วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีเนื่องในการเกิด -2- ตั้งครรภ์

ดูเหมือนจะถือคติกันแต่ก่อนว่าเมื่อตั้งครรภ์ ผู้มีครรภ์มักจะฝันอย่างแปลกๆ เป็นนิมิตบอกให้รู้ล่วงหน้า ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิง มีลักษณะดีหรือชั่ว เมื่อเติบโตไปภายหน้าจะเป็นคนชนิดไร ดังตัวอย่างใน เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดขุนช้างมีว่า

ฝ่ายนางเทพทองนั้นนอนหลับ  พลิกกลับก็เพ้อละเมอฝัน
ว่าช้างพลายตายกลิ้งตลิ่งชัน พองขึ้นหัวนั้นเน่าโขลงไป
ยังมีนกตะกรุมหัวเหม่  บินเตร่เร่มาแต่ป่าใหญ่
อ้าปากคาบช้างแล้ววางไป  เข้าในหอกลางที่นางนอน
ในฝันนั้นว่านางเรียกนก เชิญเจ้าขรัวหัวถกมานี่ก่อน
นางควักได้ตัวเจ้าหัวกล้อน  กอดนกกับช้างนอนสบายใจ
ครั้นตื่นฟื้นตัวปลุกผัวพลัน  เหียนรากตัวสั่นไม่กลั้นได้
ให้เหม็นช้างเหม็นนกติดอกใจ โฮกๆ อีพ่อข้าไหว้ช่วยทุบคอ
ขุนศรีวิชัยตกใจจ้าน  ลุกขึ้นลนลานตาปอหลอ
เอามือเข้ากำขยำคอ  พอหายรากเล่าต่อความฝันไป
ขุนศรีวิชัยทำนายฝัน  อ่อเจ้าจะมีครรภ์หาเป็นไรไม่
ลูกของเราจะเป็นชายทำนายไว้ เหมือนนกตะกรุมตัวใหญ่คาบช้างมา
จะบริบูรณ์พูนสวัสดิ์แล้วเจ้าพี่ แต่ลูกของเรานี้ขายหน้า
หัวล้านแต่กำเนิดเ กิดมา จะมั่งมีเงินตรากว่าห้าเกวียน

เมื่อฝันเป็นเรื่องอย่างใด ต้องแก้ฝันบอกแก่ผู้รู้ ให้ทำนายทายทัก การทำนายฝันก็เป็นการดี เพราะถ้าผู้ฝันๆ ไปในทางที่นึกเห็นว่าเป็นร้าย ก็จะทำให้คิดมาก มีใจคอไม่ใคร่ดี ก็จะทำให้ผู้แก้ฝันค่อยสบายใจขึ้น นี่กล่าว เฉพาะผู้ที่ยังเชื่อถือเรื่องฝันว่าเป็นนิมิตบอกร้ายดี ถ้าไม่ถือก็แล้วกันไป

คนที่ตั้งท้องโดยธรรมดาย่อมไม่รู้ตัวในทีแรกว่าตั้งท้อง ป่วยการ กล่าวไปใยถึงเรื่องฝัน เห็นมีอยู่ดกดื่นแต่ในเรื่องละคร เมื่อตั้งครรภ์แล้วเป็นฝันและทำนาย ดูจะเป็นคติของการแต่งหนังสือ ไม่ใช่คติของคนธรรมดา ถ้าแต่งหนังสือแล้ว เมื่อจะตั้งท้องก็ต้องฝันว่ากินอะไรที่กินไม่ได้ ลางทีผู้ตั้งท้อง เคยได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้มามาก ก็จับเอาไปฝัน แล้วก็ถือเป็นคติกันมา ว่าฝันแล้วต้องแก้ฝันและทำนายฝัน ดั่งนี้ก็เป็นได้ แต่เป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช่เป็นคติที่เชื่อถือกันทั่วไป

ระยะเวลาตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกว่าถืงเวลาคลอด ถือกันว่าเป็นตอน ที่มีภัยอันตรายอยู่รอบข้าง ผู้มีครรภ์ต้องเสี่ยงต่ออันตรายต่างๆ จนกว่าจะพ้นไป ทำให้ใจคอไม่สบาย ขวัญไม่ดี เหตุฉะนี้จึงต้องหาอุบายป้องกัน และปัดเป่าด้วยอุปเท่ห์วิธีต่างๆ เช่น หาตะกรุดพิสมรสำหรับผูกข้อมือ หรือคล้องเฉวียงบ่าไว้กันตัว (พิสมร เป็นแผ่นใบลานลงอักขระพระคาถาเรียกว่าลงคุณพระ แลัวพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็กๆ ร้อยเชือกหรือด้ายเป็นปกติ ผูกหรือคล้องไว้ นานๆ หลายเดือน หนักเข้าขี้ไคลจับเสียดำ เพราะมันเป็นเชือกใส่อยู่ ตลอดไปจนคลอดลูก ออกไฟแล้วจึงเอาออก เก็บไว้ในโถขมิ้นและเครื่องออกลูก แปลกที่พิสมรนี้มีชื่อและรูปลักษณะคล้ายเครื่องรางสำหรับผูกคอกันภัยของชาวชนที่นับถือลัทธิอิสลาม ซึ่งลงอักขระเป็นคุณพระอ้าหล่า เรียกว่า บิสมลละห) การผูกตะกรุดพิสมร เป็นเรื่องปัดผีร้าย ซึ่งอาจมากระทำให้ผู้มีครรภ์ถึงอันตรายได้ ในสมัยที่มีความเชื่อกันอย่างนี้ทั่วไป อะไรๆ ที่เป็นเหตุร้ายอันจะพึงมีมา ก็เหมาเอาว่ามาจากผี ยิ่งเป็นเรื่องของหญิงมีครรภ์ด้วยแล้ว อาจตายได้ทั้งแม่และลูก ถ้าไม่ป้องกันไว้ให้ ดี เรื่องเหล่านี้คงได้ยินได้ฟังและถือกันมา ว่าแม่และเด็กที่ตายในระยะตอนนี้

