วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คุณแม่คนใหม่-ใส่ใจสุขภาพ-เชื่อ (ผิดๆ) แบบนี้...ไม่ดีแน่ !!

คุณแม่คนใหม่-ใส่ใจสุขภาพ-เชื่อ (ผิดๆ) แบบนี้...ไม่ดีแน่ !!
โลกเปลี่ยน วิทยาการเปลี่ยน ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ (และการคลอด) อีกมากมายที่ไม่ยอมเปลี่ยน
===>   ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณ เริ่มตั้งแต่พออยากจะมีลูก ก็ต้องไปบนบานศาลกล่าวขอลูกกับหลวงพ่อหรือศาลเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พอกราบไหว้หลวงพ่อเสร็จก็คงสบายใจ รังไข่เลยทำงานดี ทำให้ท้องสมใจ หลวงพ่อท่านนั้นก็เลยดังไม่รู้เรื่อง มีผู้คนไปกราบไหว้ขอลูกกันเป็นแถว ทั้งๆ ที่ตัวการที่ทำให้มีลูกสมใจ ก็คือ สามีที่บ้านนั่นแหละครับ ไม่ใช่หลวงพ่อที่ไหนหรอก
บางรายเชื่อว่าถ้าได้ไปลอดท้องช้างแล้วจะมีลูกและอายุยืนยาวซะด้วย เกิดบังเอิญวันนั้นช้างตกมัน อารมณ์หงุดหงิด ก็เลยถูกช้างเหยียบแบนแต๊ดแต๋ อายุสั้นหมดโอกาสจะมีลูก แถมได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ มาดังเอาตอนตายนี่เอง
พอเริ่มตั้งครรภ์คนโบราณก็ห้ามทำบาป เช่น ฆ่าสัตว์ ตกปลา และห้ามไปงานศพ เพราะกลัวจะทำให้จิตใจไม่สบาย เดี๋ยวลูกจะไม่แข็งแรง ตามต่างจังหวัดบางแห่ง พอเริ่มตั้งครรภ์ก็จะมีการ ทำพิธีผูกข้อมือด้วยด้ายหรือสายสิญจน์ โดยเชื่อว่าจะคุ้มครองลูกในท้องให้ปลอดภัย แคล้วคลาดจากภูติผีปีศาจและอันตรายทั้งปวง ปัจจุบันนี้ก็ยังพบได้พอสมควรที่เวลามาคลอด มีสายสิญจน์หรือด้ายผูกข้อมือแม่มาด้วย
===>   ว่าด้วยสะดือ เพศ และเพศสัมพันธ์ !
เรื่องเพศของลูกก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนอยากรู้ทั้งนั้น ในสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องอัลตร้าซาวนด์ก็มีการทำนายเพศกันล่วงหน้าโดยการดูลักษณะของสะดือแม่ ถ้าสะดือหงายก็เป็นชาย สะดือคว่ำก็เป็นหญิง ปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่เยอะทีเดียวครับ ตอนลูกผมใกล้คลอด ผมยังพูดเล่นๆ กับภรรยาเลยว่า สงสัยลูกเราคงเป็นกะเทย เพราะสะดือของภรรยาแบนราบไม่คว่ำไม่หงาย ก็เลยกลายเป็นเพศกำกวม บอกไม่ได้ว่าจะเป็นเพศอะไรกันแน่
เรื่องเพศสัมพันธ์ก็เป็นอีกเรื่องที่สามีภรรยาจำนวนมากมีความเชื่อผิดๆ ว่าต้องงดเด็ดขาดหลังจากตั้งครรภ์แล้ว เพราะอาจทำให้ลูกแท้งหรือพิการได้ ผลก็คือสามีแอบไปผ่อนคลายนอกบ้านมีภรรยาน้อย หรือติดเอดส์มาก็ตอนภรรยาตั้งครรภ์นี่แหละ
ผมเจอคนไข้ที่มาฝากครรภ์หลายรายทีเดียวที่พอถามถึงสามีก็ได้รับคำตอบว่า พอตั้งครรภ์ได้ไม่นานสามีก็แยกทางกัน แล้วก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่แน่ใจว่าเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่า...ที่จริงแล้ว การตั้งครรภ์ไม่ใช่ข้อห้ามสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ สามารถมีได้ตามปกติ เพียงแต่ควรปฏิบัติด้วยความนุ่มนวลและหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณมดลูกเท่านั้น
