ตุ๊กกายสัตว์หายาก ค้นพบที่ไทยใหม่สุดในโลก
เผยค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ของโลกรวม 10 ชนิดทั้งตุ๊กแก ตุ๊กกายและจิ้งจก
[img]http://upic.me/i/wz/c_resize.png[/img]
[img]http://upic.me/i/zt/02_resize.png[/img]
ระบุทั้งหมดเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบได้ในไทยเท่านั้น พื้นที่แพร่กระจายพันธุ์
อยู่ในวงแคบ แถมยังถูกมนุษย์คุกคามอย่างหนัก โดยเฉพาะตุ๊กแกถ้ำหินปูน
จ.สระบุรี มีโอกาสสูญพันธุ์มากสุด จี้รัฐเร่งพิจารณาให้เป็นสัตว์คุ้มครอง
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายนณณ์ ผาณิตวงศ์ นักศึกษาปริญญาเอก
คณะวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง
กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม หรือสยามเอ็นซิส
(siamensis.org) เปิดเผยว่า จากความร่วมมือของนักอนุกรมวิธานหลายหน่วยงาน
เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมประมง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ
พันธุ์พืช องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การสวนสัตว์ และกลุ่มสยามเอ็นซิส
เพื่อสำรวจศึกษาสัตว์เลื้อยคลานและสะเทินน้ำสะเทินบกของประเทศไทยในรอบปี
2553 ได้มีการค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ในกลุ่ม Gekkonidae ประกอบด้วย ตุ๊กแก 1 ชนิด
ตุ๊กกาย 2 ชนิด และจิ้งจก 7 ชนิด ซึ่งได้ผ่านการจำแนกรูปร่างลักษณะและเปรียบเทียบ
กับชนิดที่มีอยู่ พบว่าเป็น ชนิดใหม่ของโลกรวม 10 ชนิด
สัตว์เลื้อยคลานที่ค้นพบใหม่ทั้ง 10 ชนิด ได้แก่
1.ตุ๊กแกถ้ำหินปูน หรือตุ๊กแกถ้ำ
[img]http://upic.me/i/j2/1._resize.png[/img]
อาจารย์วีรยุทธ พบในถ้ำในเขตจังหวัดสระบุรี ลักษณะเด่น คือ ที่หลังมีลายคล้ายอักษร "T"
ชื่อวิทยาศาสตร์ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ รศ.ดร.วีรยุทธ เลาหะจินดา วิทยาลัยสิ่งแวดล้อม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2.ตุ๊กกายถ้ำเหนือ หรือตุ๊กกายดำนุ้ย
[img]http://upic.me/i/pg/a_resize.png[/img]
มีลายสีน้ำตาลเข้มไม่เป็นระเบียบคาดขวางลำตัว พบในถ้ำทางภาคเหนือของประเทศไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายโสภณ ดำนุ้ย ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์
ในพระบรมราชูปถัมภ์
3.ตุ๊กกายถ้ำปล้องทอง
จัดเป็นตุ๊กกายที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง มีลายคล้ายใส่เข็มขัด พบในถ้ำในเขต
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก
ตุ๊กกาย คือ ชื่อสามัญของสัตว์เลื้อยคลานที่มีรูปร่างคล้ายตุ๊กแก แต่มีขนาดเล็กกว่า
จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับตุ๊กแกและจิ้งจก แต่มีนิ้วเท้าและเล็บที่แหลมยาว ไม่มีปุ่มดูดจึงไม่
สามารถดูดติดเกาะผนังได้ เหมือนตุ๊กแกและจิ้งจก ใช้ได้เพียงแค่ปีนป่ายเหมือนกิ้งก่าเท่านั้น
ส่วนใหญ่อาศัยในป่า
4.จิ้งจกนิ้วยาวอาจารย์ธัญญา
[img]http://upic.me/i/z5/j._resize.png[/img]
พบในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ตรังและสตูล ชื่อวิทยาศาสตร์
ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายธัญญา จั่นอาจ นักวิจัยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งในอดีตจิ้งจก นิ้วยาวชนิดนี้เคยถูกจำแนกเป็นจิ้งจกนิ้วยาวสยาม
5.จิ้งจกนิ้วยาวคลองนาคา
[img]http://upic.me/i/dq/4_resize.png[/img]
พบในเขตจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต
6.จิ้งจกนิ้วยาวหมอสุเมธ
[img]http://upic.me/i/s5/h_resize.png[/img]
พบเฉพาะในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชื่อวิทยาศาสตร์ ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ น.สพ.สุเมธ กมลนรนาถ
ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการองค์การสวนสัตว์
7.จิ้งจกนิ้วยาวหัวสีส้ม
[img]http://upic.me/i/yi/1_resize.png[/img]
พบในเขตจังหวัดกาญจนบุรี เป็นชนิดที่มีหัวและหางสีส้มสวยงามมากในตัวผู้
8.จิ้งจกนิ้วยาวคอจุด
[img]http://upic.me/i/ma/k_resize.png[/img]
ลักษณะเด่น คือ บริเวณด้านข้างของคอมีจุดสีดำขนาดใหญ่และมีจุดสีขาวที่กลางจุดดำ
ในปัจจุบันพบเฉพาะเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
9.จิ้งจกนิ้วยาวนราธิวาส
[img]http://upic.me/i/m4/x_resize.png[/img]
ลักษณะเด่น มีเส้นสีอ่อนพาดกลางหลัง เกล็ดที่เป็นตุ่มนูนบนหลังเรียงแถวเป็นระเบียบ
พบเฉพาะในเขตจังหวัดนราธิวาสและยะลา และ
10.จิ้งจกนิ้วยาวนิยมวรรณ
[img]http://upic.me/i/ro/y_resize.png[/img]
หน้ามีขีดสีเหลืองตามยาว 1 คู่ มีสีสันสวยงามมาก พบเฉพาะในเขตจังหวัดตรังและสตูล
[img]http://upic.me/i/81/7_resize.png[/img]
นายนณณ์กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตทั้ง 10 ชนิดนี้ล้วนเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบได้ในประเทศไทยเท่านั้น
หลายชนิดมีการ แพร่กระจายพันธุ์ในพื้นที่วงแคบๆ ไม่ขยายอาณาเขต ทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ในอนาคต เนื่องจากในทุกวันนี้สัตว์ในกลุ่มจิ้งจก และตุ๊กแกกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก ซึ่งเกิด
จากฝีมือมนุษย์ เช่น การระเบิดภูเขาหินปูน ซึ่งเป็นการทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์กลุ่มนี้หลายชนิด
รวมทั้งการถูกสัตว์ต่างถิ่น อย่างเช่น แมวบ้าน ล่าจับจิ้งจกและตุ๊กแกของไทยมาเป็นอาหาร
อีกทั้งสัตว์กลุ่มนี้ยังเป็นที่ต้องการของผู้นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกทั้งในและ ต่างประเทศ ทำให้มีการ
ลักลอบค้าขายอยู่จำนวนมากด้วย
"ชนิดสัตว์กลุ่มนี้ที่น่าห่วงว่าอาจจะสูญพันธุ์ก็คือ ตุ๊กแกถ้ำหินปูน ซึ่งอยู่ในเขตสระบุรี
มีอุตสาหกรรมทำปูนซีเมนต์และระเบิดภูเขา อีกทั้งยังถูกคนเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพในถ้ำ
มีกองถ่ายภาพยนตร์เข้าไปใช้พื้นที่โดยไม่มีจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่เฉพาะ
ถิ่นและยังไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่มสัตว์คุ้มครอง จึงกลายเป็นช่องว่างให้พ่อค้าลักลอบจับสัตว์กลุ่มนี้
ออกมาป้อนตลาดได้ง่าย จึงอยากเสนอภาครัฐให้เร่งพิจารณาเพิ่มเติมรายชื่อสัตว์กลุ่มนี้อยู่ใน
บัญชีสัตว์คุ้มครองอย่างรวดเร็ว เพื่อลดโอกาสที่สัตว์จะสูญพันธุ์ได้มากยิ่งขึ้น" นายนณณ์กล่าว
การค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ครั้งนี้ นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลาย
ทางชีวภาพของสัตว์ในกลุ่มจิ้งจกและตุ๊กแกในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีมากถึง 60 ชนิดแล้ว
โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่การสำรวจศึกษา รวมทั้งขั้นตอน
สำคัญ คือ การจำแนกสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่จะต้องบรรยายรูปร่างลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
ว่าแตกต่างจากชนิดที่เคยค้นพบแล้วอย่างไร โดยจิ้งจก ตุ๊กกายและตุ๊กแกที่ค้นพบใหม่ทั้ง 10 ชนิด
นี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการผ่านการตีพิมพ์ในวารสาร ZOOTAXA วารสารระดับ
นานาชาติที่ตีพิมพ์รายงานการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ของ โลกเรียบร้อยแล้ว.
... ระเบียงความรู้ อ่านเพื่อเพิ่มพูน ... ... สัพเพเหระ สารพันเรื่องราว ในห้วงหนึ่งของชีวิตแต่ละช่วงวัย
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554
ท่องโลกใต้ทะเล - ชีวิตเล็กๆ บนแส้ทะเล
ท่องโลกใต้ทะเล - ชีวิตเล็กๆ บนแส้ทะเล
[img]http://upic.me/i/yl/g_resize.png[/img]
บ่อยครั้งในการดำน้ำที่ผมถือกล้องถ่ายภาพใต้น้ำโดยสวมเลนส์มาโครสำหรับถ่ายสัตว์ทะเล
หรือปลาตัวเล็กๆ ลงไปว่ายเวียนหาอะไรที่จะถ่ายอยู่นาน บางครั้งก็แทบไม่เจออะไรถูกใจ
หรือบางตัวเคยถ่ายและมีภาพดีๆ เก็บไว้แล้วก็จะผ่านเลยไป การมองหาสัตว์อะไร ที่น่าสนใจ
ไม่เจอนี้เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง และนับเป็นปัญหาใหญ่ของการถ่ายภาพใต้น้ำเลยทีเดียว ก็ทำ
อย่างไรได้ละครับ บางครั้งชาวประมงออกเรือไปจับปลา ต้องกลับมามือเปล่าก็ยังมี ประสา
อะไรกับช่างภาพใต้น้ำ ยิ่งการมองหาสัตว์ทะเลตัวเล็กๆ นั้น มันไม่ต่างอะไรกับการงมเข็ม
ในมหาสมุทรเท่าใดนัก
เมื่อหาอะไรถ่ายไม่ได้จริงๆ ผมก็มักจะมองสอดส่ายสายตาไปตามแส้ทะเล ซึ่งมีลักษณะเป็น
เส้นยาวๆ มีฐานเชื่อมติดอยู่กับพื้นทะเล ปล่อยปลายลู่ไปตามกระแสน้ำ แส้ทะเลนั้นเป็น
สัตว์ทะเลประเภทเดียวกับกัลปังหาและปะการัง แส้ทะเลแต่ละเส้นจะมีสมาชิกหน่วยเล็กๆ
รวมกันมากมายอยู่คล้ายกับปะการัง แต่ละชีวิตจะมีหนวด 8 เส้นเท่าๆ กับปะการัง คอยคลี่
หนวดออกมาจับอาหารที่ล่องลอยมากับกระแสน้ำ แส้ทะเลตัวจิ๋วเหล่านี้จะช่วยกันสร้าง
โครงสร้างยาวๆ เป็นเส้นๆ โครงสร้างเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากเกล็ดหินปูนอัดแน่นเป็นแกนแข็ง
มีโปรตีนกอร์โกนิน (Gorgonin) แทรกเป็นองค์ประกอบ และเคลือบผิวด้วยเนื้อเยื่อที่โพลิป
หรือสมาชิกหน่วยเล็กๆ ที่สมาชิกแส้ทะเลเกาะอาศัยอยู่ แส้ทะเลมีหลายขนาด หลายสี ที่พบ
เห็นส่วนใหญ่จะมีขนาดเส้นเท่านิ้วก้อย มีสีขาว ลักษณะเป็นเส้นเดียวเดี่ยวๆ ยาวจากพื้นทะเล
บางเส้นยาวถึง 2-3 เมตรก็มี และอีกชนิดหนึ่งสีแดงน้ำตาลเส้นขนาดนิ้วก้อย แต่แตกแขนง
ออกเป็นหลายเส้น ปกติแส้ทะเลเหล่านี้อาจจะไม่น่าดูอะไร แต่ที่ผมมองหาก็คือชีวิตเล็กๆ
ที่เป็นผู้อาศัยอยู่บนแส้ทะเลนั่นเอง
[img]http://upic.me/i/d3/u_resize.png[/img]
ชีวิตเล็กๆ ที่แอบอิงอาศัยแส้ทะเลเป็นบ้านนั้น ที่พบบ่อยที่สุดก็คือ เจ้าปลาบู่แส้ทะเลตัวจิ๋ว
ที่เกาะนิ่งอยู่บนแส้ทะเลหรือเมื่อมีศัตรูเข้ามาใกล้ มันก็จะว่ายหลบไปมาตามความยาวของ
แส้ทะเล ปลาบู่แส้ทะเลเหล่านี้มักจะมีลำตัวใส มีเส้นรอบดวงตากลมสีแดง ปลาบู่แส้ทะเล
จะคอยจับอาหารที่ล่องลอยมากับกระแสน้ำ การถ่ายภาพเจ้าปลาบู่แส้ทะเลตัวจิ๋วนี้ไม่ยากนัก
เพราะมันอาจว่ายหลบไปหลบมาในช่วงแรกๆ แต่สักพักเดียวก็จะคุ้นเคยและเกาะนิ่งๆ ไม่
หลบหนีไปไหน
นอกจากปลาบู่แส้ทะเลแล้ว บางครั้งก็อาจจะพบกุ้งที่มีสีเดียวกับแส้ทะเล เกาะนิ่งทำตัวลีบ
เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของแส้ทะเล เป็นการพรางตัวอย่างแนบเนียน ซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็จะ
มองไม่เห็น กุ้งที่อาศัยบนแส้ทะเลนั้นมีหลายชนิด หลายรูปทรง บางชนิดมีลำตัวผอมยาวเกาะ
นิ่งแนบกับแส้ทะเล เช่น เจ้ากุ้งหลังค่อม ซึ่งมีส่วนโค้งบนหลัง และยังมีกุ้งรูปทรงต่างๆ อีก
หลายชนิดที่อาจจะพบได้บนแส้ทะเล
แต่สุดยอดแห่งการพรางตัวนั้นต้องยกให้เจ้าปูแส้ทะเล ซึงพัฒนารูปร่างหน้าตาให้มีปุ่มปม
คล้ายคลึงกับผิวของแส้ทะเล ปูแส้ทะเลนั้นค่อนข้างจะหายากกว่าปลาบู่และกุ้ง ก็ไม่ทราบ
ว่าเพราะมันมีน้อย หรือพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมจนเราไม่ค่อยมองเห็น รูปร่างหน้าตาของมัน
นั้น หากไม่บอกก็แทบจะไม่รู้ว่าเป็นปู เพราะเหมือนกับสัตว์ประหลาดมากกว่า
[img]http://upic.me/i/7q/r_resize.png[/img]
นอกจากนี้ บางครั้งเราอาจจะพบหอยเบี้ยบางชนิด เกาะอยู่กับแส้ทะเล โดยหอยเบี้ยชนิดนี้
นั้นอาจจะไม่เหมือนหอยเบี้ยที่อาศัยอยู่กับปะการังอ่อน ซึ่งตัวป้อมๆ คล้ายกับเบี้ย แต่หอย
เบี้ยที่เกาะอยู่กับแส้ทะเลจะพัฒนาตัวเองให้มีรูปทรงของลำตัวยาว เพื่อเกาะพรางอย่างกลมกลืน
ในท้องทะเลนั้น สรรพชีวิตจำนวนไม่น้อยที่จำเป็นต้องใช้การหลอกล่อ และอำพรางเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
*************************************************
ขอบคุณข้อมูลเรื่องและภาพโดย วินิจ รังผึ้ง จาก อสท ก.ค.2548
[img]http://upic.me/i/yl/g_resize.png[/img]
บ่อยครั้งในการดำน้ำที่ผมถือกล้องถ่ายภาพใต้น้ำโดยสวมเลนส์มาโครสำหรับถ่ายสัตว์ทะเล
หรือปลาตัวเล็กๆ ลงไปว่ายเวียนหาอะไรที่จะถ่ายอยู่นาน บางครั้งก็แทบไม่เจออะไรถูกใจ
หรือบางตัวเคยถ่ายและมีภาพดีๆ เก็บไว้แล้วก็จะผ่านเลยไป การมองหาสัตว์อะไร ที่น่าสนใจ
