วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น - ชื่อประเทศและเมืองหลวง

เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น - ชื่อประเทศและเมืองหลวง

[img]http://upic.me/i/ei/v_resize.jpg[/img]

มีผู้สนใจเรื่องญี่ปุ่นท่านหนึ่งสงสัยว่า ทำไมเราจึงเรียกประเทศญี่ปุ่นว่า "ญี่ปุ่น" ในเมื่อใครๆ
เขาเรียกกันว่า "เจแปน" และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เคยใช้ว่า "นิปปอน" ก็มี เรื่องชื่อ
ประเทศญี่ปุ่นนี่มีคำอธิบายยืดยาว เพราะเปลี่ยนเรียกกันหลายครั้ง พวกญี่ปุ่นเรียกอย่างหนึ่ง
คนต่างประเทศเรียกอย่างหนึ่ง คำว่า "นิปปอน" นั้นก็ยังมีเสียงที่ใช้เรียกคล้ายๆ กันอีกคำหนึ่ง
คือ "นิฮอน" ชื่อนี้เองที่ชาวจีนเรียกเป็น "ฟิเปน" ท่านผู้รู้ท่านว่า สำเนียงชาวจีนแต้จิ๋วเรียก
ญี่ปุ่นว่า "ยิดปุ๊น" แปลว่า มีต้นกำเนิดมาจากพระอาทิตย์ ฟังตามนี้จะเห็นว่าไทยเราเรียก
ญี่ปุ่นตามเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วนี่เอง แต่เพี้ยนจาก "ยิดปุ๊น" เป็น "ญี่ปุ่น"

[img]http://upic.me/i/s8/h_resize.jpg[/img]

ฝรั่งโบราณก็เคยเรียกชื่อ "ญี่ปุ่น" ออกไปแปลกๆ อย่างเช่น มาร์โคโปโลออกชื่อญี่ปุ่นว่า "ซีปันกุ"
คำว่า "ซีปัน" ใกล้กับคำว่า "เจแปน" มาก ส่วนคำว่า "กุ" ข้างท้ายนั้น เข้าใจว่าจะเอามาจากภาษา
ญี่ปุ่นนั่นเอง คือในภาษาญี่ปุ่นคำว่า "โกกุ" หมายถึงประเทศ ฉะนั้นคำว่า "ซีปันกุ" ก็คือประเทศซีปัน
หรือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

[img]http://upic.me/i/ic/o_resize.jpg[/img]

คำว่า "นิฮอน" ที่ใช้เรียกชื่อประเทศญี่ปุ่นนั้นกล่าวกันว่า เริ่มใช้เป็นทางการเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.670
ก่อนนี้ขึ้นไปก็เรียกกันแต่ว่าเป็นชาติยามาโตเท่านั้นเอง ชื่อเก่าชื่อแก่ของญี่ปุ่นอีกชื่อหนึ่งก็คือ อกิทสุชิมา
ซึ่งหมายถึง เกาะแห่งแมลงปอ ต้นเหตุที่จะมีชื่อเรียกกันอย่างนี้ มีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อ 2,600 ปีมาแล้ว
จักรพรรดิยิมมูได้เสด็จขึ้นไปบนยอดเขา แล้วทอดพระเนตรดูภูมิประเทศเมืองยามาโต ทรงพิจารณา
เห็นว่ารูปร่างของยามาโตเหมือนกับแมลงปอกำลังเลียหาง ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เรียกญี่ปุ่นว่า
"เกาะแห่งแมลงปอ" และชื่อนี้ได้เรียกคลุมไปถึงเกาะอื่นๆ ของญี่ปุ่นด้วย คือ รวมทั้งประเทศ เป็นชื่อ
รวมๆ หมายถึง "ญี่ปุ่น"

[img]http://upic.me/i/o8/3ri7l.jpg[/img]

