพื่อทำการรักษา ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ได้
คำถาม
การนอนพักฟื้นหลังฉีดโบท็อกซ์
คำตอบ
การฉีดโบท็อกช์นั้น ใช้เวลาไม่นานเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น เมื่อฉีดเสร็จแล้วคุณก็สามารถกลับไปทำกิจกรรมหรือไปทำธุระอื่นๆ ต่อได้ทันที
คำถาม
ถ้าไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่อง เช่น เมื่อฉีดครั้งแรกไปแล้ว พอรอยย่นกลับมาอีกครั้ง ก็ไม่ได้กลับไปฉีดใหม่ จะส่งผลอย่างไรต่อรอยย่นในบริเวณที่ฉีด
คำตอบ
แม้ว่าจะไม่ได้ฉีดโบท็อกช์ต่อกัน ก็ไม่ได้ส่งผลให้รอยย่นนั้นมากขึ้นหรือน้อยลง แต่รอยย่นก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนจะรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์
คำถาม
การรักษาด้วยโบท็อกซ์แต่ละครั้ง ให้ผลที่แตกต่างกันหรือไม่
คำตอบ
เพื่อให้การรักษาด้วยวิธีนี้ออกมาได้ผลดีที่สุด คุณควรพบแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการรักษารอยย่นด้วยโบท็อกซ์ ซึ่งถ้าเป็นเมืองนอกนั้นจะมีเครือข่ายของแพทย์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านว่าในแต่ละรัฐนั้น มีแพทย์คนไหนที่เชี่ยวชาญเรื่องโบท็อกซ์บ้าง แต่สำหรับในบ้านเรา อาจลองหาข้อมูลตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือ ตามคลินิคแพทย์ศัลยกรรมความงามว่ามีการรักษาด้วยโบท็อกซ์ที่ไหนบ้าง และที่ไหนดูแล้วน่าเชื่อถือที่สุด หรืออาจลองสอบถามข้อมูลจากคนที่เคยฉีดโบท็อกซ์มาก่อนก็ได้ว่าแพทย์ที่เขาฉีดด้วยนั้นดีหรือไม่
สำหรับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการรักษาด้วยโบท็อกซ์ควรจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องโครงสร้างของใบหน้า เพื่อที่จะสามารถฉีดโบท็อกซ์ให้ใบหน้าคนไข้ออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติที่สุด
คำถาม
ถ้ามีอายุมากแล้ว อายุมากกว่า 66 ปีขึ้นไป แต่อยากทำให้รอยเหี่ยวย่นลดลง จะทำได้หรือไม่
คำตอบ
ถ้ามีอายุมากๆ แล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไป โบท็อกซ์ก็จะไม่สามารถลดรอยย่นได้มากนัก เพราะรอยย่นที่โบท็อกซ์สามารถช่วยทำให้หายไปได้นั้น ต้องเป็นรอยย่นที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป จนเกิดเป็นรอยลึกขึ้น เช่น รอยย่นที่ระหว่างคิ้วซึ่งเกิดจาก การขมวดคิ้วมากเกินไป เป็นต้น แต่สำหรับผู้ที่มีอายุมากๆ นั้น ริ้วรอยย่นส่วนใหญ่เป็นรอยย่นที่เป็นไปตามวัย จากความเสื่อมสภาพของผิวไปตามวัย ดังนั้นโบท็อกซ์จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก
คำถาม
ความปลอดภัยหลังการใช้
คำตอบ