ไม่เจอนี้เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง และนับเป็นปัญหาใหญ่ของการถ่ายภาพใต้น้ำเลยทีเดียว ก็ทำ
อย่างไรได้ละครับ บางครั้งชาวประมงออกเรือไปจับปลา ต้องกลับมามือเปล่าก็ยังมี ประสา
อะไรกับช่างภาพใต้น้ำ ยิ่งการมองหาสัตว์ทะเลตัวเล็กๆ นั้น มันไม่ต่างอะไรกับการงมเข็ม
ในมหาสมุทรเท่าใดนัก
เมื่อหาอะไรถ่ายไม่ได้จริงๆ ผมก็มักจะมองสอดส่ายสายตาไปตามแส้ทะเล ซึ่งมีลักษณะเป็น
เส้นยาวๆ มีฐานเชื่อมติดอยู่กับพื้นทะเล ปล่อยปลายลู่ไปตามกระแสน้ำ แส้ทะเลนั้นเป็น
สัตว์ทะเลประเภทเดียวกับกัลปังหาและปะการัง แส้ทะเลแต่ละเส้นจะมีสมาชิกหน่วยเล็กๆ
รวมกันมากมายอยู่คล้ายกับปะการัง แต่ละชีวิตจะมีหนวด 8 เส้นเท่าๆ กับปะการัง คอยคลี่
หนวดออกมาจับอาหารที่ล่องลอยมากับกระแสน้ำ แส้ทะเลตัวจิ๋วเหล่านี้จะช่วยกันสร้าง
โครงสร้างยาวๆ เป็นเส้นๆ โครงสร้างเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากเกล็ดหินปูนอัดแน่นเป็นแกนแข็ง
มีโปรตีนกอร์โกนิน (Gorgonin) แทรกเป็นองค์ประกอบ และเคลือบผิวด้วยเนื้อเยื่อที่โพลิป
หรือสมาชิกหน่วยเล็กๆ ที่สมาชิกแส้ทะเลเกาะอาศัยอยู่ แส้ทะเลมีหลายขนาด หลายสี ที่พบ
เห็นส่วนใหญ่จะมีขนาดเส้นเท่านิ้วก้อย มีสีขาว ลักษณะเป็นเส้นเดียวเดี่ยวๆ ยาวจากพื้นทะเล
บางเส้นยาวถึง 2-3 เมตรก็มี และอีกชนิดหนึ่งสีแดงน้ำตาลเส้นขนาดนิ้วก้อย แต่แตกแขนง
ออกเป็นหลายเส้น ปกติแส้ทะเลเหล่านี้อาจจะไม่น่าดูอะไร แต่ที่ผมมองหาก็คือชีวิตเล็กๆ
ที่เป็นผู้อาศัยอยู่บนแส้ทะเลนั่นเอง
[img]http://upic.me/i/d3/u_resize.png[/img]
ชีวิตเล็กๆ ที่แอบอิงอาศัยแส้ทะเลเป็นบ้านนั้น ที่พบบ่อยที่สุดก็คือ เจ้าปลาบู่แส้ทะเลตัวจิ๋ว
ที่เกาะนิ่งอยู่บนแส้ทะเลหรือเมื่อมีศัตรูเข้ามาใกล้ มันก็จะว่ายหลบไปมาตามความยาวของ
แส้ทะเล ปลาบู่แส้ทะเลเหล่านี้มักจะมีลำตัวใส มีเส้นรอบดวงตากลมสีแดง ปลาบู่แส้ทะเล
จะคอยจับอาหารที่ล่องลอยมากับกระแสน้ำ การถ่ายภาพเจ้าปลาบู่แส้ทะเลตัวจิ๋วนี้ไม่ยากนัก
เพราะมันอาจว่ายหลบไปหลบมาในช่วงแรกๆ แต่สักพักเดียวก็จะคุ้นเคยและเกาะนิ่งๆ ไม่
หลบหนีไปไหน
นอกจากปลาบู่แส้ทะเลแล้ว บางครั้งก็อาจจะพบกุ้งที่มีสีเดียวกับแส้ทะเล เกาะนิ่งทำตัวลีบ
เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของแส้ทะเล เป็นการพรางตัวอย่างแนบเนียน ซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็จะ
มองไม่เห็น กุ้งที่อาศัยบนแส้ทะเลนั้นมีหลายชนิด หลายรูปทรง บางชนิดมีลำตัวผอมยาวเกาะ
นิ่งแนบกับแส้ทะเล เช่น เจ้ากุ้งหลังค่อม ซึ่งมีส่วนโค้งบนหลัง และยังมีกุ้งรูปทรงต่างๆ อีก
หลายชนิดที่อาจจะพบได้บนแส้ทะเล
แต่สุดยอดแห่งการพรางตัวนั้นต้องยกให้เจ้าปูแส้ทะเล ซึงพัฒนารูปร่างหน้าตาให้มีปุ่มปม
คล้ายคลึงกับผิวของแส้ทะเล ปูแส้ทะเลนั้นค่อนข้างจะหายากกว่าปลาบู่และกุ้ง ก็ไม่ทราบ
ว่าเพราะมันมีน้อย หรือพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมจนเราไม่ค่อยมองเห็น รูปร่างหน้าตาของมัน
นั้น หากไม่บอกก็แทบจะไม่รู้ว่าเป็นปู เพราะเหมือนกับสัตว์ประหลาดมากกว่า
[img]http://upic.me/i/7q/r_resize.png[/img]
นอกจากนี้ บางครั้งเราอาจจะพบหอยเบี้ยบางชนิด เกาะอยู่กับแส้ทะเล โดยหอยเบี้ยชนิดนี้
นั้นอาจจะไม่เหมือนหอยเบี้ยที่อาศัยอยู่กับปะการังอ่อน ซึ่งตัวป้อมๆ คล้ายกับเบี้ย แต่หอย
เบี้ยที่เกาะอยู่กับแส้ทะเลจะพัฒนาตัวเองให้มีรูปทรงของลำตัวยาว เพื่อเกาะพรางอย่างกลมกลืน
ในท้องทะเลนั้น สรรพชีวิตจำนวนไม่น้อยที่จำเป็นต้องใช้การหลอกล่อ และอำพรางเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
*************************************************
ขอบคุณข้อมูลเรื่องและภาพโดย วินิจ รังผึ้ง จาก อสท ก.ค.2548
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
ฟองมหัศจรรย์ทำเอง มีวิธีทำมาบอก
ฟองมหัศจรรย์ทำเอง มีวิธีทำมาบอก
[img]http://upic.me/i/da/1_resize.jpg[/img]
**************************************************
กิจกรรมสนุกจากพิพิธภัณฑ์เด็ก.................................
มีมุมหนึ่งที่เด็กๆ กรี๊ดกร๊าดกันน่าดู จะไม่ให้กรี๊ดได้อย่างไร เพราะเข้าไปยืนอยู่ดีๆ แล้วยกห่วงขึ้นมา
เจ้าฟองใสๆ จากลูกโป่งก็เคลือบล้อมรอบตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และถ้าออกไปตรงลานด้านนอก
ยังมีอุปกรณ์ให้ตักฟองสบู่ขึ้นมาเล่นยืดตัวเป็นรูปทรงแปลกๆ ได้อีก อย่างกับเสกได้แน่ะ
[img]http://upic.me/i/v4/001_resize.jpg[/img]
พอได้ลองเล่นแล้ว หลายคนชักติดใจ ไม่เพียงอยากเอากลับมาทำที่บ้านบ้าง
แต่ยังสงสัยว่าทำไมฟองสบู่ถึงแข็งแรง ยืดตัวได้ดีออกปานนั้น
[img]http://upic.me/i/eu/02_resize.jpg[/img]
ขอรวบตอบทีเดียวสองคำถามเลยแล้วกัน โดยหยิบยกข้อมูลที่ทางพิพิธภัณฑ์เด็กเขาจัดทำขึ้น
มาตอบไว้ตรงนี้...
"ฟองสบู่สามารถยืดตัวเป็นรูปทรงแปลกๆ ได้ เพราะสบู่ทำให้ความตึงผิวของน้ำลดลง
ยืดหยุ่นได้มากขึ้น เราจึงเป่าน้ำสบู่โดยทำให้อากาศเข้าไป จนน้ำสบู่ยืดตัวเป็นรูปทรงต่างๆ ได้
แต่น้ำสบู่อย่างเดียวจะไม่แข็งแรง เมื่อถูกลมจะแตกได้ง่าย จึงต้องเติมสารต่างๆ ให้ฟองสบู่
แข็งแรงขึ้น เช่น แป้ง ไข่ขาว น้ำปูนใส น้ำตาล หรือกลีเซอรีน"
*******************************************************
[img]http://upic.me/i/po/03_resize.jpg[/img]
ถ้าเด็กๆ อยากทำเอง เราไม่พลาดมีสูตรที่ต้องขอแรงผู้ใหญ่ช่วยผสมให้มาฝากนะ
*** ก่อนทำต้องล้างมือและภาชนะที่ใส่ให้สะอาด เพราะถ้าสกปรก ฟองสบู่จะไม่อยู่ตัว
หั่นสบู่เป็นชิ้นเล็กๆ คนให้ละลายในน้ำร้อนใส่น้ำตาล 1 ช้อนชา และกลีเซอรีน (หาซื้อได้
ตามร้านขายเคมีภัณฑ์หรือร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆ เช่น ศึกษาภัณฑ์) 1/3 ถ้วย ต่อน้ำร้อน 1 ถ้วย
*** ถึงเวลาเล่น สนุกได้ตั้งหลายวิธี เช่น ใช้หลอดดูดน้ำ หรือใยบวบจุ่มฟองสบู่แล้วเป่า
ใช้ที่ปิ้งปลา ไม้แขวนเสื้อ หรือขดลวดดัดเป็นรูปวงกลมมีด้ามจับ จุ่มน้ำสบู่ลงไปทั้งอัน
แล้วยกขึ้นโบกไปมา ลองดูซิว่าอุปกรณ์ชิ้นไหนทำให้ฟองสบู่ยืดตัวเป็นรูปอะไร
********************************************************
[img]http://upic.me/i/p6/004_resize.jpg[/img]
ช่วงเวลาที่อากาศชื้นๆ อย่างหน้าฝนจะเหมาะมากกับการเล่นฟองสบู่เพราะไม่ทำให้
ฟองแตกง่ายเหมือนกับวันที่อากาศแห้ง ได้สูตรไปแล้วก็รีบลงมือเล่นกันเลยนะ
*******************************************************
[img]http://upic.me/i/da/1_resize.jpg[/img]
**************************************************
กิจกรรมสนุกจากพิพิธภัณฑ์เด็ก.................................
มีมุมหนึ่งที่เด็กๆ กรี๊ดกร๊าดกันน่าดู จะไม่ให้กรี๊ดได้อย่างไร เพราะเข้าไปยืนอยู่ดีๆ แล้วยกห่วงขึ้นมา
เจ้าฟองใสๆ จากลูกโป่งก็เคลือบล้อมรอบตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และถ้าออกไปตรงลานด้านนอก
ยังมีอุปกรณ์ให้ตักฟองสบู่ขึ้นมาเล่นยืดตัวเป็นรูปทรงแปลกๆ ได้อีก อย่างกับเสกได้แน่ะ
[img]http://upic.me/i/v4/001_resize.jpg[/img]
พอได้ลองเล่นแล้ว หลายคนชักติดใจ ไม่เพียงอยากเอากลับมาทำที่บ้านบ้าง
แต่ยังสงสัยว่าทำไมฟองสบู่ถึงแข็งแรง ยืดตัวได้ดีออกปานนั้น
[img]http://upic.me/i/eu/02_resize.jpg[/img]
ขอรวบตอบทีเดียวสองคำถามเลยแล้วกัน โดยหยิบยกข้อมูลที่ทางพิพิธภัณฑ์เด็กเขาจัดทำขึ้น
มาตอบไว้ตรงนี้...
"ฟองสบู่สามารถยืดตัวเป็นรูปทรงแปลกๆ ได้ เพราะสบู่ทำให้ความตึงผิวของน้ำลดลง
ยืดหยุ่นได้มากขึ้น เราจึงเป่าน้ำสบู่โดยทำให้อากาศเข้าไป จนน้ำสบู่ยืดตัวเป็นรูปทรงต่างๆ ได้
แต่น้ำสบู่อย่างเดียวจะไม่แข็งแรง เมื่อถูกลมจะแตกได้ง่าย จึงต้องเติมสารต่างๆ ให้ฟองสบู่
แข็งแรงขึ้น เช่น แป้ง ไข่ขาว น้ำปูนใส น้ำตาล หรือกลีเซอรีน"
*******************************************************
[img]http://upic.me/i/po/03_resize.jpg[/img]
ถ้าเด็กๆ อยากทำเอง เราไม่พลาดมีสูตรที่ต้องขอแรงผู้ใหญ่ช่วยผสมให้มาฝากนะ
*** ก่อนทำต้องล้างมือและภาชนะที่ใส่ให้สะอาด เพราะถ้าสกปรก ฟองสบู่จะไม่อยู่ตัว
หั่นสบู่เป็นชิ้นเล็กๆ คนให้ละลายในน้ำร้อนใส่น้ำตาล 1 ช้อนชา และกลีเซอรีน (หาซื้อได้
ตามร้านขายเคมีภัณฑ์หรือร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆ เช่น ศึกษาภัณฑ์) 1/3 ถ้วย ต่อน้ำร้อน 1 ถ้วย
*** ถึงเวลาเล่น สนุกได้ตั้งหลายวิธี เช่น ใช้หลอดดูดน้ำ หรือใยบวบจุ่มฟองสบู่แล้วเป่า
ใช้ที่ปิ้งปลา ไม้แขวนเสื้อ หรือขดลวดดัดเป็นรูปวงกลมมีด้ามจับ จุ่มน้ำสบู่ลงไปทั้งอัน
แล้วยกขึ้นโบกไปมา ลองดูซิว่าอุปกรณ์ชิ้นไหนทำให้ฟองสบู่ยืดตัวเป็นรูปอะไร
********************************************************
[img]http://upic.me/i/p6/004_resize.jpg[/img]
ช่วงเวลาที่อากาศชื้นๆ อย่างหน้าฝนจะเหมาะมากกับการเล่นฟองสบู่เพราะไม่ทำให้
ฟองแตกง่ายเหมือนกับวันที่อากาศแห้ง ได้สูตรไปแล้วก็รีบลงมือเล่นกันเลยนะ
*******************************************************
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น - ชื่อประเทศและเมืองหลวง
เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น - ชื่อประเทศและเมืองหลวง
[img]http://upic.me/i/ei/v_resize.jpg[/img]
มีผู้สนใจเรื่องญี่ปุ่นท่านหนึ่งสงสัยว่า ทำไมเราจึงเรียกประเทศญี่ปุ่นว่า "ญี่ปุ่น" ในเมื่อใครๆ
เขาเรียกกันว่า "เจแปน" และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เคยใช้ว่า "นิปปอน" ก็มี เรื่องชื่อ
ประเทศญี่ปุ่นนี่มีคำอธิบายยืดยาว เพราะเปลี่ยนเรียกกันหลายครั้ง พวกญี่ปุ่นเรียกอย่างหนึ่ง
คนต่างประเทศเรียกอย่างหนึ่ง คำว่า "นิปปอน" นั้นก็ยังมีเสียงที่ใช้เรียกคล้ายๆ กันอีกคำหนึ่ง
คือ "นิฮอน" ชื่อนี้เองที่ชาวจีนเรียกเป็น "ฟิเปน" ท่านผู้รู้ท่านว่า สำเนียงชาวจีนแต้จิ๋วเรียก
ญี่ปุ่นว่า "ยิดปุ๊น" แปลว่า มีต้นกำเนิดมาจากพระอาทิตย์ ฟังตามนี้จะเห็นว่าไทยเราเรียก
ญี่ปุ่นตามเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วนี่เอง แต่เพี้ยนจาก "ยิดปุ๊น" เป็น "ญี่ปุ่น"
[img]http://upic.me/i/s8/h_resize.jpg[/img]
ฝรั่งโบราณก็เคยเรียกชื่อ "ญี่ปุ่น" ออกไปแปลกๆ อย่างเช่น มาร์โคโปโลออกชื่อญี่ปุ่นว่า "ซีปันกุ"
คำว่า "ซีปัน" ใกล้กับคำว่า "เจแปน" มาก ส่วนคำว่า "กุ" ข้างท้ายนั้น เข้าใจว่าจะเอามาจากภาษา
ญี่ปุ่นนั่นเอง คือในภาษาญี่ปุ่นคำว่า "โกกุ" หมายถึงประเทศ ฉะนั้นคำว่า "ซีปันกุ" ก็คือประเทศซีปัน
หรือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
[img]http://upic.me/i/ic/o_resize.jpg[/img]
คำว่า "นิฮอน" ที่ใช้เรียกชื่อประเทศญี่ปุ่นนั้นกล่าวกันว่า เริ่มใช้เป็นทางการเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.670
ก่อนนี้ขึ้นไปก็เรียกกันแต่ว่าเป็นชาติยามาโตเท่านั้นเอง ชื่อเก่าชื่อแก่ของญี่ปุ่นอีกชื่อหนึ่งก็คือ อกิทสุชิมา
ซึ่งหมายถึง เกาะแห่งแมลงปอ ต้นเหตุที่จะมีชื่อเรียกกันอย่างนี้ มีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อ 2,600 ปีมาแล้ว
จักรพรรดิยิมมูได้เสด็จขึ้นไปบนยอดเขา แล้วทอดพระเนตรดูภูมิประเทศเมืองยามาโต ทรงพิจารณา
เห็นว่ารูปร่างของยามาโตเหมือนกับแมลงปอกำลังเลียหาง ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เรียกญี่ปุ่นว่า
"เกาะแห่งแมลงปอ" และชื่อนี้ได้เรียกคลุมไปถึงเกาะอื่นๆ ของญี่ปุ่นด้วย คือ รวมทั้งประเทศ เป็นชื่อ
รวมๆ หมายถึง "ญี่ปุ่น"
[img]http://upic.me/i/o8/3ri7l.jpg[/img]
เมื่อได้พูดถึงแมลงปอแล้ว ก็ใคร่จะเล่าเรื่องของแมลงปอไว้ด้วย เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของ
ญี่ปุ่นหลายอย่าง ในประเทศญี่ปุ่นก็แมลงปอมาก ตามที่นักค้นคว้ารุ่นเก่าของญี่ปุ่นได้สำรวจ ปรากฏ
ว่ามีแมลงปอในญี่ปุ่นถึง 50 ชนิด มีชื่อเรียกต่างๆ กัน ในหนังสือวรรณคดีของญี่ปุ่นมักจะกล่าวถึง
แมลงปอเสมอ
คนญี่ปุ่นสมัยเก่าเคยมีความเชื่อเกี่ยวกับแมลงปออยู่เรื่องหนึ่ง คือเขาเรียกแมลงปอชนิดหนึ่งว่า
"โชเรียว ทอมโบ" คำว่า "ทอมโบ" หมายถึง "แมลงปอ" โชเรียว ทอมโบ นี่เขาหมายถึงแมลงปอแห่ง
ความตาย หรือแมลงปอผี เชื่อกันว่าความตายขี่แมลงปอชนิดนี้ คือ เอาแมลงปอเป็นพาหนะเหมือนม้า
มีปีก ในเช้าวันที่ 13 จนถึงกลางคืนวันที่ 15 ของเดือนที่ 7 ซึ่งเป็นเทศกาลบอนของญี่ปุ่น แมลงชนิดนี้