ท่าที่เหมาะสมที่ทางการแพทย์แนะนำก็คือสามีอยู่ด้านหลังภรรยา หรือภรรยาเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน และควรงดในเดือนสุดท้ายก่อนคลอด เพราะภรรยาคงจะอึดอัดแน่นท้องมากแล้วและเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด สำหรับในช่วงแรกถ้าภรรยามีอาการแพ้ท้องมากก็ควรงดเช่นกัน เพราะร่างกายกำลังอ่อนเพลียมาก คงต้องการการพักผ่อนมากกว่า
ปัจจุบันแม้ว่าวิทยาการด้านการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าไปมาก จนทำให้การตั้งครรภ์และการคลอดมีความปลอดภัยสูง แต่คุณแม่ทุกคนก็ยังมีความวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของทั้งลูกและตัวเองทั้งนั้น ยิ่งในสมัยโบราณความหวาดกลัวต่อการคลอดลูกก็ยิ่งมีมาก เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่ทันสมัย ทำให้อัตราการตายทั้งแม่และลูกค่อนข้างสูงจนมีผู้เปรียบเทียบการคลอดลูกเหมือนกับการออกไปรบกับข้าศึก จะมีชีวิตกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้...
ด้วยเหตุนี้คนสมัยก่อนจึงต้องพยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม และข้อปฏิบัติต่างๆ ที่จะทำให้การตั้งครรภ์และการคลอดดำเนินไปอย่างปลอดภัย จากนั้นก็พยายามถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ต่อกันมาเป็นทอดๆ ด้วยความปรารถนาดีที่จะให้รุ่นลูกรุ่นหลานปฏิบัติตาม จนในที่สุดก็เกิดเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน... ความเชื่อเหล่านี้บางอย่างก็มีประโยชน์ บางอย่างก็ดูไร้เหตุผล และหลายๆ อย่างก็ถูกดัดแปลงหรือเพิ่มเติมไปตามยุคสมัย เราลองมาดูความเชื่อต่างๆ ที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดในบ้านเราว่ามีอะไรกันบ้างดีกว่าครับ
===>   ความเชื่อเรื่องอาหารการกิน...
เรื่องอาหารการกินสำหรับคนท้อง ก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป บางแห่งห้ามกินเนื้อสัตว์และไข่ ถ้าคุณแม่เชื่ออย่างนี้ ลูกก็คงคลอดออกมาตัวเล็กนิดเดียว เพราะขาดโปรตีนซึ่งเป็นอาหารหลักที่ช่วยในการเจริญเติบโต
บางคนก็เชื่อว่าถ้าอยากให้ลูกมีผิวขาว ห้ามกินอาหารที่มีสีดำ เช่น เฉาก๊วย โอเลี้ยง เป็นต้น ผมเห็นแม่ค้าเฉาก๊วยในตลาดกินเฉาก๊วยทุกวัน ลูกก็ผิวขาวทุกคน ก็ทั้งพ่อและแม่เป็นคนจีนทั้งคู่ ยังไงๆ ลูกก็ต้องผิวขาวอยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่เป็นนิโกร ถึงจะดื่มนมสดทุกวันลูกก็ต้องผิวดำอยู่ดี สรุปก็คือ จะดำหรือขาวอยู่ที่พันธุกรรมมากกว่าครับ
บางรายเชื่อว่า ถ้าให้แม่ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนมากๆ จะทำให้ลูกมีผิวสวยและช่วยล้างไขตามตัวออกด้วย ความจริงไขตามตัวเด็กจะหลุดลอกออกไปเอง เมื่อครบกำหนดคลอด แต่ถ้าเด็กคลอดก่อนกำหนดมากๆ จะมีไขขาวๆ ติดตามผิวหนังทั่วตัว เพราะไขยังไม่ทันหลุดลอกก็คลอดซะก่อนแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมะพร้าวสักหน่อย
===>   ไม่ต้องฝากครรภ์ก็ได้จริงหรือ?
