วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

หินผาที่ขวางอยู่


..........วิถีชีวิตของคนเรา เปรียบเสมือนทางเดินที่ไกลแสนไกล จึงไม่อาจราบรื่นตลอดทาง ยามพบอุปสรรคขวากหนาม เราจะแก้ปัญหาด้วยท่าทีชนิดไหน
..........ถ้าหากเสริมจิตใจให้เข้มแข็ง ทรหดอดทน ไม่กลัวความยากลำบาก กล้าที่จะพิชิตอุปสรรคขวากหนามทั้งปวง เราก็จะเป็นผู้ชนะ อนาคตจะมีแต่ความรุ่งเรืองแจ่มใส
..........แต่ถ้าเราอ่อนแอ ยอมก้มหัวให้แก่อุปสรรคขวากหนาม เราก็จะเป็นผู้แพ้ ต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทมตลอดไป

ศิลปะพื้นเมือง "สะซาโนะโบริ"


ศิลปะพื้นเมือง "สะซาโนะโบริ"
แกะสลักด้วยมีดแกะสลักชิ้นเดียว
..........ศิลปะพื้นเมือง "สะซาโนะโบริ" เป็นงานฝีมือที่ได้มีการสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนประมาณ 1000 ปี ในแถบ สะซาโน (Sasano) เมืองโยเนะซาว่า (Yonesawa) จังหวัดยามากาตะ (Yamagata Perfecture) ของประเทศญี่ปุ่น
..........แม้แต่ในปัจจุบัน เมื่อมีงาาน "เจ้าแม่แห่งความปราณีสะซาโน" (Sasanon Merciful Goddess) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 17 มกราคมของทุกปี บรรดาชาวนาจะเรียงกันอยู่สองข้างทาง ขายงานฝีมือ "สะซาโนะโบริ" ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก
..........วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลงาน "สะซาโนะโบริ" คือไม้ในป่าที่เรียกกันว่า "อะบึรังโกะ" (Aburanko)
.........."สะซาโนะโบริ" จะถูกแกะสลักด้วยเวลาไม่นานโดยการใช้มีดแกะสลักชนิดพิเศษ เรียกกันว่า "ซารีคิริ" (Sarukiri), และความงดงามแบบพื้นเมืองจะมีสไตล์จำเพาะที่จะไม่มีใครเหมือนในบรรดาของเล่นชนิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีมือในการแกะสลัก "นก" ชนิดต่างๆ จะมีความโดดเด่นและเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งในญี่ปุ่น
..........จะมี "สะซาโนะโบริ" ชนิดต่างๆ กัน เช่น เหยี่ยว, ไก่, ไก่หางยาว, นกเค้าแมว, นกเขาแมวมีเขา, ไก่ฟ้า ฯลฯ ประมาณ 37 ชนิด
..........และจะมีขนาดของ "สะซาโนะโบริ" ขนาดเล็ก, กลาง, ใหญ่ ฯลฯ

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน

โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักที่เหมาะสมนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้น้ำหนักลดลงเท่านั้น แต่ต้องสามารถควบคุมน้ำหนักที่ลงมาแล้วให้อยู่ในระดับที่คงที่ด้วย ในสังคมไทยปัจจุบันมีการตื่นตัวถึงการลดน้ำหนักกันมาก ดังจะเห็นได้จากการที่มีโรงพยาบาล คลินิกและสถานบริการต่าง ๆ เปิดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการลดน้ำหนักต่าง ๆ ออกมาจัดจำหน่ายจนแทบจะเรียกได้ว่าถ้ากินทุกชนิดที่ถูกชักชวนพร้อม ๆ กันคงจะอิ่มได้โดยไม่ต้องกินอาหารตามปกติแล้ว