จะต้องรับหน้าที่เป็นพาหนะรับวิญญาณของบรรพบุรุษมาเยี่ยมบ้าน เพราะฉะนั้นในระหว่างวันเหล่านี้
พวกเด็กๆ จึงถูกห้ามไม่ให้จับหรือทำร้ายแมลงปอ โดยเฉพาะแมลงปอชนิดที่เชื่อกันว่าเป็นพาหนะของ
วิญญาณบรรพบุรุษ ในบางตำบล ก็เชื่อกันว่า เด็กที่จับแมลงปอจะเป็นคนโง่ไม่มีความรู้ บางพวกยังมี
ความเชื่อต่อไปอีกว่า แมลงปอเคยเป็นพาหนะของพระอวโลกิเตศวร เพราะยังมีเงาหรือ อย่างที่เราเรียก
ว่า "พระฉาย" ติดอยู่
[img]http://upic.me/i/2s/02_resize.jpg[/img]
คนญี่ปุ่นหรือโดยเฉพาะพวกเด็กๆ ชอบจับแมลงปอมาเล่น นิสัยนี้มีมานานนับพันๆ ปีแล้ว พวกเด็กๆ
สนุกสนานกันมาก ร้องเพลงไปด้วย เพลงที่ร้องในเวลาจับแมลงปอมีมากมายหลายเพลง มีผู้รวบรวม
ไว้ซึ่งนับว่าเป็นบทเพลงโบราณที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงถึงชีวิตความเป็นอยู่สมัยโบราณได้ดีทีเดียว
การจับแมลงปอบางทีก็ใช้สวิงจับ บางทีก็ใช้ไม้เรียวเล็กๆ ผูกเชือกแกว่งไปมา เชือกก็จะพันปีกแมลงปอ
แต่ของไทยเราเห็นใช้มือโฉบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย เด็กไทยเราชอบเล่นพิเรนทร์ เมื่อจับแมลงปอ
มาได้แล้วก็มักจะเอาต้นหญ้าเสียบก้นแล้วปล่อยให้บินไป แมลงปอจะบินไม่สูง ไปไหนไม่ได้ บางทีก็ใช้
เชือกผูกหางยาวๆ เพื่อจะได้ไล่จับได้ง่ายๆ
เรื่องแมลงปอนี่นับว่าแปลกมากที่ชาวญี่ปุ่นดูจะเลื่อมใสศรัทธากันมากทีเดียว และเป็นแมลงที่ชาวญี่ปุ่น
นับถือมากกว่าแมลงชนิดอื่น ทำไมแมลงปอจึงได้รับการยกย่องเป็นเรื่องที่กล่าวกันไปต่างๆ นานา ต้นเหตุ
เดิมจะมีที่มาอย่างไรก็หาคำอธิบายให้แจ่มแจ้งไม่ได้ กล่าวกันแต่เพียงว่า แมลงปอเป็นสัตว์ที่เก่งกล้า เป็น
แมลงนักสู้ เป็นสัตว์ที่มีกรามและฟันแข็งแรง สามารถกัดแมลงชนิดอื่นที่ใหญ่กว่าได้อย่างง่ายดาย ยิ่งตัว
เมียด้วยแล้วดุร้ายมากทีเดียว
ในสมัยโบราณพวกนักรบนิยมแมลงปอกันมาก มักจะเอาชื่อแมลงปอไปขนานนามกัน ทั้งนี้ก็เคยถือกันว่า
แมลงปอเป็นสัตว์ที่ต่อสู้เก่ง สามารถชนะแมลงใหญ่กว่าได้ เป็นสัตว์ที่มีอาวุธประจำตัว คือกรามและฟัน
แข็งแรง เมื่อตั้งชื่อให้มีแมลงปอรวมอยู่ด้วย ก็จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เก่งเหมือนแมลงปอ เรื่องนี้คิดๆ ไป
ก็แปลกที่ญี่ปุ่นไม่เอาชื่อสัตว์ที่ดุร้ายมาใช้ กลับไปเอาชื่อแมลงปอ ซึ่งเป็นสัตว์เล็กๆ มาใช้แทน เป็นเรื่อง
ตรงกันข้ามกับไทย ที่เราเคยเรียกคนเก่งว่า "เสือ" ทหารไทยที่เก่งกล้ามีชื่อเรียกกันว่า เป็นทหารเสือก็หลายคน
หรืออย่างทหารมอญเขาใช้คำว่า "สมิง"
นอกจากญี่ปุ่นจะนิยมเอาชื่อแมลงปอไปขนานชื่อพวกนักรบแล้ว เขายังเชื่อกันอีกว่า รูปแมลงปอก็เป็นของ
ศักดิ์สิทธิ์ด้วย พวกเด็กผู้ชายของญี่ปุ่นมักจะมีเสื้อผ้าที่มีรูปแมลงปอประดับไว้ การที่เอารูปแมลงปอไปติด
ไว้ที่เสื้อผ้า ก็เพราะเขาเชื่อกันว่า ถ้าเด็กสวมเสื้อลายแมลงปอแล้ว จะทำให้โชคดี บางทีถึงกับเอาเชือกหรือ
ริบบิ้นมาผูกเป็นปมแบบรูปแมลงปอ ถือเป็นเครื่องรางไปเลย พวกนักมวยหรือนักเลง นักต่อสู้ทั้งหลาย
มักจะประดับรูปแมลงปอที่เสื้อผ้ากันเป็นส่วนมาก เพราะถือกันว่าจะทำให้ชนะคู่ต่อสู้ นี่ก็เนื่องมาจาก
ความเชื่อมั่นถึงความเก่งกล้าของแมลงปอที่สามารถเอาชนะศัตรูได้นั่นเอง
ความเชื่อถือในเรื่องแมลงปอนี้ก็แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือเขาใช้เฉพาะประดับเสื้อเด็กผู้ชายและพวกนักสู้เท่านั้น
พวกเด็กผู้หญิงไม่ปรากฏว่ามีใครใช้ คงจะคิดว่าพวกผู้หญิงไม่จำเป็นจะต้องเก่งกล้าหรือต้องต่อสู้กับใคร
กระมัง และตามเรื่องก็ว่าแมลงปอตัวเมียเก่ง ดุร้าย ถ้าเอาไปใช้กับผู้หญิงเพศเดียวกันเข้า ประเดี๋ยวจะเก่งกาจ
ขึ้นมาพวกผู้ชายจะแย่ ก็เลยไม่สนับสนุนให้ใช้รูปแมลงปอเป็นเครื่องราง นี่ก็เป็นเรื่องคิดไปเล่นๆ อย่างนั้นเอง
ได้เล่าเรื่องชื่อประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว จะขอเล่าถึงการสร้างเมืองหลวงของญี่ปุ่นต่อไป เพราะมีเรื่องที่น่ารู้
น่าศึกษาอยู่มาก
[img]http://upic.me/i/vr/01_resize.jpg[/img]
เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมาปรากฏว่ามีอยู่หลายแห่ง ในหนังสือญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง
กล่าวว่า เมืองหลวงของญี่ปุ่นเคยมีมาแล้วไม่น้อยกว่า 60 เมือง ฟังดูจำนวนแล้วก็ออกจะตกใจ เพราะไม่มี
ประเทศไหนที่จะมีเมืองหลวงหลายแห่งเท่าญี่ปุ่น ต้นเหตุที่จะมีเมืองหลวงมากมายเช่นนี้กล่าวกันว่า เนื่อง
มาจากความเชื่อตั้งแต่โบราณที่ว่าสถานที่ใดๆ ก็ตาม ถ้าหากมีคนตายในที่นั้น บุตรชายของผู้ตายจะต้อง
สร้างบ้านเรือนอยู่ใหม่ ซึ่งก็เท่ากับว่าต้องย้ายที่ใหม่นั่นเอง และประเพณีนี้ได้ถือกันในชั้นเจ้าด้วย เมื่อพระ
เจ้าจักรพรรดิสวรรคตลง พระราชโอรสก็จะต้องสร้างเมืองหลวงใหม่ เมืองหลวงต่างๆ เหล่านี้ตั้งอยู่ไม่นาน
ก็เปลี่ยนไป ย้ายไป หรืออาจจะไม่ทันตั้งชื่อหรือไม่มีชื่อเลยก็ได้ และเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นหมู่บ้านไปแล้ว
การย้ายเมืองหลวงบ่อยๆ ฟังดูแล้วก็น่าตกใจ เพราะตามความคิดของเราก็จะมองเห็นเป็นปราสาทราชวัง
มีกำแพงใหญ่โต เพราะเราเห็นตัวอย่างเมืองหลวงของไทยอย่างเช่น สุโขทัย อยุธยา มาแล้ว แต่เมืองหลวง
ของญี่ปุ่นในสมัยแรกนั้น กล่าวกันว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย สิ่งสำคัญของเมืองหลวงในระยะนั้น เห็นจะ
เป็นป้อมค่ายมากกว่าจะเป็นพระราชวัง ความวิจิตรบรรจงจึงไม่ค่อยมี เมืองหลวงในสมัยต่อมาจึงค่อย
สร้างกันอย่างสวยงามมากขึ้น
[img]http://upic.me/i/wx/02_resize.jpg[/img]
ในหนังสือเรื่องเมืองญี่ปุ่นได้เล่าว่า มีการขุดพบกระดูกคนใกล้ๆ พระราชวัง กระดูกเหล่านี้อยู่ในลักษณะ
ยืนบ้าง ในลักษณะอื่นบ้าง สันนิษฐานกันว่ากระดูกเหล่านี้จะเป็นกระดูกของคนที่ถูกฝังทั้งเป็น คือเมื่อ
จะสร้างปราสาทหรือป้อมปราการอะไร ก็จะฝังคนลงไปด้วย เพื่อให้ปราสาทหรือป้อมเหล่านั้นมีอำนาจ
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถือกันมาแต่โบราณกาล ในการฝังหลักเมืองของไทย เราก็เคยเล่าลือกันว่ามีการฝังคน
แต่ของไทยเราไม่น่าจะเป็นไปถึงเช่นนั้น เพราะเราไม่นิยมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในพิธีที่เป็นมงคล และ
ประเพณีของไทยเราก็ไม่เคยมีการฆ่าสัตว์บูชายัญมาก่อน การฝังคนของญี่ปุ่นตามที่เล่ามาแล้วนั้น เมื่อ
พิจารณาดูตามธรรมเนียมดั้งเดิมของญี่ปุ่น ก็เห็นว่าน่าจะเป็นไปได้ คือในสมัยก่อนนั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดิน
เสด็จสวรรคต ก็จะต้องฝังบรรดาคนใช้ทั้งเป็น เป็นจำนวนมากลงไปพร้อมกับพระบรมศพ เพื่อให้คนเหล่า
นั้นตามไปปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าแผ่นดินในโลกหน้า ธรรมเนียมดังกล่าวนี้ได้เคยปฏิบัติกันมาทั้งในเมือง
จีนและพวกตาดมองโกล สำหรับในประเทศญี่ปุ่นนั้นเพิ่งจะมาเลิกธรรมเนียมนี้ในสมัย "จักรพรรดิซุยนิน"
ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 11 จักรพรรดิซุยนิน เทนโน ได้ทรงออกกฏหมายห้ามการฝังคนทั้งเป็น
อย่างเด็ดขาด และให้เอาดินมาปั้นเป็นรูปคน รูปม้า ฝังลงไปกับพระบรมศพแทนคนจริงๆ
การกระทำของจักรพรรดิซุยนิน เทนโน ได้ประโยชน์ถึงสองประการคือ ประการแรก เป็นการช่วยชีวิต
มนุษย์ไม่ให้ตายโดยเปล่าประโยชน์ ประการที่สอง ทำให้คนสมัยนี้ได้ทราบถึงความเจริญรุ่งเรืองของคน
ในสมัยนั้น ที่กล่าวเช่นนี้อาจจะมีคนสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร หลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต
ก็คือรูปคน รูปม้า ตลอดจนเครื่องแต่งตัวและอาวุธที่ฝังอยู่ในหลุมฝังศพนั่นเอง สิ่งของต่างๆ เหล่านี้เป็น
เครื่องพิสูจน์ถึงความเจริญได้ดีกว่าสิ่งของอื่นๆ
เมืองหลวงของญี่ปุ่นที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ และรู้จักกันแพร่หลายก็คือกรุงเกียวโต เมืองนี้ตามตำนาน
กล่าวว่า จักรพรรดิกัมมู ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 50 (ค.ศ.781-806) ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากโกนิน-เทนโน
พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยเมืองนาราขึ้นมา จึงทรงสร้างนครขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง กำหนดแผนผังรูปเมืองตาม
แบบเมืองเชียงอานเมืองหลวงของจีนในครั้งนั้น แล้วทรงตั้งนามพระนครใหม่ว่า "เฮอิอันเกียว" แปลว่า
เมืองแห่งความสงบ ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกกันว่า "กรุงเกียวโต" ได้เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินต่อมา
จนถึง ค.ศ.1869
เมืองหลวงเกียวโตนับว่าเป็นเมืองหลวงที่มีอายุยืนยาวกว่าเมืองหลวงรุ่นเก่า คือสร้างเมื่อ ค.ศ.794 เป็นเมือง
หลวงอยู่ 1,000 ปีเศษ ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1869 ก็ย้ายที่ประทับของจักรพรรดิจากเกียวโตไปอยู่
ที่โตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันนี้ คำว่า "โตเกียว" ประกอบขึ้นจากคำสองคำ คือคำว่า "โต" ซึ่งแปลว่า
ตะวันออก และคำว่า "เกียว" ซึ่งหมายถึงเหมืองหลวง รวมความว่าเมืองหลวงตะวันออก ซึ่งก็เป็นชื่อธรรมดา
ง่ายๆ เรานี่เอง
ญี่ปุ่นในสมัยโบราณเป็นญี่ปุ่นที่เชื่อในเรื่องวิญญาณและภูตผีปีศาจกันมาก การปลูกบ้านสร้างเมืองจึงต้อง
พิจารณาถึงสถานที่ทิศทางกันอย่างละเอียด ในสมัยนั้นเชื่อกันว่ามีปีศาจอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ปีศาจพวกนี้มักจะทำให้ผู้คนเดือดร้อนต่างๆ นานา ฉะนั้นเมื่อตอนที่จะสร้างเมืองโตเกียว จึงต้องหาวิธี
ป้องกันโดยสร้างวัดขึ้นบนภูเขาไฮอีอิ ซึ่งอยู่ถัดออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโตเกียว
การที่ต้องสร้างวัดไว้บนภูเขาด้านนี้ ก็เพื่อจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด สกัดกั้นพวกผีปีศาจที่จะมาทางทิศนั้น
ไว้นั่นเอง นี่ก็เป็นธรรมเนียมความเชื่อถือเกี่ยวกับการสร้างบ้าน สร้างเมืองของญี่ปุ่นอีกเรื่องหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก ส.พลายน้อย
[img]http://upic.me/i/ei/v_resize.jpg[/img]
มีผู้สนใจเรื่องญี่ปุ่นท่านหนึ่งสงสัยว่า ทำไมเราจึงเรียกประเทศญี่ปุ่นว่า "ญี่ปุ่น" ในเมื่อใครๆ
เขาเรียกกันว่า "เจแปน" และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เคยใช้ว่า "นิปปอน" ก็มี เรื่องชื่อ
ประเทศญี่ปุ่นนี่มีคำอธิบายยืดยาว เพราะเปลี่ยนเรียกกันหลายครั้ง พวกญี่ปุ่นเรียกอย่างหนึ่ง
คนต่างประเทศเรียกอย่างหนึ่ง คำว่า "นิปปอน" นั้นก็ยังมีเสียงที่ใช้เรียกคล้ายๆ กันอีกคำหนึ่ง
คือ "นิฮอน" ชื่อนี้เองที่ชาวจีนเรียกเป็น "ฟิเปน" ท่านผู้รู้ท่านว่า สำเนียงชาวจีนแต้จิ๋วเรียก
ญี่ปุ่นว่า "ยิดปุ๊น" แปลว่า มีต้นกำเนิดมาจากพระอาทิตย์ ฟังตามนี้จะเห็นว่าไทยเราเรียก
ญี่ปุ่นตามเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วนี่เอง แต่เพี้ยนจาก "ยิดปุ๊น" เป็น "ญี่ปุ่น"
[img]http://upic.me/i/s8/h_resize.jpg[/img]
ฝรั่งโบราณก็เคยเรียกชื่อ "ญี่ปุ่น" ออกไปแปลกๆ อย่างเช่น มาร์โคโปโลออกชื่อญี่ปุ่นว่า "ซีปันกุ"
คำว่า "ซีปัน" ใกล้กับคำว่า "เจแปน" มาก ส่วนคำว่า "กุ" ข้างท้ายนั้น เข้าใจว่าจะเอามาจากภาษา
ญี่ปุ่นนั่นเอง คือในภาษาญี่ปุ่นคำว่า "โกกุ" หมายถึงประเทศ ฉะนั้นคำว่า "ซีปันกุ" ก็คือประเทศซีปัน
หรือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
[img]http://upic.me/i/ic/o_resize.jpg[/img]
คำว่า "นิฮอน" ที่ใช้เรียกชื่อประเทศญี่ปุ่นนั้นกล่าวกันว่า เริ่มใช้เป็นทางการเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.670
ก่อนนี้ขึ้นไปก็เรียกกันแต่ว่าเป็นชาติยามาโตเท่านั้นเอง ชื่อเก่าชื่อแก่ของญี่ปุ่นอีกชื่อหนึ่งก็คือ อกิทสุชิมา
ซึ่งหมายถึง เกาะแห่งแมลงปอ ต้นเหตุที่จะมีชื่อเรียกกันอย่างนี้ มีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อ 2,600 ปีมาแล้ว
จักรพรรดิยิมมูได้เสด็จขึ้นไปบนยอดเขา แล้วทอดพระเนตรดูภูมิประเทศเมืองยามาโต ทรงพิจารณา
เห็นว่ารูปร่างของยามาโตเหมือนกับแมลงปอกำลังเลียหาง ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เรียกญี่ปุ่นว่า
"เกาะแห่งแมลงปอ" และชื่อนี้ได้เรียกคลุมไปถึงเกาะอื่นๆ ของญี่ปุ่นด้วย คือ รวมทั้งประเทศ เป็นชื่อ