เมื่อได้พูดถึงแมลงปอแล้ว ก็ใคร่จะเล่าเรื่องของแมลงปอไว้ด้วย เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของ
ญี่ปุ่นหลายอย่าง ในประเทศญี่ปุ่นก็แมลงปอมาก ตามที่นักค้นคว้ารุ่นเก่าของญี่ปุ่นได้สำรวจ ปรากฏ
ว่ามีแมลงปอในญี่ปุ่นถึง 50 ชนิด มีชื่อเรียกต่างๆ กัน ในหนังสือวรรณคดีของญี่ปุ่นมักจะกล่าวถึง
แมลงปอเสมอ

คนญี่ปุ่นสมัยเก่าเคยมีความเชื่อเกี่ยวกับแมลงปออยู่เรื่องหนึ่ง คือเขาเรียกแมลงปอชนิดหนึ่งว่า
"โชเรียว ทอมโบ" คำว่า "ทอมโบ" หมายถึง "แมลงปอ" โชเรียว ทอมโบ นี่เขาหมายถึงแมลงปอแห่ง
ความตาย หรือแมลงปอผี เชื่อกันว่าความตายขี่แมลงปอชนิดนี้ คือ เอาแมลงปอเป็นพาหนะเหมือนม้า
มีปีก ในเช้าวันที่ 13 จนถึงกลางคืนวันที่ 15 ของเดือนที่ 7 ซึ่งเป็นเทศกาลบอนของญี่ปุ่น แมลงชนิดนี้
จะต้องรับหน้าที่เป็นพาหนะรับวิญญาณของบรรพบุรุษมาเยี่ยมบ้าน เพราะฉะนั้นในระหว่างวันเหล่านี้
พวกเด็กๆ จึงถูกห้ามไม่ให้จับหรือทำร้ายแมลงปอ โดยเฉพาะแมลงปอชนิดที่เชื่อกันว่าเป็นพาหนะของ
วิญญาณบรรพบุรุษ ในบางตำบล ก็เชื่อกันว่า เด็กที่จับแมลงปอจะเป็นคนโง่ไม่มีความรู้ บางพวกยังมี
ความเชื่อต่อไปอีกว่า แมลงปอเคยเป็นพาหนะของพระอวโลกิเตศวร เพราะยังมีเงาหรือ อย่างที่เราเรียก
ว่า "พระฉาย" ติดอยู่

[img]http://upic.me/i/2s/02_resize.jpg[/img]

คนญี่ปุ่นหรือโดยเฉพาะพวกเด็กๆ ชอบจับแมลงปอมาเล่น นิสัยนี้มีมานานนับพันๆ ปีแล้ว พวกเด็กๆ
สนุกสนานกันมาก ร้องเพลงไปด้วย เพลงที่ร้องในเวลาจับแมลงปอมีมากมายหลายเพลง มีผู้รวบรวม
ไว้ซึ่งนับว่าเป็นบทเพลงโบราณที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงถึงชีวิตความเป็นอยู่สมัยโบราณได้ดีทีเดียว
การจับแมลงปอบางทีก็ใช้สวิงจับ บางทีก็ใช้ไม้เรียวเล็กๆ ผูกเชือกแกว่งไปมา เชือกก็จะพันปีกแมลงปอ
แต่ของไทยเราเห็นใช้มือโฉบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย เด็กไทยเราชอบเล่นพิเรนทร์ เมื่อจับแมลงปอ
มาได้แล้วก็มักจะเอาต้นหญ้าเสียบก้นแล้วปล่อยให้บินไป แมลงปอจะบินไม่สูง ไปไหนไม่ได้ บางทีก็ใช้
เชือกผูกหางยาวๆ เพื่อจะได้ไล่จับได้ง่ายๆ

เรื่องแมลงปอนี่นับว่าแปลกมากที่ชาวญี่ปุ่นดูจะเลื่อมใสศรัทธากันมากทีเดียว และเป็นแมลงที่ชาวญี่ปุ่น
นับถือมากกว่าแมลงชนิดอื่น ทำไมแมลงปอจึงได้รับการยกย่องเป็นเรื่องที่กล่าวกันไปต่างๆ นานา ต้นเหตุ
เดิมจะมีที่มาอย่างไรก็หาคำอธิบายให้แจ่มแจ้งไม่ได้ กล่าวกันแต่เพียงว่า แมลงปอเป็นสัตว์ที่เก่งกล้า เป็น
แมลงนักสู้ เป็นสัตว์ที่มีกรามและฟันแข็งแรง สามารถกัดแมลงชนิดอื่นที่ใหญ่กว่าได้อย่างง่ายดาย ยิ่งตัว
เมียด้วยแล้วดุร้ายมากทีเดียว