ถ้าตายก่อนคลอด เรียกว่าตายทั้งกลม กลม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ทั้งหมด คือตายหมดทั้งแม่และลูก
ถ้าตายเมื่อคลอดแล้วเรียกว่าตายพราย มักเป็นผีพรายดุร้าย อาละวาดคอยจ้องแต่จะทำลายหญิงมีครรภ์เพราะมันน้อยใจ ก็ยิ่งทำให้คนหวาดหวั่นพรั่นกลัว ใจคอไม่สู้ดี มีอุปเท่ห์อย่างไร ที่จะใช้เป็นเครื่องป้องกันได้ก็ใช้

อีกอย่างหนึ่ง หญิงมีครรภ์มักมีความรู้สึกเป็นคนคิดมาก ชอบคิด เป็นต่างๆ นานา และเป็นคิดข้างร้ายมากกว่าคิดข้างดี เมื่อมีของศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมั่นว่าใช้เป็นเครื่องกันภัยได้ ใจก็คลายความหวาดกลัว เรื่องคิดเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่มีแต่ของเรา ถึงคนชาติอื่นก็มีเหมือนกัน เช่น ตามคติของอินเดีย ผีชอบรบกวนทำลายเด็กและผู้หญิง เพราะเป็นพวกอ่อนแอ ส่วนผู้ชายใจแข็งผีไม่กล้ารบกวน เข้าทำนองสุนัขชอบกัดเด็กและผู้หญิง เวลามีครรภ์และเวลาคลอด เขามีเรื่องป้องกันผีที่จะมาทำอันตรายอยู่มากประการเหมือนกัน ซึ่งจะนำมากล่าวไว้ด้วยโดยลำดับ

หญิงมีครรภ์จะไปเผาศพหรือไปเยี่ยมคนมีไข้หนักไม่ได้ นี่เห็นจะป้องกันเรื่องคิดมาก อันอาจทำให้เสียขวัญแสลงทางใจ จะไปดูคนอื่นเขากำลังคลอดลูกก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้เขาคลอดไม่ได้ ด้วยเด็กในท้องจะอายกัน เลยพาลไม่ออก ถ้าจะเดาเอาเหตุผลที่ห้าม คงเป็นเพราะผู้ที่ไปอาจเสียขวัญ ที่เห็นการคลอดเจ็บปวดมาก ก็จะทำให้ตนไม่สบายใจไปด้วยก็เป็นได้ เวลาพระสงฆ์ท่านทำสังฆกรรมสวดญัตติ ก็ห้ามไม่ให้หญิงมีครรภ์ เข้าไปภายในเขตพิธีมณฑล ถือกันว่าจะคลอดลูกยาก เห็นจะถือเอาเสียงของคำ ญัตติ ว่าใกล้กับเสียงคำว่า ยัด กระมัง จึงได้ห้ามแท้จริง อาจเป็นเรื่องของพิธีกรรมที่ต้องการความบริสุทธิ์ในกิจที่ทำก็เป็นได้ เพราะตามคติของอินเดีย เมื่อทำพิธีกรรม ได้ความว่าเขาห้ามไม่ให้ผู้หญิงมีครรภ์หรือใครแปลกปลอมล่วงลํ้าเข้าไป ด้วยถือว่าจะเป็นมลทินแก่พิธีที่ทำ นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้ตกปลา ฆ่าสัตว์ กล่าวเท็จ ตอกและตรึงตะปูหรือหมุดเย็บปากหมอนปากที่นอนซึ่งยัดนุ่นไว้ แต่ยังไม่ได้เย็บปาก เพราะจะเป็นเหตุให้ลามปามไปถึงเวลาคลอด เกิดอุปัทวเหตุปิดช่องปิตรูในทำนองเดียวกัน จะนั่งนอนหรือยืนค้างคาประตูไม่ได้ จะขึ้นลงกระได ต้องขึ้นลงรวดเดียว จะหยุดพักค้างคากลางกระไดไม่ได้ เหตุที่ห้ามเหล่านี้ เห็นได้ง่ายว่าทำไมจึงห้าม และมักจะถือกันมาก เวลานอนต้องนอนตะแคงข้าง ห้ามนอนหงาย ว่าเด็กจะเบ่งให้ท้องแตก สอบถามผู้ที่เขาเคยมีท้อง เขาบอกว่านอนหงาย จะรู้สึกอึดอัด ไม่สบาย

เวลามีสุริยคราสหรือจันทรคราสให้เอาเข็มเย็บผ้ากลัดชายพกไว้ว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกที่เกิดมาเป็นคนตาเหล่ หรือมีร่างกายหน้าตาพิกลพิการ มีปากแหว่งเป็นอย่างพระอาทิตย์พระจันทร์เวลาคราส เป็นต้น คติที่เชื่อถือนี้คล้ายคลึงกับคติของชาวอินเดียที่นับถือลัทธิศาสนาอิสลาม เขาถือว่าเวลามีจันทรคราส เป็นคราวปีศาจกินดวงจันทร์ ห้ามหญิงมีครรภ์หรือญาติพี่น้องกินอะไรไม่ได้ในขณะนั้น สูบบุหรี่ก็ไม่ได้ เพราะเป็นเวลาพวกผีกำลังออกมาพลุกพล่าน ยิ่งกว่านี้ ถ้ากินหมากพลูในเวลานั้น ลูกที่คลอดจะมีใบหูพับอย่างใบพลู (พลูแขกเวลากินใช้พับ ไม่ใช้จีบเหมือนของเรา) จะบิดหรือตัดอะไร ก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้เด็กที่เกิดมามีนิ้วพิการหรือริมฝีปากเจ่อ (Crooke’s Northern India, p. 203) ทำไมจึงใช้เข็มกลัดไว้ที่ชายพก จะว่ากันตาเหล่ ก็ไม่เข้าใจ ดีร้ายจะเป็นเรื่องป้องกันผีซึ่งแขกเขาว่าเวลานั้นผีกำลังออกมา พลุกพล่าน และอะไรที่ผีกลัวไม่เท่ากับเหล็กมีคม

