วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การใช้ยาลดความอ้วน

การใช้ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วน
..........ปัจจุบันการลดน้ำหนักโดยการรับประทานยาลดความอ้วนกำลังเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย โดยเฉพาะในคนที่อ้วนแล้วไม่สามารถควบคุมการกินอาหาร หรือไม่ชอบออกกำลังกาย คนอ้วนเหล่านี้จึงจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นในการลดน้ำหนักแทน ซึ่งการรับประทานยาลดความอ้วนก็เป้นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว เพียงแต่รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นก็สามารถลดน้ำหนักได้ตามต้องการ

..........ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักโดยวิธีการกินยาลดความอ้วนนี้ จะเป็นวิธีที่ได้ผลก็ตาม แต่การใช้ยาเหล่านี้ควรจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาลดความอ้วนมีมากมายหลายประเภท มีขนาดและการใช้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ก่อนใช้ยาจึงควรมีความรู้หรือความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับผลของยาและการปฏิบัติตัวเสียก่อน เพราะหากใช้ยาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่สำคัญไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มารับประทานเอง

..........ก่อนจะรับประทานยาลดความอ้วน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกาย โรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำซึ่งควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า หรือประวัติการรับประทานยาลดความอ้วน, อาการที่เกิดขึ้นในระหว่างรับประทานยา เป็นต้น มีข้อห้ามใช้ยาลดน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ หากต้องการลดน้ำหนัก ควรทำหลังคลอดบุตรแล้วและรอให้ร่างกายแข็งแรงดีเสียก่อน

ยาลดน้ำหนัก ที่ใช้อยู่ทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. ยาทำให้ไม่อยากอาหาร
..........ยาในกลุ่มนี้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะมีผลทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลงอิ่มเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับอาหารน้อยลง และหากพลังงานที่ได้รับจากอาหารนี้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะต้องหันมาใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทน ก็เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

..........ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมการกินอาหารและบางชนิดยังมีฤทธิ์เพิ่มกลูโคสในกล้ามเนื้อ ผลนี้จะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายเบา ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น และยาบางชนิดยังออกฤทธิ์สลายไขมันอีกด้วย

..........ยาที่ทำให้ไม่อยากอาหาร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
..........1. Amphetamine เป็นยาดั้งเดิมซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ใช้เป็นยาสำหรับลดความอ้วนแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก เป็นอันตรายต่อร่างกายและที่สำคัญคือเสพติดได้ ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว
..........2. Amphetamine derivatives เป็นยาที่พัฒนามาจากยาในกลุ่มแรก ผลข้างเคียงน้อยลง และสามารถทำให้ไม่อยากอาหารและรับประทานได้น้อยลง ยาในกลุ่มนี้มีหลายตัว เช่น Ethylamphetamine, Diethylpropion, Phentermine HCL, Phentermine resin, Phendimetrazine, Mazindol, d-norpseudoephedine เป็นต้น
..........3. ยาอื่นที่ออกฤทธิ์ทำให้ไม่อยากอาหาร และมีผลข้างเคียงน้อย เช่น Phenylpropanalamine
..........ยาในกลุ่มดังกล่าวแต่ละชนิดมีข้อบ่งใช้และขนาดของยาที่รับประทานแตกต่างกัน บางชนิดออกฤทธิ์ได้นาน สามารถรับประทานเพียงวันละครั้งเท่านั้นแต่ออกฤทธิ์ได้ตลอดทั้งวัน ส่วนยาบางชนิดต้องรับประทานวันละหลายครั้งเพราะยาออกฤทธิ์สั้น ๆ ยาเหล่านี้สามารถลดความอยากอาหารได้ ทำให้รับประทานได้น้อยลง น้ำหนักตัวจึงลดลง แต่ก็มีข้อเสียคือยาเหล่านี้ไปนาน ๆ มักจะมีการดื้อยา ดังนั้นเมื่อรับประทานไปนาน ๆ ความรู้สึกเบื่ออาหารก็จะลดลง ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงมักใช้ยาที่ออกฤทธิ์แบบอื่นร่วมด้วย การรับประทานยาเหล่านี้อาจเกิดผลข้างเคียงได้ในบางคน เช่น ง่วงนอน, อ่อนเพลีย, ท้องผูก, นอนไม่หลับ, ปากแห้ง เป็นต้น อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อปรับขนาดยาใหม่หรือหยุดรับประทานยา

2. ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ
..........ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในพวกนักมวยที่ต้องการลดน้ำหนักให้เท่าพิกัดในระยะเวลาสั้น โดยมากแพทย์มักใช้ยานี้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง, ภาวะบวมน้ำ เป็นต้น ยาเหล่านี้หากใช้ในระยะยาว อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง กระหายน้ำ คอแห้ง ปากแห้ง เนื่องจากร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่และน้ำออกไปทางปัสสาวะ แต่ยาในกลุ่มนี้บางชนิดเป็นยาขับปัสสาวะที่สามารถสงวนเกลือแร่บางอย่างโดยเฉพาะโปแตสเซียมได้ จึงทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการขาดเกลือแร่ลดลง

3. ยาฮอร์โมน
..........โดยมากมักจะเป็น "ธัยรอยด์ฮอร์โมน" ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เมื่อพลังงานสะสมถูกใช้ไปมากขึ้นจึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่หากใช้ยาในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการใจสั่น, เหงื่อออกมาก หรือมีอาการคล้ายกับคนที่เป็นโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษได้

4. ยาระบายหรือยาถ่าย
..........ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ให้บีบตัว บางชนิดก็ทำให้อุจจาระอ่อนตัวหรือเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ยาในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ด หลังจากรับประทานแล้วจะรู้สึกอยากถ่ายและอุจจาระจะค่อนข้างเหลว เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ถ่ายยาก

5. ยาลดกรด
..........ยาลดกรดทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ยาลดกรดจะมีสารประกอบที่เป็นอะลูมินัม (Aluminum) ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบและบรรเทาอาการปวดท้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยานาน ๆ เช่น ท้องผูก หรือขาดสารอาหารบางอย่างเนื่องจากยาลดกรดไปรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะ fluoride และ phosphate เป็นต้น

6. ยาหรือสารเคมีที่ผลิตจากใยพืช
..........มักจะอยู่ในรูปของอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปรุงแต่งให้มีพลังงานต่ำ ส่วนประกอบทั่ว ๆ ไป คือ เส้นใยอาหาร, สารอาหารอื่น ๆ คือ คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน รวมทั้งเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆ เพื่อนำไปรับประทานแทนอาหารปกติ เพื่อลดปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารให้น้อยลง เนื่องจากเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเส้นใยอาหารจะพองตัว ทำให้เพิ่มปริมาตรของอาหารในกระเพาะ จึงทำให้รู้สึกไม่หิว และหากรับประทานก่อนมื้ออาหารประมาณ 1/2-1 ชม. ก็จะทำให้รับประทานอาหารอื่นได้น้อยลงและอิ่มเร็มขึ้น
..........ปัจจุบันมีการปรุงแต่งอาหารเหล่านี้ให้น่ารับประทานมากขึ้น มีทั้งที่เป็นอาหารซองสำหรับชงดื่ม, คุกกี้, ขนมเค้ก, เวเฟอร์, เม็ดหรือแคปซูล ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีปริมาณแคลอรี่แตกต่างกัน มักจะระบุไว้ที่ฉลาก ดังนั้นหากต้องการลดความอ้วนและเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้แทน ก็ควรจะพิจารณาเกี่ยวกับสารอาหารต่าง ๆ และปริมาณที่ได้รับด้วย เพราะหากได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนก็จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
..........เส้นใยอาหารยังช่วยขัดขวางการดูดซึมของไขมันด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

