วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มบ หรือ หมบ ความเชื่อเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์

************
<<<   มบ  >>>
************
มบ หมบ ก็ว่า เป็นความเชื่อเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดโทษแก่ศัตรูโดยให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ให้สติวิปลาส ให้พิการหรือถึงตาย การมบนั้นหมอไสยศาสตร์เป็นผู้ทำพิธีซึ่งผู้ให้มบจะต้องมีสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน เช่น ถูกรังแกข่มเหง ไม่สมหวังในความรัก และมีการแข่งขันเพื่อเอาชนะกัน (มักใช้กับศิลปิน) การมบอันเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวมีการกระทำหลายวิธี ตามแต่การกระทำนั้นต้องการให้หนักเบาเพียงใด ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้กระทำ ความเชื่อในเรื่องมบนี้ชาวภาคใต้เชื่อกันอย่างกว้างขวางในสมัยโบราณ ดังจะเห็นได้จากสำนวนเปรียบเทียบที่เกี่ยวกับการ "มบ" อยู่หลายสำนวน เช่นเปรียบเทียบคนที่เซื่องซึมไม่กระฉับกระเฉงว่า "นั่งซึมเหมือนถูกมบ" เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการบ้าๆ บอๆ ว่า "บ้าเหมือนคนถูกมบ" บางครั้งเปรียบเทียบหนังตะลุงหรือโนราที่เคยแสดงดี แล้วมีสักครั้งที่แสดงไม่ดี มักจะเปรียบเทียบว่า "คืนนี้เล่นเหมือนถูกมบ" เป็นต้น
===>>  การมบมีหลายวิธีและมีหลายระดับตามความต้องการของผู้ทำดังนี้
****************************************
1. มบเพื่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมานและถึงตาย
****************************************
การมบวิธีนี้มีความรุนแรงที่สุด เชื่อว่าถ้าฝ่ายตรงกันข้าม (ศัตรู) ไม่ทำให้ถึงน้ำตาตกแล้วจะไม่ใช้วิธีมบในระดับนี้เป็นอันขาด สาเหตุของการมบนั้นเกิดจากความอาฆาตแค้นเป็นการส่วนตัวยากที่จะให้อภัยกันได้ วิธีที่ใช้มบมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น
===>>>   มบด้วยการฝังรูป
โดยหมอไสยศาสตร์จะเอาขี้ผึ้งรังร้างมาปั้นเป็นรูปคน แล้วใช้หนามที่แหลมคมมาแทงตามแขนขา หน้าอกแล้วห่อด้วยผ้าขาวที่เขียนชื่อ นามสกุล ของศัตรู เสกคาถากำกับแล้วนำไปฝังไว้ในน้ำครำ ทางสามแพร่งหรือในป่าช้า ถ้าฝังในป่าช้าให้เอาปลามีหัวมีหางไปเซ่นไหว้เจ้าเปรว (เจ้าป่าช้า) เสียก่อน ถ้าต้องการให้ศัตรูเจ็บปวดทรมานฝังให้ลึกลงไป 1 คืบ ถ้าต้องการให้ตายก็ฝังลงไป 1 ศอก เชื่อว่าศัตรูจะตายสมความปรารถนาของผู้มบ
===>>>   มบด้วยไม้เสียบผี
ไม้เสียบผีเป็นไม้ชนิดหนึ่งทำด้วยไม้ไผ่ทั้งลำ ไว้สำหรับค้ำโลงศพเมื่อนำศพขึ้นสู่เชิงตะกอน วิธีมบ หมอไสยศาสตร์จะเลือกเอาไม้เสียบผีของคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร (เชื่อว่าผีแรง) ตัดเอามาเพียงปล้องเดียว แล้วใช้หนังวัว หนังควายหรือผ้าขาวม้าอย่างใดอย่างหนึ่ง เขียนชื่อและนามสกุลของศัตรู แล้วทำพิธีเสกคาถากำกับลงบนแผ่นหนังหรือผ้าที่เขียนชื่อนั้น แล้วจุกลงกระบอกไม้เสียบผี นำไปฝังในสถานที่เดียวกับการมบแบบฝังรูป วิธีการและผลที่ได้รับก็เช่นเดียวกับวิธีแรก