คุณแม่หลายรายมาฝากท้องเอาตอนใกล้คลอดแล้ว บางรายไม่เคยฝากท้องเลย มาโรงพยาบาลเอาตอนเจ็บท้องใกล้จะคลอดอยู่แล้ว คุณแม่กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักจะมีการศึกษาน้อย และไม่ทราบความสำคัญของการฝากครรภ์ มีความเชื่อผิดๆ ว่าถ้าไม่มีอาการผิดปกติไม่ต้องฝากครรภ์ก็ได้ ทำให้ลูกขาดการดูแลด้านโภชนาการอย่างถูกวิธี แม่ไม่ได้รับยาบำรุงเลือดอย่างพอเพียง ทำให้เลือดจางกว่าปกติมาก นอกจากนี้ถ้ามีโรคติดต่อบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์ก็อาจทำให้ลูกเกิดความพิการได้ เช่น โรคซิฟิลิส หัดเยอรมัน โรคเอดส์ รวมทั้งอาจไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้ทันท่วงทีอีกด้วย
การฝากครรภ์ในปัจจุบันสูติแพทย์นิยมใช้เครื่องอัลตร้าซาวนด์ในการตรวจดูทารกในครรภ์เพื่อติดตามการเจริญเติบโตเป็นระยะๆ คุณแม่หลายคนยังมีความกังวลต่อการตรวจด้วยเครื่องมือชนิดนี้ และมักจะถามอยู่เสมอว่าการตรวจด้วยอัลตร้าซาวนด์บ่อยๆ จะทำให้ลูกพิการหรือมีผลเสียอะไรหรือไม่ ผมก็ขอให้คุณแม่ทั้งหลายสบายใจได้ครับว่า จากการศึกษาติดตามมาเป็นระยะเวลายาวนานสามารถยืนยันได้ว่าปลอดภัย ไม่มีอันตรายหรือผลเสียต่อทารกในครรภ์ คุณแม่บางรายเข้าใจผิดว่าเครื่องอัลตร้าซาวนด์อาจมีรังสีคล้ายเครื่องเอ็กซเรย์ ความจริงแล้วเป็นคลื่นเสียงความถี่สูงเช่นเดียวกับคลื่นวิทยุแต่อ่อนกว่ามาก ไม่มีรังสีเอ็กซเรย์เลยครับ
===>   สารพันความเชื่อระหว่างและหลังคลอด
สำหรับในช่วงที่คลอดลูกก็ยังมีความเชื่อหลายอย่างแตกต่างกันไป ความเชื่อส่วนใหญ่ก็เพื่อช่วยทำให้เกิดขวัญและกำลังใจในระหว่างการคลอด เช่น การดื่มน้ำมนต์จะช่วยทำให้ไม่เจ็บครรภ์และคลอดง่าย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพียงแต่น้ำมนต์ควรทำมาจากน้ำที่สะอาดจะได้ไม่ท้องเสียภายหลัง
หลังจากคลอดแล้วก็จะมีข้อปฏิบัติตามความเชื่อแตกต่างกันไป ของคนไทยเราก็จะมีการอยู่ไฟ อบสมุนไพร ซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับการคลอดแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลหรือศูนย์อนามัย เพราะคนไข้ต้องทนทรมานจากความร้อนของกองไฟหรือเตาถ่านที่เอามาไว้ข้างๆ ที่นอน รวมทั้งกลิ่นของสมุนไพรทั้งหลายที่อาจรบกวนคนรอบข้างได้
สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนก็จะมีการอยู่เดือน คือให้อยู่แต่ชั้นบนของบ้าน ไม่ให้ไปไหน ห้ามอาบน้ำสระผมเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนก็คงรู้สึกไม่สบายตัวพอสมควร หลังคลอดแล้วคุณแม่ควรที่จะได้ดูแลตัวเองให้มีความสบายสดชื่น ได้รับอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง จะไดมีกำลังไว้เลี้ยงดูลูกและมีน้ำนมให้ลูกได้อย่างสมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ
คุณแม่หลังคลอดสามารถกินอาหารได้ทุกอย่าง ไม่มีของแสลงนะครับ ถ้าจะมีของแสดงก็คงเป็นพวกเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ รวมทั้งอาหารหมักดองทั้งหลายที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น