..........ในทางการแพทย์การที่ลดน้ำหนักลงได้เพียงประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น ก็พอเพียงแล้วที่จะให้ผลดีต่อสุขภาพ สำหรับคนที่หมดกำลังใจในการลดน้ำหนักจะเป็นเพราะมุ่งหวังที่จะให้น้ำหนักลงมากเกินกว่าที่จะทำได้จริง ควรที่จะเข้าใจว่าการลดน้ำหนักเพื่อประโยชน์ทางสุขภาพไม่จำเป็นที่จะต้องลดให้ได้จนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การลดน้ำหนักลงประมาณ 5-10 กิโลกรัม สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนที่น้ำหนัก 100 กิโลกรัมก็จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว และการลดน้ำหนักนั้นควรมุ่งเน้นการลดไขมันส่วนเกินโดยยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและสมดุลของน้ำและเกลือแร่ให้เหมาะสม เนื่องจากการลดน้ำหนักค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีองค์ประกอบเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่าการลดน้ำหนักโดยใช้วิธีการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะไม่ได้ผลถาวร และเป็นเหตุให้ผู้ที่ลดน้ำหนักมาแล้วส่วนใหญ่จะมีโอกาสที่น้ำหนักกลับคืน

..........โปรแกรมในการลดน้ำหนักที่เหมาะสมนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และทุกคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืนจะต้องพยายามให้ความร่วมมือในการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเต็มที่ โปรแกรมการลดน้ำหนักที่จะแนะนำต่อไปนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้เขียน โดยรวบรวมแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญในด้านการลดน้ำหนักที่เขียนขึ้นไว้เป็นตำราหลากหลายมาขัดเกลาให้เหมาะสมกับคนไทย หากต้องการที่จะได้ผลอย่างเต็มที่ในการลดน้ำหนักจะต้องมีความตั้งใจจริงที่จะลงมือกระทำตาม ขอให้มีความเชื่อมั่นในตนเองและศักยภาพของมนุษย์ที่จะแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพประการอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิดด้วย นอกจากนี้ควรมีผู้ใกล้ชิดคอยสนับสนุนและให้กำลังใจด้วย ทั้งนี้เพราะการลดน้ำหนักต้องอาศัยความอดทนและการปฏิบัติตนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักนี้เพื่อให้สะดวกในการปฏิบัติตาม ผู้เขียนได้จัดทำไว้เป็น 7 ขั้นตอนด้วยกันดังต่อไปนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1
..........วิเคราะห์ปัญหาน้ำหนักและความต้องการที่จะลดของคุณ

..........มีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจว่าน้ำหนักมีผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของตนเองอย่างไร ซึ่งความไม่รู้ซึ้งถึงปัญหาจะทำให้เป็นการยากที่จะลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน การลดน้ำหนักมีความซับซ้อนและสัมพันธ์กับความต้องการของร่างกาย รวมทั้งอาหารและการกระทำต่าง ๆ ด้วย สภาวะต่าง ๆ อาทิเช่น ความซึมเศร้า ความเครียด อารมณ์โกรธ และเสียใจ รวมทั้งปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ ล้วนส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และลดโอกาสที่จะควบคุมน้ำหนักให้ประสบผลสำเร็จลงได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการวิเคราะห์ปัญหาอย่างถูกต้องจะนำไปสู่วิธีการลดและควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

..........โดยทั่วไปอาจแบ่งปัญหาหลัก ๆ ของผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากออกเป็น 4 แบบด้วยกัน คือ

..........1. กลุ่มที่น้ำหนักขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลา
..........บุคคลกลุ่มนี้อาจจะเคยชั่งน้ำหนักและพบว่าน้ำหนักของตนเองขึ้น ๆ ลง ๆ จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่ายที่จะปล่อยให้น้ำหนักตัวเป็นแบบนี้ ในประเทศไทยสาเหตุสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักขึ้น ๆ ลง ๆ ได้มาก คือ การใช้ยาลดน้ำหนักที่มีผลกดความรู้สึกอยากอาหารโดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเลย การอดอาหารและวิธีการที่ผิด ๆ จะทำให้เกิดปัญหานี้ได้บ่อยเช่นกัน

..........ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีลักษณะปัญหาของน้ำหนักแบบนี้ ควรที่จะทราบว่าพื้นฐานทางอารมณ์จะมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก นักชีววิทยาเชื่อว่าการที่มนุษย์แสวงหาและกินอาหารไม่เพียงแค่ต้องการความอร่อยเท่านั้น แต่เป็นเพราะสารอาหารมีผลต่อจิตใจอีกด้วย สำหรับคนส่วนใหญ่อาหารประเภทไขมันทำให้เกิดความรู้สึกเฉื่อยชา คาร์โบไฮเดรตทำให้เกิดความรู้สึกสงบ สบาย ในขณะที่โปรตีนทำให้ตื่นตัวว่องไว สารสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นสื่อสัญญาณประสาทในสมองคือซีโรโตนิน ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่ออารมณ์ของเราเท่านั้น ยังมีผลกับความอยากอาหารด้วย

