ก้าวที่พร้อมและง่าย เมื่อต้องไปโรงเรียนประถม
********************************
****** มีเสียงเด็กๆ ที่กำลังจะเรียนจบชั้นอนุบาล 3
และต้องไปขึ้นชั้นประถม 1 ในเดือนพฤษภาคมนี้ แว่วมาให้ได้ยินว่า
พวกเขารู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนถูกทิ้งขว้างชอบกล
เพราะพ่อแม่มักคิดว่าลูกโตแล้ว
เคยมีประสบการณ์ไปโรงเรียน (มาตั้ง 3 ปี) แล้ว จึงไม่น่าจะต้องเตรียมตัว
หรือตั้งรับอะไรมาก
แต่ในความเป็นจริงนั้นผิดถนัดเลย
เพราะความประหวั่นพรั่นใจดูเหมือนจะไม่ต่างจากเมื่อคราวต้องจากอ้อมอกพ่อแม่
ไปสู่โรงเรียนอนุบาลเท่าไรนัก
****** แถมปัญหาหนักอกอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เรื่องการเรียน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การจดการบ้าน ลูกเราเคยเรียนแบบนี้เสียที่ไหน
เพราะเคยเรียนแต่ผ่านกิจกรรมสนุกๆ อย่างนี้จะทำได้เหมือนเพื่อนๆ
ที่มาจากต่างโรงเรียนหรือเปล่า เห็นทีจะต้องจับเข่าคุยกันอีกรอบ
เพื่อลูกน้อยของเราจะได้เรียนในชั้นประถมได้อย่างมีความสุข
***************************************
ฝึกรับผิดชอบดูแลตัวเองตามวัยที่เติบโตไป
***************************************
****** เมื่ออยู่ในชั้นเรียนประถมนั้น
อัตราส่วนครูต่อนักเรียนที่น้อยกว่าชั้นเรียนอนุบาล
ทำให้การตามดูแลกันอย่างใกล้ชิด และเฝ้าเก็บสมบัติของลูกศิษย์ตัวเล็กๆ
ที่ลืมนั่นลืมนี่ไว้ที่โรงเรียน ย่อมต้องลดลงเป็นเงาตามตัว
ทางบ้านจำเป็นที่จะต้องฝึกให้เด็กๆ ช่วยเหลือตัวเองให้มาก
โดยฝึกให้ลูกรับผิดชอบเรื่องของตัวเองในชีวิตประจำวันให้ได้
เพราะสิ่งนี้สำคัญมากที่จะช่วยให้ลูกไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยาก
และลดภาระทั้งของคุณพ่อคุณแม่และคุณครูได้เป็นอย่างมาก
****** คงเห็นด้วยนะครับว่าถึงเวลาลงแรงเอาจริงเอาจังกันสักตั้ง
ก่อนถึงวันดีเดย์ที่ลูกต้องหิ้วกระเป๋าเดินตัวปลิวเข้าโรงเรียนประถม
ด้วยวิธีฝึกความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมกับวัย
ให้กำลังใจและชื่นชมกับสิ่งที่ลูกทำได้ มีความชัดเจน
และยืนยันสิ่งที่ต้องการให้ลูกปฏิบัติ ด้วยการกำกับให้ทำอยู่ด้วยกัน
มีความสม่ำเสมอคงเส้นคงวา ได้ทั้งความรับผิดชอบ ได้ทั้งวินัย
****** แต่อย่าลืมนะครับ ขอให้งดเทคนิคเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะได้ผล
จนตัวเองพลอยหงุดหงิดไปด้วย คือการตามบ่นตามว่า จุกจิกจู้จี้
***************************************
ฝึกให้กล้าจัดการกับปัญหาสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
***************************************
****** บทเรียนอีกบทที่จะฝึกลูกนั้น คือการฝึกให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง
กล้าคิดกล้าตัดสินใจเมื่อประสบปัญหา สำหรับเด็กๆ แล้วชีวิตของเด็กประถม 1 นั้น
แต่ละวันช่างมีเรื่องราวมากมายที่เด็กๆ ต้องแก้ ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง
นับตั้งแต่วันแรก จะเดินทางไปไหนก่อนดี หลังจากเดินเข้าประตูโรงเรียนโดยลำพัง
ต้องฟังเสียงประกาศให้เข้าแถว จะยืนตรงไหน จะพูดกับใคร
พอย้ายไปเรียนวิชาพิเศษที่ห้องเรียนอื่น กลับห้องเรียน อ้าว!!! ลืมไปแล้วว่า
เมื่อชั่วโมงก่อนตัวเองนั่งเรียนตรงไหน เพราะโต๊ะเก้าอี้เรียงเป็นแถวเหมือนกันหมด
****** หากเด็กไม่เชื่อมั่นในตนเอง คงจะว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่กล้าตัดสินใจ
อีกทั้งยังไม่กล้าแม้แต่จะขอความช่วยเหลือจากคุณครู
****** เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง
ทักษะในการแก้ปัญหาที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจ
เกิดขึ้นได้ยากในครอบครัวที่ทำให้ลูกไปเสียหมดทุกอย่าง
พ่อแม่บางคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือลูกโดยไม่รอให้ลูกคิดแก้ปัญหาเอง