รวมๆ หมายถึง "ญี่ปุ่น"
[img]http://upic.me/i/o8/3ri7l.jpg[/img]
เมื่อได้พูดถึงแมลงปอแล้ว ก็ใคร่จะเล่าเรื่องของแมลงปอไว้ด้วย เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของ
ญี่ปุ่นหลายอย่าง ในประเทศญี่ปุ่นก็แมลงปอมาก ตามที่นักค้นคว้ารุ่นเก่าของญี่ปุ่นได้สำรวจ ปรากฏ
ว่ามีแมลงปอในญี่ปุ่นถึง 50 ชนิด มีชื่อเรียกต่างๆ กัน ในหนังสือวรรณคดีของญี่ปุ่นมักจะกล่าวถึง
แมลงปอเสมอ
คนญี่ปุ่นสมัยเก่าเคยมีความเชื่อเกี่ยวกับแมลงปออยู่เรื่องหนึ่ง คือเขาเรียกแมลงปอชนิดหนึ่งว่า
"โชเรียว ทอมโบ" คำว่า "ทอมโบ" หมายถึง "แมลงปอ" โชเรียว ทอมโบ นี่เขาหมายถึงแมลงปอแห่ง
ความตาย หรือแมลงปอผี เชื่อกันว่าความตายขี่แมลงปอชนิดนี้ คือ เอาแมลงปอเป็นพาหนะเหมือนม้า
มีปีก ในเช้าวันที่ 13 จนถึงกลางคืนวันที่ 15 ของเดือนที่ 7 ซึ่งเป็นเทศกาลบอนของญี่ปุ่น แมลงชนิดนี้
จะต้องรับหน้าที่เป็นพาหนะรับวิญญาณของบรรพบุรุษมาเยี่ยมบ้าน เพราะฉะนั้นในระหว่างวันเหล่านี้
พวกเด็กๆ จึงถูกห้ามไม่ให้จับหรือทำร้ายแมลงปอ โดยเฉพาะแมลงปอชนิดที่เชื่อกันว่าเป็นพาหนะของ
วิญญาณบรรพบุรุษ ในบางตำบล ก็เชื่อกันว่า เด็กที่จับแมลงปอจะเป็นคนโง่ไม่มีความรู้ บางพวกยังมี
ความเชื่อต่อไปอีกว่า แมลงปอเคยเป็นพาหนะของพระอวโลกิเตศวร เพราะยังมีเงาหรือ อย่างที่เราเรียก
ว่า "พระฉาย" ติดอยู่
[img]http://upic.me/i/2s/02_resize.jpg[/img]
คนญี่ปุ่นหรือโดยเฉพาะพวกเด็กๆ ชอบจับแมลงปอมาเล่น นิสัยนี้มีมานานนับพันๆ ปีแล้ว พวกเด็กๆ
สนุกสนานกันมาก ร้องเพลงไปด้วย เพลงที่ร้องในเวลาจับแมลงปอมีมากมายหลายเพลง มีผู้รวบรวม
ไว้ซึ่งนับว่าเป็นบทเพลงโบราณที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงถึงชีวิตความเป็นอยู่สมัยโบราณได้ดีทีเดียว
การจับแมลงปอบางทีก็ใช้สวิงจับ บางทีก็ใช้ไม้เรียวเล็กๆ ผูกเชือกแกว่งไปมา เชือกก็จะพันปีกแมลงปอ
แต่ของไทยเราเห็นใช้มือโฉบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย เด็กไทยเราชอบเล่นพิเรนทร์ เมื่อจับแมลงปอ
มาได้แล้วก็มักจะเอาต้นหญ้าเสียบก้นแล้วปล่อยให้บินไป แมลงปอจะบินไม่สูง ไปไหนไม่ได้ บางทีก็ใช้
เชือกผูกหางยาวๆ เพื่อจะได้ไล่จับได้ง่ายๆ
เรื่องแมลงปอนี่นับว่าแปลกมากที่ชาวญี่ปุ่นดูจะเลื่อมใสศรัทธากันมากทีเดียว และเป็นแมลงที่ชาวญี่ปุ่น
นับถือมากกว่าแมลงชนิดอื่น ทำไมแมลงปอจึงได้รับการยกย่องเป็นเรื่องที่กล่าวกันไปต่างๆ นานา ต้นเหตุ
เดิมจะมีที่มาอย่างไรก็หาคำอธิบายให้แจ่มแจ้งไม่ได้ กล่าวกันแต่เพียงว่า แมลงปอเป็นสัตว์ที่เก่งกล้า เป็น
แมลงนักสู้ เป็นสัตว์ที่มีกรามและฟันแข็งแรง สามารถกัดแมลงชนิดอื่นที่ใหญ่กว่าได้อย่างง่ายดาย ยิ่งตัว
เมียด้วยแล้วดุร้ายมากทีเดียว
ในสมัยโบราณพวกนักรบนิยมแมลงปอกันมาก มักจะเอาชื่อแมลงปอไปขนานนามกัน ทั้งนี้ก็เคยถือกันว่า
แมลงปอเป็นสัตว์ที่ต่อสู้เก่ง สามารถชนะแมลงใหญ่กว่าได้ เป็นสัตว์ที่มีอาวุธประจำตัว คือกรามและฟัน
แข็งแรง เมื่อตั้งชื่อให้มีแมลงปอรวมอยู่ด้วย ก็จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เก่งเหมือนแมลงปอ เรื่องนี้คิดๆ ไป
ก็แปลกที่ญี่ปุ่นไม่เอาชื่อสัตว์ที่ดุร้ายมาใช้ กลับไปเอาชื่อแมลงปอ ซึ่งเป็นสัตว์เล็กๆ มาใช้แทน เป็นเรื่อง
ตรงกันข้ามกับไทย ที่เราเคยเรียกคนเก่งว่า "เสือ" ทหารไทยที่เก่งกล้ามีชื่อเรียกกันว่า เป็นทหารเสือก็หลายคน
หรืออย่างทหารมอญเขาใช้คำว่า "สมิง"
นอกจากญี่ปุ่นจะนิยมเอาชื่อแมลงปอไปขนานชื่อพวกนักรบแล้ว เขายังเชื่อกันอีกว่า รูปแมลงปอก็เป็นของ
ศักดิ์สิทธิ์ด้วย พวกเด็กผู้ชายของญี่ปุ่นมักจะมีเสื้อผ้าที่มีรูปแมลงปอประดับไว้ การที่เอารูปแมลงปอไปติด
ไว้ที่เสื้อผ้า ก็เพราะเขาเชื่อกันว่า ถ้าเด็กสวมเสื้อลายแมลงปอแล้ว จะทำให้โชคดี บางทีถึงกับเอาเชือกหรือ
ริบบิ้นมาผูกเป็นปมแบบรูปแมลงปอ ถือเป็นเครื่องรางไปเลย พวกนักมวยหรือนักเลง นักต่อสู้ทั้งหลาย
มักจะประดับรูปแมลงปอที่เสื้อผ้ากันเป็นส่วนมาก เพราะถือกันว่าจะทำให้ชนะคู่ต่อสู้ นี่ก็เนื่องมาจาก
ความเชื่อมั่นถึงความเก่งกล้าของแมลงปอที่สามารถเอาชนะศัตรูได้นั่นเอง
ความเชื่อถือในเรื่องแมลงปอนี้ก็แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือเขาใช้เฉพาะประดับเสื้อเด็กผู้ชายและพวกนักสู้เท่านั้น
พวกเด็กผู้หญิงไม่ปรากฏว่ามีใครใช้ คงจะคิดว่าพวกผู้หญิงไม่จำเป็นจะต้องเก่งกล้าหรือต้องต่อสู้กับใคร
กระมัง และตามเรื่องก็ว่าแมลงปอตัวเมียเก่ง ดุร้าย ถ้าเอาไปใช้กับผู้หญิงเพศเดียวกันเข้า ประเดี๋ยวจะเก่งกาจ
ขึ้นมาพวกผู้ชายจะแย่ ก็เลยไม่สนับสนุนให้ใช้รูปแมลงปอเป็นเครื่องราง นี่ก็เป็นเรื่องคิดไปเล่นๆ อย่างนั้นเอง
ได้เล่าเรื่องชื่อประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว จะขอเล่าถึงการสร้างเมืองหลวงของญี่ปุ่นต่อไป เพราะมีเรื่องที่น่ารู้
น่าศึกษาอยู่มาก
[img]http://upic.me/i/vr/01_resize.jpg[/img]
เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมาปรากฏว่ามีอยู่หลายแห่ง ในหนังสือญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง
กล่าวว่า เมืองหลวงของญี่ปุ่นเคยมีมาแล้วไม่น้อยกว่า 60 เมือง ฟังดูจำนวนแล้วก็ออกจะตกใจ เพราะไม่มี
ประเทศไหนที่จะมีเมืองหลวงหลายแห่งเท่าญี่ปุ่น ต้นเหตุที่จะมีเมืองหลวงมากมายเช่นนี้กล่าวกันว่า เนื่อง
มาจากความเชื่อตั้งแต่โบราณที่ว่าสถานที่ใดๆ ก็ตาม ถ้าหากมีคนตายในที่นั้น บุตรชายของผู้ตายจะต้อง
สร้างบ้านเรือนอยู่ใหม่ ซึ่งก็เท่ากับว่าต้องย้ายที่ใหม่นั่นเอง และประเพณีนี้ได้ถือกันในชั้นเจ้าด้วย เมื่อพระ
เจ้าจักรพรรดิสวรรคตลง พระราชโอรสก็จะต้องสร้างเมืองหลวงใหม่ เมืองหลวงต่างๆ เหล่านี้ตั้งอยู่ไม่นาน
ก็เปลี่ยนไป ย้ายไป หรืออาจจะไม่ทันตั้งชื่อหรือไม่มีชื่อเลยก็ได้ และเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นหมู่บ้านไปแล้ว
การย้ายเมืองหลวงบ่อยๆ ฟังดูแล้วก็น่าตกใจ เพราะตามความคิดของเราก็จะมองเห็นเป็นปราสาทราชวัง
มีกำแพงใหญ่โต เพราะเราเห็นตัวอย่างเมืองหลวงของไทยอย่างเช่น สุโขทัย อยุธยา มาแล้ว แต่เมืองหลวง
ของญี่ปุ่นในสมัยแรกนั้น กล่าวกันว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย สิ่งสำคัญของเมืองหลวงในระยะนั้น เห็นจะ
เป็นป้อมค่ายมากกว่าจะเป็นพระราชวัง ความวิจิตรบรรจงจึงไม่ค่อยมี เมืองหลวงในสมัยต่อมาจึงค่อย
สร้างกันอย่างสวยงามมากขึ้น
[img]http://upic.me/i/wx/02_resize.jpg[/img]
ในหนังสือเรื่องเมืองญี่ปุ่นได้เล่าว่า มีการขุดพบกระดูกคนใกล้ๆ พระราชวัง กระดูกเหล่านี้อยู่ในลักษณะ
ยืนบ้าง ในลักษณะอื่นบ้าง สันนิษฐานกันว่ากระดูกเหล่านี้จะเป็นกระดูกของคนที่ถูกฝังทั้งเป็น คือเมื่อ
จะสร้างปราสาทหรือป้อมปราการอะไร ก็จะฝังคนลงไปด้วย เพื่อให้ปราสาทหรือป้อมเหล่านั้นมีอำนาจ
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถือกันมาแต่โบราณกาล ในการฝังหลักเมืองของไทย เราก็เคยเล่าลือกันว่ามีการฝังคน
แต่ของไทยเราไม่น่าจะเป็นไปถึงเช่นนั้น เพราะเราไม่นิยมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในพิธีที่เป็นมงคล และ
ประเพณีของไทยเราก็ไม่เคยมีการฆ่าสัตว์บูชายัญมาก่อน การฝังคนของญี่ปุ่นตามที่เล่ามาแล้วนั้น เมื่อ
พิจารณาดูตามธรรมเนียมดั้งเดิมของญี่ปุ่น ก็เห็นว่าน่าจะเป็นไปได้ คือในสมัยก่อนนั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดิน
เสด็จสวรรคต ก็จะต้องฝังบรรดาคนใช้ทั้งเป็น เป็นจำนวนมากลงไปพร้อมกับพระบรมศพ เพื่อให้คนเหล่า
นั้นตามไปปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าแผ่นดินในโลกหน้า ธรรมเนียมดังกล่าวนี้ได้เคยปฏิบัติกันมาทั้งในเมือง
จีนและพวกตาดมองโกล สำหรับในประเทศญี่ปุ่นนั้นเพิ่งจะมาเลิกธรรมเนียมนี้ในสมัย "จักรพรรดิซุยนิน"
ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 11 จักรพรรดิซุยนิน เทนโน ได้ทรงออกกฏหมายห้ามการฝังคนทั้งเป็น
อย่างเด็ดขาด และให้เอาดินมาปั้นเป็นรูปคน รูปม้า ฝังลงไปกับพระบรมศพแทนคนจริงๆ
การกระทำของจักรพรรดิซุยนิน เทนโน ได้ประโยชน์ถึงสองประการคือ ประการแรก เป็นการช่วยชีวิต
มนุษย์ไม่ให้ตายโดยเปล่าประโยชน์ ประการที่สอง ทำให้คนสมัยนี้ได้ทราบถึงความเจริญรุ่งเรืองของคน
ในสมัยนั้น ที่กล่าวเช่นนี้อาจจะมีคนสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร หลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต
ก็คือรูปคน รูปม้า ตลอดจนเครื่องแต่งตัวและอาวุธที่ฝังอยู่ในหลุมฝังศพนั่นเอง สิ่งของต่างๆ เหล่านี้เป็น
เครื่องพิสูจน์ถึงความเจริญได้ดีกว่าสิ่งของอื่นๆ
เมืองหลวงของญี่ปุ่นที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ และรู้จักกันแพร่หลายก็คือกรุงเกียวโต เมืองนี้ตามตำนาน
กล่าวว่า จักรพรรดิกัมมู ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 50 (ค.ศ.781-806) ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากโกนิน-เทนโน
พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยเมืองนาราขึ้นมา จึงทรงสร้างนครขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง กำหนดแผนผังรูปเมืองตาม
แบบเมืองเชียงอานเมืองหลวงของจีนในครั้งนั้น แล้วทรงตั้งนามพระนครใหม่ว่า "เฮอิอันเกียว" แปลว่า
เมืองแห่งความสงบ ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกกันว่า "กรุงเกียวโต" ได้เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินต่อมา
จนถึง ค.ศ.1869
เมืองหลวงเกียวโตนับว่าเป็นเมืองหลวงที่มีอายุยืนยาวกว่าเมืองหลวงรุ่นเก่า คือสร้างเมื่อ ค.ศ.794 เป็นเมือง
หลวงอยู่ 1,000 ปีเศษ ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1869 ก็ย้ายที่ประทับของจักรพรรดิจากเกียวโตไปอยู่
ที่โตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันนี้ คำว่า "โตเกียว" ประกอบขึ้นจากคำสองคำ คือคำว่า "โต" ซึ่งแปลว่า
ตะวันออก และคำว่า "เกียว" ซึ่งหมายถึงเหมืองหลวง รวมความว่าเมืองหลวงตะวันออก ซึ่งก็เป็นชื่อธรรมดา
ง่ายๆ เรานี่เอง
ญี่ปุ่นในสมัยโบราณเป็นญี่ปุ่นที่เชื่อในเรื่องวิญญาณและภูตผีปีศาจกันมาก การปลูกบ้านสร้างเมืองจึงต้อง
พิจารณาถึงสถานที่ทิศทางกันอย่างละเอียด ในสมัยนั้นเชื่อกันว่ามีปีศาจอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ปีศาจพวกนี้มักจะทำให้ผู้คนเดือดร้อนต่างๆ นานา ฉะนั้นเมื่อตอนที่จะสร้างเมืองโตเกียว จึงต้องหาวิธี
ป้องกันโดยสร้างวัดขึ้นบนภูเขาไฮอีอิ ซึ่งอยู่ถัดออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโตเกียว
การที่ต้องสร้างวัดไว้บนภูเขาด้านนี้ ก็เพื่อจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด สกัดกั้นพวกผีปีศาจที่จะมาทางทิศนั้น
ไว้นั่นเอง นี่ก็เป็นธรรมเนียมความเชื่อถือเกี่ยวกับการสร้างบ้าน สร้างเมืองของญี่ปุ่นอีกเรื่องหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก ส.พลายน้อย
วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554
การบีบอัดข้อมูล
การบีบอัดข้อมูล
การบีบอัดข้อมูลมีประโยชน์ในการลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เช่น ประหยัดพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
เมื่อเก็บข้อมูล หรือใช้แบนด์วิดธ์ของระบบเครือข่ายน้อยลงเพื่อส่งข้อมูลที่บีบอัดแล้ว เป็นต้น
ในทางตรงข้ามข้อมูลที่ถูกบีบอัด (compress) มาแล้วก็ต้องนำมาคลาย (decompress) หรือถอดรหัส
เพื่อให้ได้ข้อมูลเดิมกลับมาก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้
อาศัยหลักการที่ว่าปกติข้อมูลที่ใช้อยู่มักจะมีข้อมูลที่ซ้ำกัน เช่น คำในภาษาอังกฤษมักพบอักษร 'e'
ได้บ่อยกว่า 'z' และความเป็นไปได้ที่อักษร 'q' จะตามด้วย 'z' มีน้อยมากๆ ยกตัวอย่างแบบนี้อาจไม่
เห็นภาพว่าจะลดข้อมูลได้อย่างไร ผมขอยกตัวอย่างแบบที่ผมคิดเองดีกว่าอย่างในภาษาอังกฤษใน
บทความหรือหนังสือ เล่มหนึ่งจะปรากฏคำว่า the อยู่บ่อยมาก สมมติเราให้เก็บอักษร t แทน the
หรืออาจใช้วิธีเก็บตำแหน่งที่ปรากฎคำนั้นๆแทน ก็สามารถลดความยาวข้อมูลที่จะเก็บได้
(อันนี้แค่ยกตัวอย่างให้เห็นแนวคิดแต่จริงๆ algorithm ที่ใช้บีบอัดอาจกระทำกันในระดับบิตเลย
