วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำธุรกิจ-ห้ามถือตนว่ารู้ดีแล้ว

ทำธุรกิจ-ห้ามถือตนว่ารู้ดีแล้ว

ยังไงก็ขอเริ่มพูดตั้งแต่ต้นดีกว่า

พ่อค้าย่อยหรือผู้ที่มีธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่มักก้าวขึ้นมาจากการเป็นลูกจ้าง จากลูกจ้างกลายมาเป็นพ่อค้าย่อย ถือว่าเป็นการก้าวขึ้นสู่ที่สูง เพราะการเป็นลูกจ้างกับการเป็นพ่อค้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลูกจ้างมีรายได้เป็นเดือนๆ แต่รายได้ของพ่อค้าไม่อาจคำนวณได้ตามปี บางทีต้องรอจนถึงเวลาที่จะอำลาจากเวทีการค้าแล้ว ถึงจะรู้ว่าได้กำไรหรือขาดทุน จุดหนึ่งที่ลูกจ้างไม่มีวันเข้าใจเลยคือ ไม่ว่าลูกจ้างจะฉลาดหรือประสบความสำเร็จเพียงใด ก็ยังไม่อาจรู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อค้าได้ จึงจำเป็นต้องศึกษาเสียตั้งแต่ต้น

ขอยกตัวอย่าง นายฉิน อี้ เฟย จากคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ "ซิ่นเป้า" ซึ่งเป็นผู้ที่เขียนบทความได้ดี และคลุกคลีอยู่ในวงการนิตยสาร โดยเป็นบรรณาธิการหนังสือ "พันกู่" และ "หนังสือพิมพ์กรรมกรรายสัปดาห์" ด้วย ตอนนี้เขากำลังเตรียมออกนิตยสารใหม่อยู่ พอเริ่มจะทำธุรกิจ มีกิจการของตนเองแล้ว ถึงได้รู้ว่าตนเองยังไม่สันทัดในหลายๆ เรื่อง ซึ่งก่อนนี้ไม่เคยสังเกตหรือสนใจมาก่อนเลย ดีว่ายังมีเวลาอีกนานกว่านิตยสารจะออก เขาไม่เพียงกล้าซักถามผู้รู้ทั้งยังเรียนรู้ได้เร็ว เชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่นอน ขนาดคนที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการทำนิตยสารถึงระดับนี้ ยังไม่ทราบว่าจะออกนิตยสารฉบับหนึ่งอย่างไรดี ฉะนั้น สำหรับคนอื่นแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ความแตกต่างระหว่างลูกจ้างกับพ่อค้าย่อย คือ ผู้ที่เป็นลูกจ้างไม่ว่าจะตั้งใจทำงานหรือรับผิดชอบงานได้ดีแค่ไหน เป้าหมายก็เพียงทำงานให้ดีเท่านั้น การมองปัญหาย่อมมองได้ไม่ทั่วถึงเท่า เพราะถูกจำกัดให้มองเพียงด้านเดียว ฝ่ายผลิตก็มุ่งแต่ผลิต ฝ่ายบัญชีก็มุ่งแต่ทำบัญชี ไม่สนใจส่วนได้ส่วนเสียเท่าใดนัก แน่นอน คนเราเมื่อนั่งเรือย่อมไม่อยากให้เรือล่ม ซ้ำหวังให้น้ำพยุงเรือไปได้ไกล แต่ไม่ว่าเรือจะขึ้นหรือลงตามน้ำ ลูกจ้างก็ไม่รู้สึกอะไร ขอยกตัวอย่างโรงงานผลิตของเล่นเด็กของต่างชาติ เฉพาะใบสั่งซื้อจากสถานที่เดียวก็มีผลกำไรมากมาย แต่เพราะผู้บริหารชั้นสูงโกงกินกัน ทำให้บริษัทแม่ในต่างประเทศล้มละลาย แม้ลูกจ้างจะทุ่มเททำงานขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถกู้โรงานนั้นได้

แต่การเป็นพ่อค้าที่มีกิจการขนาดเล็กไม่เป็นเช่นนั้น ทุกเรื่องในบริษัทไม่ว่าใหญ่เล็กล้วนตกอยู่ที่เขา บริษัทจะเจริญหรือล้ม จะกำไรหรือขาดทุนก็เป็นเรื่องของเขาทั้งสิ้น การเป็นพ่อค้าย่อยนั้น ไม่เพียงไม่มีเลขาเก่งๆ ช่วยเหลือดูแลงานในบริษัท ทั้งยังไม่มีเด็กเดินหนังสือที่จะเรียกใช้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยตัวเองทั้งสิ้น สภาพการทำงานเช่นนี้เป็นสิ่งที่ลูกจ้างไม่เคยชิน ดังนั้น เมื่อลูกจ้างกลายมาเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ แล้ว จำเป็นต้องมีเวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อศึกษาและปรับตัวใหม่ คนที่คิดว่าคนเองรู้ดี ตนเองทำธุรกิจเล็กๆ นี้ได้ ไม่ต้องศึกษาเรียนรู้อีกนั้น ผลมักจะปรากฏว่า พอก้าวไปแค่ก้าวแรกก็พังลงมา ซ้ำต้องเริ่มเรียนรู้จากความเจ็บปวดใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น