..........เหตุผลที่ทำให้เรามีความอยากกินอาหารที่เป็นของหวานและคาร์โบไฮเดรต เป็นเพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ระดับซีโรโตนินเข้าสู่ระดับปกติได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ช่วยลดความแปรปรวนและกดดันทางอารมณ์ลง รวมทั้งยังช่วยขจัดความรู้สึกเศร้า ว่างเปล่า และขาดความสนใจในชีวิตลงได้ จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่าการกดดันทางอารมณ์ในผู้ที่กำลังพยายามลดน้ำหนักอย่างล้มเหลวซ้ำซาก กลับจะผลักดันตนเองให้กินของหวานและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขปัญหานี้อาจทำได้โดยเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งจะช่วยกระตุ้นให้มีระดับซีโรโตนินเหมาะสมในสมองตลอดทั้งวัน และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ง่ายเหมือนของหวานและน้ำตาลทรายบริสุทธิ์

..........ผู้ที่น้ำหนักขึ้นลงบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วย เพื่อจะค้นหาสาเหตุทางร่างกายที่อาจมีผลเกี่ยวข้องทั้งทางร่างกายและจิตใจ การใช้ยาหลายชนิดอาจมีผลทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่ายกว่าปกติและควรหลีกเลี่ยงหากกระทำได้ การประเมินไขมันในร่างกายว่ามีมากน้อยแค่ไหนและอยู่ที่ตำแหน่งใดก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องมีความเสี่ยงมากกว่าไขมันที่ต้นขาหรือตำแหน่งอื่น ๆ ของร่างกาย

..........จากการศึกษาวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้มีน้ำหนักตัวมาก และขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เสมอนั้น กลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าการที่น้ำหนักตัวมากอยู่ในเกณฑ์คงที่เสียอีก ดังนั้นควรพยายามควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสมที่จะช่วยให้น้ำหนักลงอย่างยั่งยืนจะดีกว่า

..........2. กลุ่มที่มีน้ำหนักตัวมากมาตลอด และไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
..........มีบุคคลจำนวนไม่น้อยซึ่งมีน้ำหนักคงที่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก องค์ประกอบซึ่งเป็นสาเหตุมักจะได้จากการที่คนเหล่านี้น้ำหนักตัวมากมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ทั้งนี้เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าหากอ้วนตั้งแต่เด็กจะมีจำนวนเซลล์ไขมันมากกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังอาจเป็นผลมาจากร่างกายควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในจุดที่กำหนด (set point hypothesis) เมื่อมีการลดปริมาณอาหารที่ได้รับจะส่งผลให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลงตามไปด้วย จึงไม่ควรที่จะใช้วิธีการควบคุมอาหารโดยอดอาหาร หรือกำหนดให้พลังงานที่ได้รับต่ำกว่า 800 แคลอรี่ต่อวัน เพราะจะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานด้อยลงไปอีก การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จะมีประโยชน์ในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานที่ไม่ควรละเลย

..........ผู้ที่มีปัญหาลักษณะนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของความอ้วนตามหลักทางการแพทย์เสียก่อน และหากมีปัญหาประการใดก็ขอให้แก้ไขเสีย และหากมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากความกดดันทางด้านจิตใจจะต้องพยายามขจัดออกด้วยเช่นกัน ในกรณีที่สามารถลดน้ำหนักลงได้ตามเป้าหมายแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นอีกอย่างน้อยเป็นเวลา 1-2 ปี ต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการขึ้น ๆ ลง ๆ ของน้ำหนัก