นะครับ) จะเห็นว่าการบีบอัดข้อมูลแบบนี้ ข้อมูลต้นฉบับกับข้อมูลที่บีบอัดแล้วคลายออกมาจะ
เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
การบีบอัดข้อมูล (data compression) เป็นกระบวนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อให้ใช้จำนวนบิตในการเก็บ
ข้อมูลน้อยลงกว่าเดิม (ไม่ใช่เพื่อรักษาความลับ) ตรงนี้ที่ใช้คำว่าเข้ารหัสเพราะข้อมูลต้นฉบับกับ
ข้อมูลที่ได้หลังจากบีบอัด แล้วมันจะต่างไปจากเดิม ซึ่งตามจุดประสงค์เดิมของการเข้ารหัสนั้น
เพื่อรักษาความลับของข้อมูลข่าวสาร แต่ในกรณีการบีบอัดนั้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ขนาดของ
ข้อมูลที่เก็บมีขนาด ลดลง
การบีบอัดข้อมูลมีประโยชน์ในการลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เช่น ประหยัดพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
เมื่อเก็บข้อมูล หรือใช้แบนด์วิดธ์ของระบบเครือข่ายน้อยลงเพื่อส่งข้อมูลที่บีบอัดแล้ว เป็นต้น
ในทางตรงข้ามข้อมูลที่ถูกบีบอัด (compress) มาแล้วก็ต้องนำมาคลาย (decompress) หรือถอดรหัส
เพื่อให้ได้ข้อมูลเดิมกลับมาก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจมีผลเสีย
ต่องานบางอย่าง เช่น ข้อมูลวีดีโอที่บีบอัดแล้วอาจต้องการฮาร์ดแวร์ราคาแพงที่สามารถประมวลผล
ได้เร็วพอที่จะเล่นข้อมูลวีดีโอนั้นได้โดยไม่ติดขัด (ทางเลือกอื่นเช่นการคลายข้อมูลวีดีโอกลับออกมา
ก่อนแล้วค่อยดูอาจไม่สะดวก และต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลที่คลายออกมาแล้วเพิ่ม)
หากเราจะเลือกรูปแบบการบีบอัดข้อมูล จะต้องคำนึงถึงตัวแปรหลายๆตัว เช่น ประสิทธิภาพในการ
บีบอัด อัตราการสูญเสียหรือผิดเพี้ยน(บางคนอาจสงสัยว่าข้อมูลที่บีบอัดมันเพี้ยน ด้วยหรือ อันนี้เดี๋ยวจะ
อธิบายต่อ) ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการบีบอัดหรือคลายข้อมูล เป็นต้น
การบีบอัดแบบ Lossless กับแบบ Lossy
การบีบอัดข้อมูลแบบ Lossless อาศัยหลักการที่ว่าปกติข้อมูลที่ใช้อยู่มักจะมีข้อมูลที่ซ้ำกัน เช่น คำใน
ภาษาอังกฤษมักพบอักษร 'e' ได้บ่อยกว่า 'z' และความเป็นไปได้ที่อักษร 'q' จะตามด้วย 'z' มีน้อยมากๆ
ยกตัวอย่างแบบนี้อาจไม่เห็นภาพว่าจะลดข้อมูลได้อย่างไร ผมขอยกตัวอย่างแบบที่ผมคิดเองดีกว่าอย่าง
ในภาษาอังกฤษในบทความหรือหนังสือ เล่มหนึ่งจะปรากฏคำว่า the อยู่บ่อยมาก สมมติเราให้เก็บอักษร
t แทน the หรืออาจใช้วิธีเก็บตำแหน่งที่ปรากฎคำนั้นๆ แทน ก็สามารถลดความยาวข้อมูลที่จะเก็บได้
(อันนี้แค่ยกตัวอย่างให้เห็นแนวคิดแต่จริงๆ algorithm ที่ใช้บีบอัดอาจกระทำกันในระดับบิตเลยนะครับ)
จะเห็นว่าการบีบอัดข้อมูลแบบนี้ ข้อมูลต้นฉบับกับข้อมูลที่บีบอัดแล้วคลายออกมาจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
การบีบอัดข้อมูลแบบ Lossy จะมีแนวคิดต่างกันไป โดยใช้หลักว่าความผิดเพี้ยนของข้อมูลเล็กน้อยเป็นสิ่ง
ที่ยอมรับได้ เช่น ตาของมนุษย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างของบางสีได้หมด ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูล
ทุกสีทุกตำแหน่ง เก็บเพียงบางสีที่แยกความแตกต่างได้ก็พอ ดังจะเห็นตัวอย่างจากไฟล์ประเภท jpg ใช้การ
บีบอัดข้อมูลแบบ Lossy จะทำให้ได้ขนาดไฟล์ภาพที่เล็กลงมาก แต่ก็สูญเสียรายละเอียดบางอย่างไป
(รายละเอียดที่เสียไปคือสีที่มนุษย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้) จะเห็นว่าการบีบอัดข้อมูลแบบ Lossy
มักจะใช้กับข้อมูลที่มนุษย์รับรู้ อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ไฟล์เสียงประเภท mp3 ซึ่งทำการตัดเสียงในย่านความถี่
ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินออกไป
ยกตัวอย่างง่ายๆเพื่อเทียบการบีบอัดข้อมูลแบบ lossless กับ lossy เช่น 25.888888888 อาจบีบอัดให้เหลือ
25.[9]8 (9 ในปีกกาหมายถึงมี 8 จำนวน 9 ตัว) ซึ่งสามารถแปลงกลับเป็นข้อมูลเดิมได้ไม่ผิดเพี้ยน (lossless)
ในขณะที่ถ้าหากสามารถยอมรับได้ว่าข้อมูลผิดเพี้ยนไปบ้างก็ไม่เป็นไรก็อาจบีบ อัดให้เหลือ 26 ซึ่งจะเห็นว่า
ประหยัดพื้นที่การเก็บข้อมูลได้เยอะกว่า แต่ขณะเดียวกันข้อมูลจะไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว (lossy)
ข้อควรทราบอีกอย่างคือ การบีบอัดข้อมูลที่บีบอัดมาแล้ว ไม่คุ้มค่านัก เพราะขนาดของไฟล์จะเล็กลงไม่มาก
บางครั้งอาจใหญ่ขึ้นด้วย (ในการบีบอัดก็มี overhead นะครับ) นอกจากนี้ยังเสียเวลาที่จะต้องมาคลายข้อมูลอีกด้วย
algorithm ที่นิยมใช้ในการบีบอัดแบบ lossless คือ Lempel-Ziv (LZ) และ DEFLATE ซึ่งพัฒนาต่อจาก LZ เพื่อให้
บีบอัดข้อมูลได้มากขึ้นและคลายข้อมูลออกมาได้เร็วขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เสียเวลาในการบีบอัดมากขึ้นอีกหน่อย
(ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ) DEFLATE ถูกใช้ใน PKZIP, gzip และ PNG (ดังๆทั้งนั้นนะครับ PKZIP เป็นโปรแกรม
บีบอัดแรกๆเลยที่ได้รับความนิยม คนมีอายุหน่อยจะรู้ อิอิ gzip ก็เช่นกันแต่ใช้ในระบบ unix ส่วน PNG เป็นรูปแบบ
ไฟล์ภาพ) algorithm ที่ควรจะกล่าวถึงอีก คือ LZW (Lempel-Ziv-Welch) ซึ่งใช้ในไฟล์ภาพ GIF และที่รู้จักกันดี
อีกตัว(ใครรู้จักหว่า) คือ LZR (LZ-Renau)
วิธีการ บีบอัดแบบ LZ ต่างๆ ที่กล่าวมาใช้หลักการบีบอัดแบบ table-based compression model ซึ่งข้อมูลในตาราง
จะแทนค่าตัวอักษรหรือข้อมูลที่ซ้ำกัน โดยส่วนใหญ่ตารางนี้จะถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่รับเข้าไป อีกรูปแบบ
ของ LZ ที่ใช้ได้ดี คือ LZX ซึ่งถูกใช้ในไฟล์ CAB ของไมโครซอฟต์
WinZIP
จุดเด่น
* มีอินเตอร์เฟสที่คุ้นเคย (มุมมองเหมือน Windows Explore)
* มีคำสั่งสำหรับการ ZIP แล้วส่งเมลล์ (Std version) , ZIP ไปยัง FTP Site และ ZIP พร้อมเบิร์นลง CD/DVD ได้ (Pro only)
* รองรับการบีบอัดไฟล์หลายรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถเปิดและแยกไฟล์ 7z, RAR, IMG, ISO, CAB, LHA ได้อีกด้วย
* สามารถสร้างงานที่ต้องทำเ็ป็นประจำได้ ( WinZip 11,12 Pro Job completion : http://www.winzip.com/wzdjobs.htm )
จุดด้อย
* การเข้ารหัสในรูปแบบไฟล์ ZIP มีอัตราการบีบอัดค่อนข้างต่ำ (แต่เป็นมาตรฐานที่ใช้กันได้ทุกระบบ)
* การปรับแต่ง Interface ทำได้น้อย
WinRAR
จุดเด่น
* อัตราการบีบอัดสูงกว่า ZIP Standard
* ปรับแต่งหน้าตาเพิ่มได้ ( http://www.rarlab.com/themes.htm )
* สามารถใช้ได้ทั้งแบบ GUI และแบบ Command line
* มีให้ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม ( Winrar ในระบบอื่นๆ: http://www.rarlab.com/rar_add.htm )
* สามารถใช้งาน Multi Thread ได้ ( WinRAR 3.6+ )
* รองรับการทำงานในระบบ 64 bit ( บางระบบเท่านั้น: Unix, Linux, Windows ในแบบ Command Line)
* มีเมนูภาษาไทย ( ต้องดาวน์โหลดมาติดตั้งเอง )
จุดด้อย
* หากนำไฟล์ไปใช้กับระบบที่ไม่มี RAR, WinRAR อาจใช้งานไฟล์นั้นไม่ได้ (ไม่มีโปรแกรมเปิด ก็ไม่มีประโยชน์)
* ใช้ทรัพยาการในการทำงานค่อนข้างสูง ทั้งการเข้ารหัส/ถอดรหัสไฟล์
7-Zip (Seven Zip)
จุดเด่น
* สามารถใช้งานได้ฟรีแบบเต็มรูปแบบ ( ตามเงื่อนไข GNU LGPL License: http://www.7-zip.org/license.txt )
* มีอัตราการบีบอัดข้อมูลสูงกว่า RAR (LZMA compression)
* รองรับการบีบอัด: 7z, ZIP, GZIP, BZIP2 ,TAR
* รองรับการแยกไฟล์: ARJ, CAB, CHM, CPIO, DEB, DMG, HFS, ISO, LZH, LZMA, MSI, NSIS, RAR, RPM, UDF, WIM, XAR ,Z
* รองรับการเข้ารหัสแบบ AES-256 ในไฟล์ประเภท 7z, ZIP
* มีให้ใช้งานถึง 74 ภาษา (รวมภาษาไทย)
จุดด้อย
* อินเตอร์เฟสค่อนข้างเรียบง่ายเกินไป (ปรับแต่งได้น้อย)
* การทำงานบางอย่าง ใช้ทรัพยากรระบบสูงมาก (ทั้ง CPU และ RAM)
เนื่องจากกระแสลิขสิทธิ์ค่อนข้างแรง เลยมีการยกเรื่องของ OpenSource software และ Freeware ขึ้นมามากมาย
และมีโปรแกรมหลายๆประเภทที่ได้ลองแล้ง คิดว่าใช้ทดแทนโปรแกรมเถื่อนที่มีในเครื่องได้
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ผมไม่ได้มาบอกว่าของฟรีหรือของเถื่อนดีกว่า เรื่องนี้ต้องอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน
เอาเป็นว่าวันนี้ผมมาเล่าเรื่องการใช้ Software ของผมละกัน
ผลการใช้งาน Winrar และ 7Zip ว่าด้วยการใช้งานทั่วไป ผลการใช้งาน Winrar และ 7Zip ว่าด้วยการใช้งานทั่วไป
ผลการใช้งาน Winrar และ 7Zip ว่าด้วยการใช้งานทั่วไป (เน้นว่าใช้งานทั่วๆไป)
การใช้งาน
- ใช้แตกไฟล์ (Extract File) เป็นส่วนมาก มีทุกขนาดและทุก part เช่น ไฟล์เอกสารไม่กี่ 100k จนถึงไฟล์ 20 part ขนาดรวมเกือบๆ 4G
- ใช้บีบอัดไฟล์ เช่น ส่งไฟล์ให้เพื่อน ใช้เก็บไฟล์บางไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว และบีบอัดไฟล์อัพโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต
แค่นี้แหละครับ การใช้งานของผม คิดว่าหลายๆคนก็คงเป้นเหมือนผม
ผลการใช้งานเปรียบเทียบความแตกต่าง 2 ตัว
- ความเร็วในการแตกไฟล์ ทั้ง 2 ตัวทำได้ใกล้เคียงกัน ยกเว้นว่าถ้าเป็นไฟล์ใหญ่ๆ 7Zip จะทำให้เครื่องผมช้าขึ้นมาทันที
- การบีบอัด Winrar บีบอัดได้เร็วกว่าเห็นๆ แถมไม่ทำให้เครื่องหน่วงด้วย ถ้าใช้ 7Zip ก็ควรปรับการบีบอัดให้เป็นแบบ Fastest เพราะถึงจะใช้ High ไปขนาดของไฟล์ที่บีบอัดก้จะเท่ากัน(ลองมาแล้ว)
- เรื่องการแตกไฟล์ ถ้าเป้น Winrar หากมีไฟล์ใดไฟล์หนึ่งเสีย(สมมุติว่ามีหลาย part) winrar ก็จะขึ้นหน้าต่างเตือนทันทีที่เจอและหยุดการแตกไฟล์ทันที แต่ 7Zip จะแตกไฟล์อย่างสบายใจไปจนครบ และขึ้นหน้าต่างเตือนทีหลัง ส่วนไฟล์ที่แตกไฟแล้วก็ใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้าง (แน่นอนว่ามันไม่สมบูรณ์)
- นามสกุลของไฟล์ที่บีบอัดแบบแบ่งหลายๆ part เช่น แบ่งไฟล์ Game.exe ให้เป็น 5 part
Winrar จะได้ Game.part1.rar – Game.part5.rar
7Zip จะได้ Game.7z.001 - Game.7z.005
ประมาณนี้
- จุดเด่นของ 7zip คือ อัตราการบีบอัดสูงมาก ผมเคยบีบอัดไฟล์ ISO 700MB เพื่ออัพโหลดขึ้นเว็บ ปรากฏว่าบีบแล้วเหลือแค่ 370 MB .. เหลือแค่เนี๊ย(เลือกแบบ Fastest แล้ว)
- ส่วนไฟล์พวก Video Music MP3 ต่างๆลองแล้ว ทั้ง Winrar และ 7Zip ให้ผลไม่ต่างกันมาก
- ถ้าจะบีบอัดไฟล์เป้นหลายๆ part แล้วอัพโหลดขึ้นเว็บฝากไฟล์ ผมแนะนำ 7zip ครับ เพราะบีบได้เล็กกว่า(ในบางกรณี) แต่ไฟล์ที่อัพโหลดไปแล้วพอถูกดาวน์โหลด แทบจะไม่เจอ Error เลย สามารถแตกไฟล์ได้แบบสมบูรณ์ แต่ไฟล์ .rar จะมี error เกิดขึ้น เจอบ่อยๆก็คือ CRC32 โดยเฉพาะพวกไฟล์ใหญ่ๆและแบ่งออกเป็นหลายๆ part
สรุปง่ายๆ 7zip สามารถใช้ทดแทน Winrar ได้ครับ การใช้งานต่างๆไม่ต่างกันมาก ใช้เวลาเรียนรู้สักหน่อยก็สามารถใช้งานได้แล้วครับ ถึงจะบีบอัดช้าแต่ก็ได้ไฟล์ที่มีขนาดเล็กลงมาก
การบีบอัดข้อมูลมีประโยชน์ในการลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เช่น ประหยัดพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
เมื่อเก็บข้อมูล หรือใช้แบนด์วิดธ์ของระบบเครือข่ายน้อยลงเพื่อส่งข้อมูลที่บีบอัดแล้ว เป็นต้น
ในทางตรงข้ามข้อมูลที่ถูกบีบอัด (compress) มาแล้วก็ต้องนำมาคลาย (decompress) หรือถอดรหัส
เพื่อให้ได้ข้อมูลเดิมกลับมาก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้
อาศัยหลักการที่ว่าปกติข้อมูลที่ใช้อยู่มักจะมีข้อมูลที่ซ้ำกัน เช่น คำในภาษาอังกฤษมักพบอักษร 'e'
ได้บ่อยกว่า 'z' และความเป็นไปได้ที่อักษร 'q' จะตามด้วย 'z' มีน้อยมากๆ ยกตัวอย่างแบบนี้อาจไม่
เห็นภาพว่าจะลดข้อมูลได้อย่างไร ผมขอยกตัวอย่างแบบที่ผมคิดเองดีกว่าอย่างในภาษาอังกฤษใน
บทความหรือหนังสือ เล่มหนึ่งจะปรากฏคำว่า the อยู่บ่อยมาก สมมติเราให้เก็บอักษร t แทน the
หรืออาจใช้วิธีเก็บตำแหน่งที่ปรากฎคำนั้นๆแทน ก็สามารถลดความยาวข้อมูลที่จะเก็บได้
(อันนี้แค่ยกตัวอย่างให้เห็นแนวคิดแต่จริงๆ algorithm ที่ใช้บีบอัดอาจกระทำกันในระดับบิตเลย
นะครับ) จะเห็นว่าการบีบอัดข้อมูลแบบนี้ ข้อมูลต้นฉบับกับข้อมูลที่บีบอัดแล้วคลายออกมาจะ
เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
การบีบอัดข้อมูล (data compression) เป็นกระบวนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อให้ใช้จำนวนบิตในการเก็บ