ในบ้านเรายังมีความเชื่อผิดๆ อีกอย่างก็คือ การให้กินยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลาหลังคลอด เพราะมีความเชื่อว่าน้ำคาวปลาคือของเสียที่ต้องขับออกมาให้มากๆ ทำให้มีสตรีหลังคลอดเป็นจำนวนมากต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะตกเลือดจากการกินยาขับน้ำคาวปลานี่แหละ บางรายถึงกับช็อกหมดสติ ต้องให้เลือดช่วยชีวิตกันแทบไม่ทันทีเดียว
ความจริงน้ำคาวปลาก็คือเลือดดีๆ ที่ไหลซึมจากแผลในโพรงมดลูกตรงตำแหน่งที่รกลอกตัวออกไป ซึ่งร่างกายต้องพยายามทำให้หยุดโดยเร็วก่อนที่เลือดจะหมดตัวซะก่อน โดยการให้มดลูกหดรัดตัวบีบเส้นเลือดในมดลูกให้เลือดไหลน้อยลงจนหยุดไปเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพยายามขับน้ำคาวปลาให้ออกมาเยอะๆ นะครับ เพราะนอกจากจะเสียเลือดเพิ่มโดยไม่จำเป็นแล้ว บรรดายาขับน้ำคาวปลาหรือยาดองทั้งหลายมักมีแอลกอฮอล์ผสม ซึ่งจะผ่านออกมาในน้ำนมได้ ทำให้ลูกดูดนมที่มีแอลกอฮอล์ปนออกมาด้วยก็เลยเมาหลับปุ๋ยตั้งแต่แรกเกิด บางคนอาจจะชอบเพราะเลี้ยงง่ายดีไม่งอแง แต่สมองที่หลับไหลไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด จะทำให้ลูกลดความเฉลียวฉลาดลงไปเยอะทีเดียว และแอลกอฮอล์อาจทำให้ตับของลูกทำงานผิดปกติ สร้างสารแข็งตัวของเลือดได้น้อยลง จนอาจมีเลือดออกตามส่วนต่างๆ ของลูกจนทำให้เสียชีวิตได้
< < <   น่ารักต้องบอกว่าน่าชัง?   > > >
===>   เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างที่พอเห็นหน้าลูกที่คลอดออกมาใหม่ๆ แล้ว เวลาจะชมว่าลูกน่ารักก็ต้องบอกว่าหน้าตาน่าเกลียดน่าชัง ห้ามบอกว่าลูกน่ารัก สวยงาม หรือหล่อเด็ดขาด เพราะคนโบราณกลัวว่าผีจะมาได้ยินและรู้ว่าบ้านนี้มีเด็กน่ารักมาเกิดจะมาเอาตัวไป คนสมัยก่อนถือมากนะครับ ไปเยี่ยมบ้านไหนก็ต้องบอกว่าลูกน่าเกลียดน่าชังกันทั้งนั้น จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนเชื่อเรื่องนี้อยู่อีกมากพอสมควร ดังนั้นถ้าจะไปเยี่ยมใครก็ต้องสืบถามดูให้ดีว่ายังเชื่อในเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า เพราะถ้าเกิดเจ้าของข้านเลิกเชื่อแล้ว แต่เราไปบอกว่าลูกเค้าน่าเกลียดอาจจะถูกต่อว่าหรือไม่พอใจเอาได้
===>   ความเชื่อของคนสมัยก่อนยังมีอีกมากมายสารพัด ที่ยกตัวอย่างมาให้ดูเป็นเพียงบางเรื่องที่ยังพอมียึดถือปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ความเชื่อบางอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นหรือเลิกปฏิบัติไปแล้วก็มี เช่น เวลาคลอดที่บ้านต้องเปิดประตูหน้าต่าง ไขตู้ลิ้นชักเปิดให้หมด ห้ามนั่งคาประตูหรือขวางบันได เพื่อเป็นการถือเคล็ดให้คลอดง่าย เป็นต้น สมัยนี้ขืนเปิดบ้านไว้โล่งอย่างนี้ขโมยคงเข้ามากวาดทรัพย์สินเกลี้ยงบ้านแน่
< < <   ยาบำรุงทำให้อ้วน...?   > > >