..........3. กลุ่มที่ต้องการลดน้ำหนักเพื่อความสวยงาม
..........ผู้ที่มีความต้องการจะลดน้ำหนักทั้ง ๆ ที่การประเมินปัญหาน้ำหนักตัวไม่ได้ระบุว่าอ้วนแต่อย่างใดนั้น เป็นปัญหาที่บุคคลเหล่านั้นมองเห็นตนเองว่าไม่สวยมากกว่า และการลดน้ำหนักลงได้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านสุขภาพเลย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนจำนวนมากที่มาขอรับบริการลดน้ำหนักมักจะอยู่ในกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ และสำหรับบุคคลบางอาชีพ เช่น นางแบบ นักแสดง ก็อาจมีความจำเป็นที่จะต้องลดน้ำหนักบ้างเพื่อประโยชน์ของอาชีพ

..........สิ่งที่บุคคลประเภทนี้ต้องกระทำคือให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะดีที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงวิธีการต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักลงแล้วถูกดีดกลับขึ้นมากกว่าเดิม (yo-yo effect) เพราะจะทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวมากกว่า ควรเน้นการลดน้ำหนักที่เป็นการขจัดไขมันส่วนเกิน และไม่ทำให้เกิดการสูญเสียมวลของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะการที่จะรูปร่างดีได้นั้นกล้ามเนื้อจะมีส่วนสำคัญทำให้มีรูปร่างกระชับและสวยงาม

..........4. กลุ่มที่มีความผิดปกติทางอารมณ์สืบเนื่องจากปัญหาความอ้วน
..........ในสังคมไทยปัจจุบันเริ่มพบปัญหาของผู้ที่มีความผิดปกติทางอารมณ์และคิดว่าตนเองอ้วนทั้งที่สำหรับคนทั่วไปแล้วเขาเหล่านั้นจะมีรูปร่างเป็นที่น่าอิจฉา หรือบางคนมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ แต่สืบเนื่องจากความเชื่อที่ฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกทำให้มองภาพตัวเองว่ายังคงอ้วนน่าเกลียดอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วจะผอมเกินไปด้วยซ้ำ ความผิดปกตินี้ได้ก่อให้เกิดโรคทางจิตใจซึ่งเรียกว่า anorexia nervosa และ bulimia โรค anorexia nervosa ผู้ป่วยจะปฏิเสธไม่ยอมกินอะไรเลย ซึ่งในที่สุดจะเสียชีวิตจากการขาดอาหาร สำหรับโรค bulimia ผู้ป่วยจะอาเจียนอาหารออกหมดทุกครั้งที่กินเข้าไปและภายหลังอาเจียนจะกลับกินอาหารเข้าไปอย่างหักห้ามใจตนเองไม่ได้ ผู้ป่วยโรคนี้จะไม่เสียชีวิตจากการขาดอาหารแต่จะตายจากการสำลักเศษอาหารเข้าสู่หลอดลมหรืออาจจะฆ่าตัวตายเนื่องจากความกดดันและสับสน

..........การที่จะแก้ไขปัญหาของบุคคลเหล่านี้จึงไม่ใช่อยู่ที่การลดน้ำหนักแต่ประการใด และการที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ยังกระทำได้ยากมาก การแก้ไขโดยการปรับเปลี่ยนที่จิตใต้สำนึกอาจจะเป็นวิธีที่เหมาะสมและได้ประโยชน์ กระบวนการที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนจิตใต้สำนึกซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกว่า autogenic training ซึ่งหากสามารถฝึกปฏิบัติได้อาจช่วยแก้ปัญหาโรคนี้ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ควรกระทำสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องน้ำหนักตัวจนเกินขอบเขตคือ การป้องกันไม่ให้เกิดเป็นโรคทางจิตใจจะดีกว่าการแก้ไข ผู้ที่มีปัญหากังวลจนผิดปกติและมีพฤติกรรมล้วงคอให้อาเจียนอาหารออกทุกครั้ง ควรจะต้องรีบปรึกษาแพทย์อย่าปล่อยให้เกิดมีปัญหาทางจิตใจรุนแรงขึ้นมาจะดีกว่า

..........ในขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาอย่างจริงจังเพื่อนำไปสู่การแก้ไขที่ถูกต้อง และความเข้าใจความต้องการของตนเองจะช่วยให้โปรแกรมการลดและควบคุมน้ำหนักประสบความสำเร็จได้มากขึ้น แต่บนพื้นฐานของความต้องการนั้นจะต้องมีความเป็นไปได้และเหมาะสมด้วย