ข้อมูลน้อยลงกว่าเดิม (ไม่ใช่เพื่อรักษาความลับ) ตรงนี้ที่ใช้คำว่าเข้ารหัสเพราะข้อมูลต้นฉบับกับ
ข้อมูลที่ได้หลังจากบีบอัด แล้วมันจะต่างไปจากเดิม ซึ่งตามจุดประสงค์เดิมของการเข้ารหัสนั้น
เพื่อรักษาความลับของข้อมูลข่าวสาร แต่ในกรณีการบีบอัดนั้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ขนาดของ
ข้อมูลที่เก็บมีขนาด ลดลง
การบีบอัดข้อมูลมีประโยชน์ในการลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เช่น ประหยัดพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
เมื่อเก็บข้อมูล หรือใช้แบนด์วิดธ์ของระบบเครือข่ายน้อยลงเพื่อส่งข้อมูลที่บีบอัดแล้ว เป็นต้น
ในทางตรงข้ามข้อมูลที่ถูกบีบอัด (compress) มาแล้วก็ต้องนำมาคลาย (decompress) หรือถอดรหัส
เพื่อให้ได้ข้อมูลเดิมกลับมาก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจมีผลเสีย
ต่องานบางอย่าง เช่น ข้อมูลวีดีโอที่บีบอัดแล้วอาจต้องการฮาร์ดแวร์ราคาแพงที่สามารถประมวลผล
ได้เร็วพอที่จะเล่นข้อมูลวีดีโอนั้นได้โดยไม่ติดขัด (ทางเลือกอื่นเช่นการคลายข้อมูลวีดีโอกลับออกมา
ก่อนแล้วค่อยดูอาจไม่สะดวก และต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลที่คลายออกมาแล้วเพิ่ม)
หากเราจะเลือกรูปแบบการบีบอัดข้อมูล จะต้องคำนึงถึงตัวแปรหลายๆตัว เช่น ประสิทธิภาพในการ
บีบอัด อัตราการสูญเสียหรือผิดเพี้ยน(บางคนอาจสงสัยว่าข้อมูลที่บีบอัดมันเพี้ยน ด้วยหรือ อันนี้เดี๋ยวจะ
อธิบายต่อ) ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการบีบอัดหรือคลายข้อมูล เป็นต้น
การบีบอัดแบบ Lossless กับแบบ Lossy
การบีบอัดข้อมูลแบบ Lossless อาศัยหลักการที่ว่าปกติข้อมูลที่ใช้อยู่มักจะมีข้อมูลที่ซ้ำกัน เช่น คำใน
ภาษาอังกฤษมักพบอักษร 'e' ได้บ่อยกว่า 'z' และความเป็นไปได้ที่อักษร 'q' จะตามด้วย 'z' มีน้อยมากๆ
ยกตัวอย่างแบบนี้อาจไม่เห็นภาพว่าจะลดข้อมูลได้อย่างไร ผมขอยกตัวอย่างแบบที่ผมคิดเองดีกว่าอย่าง
ในภาษาอังกฤษในบทความหรือหนังสือ เล่มหนึ่งจะปรากฏคำว่า the อยู่บ่อยมาก สมมติเราให้เก็บอักษร
t แทน the หรืออาจใช้วิธีเก็บตำแหน่งที่ปรากฎคำนั้นๆ แทน ก็สามารถลดความยาวข้อมูลที่จะเก็บได้
(อันนี้แค่ยกตัวอย่างให้เห็นแนวคิดแต่จริงๆ algorithm ที่ใช้บีบอัดอาจกระทำกันในระดับบิตเลยนะครับ)
จะเห็นว่าการบีบอัดข้อมูลแบบนี้ ข้อมูลต้นฉบับกับข้อมูลที่บีบอัดแล้วคลายออกมาจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
การบีบอัดข้อมูลแบบ Lossy จะมีแนวคิดต่างกันไป โดยใช้หลักว่าความผิดเพี้ยนของข้อมูลเล็กน้อยเป็นสิ่ง
ที่ยอมรับได้ เช่น ตาของมนุษย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างของบางสีได้หมด ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูล
ทุกสีทุกตำแหน่ง เก็บเพียงบางสีที่แยกความแตกต่างได้ก็พอ ดังจะเห็นตัวอย่างจากไฟล์ประเภท jpg ใช้การ
บีบอัดข้อมูลแบบ Lossy จะทำให้ได้ขนาดไฟล์ภาพที่เล็กลงมาก แต่ก็สูญเสียรายละเอียดบางอย่างไป
(รายละเอียดที่เสียไปคือสีที่มนุษย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้) จะเห็นว่าการบีบอัดข้อมูลแบบ Lossy
มักจะใช้กับข้อมูลที่มนุษย์รับรู้ อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ไฟล์เสียงประเภท mp3 ซึ่งทำการตัดเสียงในย่านความถี่
ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินออกไป
ยกตัวอย่างง่ายๆเพื่อเทียบการบีบอัดข้อมูลแบบ lossless กับ lossy เช่น 25.888888888 อาจบีบอัดให้เหลือ
25.[9]8 (9 ในปีกกาหมายถึงมี 8 จำนวน 9 ตัว) ซึ่งสามารถแปลงกลับเป็นข้อมูลเดิมได้ไม่ผิดเพี้ยน (lossless)
ในขณะที่ถ้าหากสามารถยอมรับได้ว่าข้อมูลผิดเพี้ยนไปบ้างก็ไม่เป็นไรก็อาจบีบ อัดให้เหลือ 26 ซึ่งจะเห็นว่า
ประหยัดพื้นที่การเก็บข้อมูลได้เยอะกว่า แต่ขณะเดียวกันข้อมูลจะไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว (lossy)
ข้อควรทราบอีกอย่างคือ การบีบอัดข้อมูลที่บีบอัดมาแล้ว ไม่คุ้มค่านัก เพราะขนาดของไฟล์จะเล็กลงไม่มาก
บางครั้งอาจใหญ่ขึ้นด้วย (ในการบีบอัดก็มี overhead นะครับ) นอกจากนี้ยังเสียเวลาที่จะต้องมาคลายข้อมูลอีกด้วย
algorithm ที่นิยมใช้ในการบีบอัดแบบ lossless คือ Lempel-Ziv (LZ) และ DEFLATE ซึ่งพัฒนาต่อจาก LZ เพื่อให้
บีบอัดข้อมูลได้มากขึ้นและคลายข้อมูลออกมาได้เร็วขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เสียเวลาในการบีบอัดมากขึ้นอีกหน่อย
(ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ) DEFLATE ถูกใช้ใน PKZIP, gzip และ PNG (ดังๆทั้งนั้นนะครับ PKZIP เป็นโปรแกรม
บีบอัดแรกๆเลยที่ได้รับความนิยม คนมีอายุหน่อยจะรู้ อิอิ gzip ก็เช่นกันแต่ใช้ในระบบ unix ส่วน PNG เป็นรูปแบบ
ไฟล์ภาพ) algorithm ที่ควรจะกล่าวถึงอีก คือ LZW (Lempel-Ziv-Welch) ซึ่งใช้ในไฟล์ภาพ GIF และที่รู้จักกันดี
อีกตัว(ใครรู้จักหว่า) คือ LZR (LZ-Renau)
วิธีการ บีบอัดแบบ LZ ต่างๆ ที่กล่าวมาใช้หลักการบีบอัดแบบ table-based compression model ซึ่งข้อมูลในตาราง
จะแทนค่าตัวอักษรหรือข้อมูลที่ซ้ำกัน โดยส่วนใหญ่ตารางนี้จะถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่รับเข้าไป อีกรูปแบบ
ของ LZ ที่ใช้ได้ดี คือ LZX ซึ่งถูกใช้ในไฟล์ CAB ของไมโครซอฟต์
WinZIP
จุดเด่น
* มีอินเตอร์เฟสที่คุ้นเคย (มุมมองเหมือน Windows Explore)
* มีคำสั่งสำหรับการ ZIP แล้วส่งเมลล์ (Std version) , ZIP ไปยัง FTP Site และ ZIP พร้อมเบิร์นลง CD/DVD ได้ (Pro only)
* รองรับการบีบอัดไฟล์หลายรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถเปิดและแยกไฟล์ 7z, RAR, IMG, ISO, CAB, LHA ได้อีกด้วย
* สามารถสร้างงานที่ต้องทำเ็ป็นประจำได้ ( WinZip 11,12 Pro Job completion : http://www.winzip.com/wzdjobs.htm )
จุดด้อย
* การเข้ารหัสในรูปแบบไฟล์ ZIP มีอัตราการบีบอัดค่อนข้างต่ำ (แต่เป็นมาตรฐานที่ใช้กันได้ทุกระบบ)
* การปรับแต่ง Interface ทำได้น้อย
WinRAR
จุดเด่น
* อัตราการบีบอัดสูงกว่า ZIP Standard
* ปรับแต่งหน้าตาเพิ่มได้ ( http://www.rarlab.com/themes.htm )
* สามารถใช้ได้ทั้งแบบ GUI และแบบ Command line
* มีให้ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม ( Winrar ในระบบอื่นๆ: http://www.rarlab.com/rar_add.htm )
* สามารถใช้งาน Multi Thread ได้ ( WinRAR 3.6+ )
* รองรับการทำงานในระบบ 64 bit ( บางระบบเท่านั้น: Unix, Linux, Windows ในแบบ Command Line)
* มีเมนูภาษาไทย ( ต้องดาวน์โหลดมาติดตั้งเอง )
จุดด้อย
* หากนำไฟล์ไปใช้กับระบบที่ไม่มี RAR, WinRAR อาจใช้งานไฟล์นั้นไม่ได้ (ไม่มีโปรแกรมเปิด ก็ไม่มีประโยชน์)
* ใช้ทรัพยาการในการทำงานค่อนข้างสูง ทั้งการเข้ารหัส/ถอดรหัสไฟล์
7-Zip (Seven Zip)
จุดเด่น
* สามารถใช้งานได้ฟรีแบบเต็มรูปแบบ ( ตามเงื่อนไข GNU LGPL License: http://www.7-zip.org/license.txt )
* มีอัตราการบีบอัดข้อมูลสูงกว่า RAR (LZMA compression)
* รองรับการบีบอัด: 7z, ZIP, GZIP, BZIP2 ,TAR
* รองรับการแยกไฟล์: ARJ, CAB, CHM, CPIO, DEB, DMG, HFS, ISO, LZH, LZMA, MSI, NSIS, RAR, RPM, UDF, WIM, XAR ,Z
* รองรับการเข้ารหัสแบบ AES-256 ในไฟล์ประเภท 7z, ZIP
* มีให้ใช้งานถึง 74 ภาษา (รวมภาษาไทย)
จุดด้อย
* อินเตอร์เฟสค่อนข้างเรียบง่ายเกินไป (ปรับแต่งได้น้อย)
* การทำงานบางอย่าง ใช้ทรัพยากรระบบสูงมาก (ทั้ง CPU และ RAM)
เนื่องจากกระแสลิขสิทธิ์ค่อนข้างแรง เลยมีการยกเรื่องของ OpenSource software และ Freeware ขึ้นมามากมาย
และมีโปรแกรมหลายๆประเภทที่ได้ลองแล้ง คิดว่าใช้ทดแทนโปรแกรมเถื่อนที่มีในเครื่องได้
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ผมไม่ได้มาบอกว่าของฟรีหรือของเถื่อนดีกว่า เรื่องนี้ต้องอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน
เอาเป็นว่าวันนี้ผมมาเล่าเรื่องการใช้ Software ของผมละกัน
ผลการใช้งาน Winrar และ 7Zip ว่าด้วยการใช้งานทั่วไป ผลการใช้งาน Winrar และ 7Zip ว่าด้วยการใช้งานทั่วไป
ผลการใช้งาน Winrar และ 7Zip ว่าด้วยการใช้งานทั่วไป (เน้นว่าใช้งานทั่วๆไป)
การใช้งาน
- ใช้แตกไฟล์ (Extract File) เป็นส่วนมาก มีทุกขนาดและทุก part เช่น ไฟล์เอกสารไม่กี่ 100k จนถึงไฟล์ 20 part ขนาดรวมเกือบๆ 4G
- ใช้บีบอัดไฟล์ เช่น ส่งไฟล์ให้เพื่อน ใช้เก็บไฟล์บางไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว และบีบอัดไฟล์อัพโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต
แค่นี้แหละครับ การใช้งานของผม คิดว่าหลายๆคนก็คงเป้นเหมือนผม
ผลการใช้งานเปรียบเทียบความแตกต่าง 2 ตัว
- ความเร็วในการแตกไฟล์ ทั้ง 2 ตัวทำได้ใกล้เคียงกัน ยกเว้นว่าถ้าเป็นไฟล์ใหญ่ๆ 7Zip จะทำให้เครื่องผมช้าขึ้นมาทันที
- การบีบอัด Winrar บีบอัดได้เร็วกว่าเห็นๆ แถมไม่ทำให้เครื่องหน่วงด้วย ถ้าใช้ 7Zip ก็ควรปรับการบีบอัดให้เป็นแบบ Fastest เพราะถึงจะใช้ High ไปขนาดของไฟล์ที่บีบอัดก้จะเท่ากัน(ลองมาแล้ว)
- เรื่องการแตกไฟล์ ถ้าเป้น Winrar หากมีไฟล์ใดไฟล์หนึ่งเสีย(สมมุติว่ามีหลาย part) winrar ก็จะขึ้นหน้าต่างเตือนทันทีที่เจอและหยุดการแตกไฟล์ทันที แต่ 7Zip จะแตกไฟล์อย่างสบายใจไปจนครบ และขึ้นหน้าต่างเตือนทีหลัง ส่วนไฟล์ที่แตกไฟแล้วก็ใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้าง (แน่นอนว่ามันไม่สมบูรณ์)
- นามสกุลของไฟล์ที่บีบอัดแบบแบ่งหลายๆ part เช่น แบ่งไฟล์ Game.exe ให้เป็น 5 part
Winrar จะได้ Game.part1.rar – Game.part5.rar
7Zip จะได้ Game.7z.001 - Game.7z.005
ประมาณนี้
- จุดเด่นของ 7zip คือ อัตราการบีบอัดสูงมาก ผมเคยบีบอัดไฟล์ ISO 700MB เพื่ออัพโหลดขึ้นเว็บ ปรากฏว่าบีบแล้วเหลือแค่ 370 MB .. เหลือแค่เนี๊ย(เลือกแบบ Fastest แล้ว)
- ส่วนไฟล์พวก Video Music MP3 ต่างๆลองแล้ว ทั้ง Winrar และ 7Zip ให้ผลไม่ต่างกันมาก
- ถ้าจะบีบอัดไฟล์เป้นหลายๆ part แล้วอัพโหลดขึ้นเว็บฝากไฟล์ ผมแนะนำ 7zip ครับ เพราะบีบได้เล็กกว่า(ในบางกรณี) แต่ไฟล์ที่อัพโหลดไปแล้วพอถูกดาวน์โหลด แทบจะไม่เจอ Error เลย สามารถแตกไฟล์ได้แบบสมบูรณ์ แต่ไฟล์ .rar จะมี error เกิดขึ้น เจอบ่อยๆก็คือ CRC32 โดยเฉพาะพวกไฟล์ใหญ่ๆและแบ่งออกเป็นหลายๆ part
สรุปง่ายๆ 7zip สามารถใช้ทดแทน Winrar ได้ครับ การใช้งานต่างๆไม่ต่างกันมาก ใช้เวลาเรียนรู้สักหน่อยก็สามารถใช้งานได้แล้วครับ ถึงจะบีบอัดช้าแต่ก็ได้ไฟล์ที่มีขนาดเล็กลงมาก
วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554
ถอดรหัสพิบัติภัย-สึนามิ คลื่นเพชฌฆาต
ถอดรหัสพิบัติภัย-สึนามิ คลื่นเพชฌฆาต
เป็นรายการสารคดีที่บันทึกจากช่อง 11 นานมากแล้ว หากเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์
และเป็นความรู้ประกอบแก่ท่านที่สนใจได้
[img]http://upic.me/i/ly/co00..jpg[/img]
[img]http://upic.me/i/qt/230el.jpg[/img]
[img]http://upic.me/i/s6/e-_ss.jpg[/img]
*********************************************************
ถอดรหัสพิบัติภัย-สึนามิ คลื่นเพชฌฆาต_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?rdgzreadgdm888z
ถอดรหัสพิบัติภัย-สึนามิ คลื่นเพชฌฆาต_Force8949.7z.002
(41.11 MB)
http://www.mediafire.com/?ckcxgz5aek9r0hf
*********************************************************
เป็นรายการสารคดีที่บันทึกจากช่อง 11 นานมากแล้ว หากเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์
และเป็นความรู้ประกอบแก่ท่านที่สนใจได้
[img]http://upic.me/i/ly/co00..jpg[/img]
[img]http://upic.me/i/qt/230el.jpg[/img]
[img]http://upic.me/i/s6/e-_ss.jpg[/img]
*********************************************************
ถอดรหัสพิบัติภัย-สึนามิ คลื่นเพชฌฆาต_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?rdgzreadgdm888z
ถอดรหัสพิบัติภัย-สึนามิ คลื่นเพชฌฆาต_Force8949.7z.002
(41.11 MB)
http://www.mediafire.com/?ckcxgz5aek9r0hf
*********************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554
ทำไมถึงใช้ 7-zip ในการแบ่งไฟล์เป็น part แทนที่จะใช้ Winrar