===>>>   มบด้วยตะปูตอกโลงศพ
โดยหมอไสยศาสตร์เอาตะปูที่ตอกโลงศพตายโหงมาจากเชิงตะกอน ทำพิธีเสกคาถากำกับเสร็จแล้วนำตะปูนั้นไปตอกที่ต้นไม้ใหญ่ในบริเวณป่าช้า ก่อนตอกตะปูให้ว่า "โอมกูจะล้าง (ออกชื่อศัตรูคนที่จะมบ)" แล้วก็ตอกตะปูนั้น ถ้าต้องการให้เจ็บปวดทรมานให้ตอกตะปูเพียงครึ่งเดียว ถ้าต้องการให้ตายให้ตอกจนจมมิดหัวตะปู เชื่อว่าศัตรูจะตายในไม่ช้า
===>>>   มบด้วยกระดานท้องโลง
โดยหมอไสยศาสตร์จะสับเอากระดานท้องโลงศพที่สัปเหร่องัดทิ้งไว้ในป่าช้ามาเพียงเท่านิ้วก้อยแล้วห่อผ้าขาวที่เขียนชื่อและนามสกุลของศัตรูเรียบร้อยแล้วนำไปเผาไฟ ถ้าต้องการให้เจ็บปวดทรมานก็เผาให้พอผ้าขาวที่ห่อเป็นสีน้ำตาลอย่าให้ไหม้ ถ้าต้องการให้ตายก็เผาไฟให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
**************************************
2. มบเพื่อต้องการให้เสียสติหรือเป็นบ้า
**************************************
สาเหตุของการมบในระดับนี้เนื่องมาจากไม่สมหวังในความรักเป็นส่วนใหญ่ เช่น ฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ผู้หญิงไม่รักด้วย ฝ่ายชายจะมบให้ผู้หญิงคนนั้นเสียสติหรือเป็นบ้า หรือชายกับหญิงรักกันแต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ชอบฝ่ายชาย ต้องการให้ผู้หญิงแต่งงานกับคนที่ตนเองชอบ ฝ่ายชายเห็นว่าเมื่อตัวเองไม่ได้แล้วชายอื่นก็ไม่ต้องได้ด้วย ก็มบให้บ้าเสียเช่นเดียวกัน การมบในระดับนี้ส่วนใหญ่แล้วฝ่ายผู้ชายจะเป็นคนทำมบฝ่ายผู้หญิง วิธีมบที่นิยมใช้กันเช่น
===>>>   มบด้วยสะเก็ดไม้
โดยหมอไสยศาสตร์จะหาสะเก็ดไม้ตะเคียนที่ตกมันมา 1 อัน เสกคาถากำกับพร้อมออกชื่อผู้ถูกมบ แล้วเป่าที่สะเก็ดไม้นั้น ให้ใครก็ได้นำสะเก็ดไม้ที่เสกแล้วไปฝังไว้ในบริเวณบ้านของคนที่จะให้ถูกมบ เชื่อว่าผู้ถูกมบจะมีอาการเซื่องซึมและเป็นบ้าไปในที่สุด
===>>>   มบด้วยเสื้อผ้า
โดยหมอไสยศาสตร์จะต้องพยายามเอาเสื้อผ้า (เสื้อ กางเกง ผ้าถุง หรือผ้าเช็ดหน้า) ของผู้ที่จะถูกมบมาให้ได้ โดยมิให้เจ้าของหรือคนใกล้ชิดรู้ เสร็จแล้วนำเสื้อผ้านั้นมานั่งเสกคาถากำกับ แล้วแอบนำไปคืนให้เจ้าของ เมื่อเจ้าของสวมใส่หรือใช้เสื้อผ้านั้นแล้วจะมีอาการเซื่องซึมและเป็นบ้า การมบด้วยวิธีนี้ถ้าผู้ถูกมบรู้ตัวเสียก่อน ไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่เสกแล้วนั้น ก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆ
===>>>   มบด้วยดินรอยเท้า 
โดยหมอไสยศาสตร์ขุดเอาดินรอยเท้าของผู้ที่จะถูกมบใส่ภาชนะแล้วนั่งบริกรรมคาถา เสร็จแล้วนำดินรอยเท้าที่เสกคาถาแล้วนั้นไปโปรยที่ทางน้ำไหล ที่น้ำวน หรือทางสามแพร่ง เชื่อว่าผู้ถูกมบจะเสียสติและบ้าไปในที่สุด