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดจุดมุ่งหมายที่เหมาะสม
..........บุคคลแต่ละคนมีเหตุผลของตนเองในการต้องการที่จะลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อทำให้สุขภาพดีขึ้น สามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่ต้องการจะใส่ได้ หรือเพื่อรูปร่างที่ดูดีและสวยงามขึ้น แต่ไม่ว่าเหตุผลในการที่จะลดน้ำหนักจะเป็นเช่นใด จุดมุ่งหมายจะต้องเป็นไปได้และสามารถทำให้ได้จริงทั้งในจำนวนทั้งหมดที่ต้องการลดและเวลาที่ใช้ในการลด โดยทั่วไปสำหรับคนที่อ้วนจริงการลดน้ำหนักในอัตราอาทิตย์ละ 0.5-1 กิโลกรัมก็พอเพียงแล้ว เป้าหมายการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพหากสามารถลดลงได้ 5-10% ของน้ำหนักตัวก็จะเป็นการเพียงพอแล้วเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดการลดน้ำหนักโดยขจัดไขมันที่สะสมในร่างกายเป็นเป้าหมายที่สำคัญสูงสุด และการเก็บมวลของกล้ามเนื้อไว้จะทำให้โอกาสที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอีกมีน้อย

..........คนที่ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักเกินความเป็นจริงที่ทำได้ โดยเฉพาะการพยายามลดน้ำหนักจำนวนหลายกิโลกรัมในผู้ที่ไม่อ้วนจริง หรือตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักถึงระดับมาตรฐานในขณะที่มีน้ำหนักเกินมากจนเคยชินแล้ว หรืออ้วนมาตลอดตั้งแต่เด็ก จะทำให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จเป็นไปได้ยาก การตั้งเป้าหมายให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเกินไปไม่เพียงแต่จะกระทำได้ยากเท่านั้น ยังไม่สมควรที่จะพยายามคิดที่จะทำด้วย ทั้งนี้เพราะหากลดน้ำหนักมากเกินไปในระยะเวลาอันสั้น น้ำหนักที่ลดลงจะมาจากการสูญเสียน้ำในร่างกายและมวลของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพและทำให้โอกาสที่น้ำหนักจะกลับคืนอย่างรวดเร็วมีสูงขึ้นมากด้วย

..........ในการกำหนดจุดมุ่งหมายในการลดน้ำหนักควรตั้งเป้าสั้น ๆ มากกว่าที่จะมุ่งหวังผลระยะยาว ทั้งนี้เพราะการหวังผลลดน้ำหนักเดือนละ 2-4 กิโลกรัม ย่อมจะเป็นไปได้มากกว่าที่จะหวังลดน้ำหนักให้ได้ 10-20 กิโลกรัมในระยะยาว เป็นต้น การตั้งเป้าสั้น ๆ จะทำให้มีกำลังใจมากกว่าและยังสามารถปรับปรุงเป้าหมายและประเมินผลให้เหมาะสมได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรที่จะชั่งน้ำหนักบ่อย ๆ ทุกวันโดยเด็ดขาด เพราะหากกำหนดเป้าหมายสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม ในแต่ละวันอาจจะไม่พบว่าเข็มกระดิกบนตาชั่งเลย ซึ่งเป็นเหตุให้หมดกำลังใจได้ง่าย ๆ ดังนั้นทางที่ดีจึงควรอย่าชั่งน้ำหนักบ่อยเกินกว่าสัปดาห์ละครั้งอย่างเด็ดขาด

..........สำหรับผู้ที่ท้อแท้หมดกำลังใจจากการที่ผิดหวังและล้มเหลวในการลดน้ำหนักมาบ่อยครั้งแล้ว จะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จนำเอาประสบการณ์และข้อผิดพลาดในอดีตมาวิเคราะห์เพื่อใช้เป็นแนวทางปรับปรุงพฤติกรรมให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวอีกจะต้องกำหนดเป้าหมายให้ทำได้จริงโดยเริ่มจากเป้าหมายระยะสั้นก่อน