ทำไมถึงใช้ 7-zip ในการแบ่งไฟล์เป็น part แทนที่จะใช้ Winrar
เพราะ
ชื่อไฟล์ที่ใช้ ส่วนใหญ่มักจะมาจากภาษาไทย ทำให้ไม่ถูกตัดออกจนไม่เข้าใจ เนื่องจากมีไฟล์จำนวนมาก
อีกทั้งรองรับไฟล์ที่มีชื่อยาวๆ ได้
ไฟล์ที่แบ่งเป็น part มักมีโอกาสเสียน้อยกว่าการแบ่ง part ด้วยโปรแกรม Winrar อีกทั้งเมื่อทำการรวมไฟล์แล้วถึงแม้จะการแจ้ง error แต่ไฟล์ก็สามารถนำมาใช้ได้ เสมือนว่าโปรแกรมได้ข้ามส่วนที่เราเห็นว่าเสียไป โดยที่ส่วนเสียนั้นอาจมีค่าน้อยกว่าที่เราจะหาข้อบกพร่องนั้นพบ
วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554
รอบโลกแปลก
รอบโลกแปลก
***************************************
ฟักทองยักษ์
[img]http://upic.me/i/kz/5_resize.jpg[/img]
ใครมือแน่ก็ต้องมาวัดกันในงานประกวดฟักทองในงานฟักทองยักษ์
ในเมืองบาร์นสวิล รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปีนี้บิล เนปจูน ชาวนิวคองคอร์ด
ปลูกฟักทองได้ใหญ่ตัวจริงมีน้ำหนักถึง 1,503 ปอนด์
***************************************
ตกอันดับแล้ว
[img]http://upic.me/i/ex/b_resize.jpg[/img]
ลี เรมอนด์ คือเจ้าของเล็บมือที่ยาวที่สุดในโลก ที่เธอใช้เวลาบำรุงรักษามันด้วยเวลากว่าครึ่งชีวิต
สถิติที่บันทึกไว้ในกินเนสส์ เวิลด์ เรคอร์ดด้วยความยาวรวมกันถึง 28 ฟุต กับอีก 4.5 นิ้ว
แต่เธอเสียแชมป์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยรถยนต์ที่เธอโดยสารไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เล็บของเธอหัก
ไปอย่างน่าเสียดาย (คนที่รับภาระชำระล้างหลังถ่ายทุกข์คงโล่งอกซะที)
***************************************
เป็นไปได้อย่างไร มีดเสียบติดอยู่...ทำไมไม่รู้ตัว
[img]http://upic.me/i/sf/7..._resize.jpg[/img]
คนความรู้สึกช้าบนโลกนี้มีเยอะ แต่คนที่ความรู้สึกช้ามากขนาดมีมีดเสียบฝังอยู่ที่สะโพก
มานานถึง 4 เดือนแล้วยังไม่รู้ตัวนี่สิ คงมีแค่หญิงสาวชาวจีนที่ชื่อหยิง ฉี คนนี้เท่านั้น
เรื่องของเรื่องคือ หยิง ฉี สาวชาวจีนอายุ 26 ปีคนนี้ เธอเกิดอาการปวดสะโพกด้านหลังเรื้อรัง
มานานถึง 4 เดือนแล้ว โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ เมื่อปวดบ่อยเข้าชักจะทนไม่ไหวเธอก็เลย
ไปหาหมอ เล่าอาการปวดให้หมอฟัง หมอก็เลยงงๆ เพราะอาการปวดที่ว่ามันไม่น่าจะตรงกับ
อวัยวะส่วนไหนในร่างกาย หมอสงสัยจึงส่งเธอเข้าวห้องเอ็กซ์เรย์ดูให้รู้กันไปซะเลย
และแล้วต้นเหตุของอาการปวดก็ปรากฏออกมาเป็นภาพชัดแจ้ง มีดเล่มหนึ่งยาวประมาณ 6 นิ้ว
ถูกฝังอยู่ภายในบั้นท้ายของ หยิง ฉี มีดเล่มนี้ฝังอยู่จนมิดด้าม ไม่มีปลายด้ามของมีดโผล่ออกมา
และคาดว่าจะฝังอยู่นานจนปากแผลปิดสนิทแล้ว
ส่วนเรื่องที่ทำให้หมองงหนักกว่าเดิมก็คือคำบอกเล่าของ หยิง ฉี ที่บอกว่า
"อ๋อนึกออกแล้ว คือเมื่อ 4 เดือนก่อนฉันถูกปล้น แล้วคนร้ายก็ใช้มีดแทงเข้าข้างหลังของฉัน
บริเวณสะโพกนี่แหละ แต่เอ๊ะ ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นแค่บาดแผลเท่านั้น แล้วทำไมมันกลายเป็น
มีดทั้งเล่มฝังอยู่ได้ล่ะ"
เธอเล่าอย่างแปลกใจเหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วก็ถอนหายใจก่อนบอกว่า
"น่าแปลกที่ไม่เคยรู้ว่ามีมันมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันเบาใจแล้วหล่ะที่เจอมัน จะได้หายปวดหลังซะที"
******************************************
คอสตาริกา...
[img]http://upic.me/i/aj/0_resize.jpg[/img]
ประเทศคอสตาริกา เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในกลุ่มลาตินอเมริกา ดังนั้นองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว
คอสตาริกา จึงจัดรายการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติที่สำคัญในแถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอนทางเรือ
โดยนำไปสัมผัสกับชีวิตสัตว์ป่าบรรดามีในป่าร้อนชื้นที่นักท่องเที่ยวต่างพากันให้ความสนใจและพากัน
ซื้อตั๋วเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างเนืองแน่น
ภาพนี้เป็นภาพที่ช่างภาพสมัครเล่นชาวแคนาดาถ่ายไว้ได้ ขณะที่นายท้ายเรือนำเรือที่มีนักท่องเที่ยว
ชาวอังกฤษเกยหัวเข้าไปจอดที่ริมตลิ่ง โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่า แม่น้ำแถบนั้นมีจระเข้ชุกชุม ขณะที่
นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษนั่งเพลินๆ เจ้าจระเข้จอมหิวก็โผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำห่างจากนักท่องเที่ยวผู้นั้น
ไม่มากนัก
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในแถบนี้มักฝ่าฝืนข้อห้ามของการท่องป่าร้อนชื้นที่ว่า
ห้ามให้อาหารแก่จระเข้ที่ว่ายอยู่แถวนั้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้จระเข้เคยตัว เมื่อเห็นคนมาแถวนั้นก็จะ
โผล่ขึ้นมาหาของกิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้
************************************************
ญี่ปุ่น..."ยากูซ่า"
[img]http://upic.me/i/wq/6_resize.jpg[/img]
เป็นแก๊งอาชญากรของญี่ปุ่นที่ยากแก่การปราบปรามมีเครือข่ายเชื่อมโยงสู่อิทธิพลจากการหนุนหลัง
พรรคการเมือง งานหลักของแก๊งยากูซ่าคือ การค้าผู้หญิงและสถานบริการทางเพศ สถานบันเทิง ไปจนถึง
การค้ายาเสพติดและบ่อนการพนัน มีกระบวนการฟอกเงินที่ลึกลับซับซ้อนจนทางการตามไม่ทัน
ยากูซ่าแบ่งออกเป็นแก๊งเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้การบงการของผู้ที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าใหญ่ของยากูซ่า
แต่ละแก๊งรักษาพื้นที่ในครอบครองของตนไม่ล้ำเขตกัน แต่เมื่อใดเกิดกรณีพิพาทที่ตกลงกันไม่ได้
การประหัตถ์ประหารกันระหว่างแก๊งคืออาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นปัญหาสังคม
ยากูซ่าสาบานตนด้วยวาจาว่า หากทำผิดพลาดจะชดใช้ด้วยอวัยวะ ดังนั้นหากสมาชิกในแก๊งทำผิดพลาด
จะด้วยประการใดก็ดีจะต้องเข้าสารภาพผิดกับผู้เป็นหัวหน้าแก๊งและชดใช้ความผิดด้วยการตัดข้อนิ้วตัวเอง
ต่อหน้าที่ประชุม
เพื่อมิให้เป็นที่ผิดสังเกตของสังคมว่าเป็น "ยากูซ่า" ผู้ที่ถูกตัดข้อนิ้วด้วนก็ต้องไปพึ่งบริการทางการแพทย์
ด้านศัลยกรรมพลาสติก ทำนิ้วเทียมสวมทับข้อนิ้วที่เหลือแทนข้อนิ้วที่หายไป...
ในภาพคือ นายคาซูชิเกะ นาริตะ สมาชิกของแก๊งยากูซ่า ที่มาเปลี่ยนนิ้วเทียมแทนของเก่าที่หมดสภาพไปนอกจาก
สัญลักษณ์ข้อนิ้วด้วนแล้ว ลายสักยังเป็นสัญลักษณ์อีกแบบหนึ่งของสมาชิกแก๊งยากูซ่า
****************************************************************************
***************************************
ฟักทองยักษ์
[img]http://upic.me/i/kz/5_resize.jpg[/img]
ใครมือแน่ก็ต้องมาวัดกันในงานประกวดฟักทองในงานฟักทองยักษ์
ในเมืองบาร์นสวิล รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปีนี้บิล เนปจูน ชาวนิวคองคอร์ด
ปลูกฟักทองได้ใหญ่ตัวจริงมีน้ำหนักถึง 1,503 ปอนด์
***************************************
ตกอันดับแล้ว
[img]http://upic.me/i/ex/b_resize.jpg[/img]
ลี เรมอนด์ คือเจ้าของเล็บมือที่ยาวที่สุดในโลก ที่เธอใช้เวลาบำรุงรักษามันด้วยเวลากว่าครึ่งชีวิต
สถิติที่บันทึกไว้ในกินเนสส์ เวิลด์ เรคอร์ดด้วยความยาวรวมกันถึง 28 ฟุต กับอีก 4.5 นิ้ว
แต่เธอเสียแชมป์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยรถยนต์ที่เธอโดยสารไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เล็บของเธอหัก
ไปอย่างน่าเสียดาย (คนที่รับภาระชำระล้างหลังถ่ายทุกข์คงโล่งอกซะที)
***************************************
เป็นไปได้อย่างไร มีดเสียบติดอยู่...ทำไมไม่รู้ตัว
[img]http://upic.me/i/sf/7..._resize.jpg[/img]
คนความรู้สึกช้าบนโลกนี้มีเยอะ แต่คนที่ความรู้สึกช้ามากขนาดมีมีดเสียบฝังอยู่ที่สะโพก
มานานถึง 4 เดือนแล้วยังไม่รู้ตัวนี่สิ คงมีแค่หญิงสาวชาวจีนที่ชื่อหยิง ฉี คนนี้เท่านั้น
เรื่องของเรื่องคือ หยิง ฉี สาวชาวจีนอายุ 26 ปีคนนี้ เธอเกิดอาการปวดสะโพกด้านหลังเรื้อรัง
มานานถึง 4 เดือนแล้ว โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ เมื่อปวดบ่อยเข้าชักจะทนไม่ไหวเธอก็เลย
ไปหาหมอ เล่าอาการปวดให้หมอฟัง หมอก็เลยงงๆ เพราะอาการปวดที่ว่ามันไม่น่าจะตรงกับ
อวัยวะส่วนไหนในร่างกาย หมอสงสัยจึงส่งเธอเข้าวห้องเอ็กซ์เรย์ดูให้รู้กันไปซะเลย
และแล้วต้นเหตุของอาการปวดก็ปรากฏออกมาเป็นภาพชัดแจ้ง มีดเล่มหนึ่งยาวประมาณ 6 นิ้ว
ถูกฝังอยู่ภายในบั้นท้ายของ หยิง ฉี มีดเล่มนี้ฝังอยู่จนมิดด้าม ไม่มีปลายด้ามของมีดโผล่ออกมา
และคาดว่าจะฝังอยู่นานจนปากแผลปิดสนิทแล้ว
ส่วนเรื่องที่ทำให้หมองงหนักกว่าเดิมก็คือคำบอกเล่าของ หยิง ฉี ที่บอกว่า
"อ๋อนึกออกแล้ว คือเมื่อ 4 เดือนก่อนฉันถูกปล้น แล้วคนร้ายก็ใช้มีดแทงเข้าข้างหลังของฉัน
บริเวณสะโพกนี่แหละ แต่เอ๊ะ ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นแค่บาดแผลเท่านั้น แล้วทำไมมันกลายเป็น
มีดทั้งเล่มฝังอยู่ได้ล่ะ"
เธอเล่าอย่างแปลกใจเหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วก็ถอนหายใจก่อนบอกว่า
"น่าแปลกที่ไม่เคยรู้ว่ามีมันมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันเบาใจแล้วหล่ะที่เจอมัน จะได้หายปวดหลังซะที"
******************************************
คอสตาริกา...
[img]http://upic.me/i/aj/0_resize.jpg[/img]
ประเทศคอสตาริกา เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในกลุ่มลาตินอเมริกา ดังนั้นองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว
คอสตาริกา จึงจัดรายการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติที่สำคัญในแถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอนทางเรือ
โดยนำไปสัมผัสกับชีวิตสัตว์ป่าบรรดามีในป่าร้อนชื้นที่นักท่องเที่ยวต่างพากันให้ความสนใจและพากัน
ซื้อตั๋วเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างเนืองแน่น
ภาพนี้เป็นภาพที่ช่างภาพสมัครเล่นชาวแคนาดาถ่ายไว้ได้ ขณะที่นายท้ายเรือนำเรือที่มีนักท่องเที่ยว
ชาวอังกฤษเกยหัวเข้าไปจอดที่ริมตลิ่ง โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่า แม่น้ำแถบนั้นมีจระเข้ชุกชุม ขณะที่
นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษนั่งเพลินๆ เจ้าจระเข้จอมหิวก็โผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำห่างจากนักท่องเที่ยวผู้นั้น
ไม่มากนัก
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในแถบนี้มักฝ่าฝืนข้อห้ามของการท่องป่าร้อนชื้นที่ว่า
ห้ามให้อาหารแก่จระเข้ที่ว่ายอยู่แถวนั้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้จระเข้เคยตัว เมื่อเห็นคนมาแถวนั้นก็จะ
โผล่ขึ้นมาหาของกิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้
************************************************
ญี่ปุ่น..."ยากูซ่า"
[img]http://upic.me/i/wq/6_resize.jpg[/img]
เป็นแก๊งอาชญากรของญี่ปุ่นที่ยากแก่การปราบปรามมีเครือข่ายเชื่อมโยงสู่อิทธิพลจากการหนุนหลัง
พรรคการเมือง งานหลักของแก๊งยากูซ่าคือ การค้าผู้หญิงและสถานบริการทางเพศ สถานบันเทิง ไปจนถึง
การค้ายาเสพติดและบ่อนการพนัน มีกระบวนการฟอกเงินที่ลึกลับซับซ้อนจนทางการตามไม่ทัน
ยากูซ่าแบ่งออกเป็นแก๊งเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้การบงการของผู้ที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าใหญ่ของยากูซ่า
แต่ละแก๊งรักษาพื้นที่ในครอบครองของตนไม่ล้ำเขตกัน แต่เมื่อใดเกิดกรณีพิพาทที่ตกลงกันไม่ได้
การประหัตถ์ประหารกันระหว่างแก๊งคืออาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นปัญหาสังคม
ยากูซ่าสาบานตนด้วยวาจาว่า หากทำผิดพลาดจะชดใช้ด้วยอวัยวะ ดังนั้นหากสมาชิกในแก๊งทำผิดพลาด
จะด้วยประการใดก็ดีจะต้องเข้าสารภาพผิดกับผู้เป็นหัวหน้าแก๊งและชดใช้ความผิดด้วยการตัดข้อนิ้วตัวเอง
ต่อหน้าที่ประชุม
เพื่อมิให้เป็นที่ผิดสังเกตของสังคมว่าเป็น "ยากูซ่า" ผู้ที่ถูกตัดข้อนิ้วด้วนก็ต้องไปพึ่งบริการทางการแพทย์
ด้านศัลยกรรมพลาสติก ทำนิ้วเทียมสวมทับข้อนิ้วที่เหลือแทนข้อนิ้วที่หายไป...