เนื่องจากโบท็อกซ์คือสารพิษที่ถูกนำมาสกัดให้บริสุทธิ์ จึงมีความพยายามในการวิจัยถึงความปลอดภัย ซึ่งการวิจัยที่ถูกบันทึกตั้งแต่ปี 1989 จนปัจจุบัน ซึ่งโบท็อกซ์ เมื่อถูกฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อแล้ว จะไม่มีการแพร่กระจายไปยังระบบต่างๆ ในร่างกายเรา แต่จะค่อยๆ สลายตัวไป และแม้บางคนอาจมีปฎิกิริยาต่อโบท็อกซ์บ้าง แต่อาการ เหล่านี้ก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆ และจะหายไปเองภายใน 2 - 3 วัน
คำถาม
side effects
คำตอบ
สำหรับคนไข้บางคน ร่างกายอาจมี side effects เกิดหลังฉีดโบท็อกซ์ เช่น ปวดหัว หรือคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มาฉีดและมี side effects จะมีไม่มากนัก มีไม่ถึง 3% ซึ่งแสดงว่าส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาก็ตาม อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไป
คำถาม
ถ้าฉีดบ่อยๆ แล้วหน้าจะตึงขึ้นหรือไม่
คำตอบ
การฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ช่วยทำให้หน้าตึงขึ้นได้ถาวร แต่จะทำให้รอยย่นหายไปเฉพาะเวลาที่เราฉีดมันเข้าไปบริเวณที่ต้องการ เมื่อสารนี้สลายตัวไปรอยย่นก็จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่จะฉีด แต่มีบางกรณี ที่มาฉีดโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่อง เช่น เมื่อรอยย่นเริ่มกลับมาก็มาฉีดซ้ำไปเรื่อยๆ พบว่า ในการฉีดครั้งหลังๆ นี้ จากเดิมตอนแรกที่ฤทธิ์ของโบท็อกซ์อยู่ได้นานสุดแค่ประมาณ 3 - 4 เดือน กลับทำให้รอยย่นหายไปได้นานถึง 8 เดือนเลยทีเดียว
คำถาม
ถ้ารอยย่นหลายจุดบนใบหน้า ก็ต้องฉีดหลายจุด ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ก็มากขึ้นตามไปด้วย แล้วร่างกายเราสามารถฉีดโบท็อกซ์ได้เยอะสุดแค่ไหน
คำตอบ
แพทย์ที่เชี่ยวชาญในการฉีดโบท็อกช์จะทราบดีว่าสามารถฉีดโบท็อกซ์ให้คนไข้ได้ในปริมาณเท่าไหร่จึงเหมาะสม และในการฉีดแต่ละจุดนั้นก็น้อยกว่านี้หลายเท่าตัวนัก ซึ่งปริมาณที่ฉีดให้นั้นไม่ควรเกิน 100 ยูนิต โดยปริมาณที่ตั้งไว้นี้เป็นปริมาณมาตรฐานที่ร่างกายสามารถรับได้
คำถาม
กำลังตั้งครรภ์ ฉีดโบท็อกซ์ได้ไหม
คำตอบ
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์เนื่องจากโบท็อกซ์เป็นสารชนิดเดียวกันกับสารในกลุ่ม Nsaids ซึ่งอาจมีอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
และไม่ใช่เฉพาะหญิงมีครรภ์เท่านั้น แต่หญิงที่กำลังให้นมบุตรก็ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ด้วยเช่นกัน เพราะสารอาจส่งผ่านไปสู่ลูกได้
คำถาม
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติหรือไม่ เพราะบางครั้งต้องใช้แปรงแต่งหน้าที่ต้องสัมผัสโดนในบริเวณที่ฉีด เช่น หน้าผาก หางตา
คำตอบ
หลังจากการฉีดโบท็อกซ์แล้ว จะห้ามเพียงแค่การนวดหน้าหรือขยี้ตา 1 สัปดาห์หลังฉีด ส่วนการแต่งหน้านั้นสามารถแต่งได้ตามปกติ
คำถาม
ถ้ามีร่องแก้มลึกมากๆ โบท็อกซ์จะสามารถแก้ได้หรือไม่
คำตอบ
ปัญหาเรื่องร่องแก้มลึกนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ แต่สำหรับร่องแก้มที่ลึกมากๆ จะไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นในกรณีนี้ควรใช้การฉีดด้วยสารสังเคราะห์อื่นๆ แทน เช่น คอลลาเจนสังเคราะห์ เป็นต้น