===>   คุณแม่หลายรายเวลามาตรวจครรภ์ ผมถามว่ายาบำรุงหมดหรือยัง คำตอบที่ได้ก็คือ ยังเหลืออีกเยอะ แล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกที ทั้งๆ ที่ผมก็ให้ยาไปนิดเดียว พอถามว่าทำไมถึงไม่กินยาก็ได้รับคำตอบกลับมาว่ากลัวอ้วน เพราะเคยเห็นญาติที่มาฝากครรภ์กินยาบำรุงที่หมอให้ไปแล้วอ้วนมาก ก็เลยเชื่อว่าคงจะอ้วนเพราะยาบำรุงแน่ๆ 
นี่ก็เป็นความเชื่อที่ผิดอีกเช่นกัน
===>   ยาบำรุงที่ได้รับตอนฝากครรภ์จะเป็นยาบำรุงจำพวกเหล็กและวิตามินที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ ช่วยทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงดีขึ้น เป็นผลดีต่อตัวคุณและทารกในครรภ์โดยตรง ไม่ได้ทำให้อ้วนแม้แต่น้อย แต่ที่เห็นอ้วนๆ กันนั้นเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายอมน้ำได้มากขึ้น เนื้อหนังจึงดูเต่งตึงกว่าปกติ นอกจากนี้คนท้องจะเจริญอาหาร ทำให้กินเก่ง กินบ่อย และนอนหลับง่ายขึ้น ก็เลยอ้วนได้ง่าย เพราะฉะนั้นเวลามาฝากท้อง ยาบำรุงที่ได้รับมาต้องกินอย่างสม่ำเสมอนะครับ ถ้าไม่อยากอ้วนมากก็ใช้วิธีควบคุมอาหารเอาแล้วกัน
< < <   เชื่อผิดๆ แบบยุคใหม่ น่าห่วงใยกว่า   > > >
===>   เชื่อว่าผ่าตัดคลอดดีกว่า...
===>   ความเชื่อของคนรุ่นก่อนๆ จะว่าไปแล้วบางอย่างก็มีข้อดีคือ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีความสบายใจขึ้น บางอย่างก็อาจมีโทษบ้าง แต่ก็ยังไม่มีอันตรายเท่ากับความเชื่อบางอย่างในปัจจุบัน ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าความเชื่อใหม่ๆ เหล่านี้เริ่มกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่นับวันก็จะยิ่งแพร่หลายออกไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เป็นความเชื่อที่ผิด นั่นก็คือปัจจุบันนี้ในประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรามีคุณแม่และคุณหมอบางกลุ่มเชื่อว่าการคลอดโดยการผ่าตัดทำคลอดดีกว่าการคลอดเองทางช่องคลอด ทั้งๆ ที่การคลอดโดยการผ่าตัดมีอันตรายกว่าการคลอดเองมาก ไม่ว่าจะเสี่ยงต่อการดมยาสลบ เสียเลือดมากกว่าทำให้เกิดพังผืดในช่องท้อง เสียค่าใช้จ่ายมาก และมีโอกาสที่ลูกจะไม่แข็งแรงจากการคลอดก่อนกำหนดด้วย
===>   ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราการผ่าตัดคลอดจะลดลงตามลำดับ ประเทศญี่ปุ่นจัดว่าเป็นประเทศที่มีการผ่าตัดคลอดต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง มีการผ่าตัดทำคลอดไม่ถึงร้อยละ 10 ของการคลอดทั้งหมด เพราะชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการคลอดโดยวิธีธรรมชาติจะทำให้ได้ประชากรที่แข็งแรงและเฉลียวฉลาดที่สุด ซึ่งคุณภาพประชากรของญี่ปุ่นก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความถูกต้องของความเชื่อนี้อย่างไม่มีข้อกังขา ผิดกับในบ้านเราที่นับวันตัวเลขการผ่าตัดทำคลอดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนน่ากลัวว่าในอนาคตอาจจะหาคนไทยที่เกิดมาโดยวิธีธรรมชาติได้ลำบากเต็มที
===>   เชื่อเรื่องฤกษ์ยามในการคลอด...