อันเป็นคติที่เชื่อกันอยู่มากชาติ ดังเล่าไว้ที่อื่นแล้ว (ดูในเรื่อง ประเพณี เนื่องในการตาย) เรื่องป้องกันไม่ให้เด็กที่เกิดมาเป็นพิการ ของเรายังมีห้าม ไม่ให้คนทุพพลภาพและคนขี้เหร่เดินกรายมาข้างหลังคนมีท้อง เพราะเกรงว่าจะติดต่อเป็นเช่นนั้นแก่เด็กในท้องด้วย

ห้ามหญิงมีครรภ์ลูบตัวในเวลากลางคืน เพราะถือว่าเวลาคลอด จะปวดน้ำคร่ำมากหรือคลอดเป็นแฝดนํ้า ถ้าจำเป็นต้องอาบนํ้า ก็ควรแก้ผ้าอาบนํ้า จึงจะไม่เป็นไร ผู้หญิงแต่ก่อนไม่ใคร่อาบนํ้าบ่อยๆ อย่างดีก็ลูบตัวแทน ลูบตัวในที่นี้ ไม่ใช่มีความหมายว่าลูบตัวตรงๆ แต่เป็นเรื่องเอานํ้ารด ร่างกายตอนบนให้เปียก ส่วนร่างกายตอนล่างซึ่งมีผ้านุ่ง ไม่ให้ถูกนํ้าเปียก เวลาจะลูบตัว ให้ถลกชายผ้านุ่งขึ้นสูงอย่างหยักรั้ง โค้งหลังให้มาก แล้วเอานํ้าในภาชนะรดลงไปให้พอดีกลางหลัง ถ้าโค้งหลังไม่มากหรือราดนํ้าไม่ตรงกลางหลังพอดี นํ้าอาจไหลลงไปเปียกผ้านุ่งได้ เรื่องลูบตัวแทนอาบนํ้าทั้งตัว เดี๋ยวนี้ไม่ใคร่มีใครทำกัน ผิดกว่าเมื่อก่อนซึ่งยังนิยมทำกันอยู่ เรื่องจะเกิดจากไม่อยากผลัดผ้านุ่งบ่อยๆ หรืออยู่ในลักษณะที่ซึ่งไม่มีผ้าจะผลัด และต้นเหตุเดิมอาจเป็นเพราะอัตคัดนํ้า ต้องออมนํ้าไว้ใช้เพราะไม่มีภาชนะเช่น ตุ่มไหไว้เพียงพอ ถ้าจะต้องอาบก็ต้องไปที่ตีนท่าตีนนํ้า มืดๆ ค่ำๆ มองไม่ค่อยเห็น อาจหกล้มหรือเป็นอันตรายจากสัตว์ร้ายก็ได้ จึงไม่ให้อาบนํ้าเวลากลางคืน นี่เป็นนึกเอาตามสภาพความเป็นอยู่ของถิ่นชนบท ซึ่งในครั้งดั้งเดิม จะเป็นเช่นนี้มาก่อน

เรื่องห้ามหญิงมีครรภ์ไม่ให้อาบนํ้าหรือลูบตัวในเวลากลางคืน ไม่มีแต่คติของเรา ต่างชาติเท่าที่ทราบมาก็มีห้ามเหมือนกัน เช่นตามคติของญวน ก็ห้ามอาบนํ้าในเวลากลางคืนว่า จะทำให้ร่างกายของหญิงมีครรภ์เย็นจัดไป เวลาคลอดจะคลอดไม่ไต้ง่าย คติของอินเดีย นอกจากห้ามอาบนํ้ายังห้ามสยายผม เวลานอนห้ามหนุนศีรษะให้สูง หรือนอนให้ศีรษะอยู่ต่ำก็ไม่ได้ เรื่องห้ามอาบน้ำนี้ ตามที่มีผู้เล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านในลางท้องถิ่นของเรา (เสียใจที่จำไม่ได้ว่าเป็นท้องถิ่นใด) ในวันสิ้นเดือนหญิงมีครรภ์ควรหาช่องทางเปลือยกายอาบนํ้าในเวลากลางคืน แต่ระวังอย่าให้ใครเห็น ถ้าเห็นจะเป็นอย่างไร ผู้เล่าไม่ให้เหตุผล ว่าถ้าทำไต้อย่างนี้จะคลอดง่าย คติเรื่องเปลือยกายนี้แปลก ถือกันว่าผีกลัวมาก เห็นจะเป็นพวกผีที่มีวัฒนธรรมเช่นถ้าจะไปเก็บใบยามารักษาโรค ผู้เก็บต้องเปลือยกายเข้าไป อย่าให้เงาทับต้นยา ถ้าผีสิงอยู่บนต้นไม้ทำอาการหลอนหลอก ต้องเปลือยกายเอาผ้าและหญ้าคาไปผูกไว้ที่ต้นไม้นั้น เวลาเข้าไปผูกให้กลั้นใจ ผูกแล้วผีจะลงจากต้นไม้ มาหลอนหลอกอีกต่อไปไม่ได้