คำถาม
ถ้าไม่อยากฉีดโบท็อกซ์ ไม่ทราบว่ามีเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของโบท็อกซ์ไหม แล้วจะได้ผลดีเหมือนการฉีดหรือไม่
คำตอบ
โบท็อกซ์ หรือ Botulinum Toxin Type A จัด เป็น toxin ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2536) ออกตามความในพระราชบัญญัดิเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 จึงไม่มีการนำไปเป็นส่วนผสมในเครี่องสำอาง จะสามารถใช้ได้เฉพาะรูปยาฉีดเท่านั้น
คำถาม
ฉีดโบท็อกซ์ เจ็บมากไหม
คำตอบ
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ให้ แพทย์จะประคบบริเวณที่ฉีดด้วย cold pack หรืออาจจะทายาชาให้ เพื่อให้คนไข้มีความรู้สึกชาในบริเวณนั้น
ส่วนขนาดเข็มที่ใช้ฉีดก็มีขนาดเล็กมาก นั่นคือ เป็นเข็มที่เบอรเล็กที่สุด จนทำให้เวลาฉีด อาจรู้สึกเหมือนแค่เพียงมดกัดหรือแทบจะไม่รู้สึกเลยก็ได้
คำถาม
ถ้าฉีดแล้วผิดพลาด เช่นทำให้หนังตาตก จะแก้ไขได้หรือไม่
คำตอบ
โบท็อกซ์จะมีอายุของมันเมื่อฉีดเข้าไปคือ ประมาณ 4 เดือน ทำให้เมื่อเกิดการผิดพลาด อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายไปและกลับมาเป็นปกติเมื่อโบท็อกซ์ในผิวของเราค่อยๆ สลายไป แต่ทางที่ดีควรจะเลือกดูแพทย์ที่ทำการฉีดโบท็อกซ์ให้ดีก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
คำถาม
หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว สามารถทาครีมบำรุงผิวต่างๆ ได้ตามปกติหรือเปล่า
คำตอบ
การทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวต่างๆ สามารถทาได้ตามปกติ แต่แพทย์จะแนะนำให้ทาครีมกันแดดและครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ และวิตามินซี เพื่อให้ประสิทธิภาพของโบท็อกซ์ที่ทำให้รอยย่นหายไปอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
คำถาม
ระหว่างโบท็อกซ์ กับ ครีมลดรอยย่น
คำตอบ
มีการศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างโบท็อกซ์กับครีมลดรอยย่น พบว่าเครื่องสำอางใช้เฉพาะที่อาจมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยบางชนิดได้ แต่ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยบริเวณร่องคิ้วที่มีความลึกระดับปานกลางถึงลึกมากนั้น ครีมลดรอยย่นไม่สามารถสู้โบท็อกซ์
คำถาม
ข้อควรปฎิบัติหลังจากฉีดโบท็อกซ์ มีอะไรบ้าง
คำตอบ
- ไม่นวดหรือคลึงบริเวณที่ฉีด
- พยายามใช้กล้ามเนื้อบริเวณทื่ฉีด ในช่วง 2 - 3 ชั่วโมงหลังฉีด เช่น การยิ้ม ขมวดคิ้ว เพื่อให้ตัวยากระจายตัวดีขึ้น
-ไม่ให้หน้าสัมผัสหรืออยู่ในอุณหภูมิที่ร้อน เพราะจะทำให้ตัวยาสลายตัวเร็วกว่าเดิม
- ช่วง 4 ชั่วโมงหลังจากฉีด ไม่ควรนอนราบ ออกกำลังกาย หรือการเคลี่อนไหวที่ต้องก้มหน้า
- 1 อาทิตย์หลังฉีด ห้ามนวดหน้า
คำถาม