แบบนี้มีแต่จะทำให้ลูกอ่อนแอ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาโดยลำพัง
***************************************
อย่าท้อเพราะเตรียมความพร้อม
***************************************
****** ผ่านการตั้งรับกันเต็มที่ ทีนี้มาถึงปัญหาหนักอกที่พ่อแม่มักจะวิตกกังวล
ซึ่งหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องการเรียน เพราะลูกเรียนแบบเตรียมความพร้อมมา
การเรียนแนวนี้เราทราบกันว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับพัฒนาการ
ความถนัด ความสนใจของเด็ก เด็กเรียนผ่านการเล่น การทำกิจกรรมที่สนุกสนาน
ไปพร้อมๆ กับได้เรียนรู้ทักษะวิชาต่างๆ ได้คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ
และกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหาความรู้ด้วย
ทักษะเหล่านี้แหละสำคัญมากต่อการเรียนในระดับประถมศึกษา
และมีคุณค่าอย่างมากมายต่อการเรียนในระยะยาว
****** แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า การเรียนในระดับประถมศึกษา
การคัดเขียนเป็นสิ่งที่เด็กต้องทำมากขึ้นกว่าเดิม ต้องจดงาน
จดการบ้านบนกระดานดำ สำหรับเด็กที่เรียนมาแบบเตรียมความพร้อม
อาจจะคัดเขียนได้ช้ากว่า สวยน้อยกว่า
เพราะตอนสมัยอยู่อนุบาลเด็กทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ไม่ได้มัวแต่ทำแบบฝึก และคัดลายมือวันละหลายชั่วโมง
ในระยะแรกๆ อาจทำให้เด็กรู้สึกท้อได้
***************************************
พาลูกก้าวข้ามความรู้สึกยากไปให้ได้
***************************************
****** ตอนนี้ยังปิดเทอมอยู่ ยังพอมีเวลาเตรียมลูกให้พร้อมกับ
ระบบการเรียนที่เปลี่ยนไป เริ่มเสียแต่วันนี้ก็ดี
เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกได้อ่านได้เขียนมากขึ้น มีเทคนิคง่ายๆ มาฝากด้วย
>>> >>> >>> ชวนลูกอ่านหนังสือทุกวัน เป็นการอ่านตามตัวหนังสือ
(จะต่างจากการเล่านิทานนะครับ) และชี้ตัวหนังสือไปด้วย
จึงต้องหาหนังสือที่ตัวโตหน่อย และมีตัวหนังสือไม่มากนัก
>>> >>> >>> เขียนโน้ตถึงกันในบ้าน
เวลาคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่อยู่ ให้เขียนตัวหนังสือโตๆ และชัดๆ
>>> >>> >>> บวกลบเลขจากจำนวนเงินไม่มากนักเมื่อไปซื้อของด้วยกัน
****** ปิดเทอมว่างๆ ชวนลูกคัด เขียน อ่าน วันละนิดวันละหน่อย
เปิดเทอมมาจะได้ไม่ลืม
****** นอกจากนี้ในวันมอบตัว พบครูประจำชั้นของลูก
คุณพ่อคุณแม่ต้องบอกให้คุณครูทราบด้วยครับว่า
ลูกของเราเรียนมาในแนวเตรียมความพร้อม คุณครูจะได้เข้าใจพื้นฐานการเรียนของลูก
จากนั้นในแต่ละวัน ควรให้เวลาและติดตามให้ความช่วยเหลือลูกอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรก อาจช่วยอ่านโจทย์คำสั่งให้ฟังบ้าง
หรือบางทีก็คงต้องช่วยเดาการบ้านที่ลูกจดอย่างตกๆ หล่นๆ
****** อ้อ!!! ระวังนะครับ อย่าแสดงความกังวลว่าลูกของเราจะเรียนสู้ลูกคนอื่นไม่ได้
สิ่งนี้รังแต่จะไปเพิ่มความเครียดให้กับลูกอีก
เพราะลูกเองเขารู้ว่าเขาทำได้ดีแค่ไหนอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ
****** ดีที่สุดคือ ให้เอาความก้าวหน้าในแต่ละวันของลูกเป็นตัวตั้ง
ลูกคนอื่นไม่ต้องไปนึกถึง ให้กำลังใจ ชื่นชมลูกเข้าไว้ครับ ไม่นานนัก
บางคนเดือนเดียว เทอมเดียวก็หมดกังวลได้ และมีอีกหลายๆ คนนั้นพอสิ้นเทอมก็ไปได้ฉิว
เพราะเขาได้รับการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เป็นฐานที่แข็งแรงตั้งแต่อนุบาลอยู่แล้ว
****** ยิ่งสมัยนี้โรงเรียนประถมจำนวนมากมีการปฏิรูปการเรียนรู้
จึงเหมาะมากกับลูกเราที่เรียนแบบเตรียมความพร้อม
ผ่านการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ลูกมีความสุข ความกระตือรือร้น ที่จะค้นหาความรู้ต่อไป
เป็นอันว่าเบาใจหายห่วงได้แล้วนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น