หญิงมีครรภ์ต้องหางานออกแรงกำลัง เซ่นหาบนํ้าตำข้าวเป็นต้น ซึ่งเป็นหน้าที่และงานตามปกติของหญิงในชนบท ทั้งนี้เพื่อให้ท้องหลวม และไม่ให้ทารกในครรภ์อ้วนมากและโตจนเกินไป จะคลอดยาก นี่ก็ตรงกับ คติของญวนที่แนะนำให้ทำงานหนักเป็นทำนองเดียวกัน นอกนี้เขามีห้ามไม่ให้เอื้อมมือจนสุดแขน ว่าทารกอยู่ในครรภ์จะดูดสายสะดือไม่ได้สะดวก เพราะสายรกจะร่นขึ้นไปสูง และห้ามไม่ให้ตอกตรึงตะปูเหมือนคติของเรา แต่มีกว้างออกไป ห้ามจนกระทั่งคนอื่นที่อยู่ในบ้านเดียวกันว่าจะทำให้ทารกในครรภ์มีร่างกายพิการได้

เรื่องข้อห้ามของเรา ไม่ให้หญิงมีครรภ์ตกปลาฆ่าสัตว์และกล่าวเท็จ เห็นจะต้องการให้มีใจบริสุทธิ์ เป็นทำนองเดียวกับของอินเดีย ที่ให้กล่าวแต่คำที่เป็นสิริมงคลและทำพลีบูชาตามลัทธิ นี่กีเป็นการดี กล่าวกันว่าจะทำให้หญิงมีครรภ์มีผิวพรรณผุดผ่องและมีใจสบาย ดังในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน แห่งหนึ่งกล่าวว่า

จะกล่าาถึงทองประสีมีครรภ์แก่ งามแท้เผ้าผมก็สมหน้า
ผิวพรรณดั่งสุวรรณมาทาบทา ดวงหน้าดั่งดวงจันทร์เมื่อวันเพ็ง
แก้มทั้งสองข้างดั่งปรางทอง เต้านมทั้งสองก็ครัดเคร่ง
ผิวเนื้อเป็นนวลควรแลเล็ง ดูปลั่งเปล่งหน้าชมสมพอตัว
จำศีลภาวนาเป็นเนืองนิตย์ น้อมจิตนบนิ้วขึ้นเหนือหัว
ภาวนาบูชาด้วยดอกบัว ไม่กลัวที่จะเป็นอันตราย

ข้อความที่นำมาอ้างนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนแต่ก่อนว่า หญิงมีครรภ์ควรปฏิบัติตนอย่างไร นอกนี้ยังนำเอาดอกบัวที่บูชาพระมาต้มกินเมื่อเวลาท้องแก่ ถือว่าเป็นยาครรภ์รักษา เพื่อให้ทารกมีร่างกายแข็งแรง และป้องกันอาเจียนของมารดาซึ่งเกิดจากอาการแพ้ท้อง ลางทีเขานำเอาดอกบัวไปให้พระสงฆ์ลงคุณพระหรือเสกเป่า อย่างนี้ยังมีถือและทำกันอยู่ในทุกวันนี้ เป็นเรื่องเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ หนุนใจให้บังเกิดศรัทธา มีอารมณ์ผ่องใส ช่วยได้มากเหมือนกัน ถ้าจะให้ดีเอาเกสรบัวหลวงกับเทียนดำห่อผ้าเป็นลูกประคบต้มกับนํ้ามะพร้าวอ่อน ก็เป็นยาครรภ์รักษาได้โดยตรง นํ้ามะพร้าวมีคุณสมบัติลางอย่างสำหรับบำรุงครรภ์คนแต่ก่อนใช้มาแล้วเห็นคุณ จึงได้ถือเป็นตำรากันมา คนสมัยนี้อาจไม่เห็นด้วย แต่ที่ไม่เห็นด้วย ใช่ว่าท่านได้พิสูจน์แยกธาตุหรือวิเคราะห์สิ่งที่มีอยู่ในนํ้ามะพร้าวว่ามีแร่ธาตุอะไรบ้างก็หาไม่ เมื่อยังไม่ได้พิสูจน์ให้ถ่องแท้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ยังลง ความเห็นเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดให้เด็ดขาดไปไม่ได้ เมื่อเร็วๆ นี้ อ่านพบใน หนังสือพิมพ์ฝรั่งฉบับหนึ่งว่า นํ้ามะพร้าวมีอะไรลางอย่างอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นเครื่องเลี้ยงทารกในท้องได้เป็นอย่างดี

ยังมีคติเกี่ยวกับเวลามีครรภ์อีกอย่างหนึ่ง คือถ้าจะให้เลี้ยงลูกง่าย หญิงมีครรภ์ต้องหาโอกาสลอดท้องช้าง แต่ต้องเสือกช้างที่มีเมตตาจิต ลอดท้องช้างแล้วลูกที่ออกมาจะเลี้ยงง่าย จะด้วยเหตุผลกลไรไม่ทราบชัด แต่ก็ประหลาด ที่การเชื่อถือตามทำนองนี้มีคล้ายคลึงกันอยู่หลายชาติ เช่น ชาวอาหรับและอิหร่านถือว่าหญิงมีครรภ์ได้ลอดท้องอูฐแล้วจะคลอดลูกง่าย ฝรั่งชาวบ้านในประเทศสวีเดน ถ้าต้องการให้คลอดลูกง่าย ต้องไปลอด โพรงคนรู คือช่องสุมทุมพุ่มไม้ ลางทีก็ลอดรูใต้ก้อนหิน หรือลอดวงเหล็กที่รัดถัง ถือจนกระทั่งเด็กเจ็บ ก็ให้เด็กลอดท้องสัตว์หรือลอดโพรงเสีย ๓ ครั้ง ก็หายเจ็บ