ในภาพคือ นายคาซูชิเกะ นาริตะ สมาชิกของแก๊งยากูซ่า ที่มาเปลี่ยนนิ้วเทียมแทนของเก่าที่หมดสภาพไปนอกจาก
สัญลักษณ์ข้อนิ้วด้วนแล้ว ลายสักยังเป็นสัญลักษณ์อีกแบบหนึ่งของสมาชิกแก๊งยากูซ่า
****************************************************************************
วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554
ยานขนส่งอวกาศ
ยานขนส่งอวกาศ
ยานขนส่งอวกาศคืออะไร
ยานขนส่งอวกาศเป็นยานอวกาศรุ่นล่าสุดของสหรัฐ ฯ รูปร่างคล้ายเครื่องบินขนาดใหญ่
ความยาวลำเรือ 185 ฟุต ยานขนส่งอวกาศโคจรในวงทางโคจรแล้วร่อนลงพื้นดินได้เหมือน
เครื่องบินทั่วไป ยานขนส่งอวกาศสามารถนำกลับมาใช้ใหม่เดินทางขึ้นสู่อวกาศได้นับ 100
เที่ยวบิน ยานขนส่งอวกาศไม่สามารถจะเดินทางข้ามดาวเคราะห์ได้ แต่ก็เป็นก้าวแรกของ
การเดินทางระหว่างวงทางโคจรกับพื้นโลกขนชิ้นส่วนขึ้นสู่ อวกาศเพื่อสร้างสถานีอวกาศ
ในวงโคจรรอบโลก ซึ่งจะใช้เป็นท่าอวกาศในการเดินทางสู่ดาวอังคารหรือดาวศุกร์
นักบินอวกาศบนยานขนส่งอวกาศมีโอกาสทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง
นอกจากนี้ยานขนส่งอวกาศยังบรรทุกสัมภาระ เช่น ดาวเทียมสื่อสารขึ้นไปปล่อยในวงทางโคจร
ยานขนส่งอวกาศขึ้นบินเที่ยวแรกเมื่อใด
ในวันที่ 12 เมษายน 1981 ยานขนส่งอวกาศ โคลัมเบีย ถือเป็นยานขนส่งอวกาศ ที่มีมนุษย์ควบคุม
เที่ยวแรกสุดที่บินขึ้นสู่อวกาศ โคลัมเบีย อยู่ในวงโคจรรอบโลก 2 วัน นักบินอวกาศทำการทดลอง
ทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง
เคลื่อนย้ายยานขนส่งอวกาศบนโลกได้อย่างไร
ยานขนส่งอวกาศขนาดมหึมาจำเป็นต้องใช้พาหนะขนาดใหญ่ในการขนย้าย ยานขนส่งอวกาศจะ
ขี่หลังเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่เคลื่อนย้ายจากฐานบินแห่ง หนึ่งไปยังฐานบินอีกแห่งหนึ่ง
ยานขนส่งอวกาศมีจรวดขับดันหรือไม่
ยานขนส่งอวกาศมีจรวดขับดัน 2 ลำ ติดอยู่ข้างถังเชื้อเพลิงใหญ่ เพื่อช่วยขับดันให้หลุดพ้นแรง
โน้มถ่วง จรวดขับดันที่ใช้แล้วจะถูกสลัดทิ้งตกลงในมหาสมุทร เรือจะเก็บเอาจรวดขับดันกลับมา
เติมเชื้อเพลิงใหม่และนำลับมาใช้ในเที่ยวบิน ต่อไป
ยานขนส่งอวกาศเป็นยานที่มีเครื่องยนต์จรวดประจำเครื่องแต่เครื่องยนต์จรวด ประจำยานจะใช้งาน
ได้ได้ในระยะสั้นๆเช่นการเพิ่มระดับความสูงในวงทางโคจร การปรับทิศทางหรือใช้ในการชะลอ
ความเร็ว เมื่อความเร็วของยานขนส่งอวกาศลดลง แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงยานขนส่งอวกาศกลับลงสู่พื้นโลก
กองยานขนส่งอวกาศมีอยู่กี่ลำ
นับตั้งแต่ปี 1981 มีการสร้างยานขนส่งอวกาศ 4 ลำ คือ โคลัมเบีย ชาเลนเจอร์ ดิสคัฟเวอรี่ และ
แอตแลนติส ยานขนส่งอวกาศชาเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุระเบิดกลางอากาศ จึงมีการ
สร้างยานขนส่งอวกาศเอนเดฟเวอร์ ขึ้นมาอีกลำ
โศกนาฏกรรมของยานขนส่งอวกาศชาเลนเจอร์เกิดขึ้นเมื่อใด
ในปี 1986 ยานขนส่งอวกาศชาเลนเจอร์ระเบิดกลางอากาศในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจาก
ทะยานจากพื้น ลูกเรือทั้งเจ็ดเสียชีวิตในทันที หนึ่งในจำนวนนั้นคือ คริสตา แม็กคอลิฟฟ์ …
ซึ่งเป็นครูคนแรกของโลกที่ได้รับเลือกให้บินขึ้นสู่อวกาศ
ยานขนส่งอวกาศคืออะไร
ยานขนส่งอวกาศเป็นยานอวกาศรุ่นล่าสุดของสหรัฐ ฯ รูปร่างคล้ายเครื่องบินขนาดใหญ่
ความยาวลำเรือ 185 ฟุต ยานขนส่งอวกาศโคจรในวงทางโคจรแล้วร่อนลงพื้นดินได้เหมือน
เครื่องบินทั่วไป ยานขนส่งอวกาศสามารถนำกลับมาใช้ใหม่เดินทางขึ้นสู่อวกาศได้นับ 100
เที่ยวบิน ยานขนส่งอวกาศไม่สามารถจะเดินทางข้ามดาวเคราะห์ได้ แต่ก็เป็นก้าวแรกของ
การเดินทางระหว่างวงทางโคจรกับพื้นโลกขนชิ้นส่วนขึ้นสู่ อวกาศเพื่อสร้างสถานีอวกาศ
ในวงโคจรรอบโลก ซึ่งจะใช้เป็นท่าอวกาศในการเดินทางสู่ดาวอังคารหรือดาวศุกร์
นักบินอวกาศบนยานขนส่งอวกาศมีโอกาสทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง
นอกจากนี้ยานขนส่งอวกาศยังบรรทุกสัมภาระ เช่น ดาวเทียมสื่อสารขึ้นไปปล่อยในวงทางโคจร
ยานขนส่งอวกาศขึ้นบินเที่ยวแรกเมื่อใด
ในวันที่ 12 เมษายน 1981 ยานขนส่งอวกาศ โคลัมเบีย ถือเป็นยานขนส่งอวกาศ ที่มีมนุษย์ควบคุม
เที่ยวแรกสุดที่บินขึ้นสู่อวกาศ โคลัมเบีย อยู่ในวงโคจรรอบโลก 2 วัน นักบินอวกาศทำการทดลอง
ทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง
เคลื่อนย้ายยานขนส่งอวกาศบนโลกได้อย่างไร
ยานขนส่งอวกาศขนาดมหึมาจำเป็นต้องใช้พาหนะขนาดใหญ่ในการขนย้าย ยานขนส่งอวกาศจะ
ขี่หลังเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่เคลื่อนย้ายจากฐานบินแห่ง หนึ่งไปยังฐานบินอีกแห่งหนึ่ง
ยานขนส่งอวกาศมีจรวดขับดันหรือไม่
ยานขนส่งอวกาศมีจรวดขับดัน 2 ลำ ติดอยู่ข้างถังเชื้อเพลิงใหญ่ เพื่อช่วยขับดันให้หลุดพ้นแรง
โน้มถ่วง จรวดขับดันที่ใช้แล้วจะถูกสลัดทิ้งตกลงในมหาสมุทร เรือจะเก็บเอาจรวดขับดันกลับมา
เติมเชื้อเพลิงใหม่และนำลับมาใช้ในเที่ยวบิน ต่อไป
ยานขนส่งอวกาศเป็นยานที่มีเครื่องยนต์จรวดประจำเครื่องแต่เครื่องยนต์จรวด ประจำยานจะใช้งาน
ได้ได้ในระยะสั้นๆเช่นการเพิ่มระดับความสูงในวงทางโคจร การปรับทิศทางหรือใช้ในการชะลอ
ความเร็ว เมื่อความเร็วของยานขนส่งอวกาศลดลง แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงยานขนส่งอวกาศกลับลงสู่พื้นโลก
กองยานขนส่งอวกาศมีอยู่กี่ลำ
นับตั้งแต่ปี 1981 มีการสร้างยานขนส่งอวกาศ 4 ลำ คือ โคลัมเบีย ชาเลนเจอร์ ดิสคัฟเวอรี่ และ
แอตแลนติส ยานขนส่งอวกาศชาเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุระเบิดกลางอากาศ จึงมีการ
สร้างยานขนส่งอวกาศเอนเดฟเวอร์ ขึ้นมาอีกลำ
โศกนาฏกรรมของยานขนส่งอวกาศชาเลนเจอร์เกิดขึ้นเมื่อใด
ในปี 1986 ยานขนส่งอวกาศชาเลนเจอร์ระเบิดกลางอากาศในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจาก
ทะยานจากพื้น ลูกเรือทั้งเจ็ดเสียชีวิตในทันที หนึ่งในจำนวนนั้นคือ คริสตา แม็กคอลิฟฟ์ …
ซึ่งเป็นครูคนแรกของโลกที่ได้รับเลือกให้บินขึ้นสู่อวกาศ
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว รวม 8 ตอน
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว รวม 8 ตอน
[img]http://upic.me/i/on/zq00..png[/img]
**************************************
[img]http://upic.me/i/7q/tc.4-.png[/img]
[img]http://upic.me/i/z4/h.4-_ss_resize.jpg[/img]
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.001
(150 MB)
http://www.mediafire.com/?9fng5zos9vyrvn2
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.002
(84.22 MB)
http://www.mediafire.com/?m9y8rc8e9o677c1
***********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-ทศนิยม_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?e1raiave53awv81
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-ทศนิยม_Force8949.7z.002
(85.03 MB)
http://www.mediafire.com/?5j1mbd362f6q613
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-น้ำหนักและความจุ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?zels97686iovg8g
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-น้ำหนักและความจุ_Force8949.7z.002
(128.02 MB)
http://www.mediafire.com/?uzrd8hhoailrx8y
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เวลา_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?io82w6cgjvr58ji
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เวลา_Force8949.7z.002
(59.01 MB)
http://www.mediafire.com/?zp9sb63sehnjat0
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เศษส่วน_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?8j5p49z5r2x7scf
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เศษส่วน_Force8949.7z.002
(59.16 MB)
http://www.mediafire.com/?5vbo01cvfca7nea
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การวัดความยาว_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?b5t4bts9dti15fm
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การวัดความยาว_Force8949.7z.002
(67.88 MB)
http://www.mediafire.com/?g41u1sc77qu8kd4
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การแลกเงิน_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?8w7m6q3gc00egc4
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การแลกเงิน_Force8949.7z.002
(95.87 MB)
http://www.mediafire.com/?exyqrqcru2cd5tg
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?nb3bfrfe8gwbf0s
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก_Force8949.7z.002
(107.35 MB)
http://www.mediafire.com/?j2nnhiy3yq61qnc
**********************************************
[img]http://upic.me/i/on/zq00..png[/img]
**************************************
[img]http://upic.me/i/7q/tc.4-.png[/img]
[img]http://upic.me/i/z4/h.4-_ss_resize.jpg[/img]
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.001
(150 MB)
http://www.mediafire.com/?9fng5zos9vyrvn2
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.002
(84.22 MB)
http://www.mediafire.com/?m9y8rc8e9o677c1
***********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-ทศนิยม_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?e1raiave53awv81
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-ทศนิยม_Force8949.7z.002
(85.03 MB)
http://www.mediafire.com/?5j1mbd362f6q613
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-น้ำหนักและความจุ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?zels97686iovg8g
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-น้ำหนักและความจุ_Force8949.7z.002
(128.02 MB)
http://www.mediafire.com/?uzrd8hhoailrx8y
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เวลา_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?io82w6cgjvr58ji
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เวลา_Force8949.7z.002
(59.01 MB)
http://www.mediafire.com/?zp9sb63sehnjat0
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เศษส่วน_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?8j5p49z5r2x7scf
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-เศษส่วน_Force8949.7z.002
(59.16 MB)
http://www.mediafire.com/?5vbo01cvfca7nea
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การวัดความยาว_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?b5t4bts9dti15fm
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การวัดความยาว_Force8949.7z.002
(67.88 MB)
http://www.mediafire.com/?g41u1sc77qu8kd4
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การแลกเงิน_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?8w7m6q3gc00egc4
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การแลกเงิน_Force8949.7z.002
(95.87 MB)
http://www.mediafire.com/?exyqrqcru2cd5tg
**********************************************
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?nb3bfrfe8gwbf0s
คณิต ป.4 ครูจอแก้ว-การหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก_Force8949.7z.002
(107.35 MB)
http://www.mediafire.com/?j2nnhiy3yq61qnc
**********************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว รวม 10 ตอน
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว รวม 10 ตอน
**************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การคูณจำนวนที่มี 1 หลักกับจำนวนที่มี 2 หลัก(มีการทด)_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?x7o3q8b1pasr868
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การคูณจำนวนที่มี 1 หลักกับจำนวนที่มี 2 หลัก(มีการทด)_Force8949.7z.002
(97.22 MB)
http://www.mediafire.com/?739n5i68np043k3
**************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การชั่ง_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?dpj7977ll7j50eu
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การชั่ง_Force8949.7z.002
(95.24 MB)
http://www.mediafire.com/?y37c5au5d9j2xrl
**************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกและการคูณ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?n5z3igpwvhgbn33
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกและการคูณ_Force8949.7z.002
(97.68 MB)
http://www.mediafire.com/?yg8et16adalrt17
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?b3nc0tygng8c5qv
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.002
(79.75 MB)
http://www.mediafire.com/?o8k6it2hw316amu
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบไม่กระจาย_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?ful82h9b4pd277y
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบไม่กระจาย_Force8949.7z.002
(70.16 MB)
http://www.mediafire.com/?ev2kum2fo74ez9a
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การวัดและการเปรียบเทียบความยาว_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?s0evdjiuo9iaa4j
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การวัดและการเปรียบเทียบความยาว_Force8949.7z.002
(99.57 MB)
http://www.mediafire.com/?lfsurld377suhxs
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-ลบง่ายๆ ต้องกระจาย_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?obw87b8mzs0bsrj
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-ลบง่ายๆ ต้องกระจาย_Force8949.7z.002
(74.04 MB)
http://www.mediafire.com/?1ncgou22iu9g8h9
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?13rlu6w2f8912r5
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.002
(74.37 MB)
http://www.mediafire.com/?2a0t8gf146xh1tm
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?oz3kkjk65dk17k9
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.002
(101.63 MB)
http://www.mediafire.com/?um0nxpl5zbw077c
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการคูณ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?di99r5drtk415ed
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการคูณ_Force8949.7z.002
(83.98 MB)
http://www.mediafire.com/?auwy52yfp9cmm3e
*************************************************************
**************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การคูณจำนวนที่มี 1 หลักกับจำนวนที่มี 2 หลัก(มีการทด)_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?x7o3q8b1pasr868
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การคูณจำนวนที่มี 1 หลักกับจำนวนที่มี 2 หลัก(มีการทด)_Force8949.7z.002
(97.22 MB)
http://www.mediafire.com/?739n5i68np043k3
**************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การชั่ง_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?dpj7977ll7j50eu
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การชั่ง_Force8949.7z.002
(95.24 MB)
http://www.mediafire.com/?y37c5au5d9j2xrl
**************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกและการคูณ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?n5z3igpwvhgbn33
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกและการคูณ_Force8949.7z.002
(97.68 MB)
http://www.mediafire.com/?yg8et16adalrt17
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?b3nc0tygng8c5qv
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การบวกจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.002
(79.75 MB)
http://www.mediafire.com/?o8k6it2hw316amu
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบไม่กระจาย_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?ful82h9b4pd277y
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบไม่กระจาย_Force8949.7z.002
(70.16 MB)
http://www.mediafire.com/?ev2kum2fo74ez9a
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การวัดและการเปรียบเทียบความยาว_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?s0evdjiuo9iaa4j
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การวัดและการเปรียบเทียบความยาว_Force8949.7z.002
(99.57 MB)
http://www.mediafire.com/?lfsurld377suhxs
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-ลบง่ายๆ ต้องกระจาย_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?obw87b8mzs0bsrj
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-ลบง่ายๆ ต้องกระจาย_Force8949.7z.002
(74.04 MB)
http://www.mediafire.com/?1ncgou22iu9g8h9
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?13rlu6w2f8912r5
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการบวก การลบ_Force8949.7z.002
(74.37 MB)
http://www.mediafire.com/?2a0t8gf146xh1tm
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?oz3kkjk65dk17k9
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 1000_Force8949.7z.002
(101.63 MB)
http://www.mediafire.com/?um0nxpl5zbw077c
*************************************************************
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการคูณ_Force8949.7z.001
(190 MB)
http://www.mediafire.com/?di99r5drtk415ed
คณิต ป.2 ครูจอแก้ว-โจทย์ปัญหาการคูณ_Force8949.7z.002
(83.98 MB)
http://www.mediafire.com/?auwy52yfp9cmm3e
*************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)