===>   ความเชื่ออีกอย่างที่คู่มากับการผ่าตัดทำคลอดก็คือ ความเชื่อที่ว่าลูกจะแข็งแรง เป็นคนเก่งคนดี ถ้าได้คลอดตามฤกษ์ที่กำหนดเอาไว้ เดี๋ยวนี้ก็เลยมีการผ่าตัดทำคลอดตามฤกษ์ระบาดเพิ่มขี้นมาอีก แล้วส่วนใหญ่ "ฤกษ์ดี" ที่บรรดาโหราจารย์ทั้งหลายดูมาให้ก็มักจะเป็นเวลาที่วิปริตผิดธรรมชาติทั้งสิ้น ยิ่งเป็นเวลาพิสดารเท่าไรก็ยิ่งถือว่าโก้หรูเท่านั้น เช่น เวลาเช้ามืดที่คนทั่วไปยังไม่ตื่นนอน หรือเวลาดึกสงัดที่คนปกติควรจะนอนหลับพักผ่อนกันไปหมดแล้ว ยิ่งถ้าได้วันหยุดหรือวันสำคัญก็ยิ่งขลังใหญ่
===>   คุณแม่เหล่านี้ ไม่มีวันรู้หรอกครับเบื้องหลังฤกษ์เหล่านี้มีคนบ่นให้มากน้อยแค่ไหน ผมเคยเห็นตัวอย่างคนไข้ที่ดูฤกษ์มาผ่าคลอดตอนตี 3 ปรากฏว่าตั้งแต่คนงานถูพื้น พยาบาล หมอดมยา หมดเด็ก แม้แต่หมอสูติฯ บ่นกันทุกคน ผมยังนึกเลยว่าแล้วจะเป็นฤกษ์ดีได้ยังไง ขนาดยังไม่ทันคลอดก็มีแต่คนบ่นทั้งนั้น ปรากฏพอผ่าเอาเด็กออกเรียบร้อยมดลูกเกิดไม่ยอมหดรัดตัวตามปกติ คุณแม่ท่านนั้นต้องตกเลือดและช็อกเกือบตาย เพราะในเวลาผิดธรรมชาติแบบนั้นจะไประดมคนมาช่วยก็ไม่มีสักคน มีก็แต่หมอที่ผ่าตัดนั่นแหละที่ยืนหน้าซีดผ่าตัดห้ามเลือดอยู่คนเดียว เลือดก็มาช้า เพราะเจ้าหน้าที่มีน้อย ผลสุดท้ายถึงกับต้องตัดมดลูกทิ้งไป และต้องนอนห้องไอซียูอีกหลายวัน ให้เลือดไปอีกหลายสิบขวด หมดค่ารักษาไปอีกนับแสนบาท ไม่รู้ว่าพอหายแล้วจะกลับไปต่อว่าคนที่ให้ฤกษ์มารึเปล่า
===>   จากเรื่องทั้งหมดที่เล่ามา ผมแค่อยากจะฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านว่า การที่เราจะเชื่อสิ่งใดก็ควรจะพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ความเชื่อบางอย่างที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเราและลูก เมื่อเราได้รู้ถึงผลเสียแล้วก็น่าจะช่วยกันลบล้างความเชื่อเหล่านั้นทิ้งไปให้หมด... แต่อย่างว่าละครับ การจะลบล้างความเชื่อบางอย่างมักทำได้ลำบาก โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ได้รับผลประโยชน์อยู่บนความเชื่อเหล่านั้น
===>   แต่ผมก็ยังเชื่อว่าถ้าเราช่วยกัน สักวันหนึ่งการผ่าตัดทำคลอดในบ้านเราคงจะค่อยๆ ลดลง ไม่ต้องถึงขนาดญี่ปุ่นหรอกครับ แค่ลดลงมาสักครึ่งของที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็น่าพอในแล้ว... นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น