นอกจากจะรักษารอยย่นแล้ว โบท็อกซ์นำไปรักษาโรคหรืออาการอย่างอื่นได้ไหม
คำตอบ
โบท็อกซ์สามารถรักษาอาการอื่นได้อีกมากมาย เช่น
---------- รักษาอาการปวดศีรษะ
---------- ฉีดน่องให้เรียวเล็กลง
---------- ระงับกลิ่นตัว
---------- แก้ปัญหาหน้ามัน
---------- แก้ปัญหาพูดติดอ่าง
---------- แก้ปัญหาความอ่อนแอของกระเพาะปัสสาวะ
---------- ปรับโครงสร้างรูปหน้าเหลี่ยม
---------- รักษาโรคแผลเรื้อรังที่ช่องทวารหนัก
คำถาม
โบท็อกซ์จะทำให้รอยย่นหายไป หลังจากฉีดเพียงแค่ครั้งเดียวใช่ไหม
คำตอบ
โบท็อกซ์ลดรอยเหี่ยวย่นได้ แด่ก็สามารถทำให้ริ้วรอยหายไปได้เพียงแค่ชั่วคราว นั่นคือเมื่อฉีดสารนี้เข้าไป สารก็จะค่อยๆ มีการสลายตัวไป คืออยู่ได้ประมาณ 4 เดือนหรือมากกว่านั้น จากนั้นเมื่อโบท็อกซ์ก็จะสลายตัวไป รอยเหี่ยวย่นก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
คำถาม
หลังฉีดโบท็อกซ์ ใช้เวลานานแค่ไหนจึงเห็นผลว่ารอยย่นหายไป
คำตอบ
ระยะเวลาที่เห็นผลชัดเจนว่ารอยย่นหายไป จะใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ โดยรอยย่นจะค่อยๆ ลดลง แต่สำหรับบางคนอาจใช้เวลานานถึง 1 เดือนเลยก็ได้ กว่ารอยย่นจะหายไป
คำถาม
ฉีดโบท็อกซ์ซ้ำบ่อยๆ เช่น ฉีดติดต่อกันมานานหลายปี จะมีผลเสียหรือไม่
คำตอบ
การฉีดโบท็อกซ์ซ้ำบ่อยๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นกลายเป็นอัมพาต คืออาจกลายเป็นคน "หน้าตาย" ทำให้แสดงความรู้สึกไม่ค่อยได้ เช่น เสียใจหรือดีใจก็หน้าตาเหมือนกัน
คำถาม
ผู้ชายสามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ไหม
คำตอบ
การฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ไม่ว่าเพศหญิงหรือเพศชายที่ต้องการลดรอยย่นบนใบหน้า เพื่อทำให้บุคลิกภาพของตนดีขึ้น ก็สามารถฉีดได้ทั้งนั้น ซึ่งอัตราผู้ชายที่มาฉีดโบท็อกซ์ในประเทศไทยมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คำถาม
นอกจากลดรอยย่นบนใบหน้าที่บริเวณหัวคิ้ว หางตา และหน้าผากแล้ว สามารถลดรอยย่นที่บริเวณอื่นได้หรือไม่
คำตอบ
บริเวณอื่นๆ ที่โบท็อกซ์สามารถลดรอยเหี่ยวย่นได้ คือ
- ลดรอยย่นในบริเวณจมูก
- ลดร่องแก้มลึกและริ้วรอยรอบริมฝีปาก
- ลดรอยหยักและรอยบุ๋มที่คาง
- ลดรอยย่นบริเวณลำคอ
คำถาม
โบท็อกซ์กับการปรับแต่งรูปคิ้ว
คำตอบ
ซึ่งบางคนอาจมีคิ้วตก หรือบางคนอยากมีคิ้วที่โก่งเหมือนนางแบบ ก็สามารถนำโบท็อกซ์มาใช้ในการปรับแต่งรูปคิ้วได้ โดยใช้โบท็อกซ์เข้าไปคลายกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ต้องการ ก็จะทำให้ปรับเปลี่ยนรูปคิ้วได้ โดยสามารถปรับรูปคิ้วได้แบบต่างๆ คือ
- คิ้วตรงธรรมชาติ
- คิ้วโค้งเป็นมุม
- คิ้วเฉี่ยวแบบนางแบบ
คำถาม
จะเลือกแพทย์ในการฉีดโบท็อกซ์อย่างไร
คำตอบ
พยายามหาข้อมูลก่อนไปฉีดว่ามีที่ไหนที่มีการฉีดโบท็อกซ์บ้าง จากนั้นก็ดูว่าแพทย์ที่ทำการฉีดนั้นมีความน่าเชื่อถือและมีความเชี่ยวชาญแค่ไหน เพราะการจะฉีดโบท็อกซ์ออกมาให้ได้ผลดีที่สุดอยู่ที่ฝีมือการฉีดของแพทย์ด้วย