===>>>   มบด้วยลูกสะบ้า
โดยหมอไสยศาสตร์หาลูกสะบ้าที่แก่จัดมา 1 ลูก เขียนชื่อและนามสกุลของผู้ที่จะให้ถูกมบลงบนเปลือกสะบ้า แล้วหมอไสยศาสตร์นั่งบริกรรมคาถา เอาลูกสะบ้าหมุน 3 ครั้งแล้วนำลูกสะบ้านั้นไปทิ้งลงในบ่อร้าง เชื่อว่าผู้ถูกมบจะเสียสติและเป็นบ้าไปในที่สุด
****************************************************
3. มบเพื่อให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมความนิยมจากปวงชน
****************************************************
การมบในระดับนี้มักจะกระทำกันในวงการศิลปิน เช่น หนังตะลุง โนรา เป็นต้น เพื่อให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและความนิยมของประชาชน วิธีมบทำได้หลายแบบตามแต่หมอไสยศาสตร์จะเห็นว่าเหมาะกับโอกาสและสถานที่ โอกาสที่จะมบกันส่วนใหญ่มักจะเป็นการแข่งขันประชันโรงเพื่อหวังแพ้ ชนะ การมบที่ใช้กัน เช่น
===>>>   มบด้วยไข่ไก่
โดยเอาไข่ไก่ดิบ 1 ฟอง มาเขียนชื่อศิลปินฝ่ายตรงข้ามแล้วทำพิธีเสกคาถาว่า "โอม อุบอิบ อุบอับ โอมอุด มหาอุด" แล้วก็เป่าคำว่า "เพี้ยง" ลงไปที่ไข่ไก่ แอบเอาไข่ไก่ไปฝังไว้หลังโรงแสดงของฝ่ายตรงข้าม เชื่อว่าศิลปินที่ถูกมบนั้นจะว่ากลอนไม่ออกเหมือนกับไข่ไก่ที่อยู่ในเปลือกไข่ ถ้าหาทางแก้ไม่ได้เชื่อว่าหนังตะลุงหรือโนราคณะนั้นจะเสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆ
===>>>   มบด้วยลม
โดยหมอไสยศาสตร์นั่งทำพิธีมบบนโรงแสดงหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งโรงแสดงของคู่แข่งขัน เสกคาถาว่า "โอมพระพรหม พระยม พระนารายณ์ กูจะล้างด้วยฤทธิ์ด้วยแรงของพระพาย สิทธิสวาโหม" เสร็จแล้วเป่าลมพร้อมกับว่า "เพี้ยง" ไปทางทิศที่คู่แข่งขันอยู่ เชื่อกันว่าไฟที่ตามอยู่ที่โรงของฝ่ายตรงข้ามจะดับทันที ถ้าเป็นไฟฟ้าหลอดจะขาด ไม่ต้องแสดงกันในคืนนั้น ถ้าขืนแสดงคนในโรงจะทะเลาะวิวาทกัน ไม่สามารถรวมตัวกันแสดงได้ หรือไม่ก็จะทำให้นายโรงฉุนเฉียวไม่มีอารมณ์ที่จะทำการแสดง แล้วก็แพ้ไปในที่สุด หัวหน้าคณะหนังตะลุงหรือโนราบางรายหลังจากถูกมบแล้วขี้โมโหฉุนเฉียวจนแก้ไม่หาย แล้วเลิกเป็นศิลปินไปในที่สุด
===>>>   มบด้วยมดคัน
โดยหมอไสยศาสตร์จะไปนั่งตรงหน้าโรงหนังตะลุงหรือโนราคณะตรงข้ามในที่มุมมืดทำพิธีร่ายคาถาเรียกมดว่า "โอมมดคัน มหามดคัน มดคันทั้งหมดมานี่ มามา มารวมกันตรงหน้า มาช่วยกันกัด ด้วยแรงมหามด สรรพยะ สิทธิญา โอมมามา" แล้วหมอก็เป่าลมส่ายศีรษะวนไปมา เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วเชื่อว่าบรรดามดคันทั้งหลายจะมาชุมนุมกันหน้าโรงหนังตะลุงหรือโรงโนราคณะตรงกันข้าม จะกัดคนดูจนไม่สามารถนั่งหรือยืนดูอยู่ได้ต้องหนีไปดูคณะหนังหรือโนราที่ให้หมอมาทำมบ การทำมบด้วยวิธีนี้เป็นการทำมบเพื่อให้แพ้ชนะเป็นครั้งคราวเท่านั้น
===>>>   มบด้วยคางคก