ในสมัยโบราณพวกนักรบนิยมแมลงปอกันมาก มักจะเอาชื่อแมลงปอไปขนานนามกัน ทั้งนี้ก็เคยถือกันว่า
แมลงปอเป็นสัตว์ที่ต่อสู้เก่ง สามารถชนะแมลงใหญ่กว่าได้ เป็นสัตว์ที่มีอาวุธประจำตัว คือกรามและฟัน
แข็งแรง เมื่อตั้งชื่อให้มีแมลงปอรวมอยู่ด้วย ก็จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เก่งเหมือนแมลงปอ เรื่องนี้คิดๆ ไป
ก็แปลกที่ญี่ปุ่นไม่เอาชื่อสัตว์ที่ดุร้ายมาใช้ กลับไปเอาชื่อแมลงปอ ซึ่งเป็นสัตว์เล็กๆ มาใช้แทน เป็นเรื่อง
ตรงกันข้ามกับไทย ที่เราเคยเรียกคนเก่งว่า "เสือ" ทหารไทยที่เก่งกล้ามีชื่อเรียกกันว่า เป็นทหารเสือก็หลายคน
หรืออย่างทหารมอญเขาใช้คำว่า "สมิง"

นอกจากญี่ปุ่นจะนิยมเอาชื่อแมลงปอไปขนานชื่อพวกนักรบแล้ว เขายังเชื่อกันอีกว่า รูปแมลงปอก็เป็นของ
ศักดิ์สิทธิ์ด้วย พวกเด็กผู้ชายของญี่ปุ่นมักจะมีเสื้อผ้าที่มีรูปแมลงปอประดับไว้ การที่เอารูปแมลงปอไปติด
ไว้ที่เสื้อผ้า ก็เพราะเขาเชื่อกันว่า ถ้าเด็กสวมเสื้อลายแมลงปอแล้ว จะทำให้โชคดี บางทีถึงกับเอาเชือกหรือ
ริบบิ้นมาผูกเป็นปมแบบรูปแมลงปอ ถือเป็นเครื่องรางไปเลย พวกนักมวยหรือนักเลง นักต่อสู้ทั้งหลาย
มักจะประดับรูปแมลงปอที่เสื้อผ้ากันเป็นส่วนมาก เพราะถือกันว่าจะทำให้ชนะคู่ต่อสู้ นี่ก็เนื่องมาจาก
ความเชื่อมั่นถึงความเก่งกล้าของแมลงปอที่สามารถเอาชนะศัตรูได้นั่นเอง

ความเชื่อถือในเรื่องแมลงปอนี้ก็แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือเขาใช้เฉพาะประดับเสื้อเด็กผู้ชายและพวกนักสู้เท่านั้น
พวกเด็กผู้หญิงไม่ปรากฏว่ามีใครใช้ คงจะคิดว่าพวกผู้หญิงไม่จำเป็นจะต้องเก่งกล้าหรือต้องต่อสู้กับใคร
กระมัง และตามเรื่องก็ว่าแมลงปอตัวเมียเก่ง ดุร้าย ถ้าเอาไปใช้กับผู้หญิงเพศเดียวกันเข้า ประเดี๋ยวจะเก่งกาจ
ขึ้นมาพวกผู้ชายจะแย่ ก็เลยไม่สนับสนุนให้ใช้รูปแมลงปอเป็นเครื่องราง นี่ก็เป็นเรื่องคิดไปเล่นๆ อย่างนั้นเอง

ได้เล่าเรื่องชื่อประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว จะขอเล่าถึงการสร้างเมืองหลวงของญี่ปุ่นต่อไป เพราะมีเรื่องที่น่ารู้
น่าศึกษาอยู่มาก

[img]http://upic.me/i/vr/01_resize.jpg[/img]

เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมาปรากฏว่ามีอยู่หลายแห่ง ในหนังสือญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง
กล่าวว่า เมืองหลวงของญี่ปุ่นเคยมีมาแล้วไม่น้อยกว่า 60 เมือง ฟังดูจำนวนแล้วก็ออกจะตกใจ เพราะไม่มี
ประเทศไหนที่จะมีเมืองหลวงหลายแห่งเท่าญี่ปุ่น ต้นเหตุที่จะมีเมืองหลวงมากมายเช่นนี้กล่าวกันว่า เนื่อง
มาจากความเชื่อตั้งแต่โบราณที่ว่าสถานที่ใดๆ ก็ตาม ถ้าหากมีคนตายในที่นั้น บุตรชายของผู้ตายจะต้อง
สร้างบ้านเรือนอยู่ใหม่ ซึ่งก็เท่ากับว่าต้องย้ายที่ใหม่นั่นเอง และประเพณีนี้ได้ถือกันในชั้นเจ้าด้วย เมื่อพระ
เจ้าจักรพรรดิสวรรคตลง พระราชโอรสก็จะต้องสร้างเมืองหลวงใหม่ เมืองหลวงต่างๆ เหล่านี้ตั้งอยู่ไม่นาน
ก็เปลี่ยนไป ย้ายไป หรืออาจจะไม่ทันตั้งชื่อหรือไม่มีชื่อเลยก็ได้ และเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นหมู่บ้านไปแล้ว

การย้ายเมืองหลวงบ่อยๆ ฟังดูแล้วก็น่าตกใจ เพราะตามความคิดของเราก็จะมองเห็นเป็นปราสาทราชวัง
มีกำแพงใหญ่โต เพราะเราเห็นตัวอย่างเมืองหลวงของไทยอย่างเช่น สุโขทัย อยุธยา มาแล้ว แต่เมืองหลวง
ของญี่ปุ่นในสมัยแรกนั้น กล่าวกันว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย สิ่งสำคัญของเมืองหลวงในระยะนั้น เห็นจะ
เป็นป้อมค่ายมากกว่าจะเป็นพระราชวัง ความวิจิตรบรรจงจึงไม่ค่อยมี เมืองหลวงในสมัยต่อมาจึงค่อย
สร้างกันอย่างสวยงามมากขึ้น

[img]http://upic.me/i/wx/02_resize.jpg[/img]

ในหนังสือเรื่องเมืองญี่ปุ่นได้เล่าว่า มีการขุดพบกระดูกคนใกล้ๆ พระราชวัง กระดูกเหล่านี้อยู่ในลักษณะ
ยืนบ้าง ในลักษณะอื่นบ้าง สันนิษฐานกันว่ากระดูกเหล่านี้จะเป็นกระดูกของคนที่ถูกฝังทั้งเป็น คือเมื่อ
จะสร้างปราสาทหรือป้อมปราการอะไร ก็จะฝังคนลงไปด้วย เพื่อให้ปราสาทหรือป้อมเหล่านั้นมีอำนาจ
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถือกันมาแต่โบราณกาล ในการฝังหลักเมืองของไทย เราก็เคยเล่าลือกันว่ามีการฝังคน
แต่ของไทยเราไม่น่าจะเป็นไปถึงเช่นนั้น เพราะเราไม่นิยมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในพิธีที่เป็นมงคล และ
ประเพณีของไทยเราก็ไม่เคยมีการฆ่าสัตว์บูชายัญมาก่อน การฝังคนของญี่ปุ่นตามที่เล่ามาแล้วนั้น เมื่อ
พิจารณาดูตามธรรมเนียมดั้งเดิมของญี่ปุ่น ก็เห็นว่าน่าจะเป็นไปได้ คือในสมัยก่อนนั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดิน
เสด็จสวรรคต ก็จะต้องฝังบรรดาคนใช้ทั้งเป็น เป็นจำนวนมากลงไปพร้อมกับพระบรมศพ เพื่อให้คนเหล่า
นั้นตามไปปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าแผ่นดินในโลกหน้า ธรรมเนียมดังกล่าวนี้ได้เคยปฏิบัติกันมาทั้งในเมือง
จีนและพวกตาดมองโกล สำหรับในประเทศญี่ปุ่นนั้นเพิ่งจะมาเลิกธรรมเนียมนี้ในสมัย "จักรพรรดิซุยนิน"
ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 11 จักรพรรดิซุยนิน เทนโน ได้ทรงออกกฏหมายห้ามการฝังคนทั้งเป็น
อย่างเด็ดขาด และให้เอาดินมาปั้นเป็นรูปคน รูปม้า ฝังลงไปกับพระบรมศพแทนคนจริงๆ