นอกจากคติความเชื่อถือเป็นอย่างกระจุกกระจิกดังกล่าวมานี้ มีเรื่องที่จำเป็นต้องกระทำอยู่อย่างหนึ่งคือ ต้องฝากท้องกับหมอตำแย เสียเงินค่าฝากท้องเป็นทำนองเงิน ค่ามัดจำ ตามธรรมเนียม กึ่งตำลึงหรือตำลึงหนึ่ง คือ ๒ บาท หรือ ๔ บาท หรือจะมากน้อยกว่านี้เท่าใดก็ตามเรื่อง แล้วแต่ฐานะของผู้ฝากและท้องถิ่น เมื่อฝากท้องแล้ว ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เกี่ยวกับเรื่องครรภ์ ก็ไปตามหมอตำแยมาช่วยเหลือได้ไม่ว่าเวลาไร ตามปกติมักเป็นเรื่องมาผืนท้อง คือเอามือช้อนท้องเพื่อฝืนเด็กไม่ให้ดำต่ำลงต่ำ เพราะจะทำให้ผู้มีครรภ์เดินไม่สะดวกด้วยเด็กลงมาถ่วงต่ำอยู่

หญิงมีครรภ์มักมีอาการอยากกินของแปลกๆ โดยมากมักเป็นสิ่งของที่มนุษย์เขาไม่กินกันเป็นปกติ อาการที่มีขึ้นอย่างนี้เรียกว่าแพ้ท้อง อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงประสาทในร่างกาย เป็นไปในทางจิตวิทยา กระทำให้อยากกินของเปรี้ยวจัดเค็มจัดหรือของแปลกๆ ผิดปกติไปชั่วคราวหนึ่ง และมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนบ่อยๆ นี่กล่าวตามความเห็นของแพทย์ในปัจจุบัน อาจสอบถามดูได้ อาการแพ้ท้องนั้น ลางทีอยากกินกระเดียดไปทางข้างตะกละ จะเป็นเพราะแกล้งทำเป็นพูดว่าอยากกิน หรือว่าคนมีท้องอยากกินจริงๆ ก็ไม่ทราบ เพราะเรื่องเก็งใจผู้หญิงนั้น เก็งยากนัก จะยกตัวอย่างเรื่องแพ้ท้องในหนังสือเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ขึ้นมากล่าว ดังต่อไปนี้

จะกล่าวถึงนางเทพทอง ท้องนั้นโตใหญ่ขึ้นคํ้าหน้า
ลุกนั่งอึดอัดถัดไปมา  ให้อยากเหล้าเนื้อพล่าตัวสั่นรัว
น้ำลายไหลรี่ดังผีกระสือ ร้องไห้ครางฮืออ้อนวอนผัว
เหมือนหนึ่งตาหลวงเข้าประจำตัว ยิ่งให้กินตล:ยั่วยิ่งเป็นไป
ปลาไหลไก่กบทั้งเต่าฝา แย้บึ่งอึ่งนาไม่พอไส้
หยิบคำโตๆ โม้เข้าไป  ประเดี๋ยวเหล้าสิ้นไหไม่ซื้อทัน

ของแปลกที่คนแพ้ท้องชอบกิน มี ขี้ไต้ ดินสอหิน ดินสอพอง ข้าวสาร ดินเผา (ดินเลนเอามาแผ่ตากผึ่งแดดแล้วเผา) เป็นต้น ดินสอหินนั้นแต่ก่อนเห็นมีกองขายกันตามร้าน (เคยเห็นที่เสาชิงช้า ภายหลังเห็นมีขายที่สะพานหัน) บัดนี้ไม่เห็นสะดุดตาอีก เห็นจะหมดสมัยแฟชั่นเลิกกินกันแล้ว ดินสอหินอย่างนี้ไม่ใช่แท่งเล็กเรียวยาว อย่างที่เด็กนักเรียนเขียนบนกระดานชนวนแต่เป็นดินสอดินชนิดหนึ่ง สีเหลืองนวลและยุ่ย สำหรับใช้เขียนบนกระดานดำ และสมุดดำอย่างชอล์ก ถ้าเป็นชนิดดี เรียกว่าดินสอแม่หม้าย เพราะเขียนได้ง่ายไม่ต้องแตะนํ้าลายบ่อยๆ เพื่อให้ยุ่ยเขียนออก หญิงลางคนเมื่อแพ้ท้อง ให้มีอาการคลื่นเหียนและเหม็นสาบผัวของตัวเอง ผัวเข้าใกล้ไม่ได้ ต้องไปนอนเสียต่างหาก หรือมิฉะนั้นต้องนอนหลีกให้ห่างเสียจากกันขืนเข้าใกล้ได้ กลิ่นเหม็นสาบก็เกิดอาการคลื่นเหียน แปลกมากอยู่

ในคัมภีร์ พรหมจินดา กล่าวถึงอาการแพ้ท้องไว้ว่า
ถ้ามารดาอยากกินมัจฉมังษา เนื้อ ปลา และ สิ่งของสดคาว ท่านว่าสัดว์นรกมาปฏิสนธิ
ถ้าอยากกินนํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย นํ้าดาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์ลงมาเกิด
ถ้าอยากกินสรรพผลไม้ ท่านว่าดิรัจฉานมาปฏิสนธิ
ถ้าอยากกินดิน ท่านว่าพรหมลงมาปฏิสนธิ (เพราะพรหมลงมากินง้วนดิน)
ถ้าอยากกินสิ่งเผ็ดร้อน ท่านว่ามนุษย์ลงมาปฏิสนธิ