โดยหมอไสยศาสตร์จับคางคกมาตัวหนึ่ง เขียนชื่อคณะหนังตะลุงหรือโนราที่มาทำการแข่งขันกับตนเองในกระดาษหรือใบไม้แห้งเล็กๆ แล้วเสกคาถาเช่นเดียวกับการมบแบบไข่ไก่ เสร็จแล้วพับกระดาษหรือใบไม้นั้นให้เล็กที่สุดยัดเข้าไปในปากคางคก แล้วปล่อยคางคกนั้นไป เชื่อว่าคณะหนังตะลุงหรือโนราที่ถูกมบด้วยวิธีนี้แล้วนั้นจะว่ากลอนไม่ออกเหมือนกับมีอะไรมาจุกปากเอาไว้
===>>>   มบด้วยมะนาว
โดยหมอไสยศาสตร์ใช้มะนาว 1 ผล นั่งบริกรรมคาถาอยู่บนโรงแสดงของฝ่ายตนว่า "โอมกูจะล้าง (ออกชื่อคณะตรงข้าม) กูจะลบ (ออกชื่อคณะตรงข้าม) กูจะกลบ (ออกชื่อคณะตรงข้าม) ให้มันสิ้นชื่อด้วยนะโมพุทธายะ" ขณะที่เสกคาถาอยู่นั้นให้เอามะนาวใส่ในอุ้งมือทั้ง 2 ข้าง คลึงให้หมุนวนไปพร้อมกับว่าคาถา เสร็จแล้วใช้มีดผ่ามะนาวนั้นบีบน้ำมะนาวลงบนพื้นดินเชื่อว่าจะทำให้หนังตะลุงหรือโนราคณะตรงข้ามเสียงเปรี้ยวเหมือนมะนาว จนผู้ชมฟังไม่ได้และลุกไปชมการแสดงของฝ่ายตน ถ้าแก้ไม่ได้หนังตะลุงหรือโนราคณะที่ถูกมบนั้นเสียงจะเลวลงไปเรื่อยๆ จนเสียชื่อเสียงและอาจเลิกเป็นศิลปิน การมบในระดับนี้มีหนังตะลุงและโนราหลายคณะในภาคใต้ที่เลิกเป็นศิลปินอาชีพเพราะเชื่อว่าคณะของตนถูกคู่แข่งมบจนทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยมไป
************************************************
การมบทั้ง 3 ระดับที่กล่าวแล้วถ้าหากรู้สาเหตุของการมบว่าผู้ทำมบ มบด้วยอะไร ฝ่ายผู้ที่ถูกมบก็สามารถที่จะหมอไสยศาสตร์มาแก้มบนั้นได้ การมบในปัจจุบันยังมีคนเชื่อกันอยู่มาก โดยเฉพาะคนในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ 
******************************************************
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ.2529 เล่ม 7 หน้าที่ 2713-2714
ผู้ให้ข้อมูล
จริน ศิริ การศึกษาบัณฑิต (ภาษาไทย) สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา
*********************************************
มบน้ำผึ้ง == ขนม
มบน้ำผึ้ง หรือ น้ำผึ้งมบ เป็นวิธีทำน้ำตาลชนิดหนึ่ง สามารถเก็บไว้กินได้นานวัน นิยมใช้เป็นของฝากญาติมิตร ถ้าส่งขายสมัยก่อนใส่ในกระบอกน้ำตาลหรือปล้องไม้ไผ่ชนิดแห้ง แต่สมัยนี้ใส่ปี๊บ
วิธีทำ
เอาน้ำตาลสดใส่กระทะตั้งไฟเคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา กวนให้น้ำตาลแห้งและเอา "หัวกวน" (ไม้กวน) ขยี้น้ำตาลไปรอบกระทะเรียกว่า "ตีเชื้อ" เพื่อให้น้ำตาลมีสีขาว ขยี้มากเท่าไร น้ำตาลจะขาวมากเท่านั้น เมื่อเห็นว่าน้ำตาลเกือบจะแห้งดีแล้วก็ตักเทลงในกระบอก หรือภาชนะที่จะใส่ 
*************************************************
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ.2529 เล่ม 7 หน้าที่ 2714
ผู้ให้ข้อมูล
ประทีป ไชยรัตน์ สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา
*************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น