นอกจากนี้ เราอาจขอแพทย์ดูขวดโบท็อกซ์ก่อนทำการฉีดได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ฉีดโบท็อกซ์ของแท้จริงๆ ไม่ใช่โบท็อกซ์ปลอม โดยโบท็อกซ์ของแท้ต้องเป็นโบท็อกซ์ ที่นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
คำถาม
มียาอะไรที่ห้ามรับประทานบ้าง เมื่อฉีดโบท็อกซ์ไปแล้ว
คำตอบ
เมื่อฉีดโบท็อกซ์แล้ว สามารถรับประทานยาต่างๆ ได้ แต่ก่อนฉีดประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ควรจะงดรับประทานยาดังต่อไปนื้ คือ
- แก้ปวดแอสไพริน และยาในกลุ่ม NSAIDs
- ยาลดการแข็งตัวของเลือด
- อาหารเสริมประเภทวิตามิน อี และกิงโกะ
คำถาม
หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว จะมีอาการแทรกซ้อนใดๆ หรือไม่ แล้วมีอาการอย่างไรบ้าง
คำตอบ
บางคนอาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ แต่จะค่อยๆ หายไป ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่มักเป็นกัน เช่น
- รอยช้ำจํ้าเลือด (bruising) พบได้บ่อยเมื่อฉีดรอยตีนกา
- บวมบริเวณที่ฉีด
- ปวดบริเวณที่ฉีด หรือปวดศีรษะเป็นเวลานาน 2 - 3 ชั่วโมงหลังฉีด
- หนังตาบนตก ซึ่งมักหายไปได้เองใน 2 สัปดาห์
คำถาม
สามารถฉีดโบท็อกซ์ติดต่อกันได้เลยหรือไม่
คำตอบ
ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ติดต่อกันแต่ควรเว้นระยะห่าง ในการฉีดอย่างน้อยประมาณ 4 เดือน
คำถาม
คนกลุ่มใดบ้างที่นิยมมาฉีดโบท็อกซ์
คำตอบ
สำหรับในบ้านเรา กลุ่มที่นิยมมาฉีดโบท็อกซ์กันมากที่สุด 3 กลุ่มแรกคือ คนในวงการบันเทิง แอร์โฮสเตส และคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มบุคคลที่ให้ความสำคัญกับบุคลิกภาพและหน้าตามาก
คำถาม
ใครบ้างที่ต้องระมัดระวังก่อนจะไปฉีดโบท็อกซ์
คำตอบ
- เป็นภูมิแพ้
- ตั้งครรถ์
- อยู่ระหว่างให้นมลูก
- มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- เคยมีประวัติอาหารเป็นพิษอันเกิดจากเชื่อ Botulinum toxin มาก่อน
- กล้ามเนื้ออ่อนแอตรงบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
- ผู้ที่เป็นโรคโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง คือ myasthenia gravis หรือ Eaton - Lambert syndrome
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
- ผู้มีปัญหาเรื่องปวดข้อ
- ผู้ที่มีประวัติแพ้แอลบูมิน (albumin) เนื่องจาก ตัวยาโบท็อกซ์นี้มีส่วนประกอบของสารนื้อยู่
- ผู้ที่มีแผลติดเชื้ออยู่ ตรงบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
- ผู้ที่กำลังทานวิตามิน อี หรือทานแปะก๊วย
สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนฉีดโบท็อกซ์

2 ความคิดเห็น:

  1. สารประกอบตัวไหนในโบท้อกที่ทำให้เราแพ้ค่ะ

    ตอบลบ
  2. ถ้าเราเกิดแพ้โบท็อกขึ้นมา มันจะมีภูมิคุ้มกันในร่างกายตัวไหนเรามาช่วยรักษาค่ะ

    ตอบลบ