เห็นจะเป็นด้วยคดิที่ว่าอยากกินดิน ท่านว่าพรหมมาปฏิสนธิ จึงทำให้หญิงแต่ก่อนอยากกินดินสอหินและดินเผา พรหมจะได้ลงมาเกิดเป็นลูกตน อนึ่ง ระหว่างที่มีครรภ์ต้องประคับประคองบำรุงรักษาลูกในท้อง แม้อยากกินอาหารที่เผ็ดร้อนซึ่งเป็นของที่ชอบใจก็ต้องอด งดเว้นไม่บริโภค จะนั่งนอนหรือเคลื่อนย้ายเดินไปมา ก็ระวังร่างกายไว้ให้ดี อย่าให้มีหกล้ม กระทบกระเทือนจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อให้บุตรในครรภ์ไม่เจ็บป่วยเป็นอันตราย ด้วยเหตุต่างๆ

เมื่อครรภ์แก่ย่างเข้าเดือนที่ ๗ ที่ ๘ หนังท้องรอบสะดือจะยืดและงํ้าปิดรูสะดือ ถ้างํ้าบนเรียกว่าสะดือคว่ำ ถ้างํ้าล่างเรียกว่าสะดือหงาย หญิงใดสะดือหงาย ทายว่าลูกในครรภ์จะเป็นชาย ถ้ามีสะดือคว่ำจะเป็นหญิง เห็นจะเป็นทายเอาตามลักษณะที่คว่ำหงาย มีครรภ์แก่ในระยะนี้ท้องจะยื่น โย้ออก หนังท้องตึงมาก จึงต้องมียาทาท้องเพื่อกันคราก ว่าเป็นเพราะเด็กในครรภ์เติบโตขึ้น ถ่วงหนังท้องตึงจนริคราก ยานั้นใช้เปลือกลูกมะตูมตากแห้ง ฝนกับนํ้าปูนใสในฝาละมี หญิงลางคนมีลายขาวเป็นทางๆ ที่ท้อง ว่าเป็นเพราะท้องครากเนื่องจากคลอดลูก นอกจากยาทาท้อง ยังมีการถีบหน้าขา ว่าจะให้เส้นตะเกียบหย่อน จะได้คลอดง่ายแล้วยังต้องกินยาครรภ์ รักษาดังกล่าวมาแล้วด้วย

ตอนท้องแก่ชายผู้เป็นสามีจะต้องไปตัดฟืนมาไว้ สำหรับให้ภรรยา อยู่ไฟในเมื่อคลอดลูกแล้ว คนอื่นไปตัดแทนไม่ได้ท่านห้าม ฟืนนั้นให้เลือกเอาไม้สะแกหรือไม้มะขาม และต้องเป็นฟืนท่อนโตๆ ที่เลือกแต่ไม้สองชนิดนี้ เพราะในลางท้องถิ่นมีขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะ หาได้ไม่ยาก และว่าไม้สองอย่างนี้เมื่อไหม้เป็นถ่านแล้วมีขึ้เถ้าน้อย ไม่รบกวนทำความรำคาญให้มาก ถ้าเป็นท้องถิ่นอื่นซึ่งไม่มีไม้สองชนิดนี้ อาจเปลี่ยนเป็นไม้อื่นแล้ว แต่ความคุ้นเคยจัดเจนกันมา ตัดเอาแล้วบั่นทอนเป็นท่อนดีแล้ว ให้เอามาตั้งสุมไว้ในที่สมควร ลางท้องถิ่นมีคติถือว่าการตัดฟืนสำหรับอยู่ไฟนั้น ควรจะตัดเวลาใกล้กำหนดคลอดหรือในราวเดือนที่ ๘ นับแต่เดือนตั้งครรภ์และชนิดของฟืนนอกจากเป็นไม้สะแกหรือไม้มะขาม ควรจะมีไม้ทองหลางด้วย แต่ไม้ทองหลางนั้นเขาว่าเป็นควันมาก เห็นจะใส่ไฟพอเป็นพิธี ที่ให้ใช้ไม้ทองหลางด้วย ว่าอยู่ไฟไม้ทองหลางกันปวดมดลูกและแก้พิษเลือด แต่ถ้าเป็นท้องสาวให้ใช้ฟืนไม้เบญจพรรณ ว่าจะได้คุ้นกับการอยู่ไฟด้วยไม้ต่างๆ ได้ดี เมื่อคลอดลูกคนหลังๆ การตัดฟืนถือกันว่าเป็นเสี่ยงทาย ถ้าตัดไม้ฟืนเป็นขนาดยาว ลูกที่เกิดมาจะเป็นชาย ถ้าตัดเป็นขนาดสั้นจะได้ลูกเป็นผู้หญิง นื่ก็เป็นเรื่องทายเอาตามลักษณะสั้นยาว เข้าทำนองเดียวกับเรื่องสะดือหงาย สะดือคว่ำ เวลารวมฟืนให้เป็นกองก็เหมือนกัน ถ้ากองฟืนตรงกลางเห็นนูนสูงขึ้น เด็กจะเป็นชาย ถ้ากลางไม่นูนคือราบเป็นปกติ เด็กจะเป็นหญิง เป็นเรื่องเสี่ยงทายมาตะเภาเดียวกัน