7. สารสกัดจากส้มแขก
..........ปัจจุบันได้มีการสกัดสารชนิดหนึ่งจากผลส้มแขกหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia Cambogia ซึ่งเชื่อว่ามีผลในการลดไขมันได้ ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนัก สารสกัดที่สำคัญที่ว่าก็คือ ไฮดรอกซีซิตริกแอซิด (Hydroxycitric Acid) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า HCA ซึ่ง อย. รับรองความปลอดภัยแล้วในลักษณะของ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" แต่ไม่ได้รับรองสรรพคุณในแง่ลดความอ้วน
..........ที่มาที่ไปของสาร HCA ที่ว่านี้ก็คือ เมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ Brandeis ได้ค้นพบว่า HCA ในส้มแขก สามารถยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดไขมันและโคเสลเตอรอลได้ เมื่อประกาศการค้นพบ นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ หลายคนก็เริ่มสนใจ HCA ในแง่การลดไขมันและโคเรสเตอรอล จากจุดนี้เอง จึงทำให้การศึกษาอย่างจริงจัง และพบว่า HCA ไม่ใช่กรดผลไม้ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแป้งจากอาหารไปเป็นไขมันได้
..........ในภาวะปกติ เมื่อรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเข้าไป ก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นกลูโคส ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารมากเกินไป กลูโคสที่เหลือก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน โดยอาศัยเอ็นไซม์ที่ชื่อว่า ATP-Citrate Lyase ไขมันที่เกิดขึ้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งหากรับประทาน HCA เข้าไป ก็จะมีผลไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ว่านี้ ดังนั้นแทนที่กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ก็กลับเปลี่ยนไปเป็นไกลโคเจนแทน สะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดไขมันในเลือดและโคเสลเตอรอลได้
..........แต่ในแง่การลดความอ้วนแล้ว จะพบว่า HCA มีผลในการลดน้ำหนักน้อยหรือไม่เห็นผลเลย สาเหตุที่ไม่ได้ผลอาจจะเป็นเพราะ HCA ยับยั้งเฉพาะอาหารประเภทแป้งได้เท่านั้น ดังนั้นหากรับประทานไขมันเข้าไป HCA ก็ไม่มีผลอะไรเลย

8.  แอบซอร์บิทอล (ABSORBITAL) 
..........ปัจจุบันมีการค้นพบเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่าไคโตซาน (Chitosan) ที่ได้จากส่วนนอกหรือเปลือกของสัตว์ เช่น เปลือกกุ้งหรือปู ซึ่งเมื่อนำมาย่อยสลายแล้วจะได้ไคโตซาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับไขมันได้ดี ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาอนุพันธุ์ของไคโตซานเพื่อให้สามารถจับกับไขมันได้ดีในทางเดินอาหารของมนุษย์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "แอบซอร์บิทอล" หรือ L112 ไบโอโพลิเมอร์ (Enhanced Chitosan Derivative) แอบซอร์บิทอลจะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ผิวสูง สามารถจับกับไขมันในทางเดินอาหารและรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนและสามารถถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ ปัจจุบันจึงมีการใช้แอบซอร์บิทอลในการควบคุมน้ำหนักและลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และโคเลสเตอรอลในเลือด การใช้แอบซอร์บิทอลนั้นควรระมัดระวังการขาดวิตามินบางชนิดได้ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น A, D, E และ K
..........แอบซอร์บิทอลจึงมีประโยชน์ในการลดการดูดซึมไขมันที่ได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ในคนที่ต้องการลดความอ้วนซึ่งมีไขมันสะสมอยู่มากตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งแอบซอร์บิทอลไม่สามารถกำจัดได้ จึงจำเป็นจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้น จึงจะมีการเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง และที่สำคัญก็คือแอบซอร์บิทอลไม่ได้มีส่วนในการกำจัดสารอาหารอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารจำพวกโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายเช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าแอบซอร์บิทอลจะช่วยกำจัดไขมันก็ตาม แต่หากต้องการจะลดน้ำหนักก็ควรจะควบคุมการรับประทานอาหารให้น้อยลงและหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น