การกระทำของจักรพรรดิซุยนิน เทนโน ได้ประโยชน์ถึงสองประการคือ ประการแรก เป็นการช่วยชีวิต
มนุษย์ไม่ให้ตายโดยเปล่าประโยชน์ ประการที่สอง ทำให้คนสมัยนี้ได้ทราบถึงความเจริญรุ่งเรืองของคน
ในสมัยนั้น ที่กล่าวเช่นนี้อาจจะมีคนสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร หลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต
ก็คือรูปคน รูปม้า ตลอดจนเครื่องแต่งตัวและอาวุธที่ฝังอยู่ในหลุมฝังศพนั่นเอง สิ่งของต่างๆ เหล่านี้เป็น
เครื่องพิสูจน์ถึงความเจริญได้ดีกว่าสิ่งของอื่นๆ

เมืองหลวงของญี่ปุ่นที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ และรู้จักกันแพร่หลายก็คือกรุงเกียวโต เมืองนี้ตามตำนาน
กล่าวว่า จักรพรรดิกัมมู ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 50 (ค.ศ.781-806) ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากโกนิน-เทนโน
พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยเมืองนาราขึ้นมา จึงทรงสร้างนครขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง กำหนดแผนผังรูปเมืองตาม
แบบเมืองเชียงอานเมืองหลวงของจีนในครั้งนั้น แล้วทรงตั้งนามพระนครใหม่ว่า "เฮอิอันเกียว" แปลว่า
เมืองแห่งความสงบ ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกกันว่า "กรุงเกียวโต" ได้เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินต่อมา
จนถึง ค.ศ.1869

เมืองหลวงเกียวโตนับว่าเป็นเมืองหลวงที่มีอายุยืนยาวกว่าเมืองหลวงรุ่นเก่า คือสร้างเมื่อ ค.ศ.794 เป็นเมือง
หลวงอยู่ 1,000 ปีเศษ ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1869 ก็ย้ายที่ประทับของจักรพรรดิจากเกียวโตไปอยู่
ที่โตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันนี้ คำว่า "โตเกียว" ประกอบขึ้นจากคำสองคำ คือคำว่า "โต" ซึ่งแปลว่า
ตะวันออก และคำว่า "เกียว" ซึ่งหมายถึงเหมืองหลวง รวมความว่าเมืองหลวงตะวันออก ซึ่งก็เป็นชื่อธรรมดา
ง่ายๆ เรานี่เอง

ญี่ปุ่นในสมัยโบราณเป็นญี่ปุ่นที่เชื่อในเรื่องวิญญาณและภูตผีปีศาจกันมาก การปลูกบ้านสร้างเมืองจึงต้อง
พิจารณาถึงสถานที่ทิศทางกันอย่างละเอียด ในสมัยนั้นเชื่อกันว่ามีปีศาจอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ปีศาจพวกนี้มักจะทำให้ผู้คนเดือดร้อนต่างๆ นานา ฉะนั้นเมื่อตอนที่จะสร้างเมืองโตเกียว จึงต้องหาวิธี
ป้องกันโดยสร้างวัดขึ้นบนภูเขาไฮอีอิ ซึ่งอยู่ถัดออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโตเกียว
การที่ต้องสร้างวัดไว้บนภูเขาด้านนี้ ก็เพื่อจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด สกัดกั้นพวกผีปีศาจที่จะมาทางทิศนั้น
ไว้นั่นเอง นี่ก็เป็นธรรมเนียมความเชื่อถือเกี่ยวกับการสร้างบ้าน สร้างเมืองของญี่ปุ่นอีกเรื่องหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก ส.พลายน้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น