ตามคติของมอญ จะต้องตัดฟืนสำหรับอยู่ไฟในเดือนที่ ๗ และที่ ๘ จะลงมือตัดในเดือนที่ ๗ ในวันสิ้นเดือนวันเดียวก็ได้ ถึงจะตัดไว้ไม่ได้พอก็ไม่เป็นไร เอาเคล็ดว่าได้เริ่มตัดในเดือน ๗ เท่านี้ก็พอ นอกนั้นจะตัดต่อไปในเดือน ๘ ก็ได้ ที่ให้ตัดในเวลาใกล้กำหนดคลอด ว่าต้องการไม้ที่ยังสดอยู่ เพราะจะได้มีทั้งไฟและควัน (แต่ของไทย ใช้ฟืนหมาดๆ ไม่สดไม่แห้งนัก ด้วยต้องการไม่ให้ไหม้เร็ว และให้เป็นถ่านไม่ต้องการให้เป็นควันมาก) เวลาตัดไม้ต้นแรก ต้องให้ต้นล้มราบลงกับดิน อย่าให้ไม้ล้มไปพาดค้างอยู่กับไม้อื่นหรือสิ่งไร มิฉะนั้นจะใช้เป็นฟืนอยู่ไฟไม่ได้ (เพราะมันไปค้างอยู่ จะลามปามติดต่อมาถึงการ คลอดลูกด้วย) (Haliday’s The Talaing p.55)

คติที่กำหนดให้สามีเป็นผู้ตัดฟืนเอง เห็นจะสืบมาแต่ดั้งเดิม เมื่อยังไม่มีการจ้างออนหรือซื้อหากัน และเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องถึงกับ บอกแขกแบกหาม ครอบครัวใครก็ต้องทำของตนเองพึ่งตนเอง ครั้นในระยะ ต่อมา แม้จะจ้างให้ใครไปตัดหรือซื้อหาฟืนได้สะดวกแล้ว ผู้ที่ถือคติเดิม เคร่งครัด ยังปฏิบัติอยู่ก็มี นับว่าเป็นการดีเหมือนกัน เป็นเครื่องแสดงนํ้าใจ ของคู่ผัวตัวเมียให้เห็น ภรรยาผู้มีครรภ์ก็คงสบายใจ แต่คตินี้ถ้าว่าในท้องถิ่น ที่หาฟืนยาก หรือเป็นสมัยที่เจริญก้าวหน้ามาแล้ว ก็เห็นจะมีผู้ยังดื้อถืออยู่น้อยคน เพราะหมดประโยชน์แห่งความจำเป็นและพ้นสมัยแล้ว ขืนพระพฤติ ก็เป็นเรื่องลำบาก ไม่ก้าวหน้า และไม่เหมาะแก่สมัย

กองฟืนที่ตั้งสุมไว้ ต้องเอาหนามพุทราสะ (มอญใช้หนามไผ่) ว่า เป็นเครื่องป้องกันผี เวลาตัดให้ว่าคาถาดังนี้

นโมพุทฺธตสฺส เมื่อถึงคำว่า ตัส ให้เอามีดตัดทันที (คาถาบทนี้ต้องการเคล็ดเอาเสียงของคำที่คล้ายคลึงกัน คือ นโม = หนาม พุทธตัสสะ = พุทรา) อย่างไรก็ดี ที่เอาหนามสะกองฟืนไว้เป็นการดี นอกจากป้องกันผี ยังป้องกันสัตว์และพวกเด็กๆ ที่ซนขึ้นไปเหยียบย่ำทำให้ กองฟืนทลายลง ทำไมต้องใช้หนามพุทราสะ จะใช้หนามชนิดอื่นไม่ได้ หรือ ตอบว่า เห็นจะได้เหมือนกัน แต่หนามพุทราหาง่าย มีขึ้นอยู่ตามป่าและในที่ทั่วไป เลยเหมาเอาว่า มีชื่อเป็นมงคลนาม ดั่งแจ้งอยู่ข้างบนนี้ด้วย

ข้อใหญ่ใจความของการสะหนามอยู่ที่เรื่องกันผี ถ้ายิ่งเป็นผีกระสือด้วยแล้ว เป็นกลัวหนามมากกว่าผีชนิดอื่น เพราะผีกระสือนั้นกล่าวกันว่าเป็นคนๆ เรานี่เอง โดยมากมักเป็นผู้หญิงมีอายุ เวลากลางคืนเดือนมืดตอนดึกสงัด ใครๆ กำลังหลับนอนกันหมดแล้ว หญิงที่เป็นกระสือจะออกเที่ยวหากิน ถอดแต่หัวและตับไตไส้พุงออกจากร่างไปเท่านั้น เมื่อไปถึงที่ไหน จะเห็นเป็นไฟ มีแสงเรืองๆ เขียวๆ วาบๆ วามๆ เป็นดวงโต สิ่งที่ผีกระสือ ชอบกินคือของสดคาวและคูถ ยิ่งมีหญิงคลอดลูกใหม่ๆ และมีเด็กแดงๆ ด้วย ผีกระสือเป็นชอบนัก มักหาโอกาสเข้าไปสิงอยู่ในท้องหญิง แล้วกินเครื่องใน คือ ตับไตไส้พุงของหญิงและทารกอย่างอร่อย เหตุนี้คนที่ผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกหรือผลไม้ เช่น กล้วยลูกเล็กๆ แฟบๆ ไม่สู้มีเนื้อ จึงเรียกว่าคนกระสือดูด หรือกล้วยกระสือดูด เรื่องเอาหนามสะกันมันไว้ จะต้องสะตลอดจนใต้ถุนรุนช่องที่มีร่องมีรูด้วย เพราะผีกระสือไปไหนลากเอาไส้พุงของมันไปด้วย ถ้าขืนฝ่าหนามเข้าไป เป็นถูกหนามเกี่ยวไส้พุงเอาไว้ เพราะฉะนั้นมันจึงกลัวหนามนัก เมื่อผีกระสือกินของที่มันชอบกินตามปกติ คือคูถเสร็จแล้วปากมันก็เปื้อนเปรอะ ถ้าเห็นผ้าของใครตากหรือพาด ห้อยทิ้งไว้ในเวลาค่ำคืนนอกห้องเรือน มันก็เอาผ้านั้นเช็ดปากของมันเสีย ถ้ารุ่งเช้าเห็นผ้าที่ตากทิ้งไว้เป็นรอยเปื้อนสีแดงตุ่นๆ เป็นวงกลมๆ อยู่ตามผ้า ก็รู้ว่าถูกผีกระสือเช็ด ถ้าอยากจะรู้ว่าใครเป็นผีกระสือ ให้เอาผ้าที่เปื้อนนี้ต้ม หญิงที่เป็นผีกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปาก ทนไม่ไหว ต้องมาขอซื้อผ้าผืนนั้นไป ผ้าที่ถูกผีกระสือเช็ดเป็นวงกลมๆ นี้ มักเป็นในหน้าฝน เหตุเกิดเพราะผ้าชื้นไม่ได้แดดเกิดเป็นราขึ้น ถ้าผึ่งแดดนานๆ วงนั้นก็หายไปเอง ที่บอกว่ากระสือมันเช็ดปาก ก็เป็นการดี จะได้ระวังไม่ทิ้งผ้าไว้ให้ตากนํ้าค้างจนขึ้นราเสียหาย
คนเป็นกระสือนั้น ว่าตายยากตายเย็นนัก เวลาจะตายต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ไม่ตายได้ง่ายๆ จนกว่าลูกหลานคนใดรับทายาทเป็นผีกระสือต่อไป โดยรับเอานํ้าลายของกระสือบ้วนใส่ให้ คนที่เป็นผีกระสือจึงจะตายได้ เรื่องนํ้าลายนี้แปลก มันถือกันว่าเป็นของขลังหรือของอะไรในลักษณะนั้นอย่างชอบกล ทางภาคอีสานถือกันว่าถ้าคนเป็นผีปอบถ่มนํ้าลายรดถูกใคร ผู้นั้นจะต้องเป็นผีปอบ จำพวกเดียวกับผีกระสือของภาคนั้น ข้าพเจ้าเมื่อเด็กเคยอยู่ในถิ่นที่มีผีกระสือชุกชุม เป็นถิ่นที่มีพวกเชื้อมอญเชื้อทวายอยู่มาก เคยได้ยินได้ฟังเรื่องผีกระสืออยู่บ่อยๆ ที่ข้างบ้านข้าพเจ้ามียายแก่คนหนึ่ง นอนเจ็บอยู่นาน ชาวบ้านเขาว่าแกเป็นผีกระสือ ตายยากนัก เพราะไม่มีลูกหลานคนใดรับนํ้าลายเป็นผีกระสือต่อไป ข้าพเจ้ากลัวจนไม่กล้ากลํ้ากราย ลํ้าเข้าไปเล่นซนในบริเวณบ้านของแก ต่อมาแกก็ตาย จะเป็นเพราะมีใครรับเป็นทายาทหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่จำเรื่องได้แม่น จึงนำมาเล่าไว้ในที่นี้ด้วย พอดีมาเมื่อเร็วๆ นี้ ยายแก่คนหนึ่งเคยอยู่บ้านข้าพเจ้ามาตั้งแต่ยังสาวมาหาข้าพเจ้าจึงถือโอกาสถามแกถึงเรื่องนี้ แกบอกว่ายายแก่ผีกระสือคนนั้นไม่มีลูกหลานรับเป็นทายาทกระสือ จึงต้องให้แมวรับแทน คือเอานํ้าลายของแกไปป้ายที่แมว แกจึงได้ตาย สนุกดี

ท่านผู้ใหญ่เคยปรารภเรื่องผีกระสือให้ข้าพเจ้าฟังว่า อันชื่อว่ากระสือนี้ชอบกล โลกถือเอาแสงสว่างโดยจำเพาะเป็นกระสือ เช่น หนอนกระสือ โคมกระสือ เป็นต้น และเพราะรู้กันอยู่ว่ากระสือนั้นมีแต่ตัวเมียจึงจัดขึ้นให้ มีตัวผู้ด้วยเรียกว่ากระหาง แต่ที่พูดกันก็เป็นตลกให้เห็นเป็นขึ้นอยู่ในตัวว่า เอากระด้งทำปีกเอาสาก (ตำข้าว) ทำหาง ตามที่ว่านั้นที่เป็นครึ่งคนครึ่งนก แต่ครั้นทำรูปครึ่งนกเข้าจริงกลับเรียกว่า อรหันต์ ข้อนี้ก็ประหลาด ทำไม จึงเอาชื่อผู้สำเร็จมีฌาน เป็นด้น มาใช้เรียกชื่อโสโครกเช่นนั้นก็ไม่ทราบ
ทางภาคพายัพ สะหนามอย่างเดียวยังไม่ไว้ใจ เขายังล้อมเป็นรั้วที่ใด้ถุนเรือนตรงห้องที่คลอดลูกด้วย ล้อมแล้วเอาเรียวหนามไปสะไว้รอบๆ ในห้องคลอดบนเรือนก็วงล้อมด้วยสายสิญจน์ แขวนผ้าประเจียดเลขยัญไว้ทุกทิศ แล้วยังเอาร่างแหขึงเพดานเป็นอย่างรูปมีจอมแห ที่ทำแข็งแรงเช่นนี้ว่ากันผีโพง (เห็นจะเป็นผีโพลง คือมีแสงโพลงอย่างผีกระสือ) มันมักเจาะพื้น เรือน (เห็นจะเป็นพื้นฟาก) ขึ้นมาดูดเลือดของคนคลอดลูกตรงที่นอน มันชอบกินเลือดตรงขั้วหัวใจของแม่ลูกอ่อนที่กำลังอยู่ไฟ และมันสามารถจำแลงตัวเป็นแมว หมู นก หรืออะไรก็ได้ จึงต้องระวังกันอย่างแข็งแรง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น