..........กลยุทธ์ง่าย ๆ สำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องของพลังจิตที่มีผลช่วยให้ประสบความสำเร็จคือ การหลับตาเห็นภาพของตัวคุณเองตามที่อยากจะเป็น เห็นรูปร่างที่ได้สัดส่วนแข็งแรงและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น สังเกตว่าเสื้อผ้าที่ใส่พอดีกับตัวไม่มีรอบเอวที่คับแน่น เมื่อออกไปพบปะกับบุคคลอื่นก็มีความรู้สึกกระฉับกระเฉง เชื่อมั่นและรู้สึกยินดีกับภาพที่เห็น พยายามวาดจินตภาพเช่นนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีจิตใจสงบหรือก่อนจะนอนหลับ การกระทำเช่นนี้จะเป็นการสั่งจิตใต้สำนึกให้ควบคุมการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานและทำให้สามารถบริโภคอาหารอย่างเหมาะสมมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 กินอาหารอย่างมีความสุขและให้มีสุขภาพดี
..........ในการกินอาหารควรจะต้องมีความสุขและความพึงพอใจในรสชาติอาหารตามสมควร ไม่ควรอดอาหารอย่างเด็ดขาด การกินอาหารน้อย ๆ แต่บ่อย และมีโภชนาการสมดุลอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ จะช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้ดีกว่าการกินอาหารมื้อใหญ่ ๆ วันละ 1-2 มื้อเท่านั้น ควรลดปริมาณแคลอรี่ที่กินในแต่ละวันลงเพียงเล็กน้อยไปเรื่อย ๆ จะทำให้ได้ผลดีกว่าการลดพลังงานลงอย่างฮวบฮาบ หลีกเลี่ยงการกินไขมันให้ได้มากที่สุด การลดไขมันลงจะทำให้น้ำหนักลดลงและป้องกันภาวะต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายจากสุขภาพอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสารอาหารประเภทไขมันด้วย

..........ในการเลือกซื้ออาหารควรเลือกอาหารประกอบด้วยผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นส่วนใหญ่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และไม่ควรเลือกซื้ออาหารที่พร้อมปรุงเพราะมักจะมีไขมันและแคลอรี่สูง เมื่อปรุงอาหารควรหลีกเลี่ยงการทำอาหารประเภททอด พยายามเอาไขมันจากเนื้อหรือหนังไก่ที่มองเห็นออกก่อนจะกิน ในการตักอาหารควรตักไว้ในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการ ควรเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ซุปผัก หรือสลัดก่อน เวลากินอาหารควรกินอย่างช้า ๆ ไม่ควรรีบเร่ง หยุดกินอาหารทันทีที่รู้สึกอิ่มโดยไม่จำเป็นจะต้องรอให้อาหารหมดจาน

..........การควบคุมอาหารหรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า diet นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ diaita ซึ่งมีความหมายว่าวิถีแห่งชีวิต มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการกินอาหาร ร่างกายของมนุษย์เรียกร้องให้แสวงหาอาหารโดยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอาหารในขณะใดก็ตามที่ได้รับสารอาหารไม่พอเพียง การบริโภคอาหารที่ให้แค่พลังงานโดยไม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างอื่นร่วมด้วย จะทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหารและผลักดันให้กินมากขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากที่กินอาหารเข้าสู่ปากแล้ว กระเพาะและลำไส้ยังต้องทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารเอาไปใช้ประโยชน์ด้วย นอกจากนี้สารพิษที่เป็นของเสียจะต้องถูกขับออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพด้วย หากกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งทำงานบกพร่อง จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวมากขึ้นด้วย

..........ตับและไตเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย การดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตรขึ้นไป จะช่วยขจัดสารพิษได้ดี โดยอวัยวะทั้งสองชนิดนี้รวมทั้งทางลำไส้ใหญ่และผิวหนัง ถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่พอเพียงอาจทำให้เกิดการคั่งของสารพิษในร่างกายได้ การกินกากใยอาหารมาก ๆ จะมีส่วนช่วยในการขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยเช่นกัน ในระบบการแพทย์ทางเลือกมีการใช้กระบวนการล้างพิษกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากเลือกวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยก็อาจจะมีประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้

..........ในการลดน้ำหนักจะต้องไม่พยายามตำหนิติเตียนตนเองเมื่อเผลอใจไปกินของต้องห้ามเป็นครั้งคราว การทำเช่นนั้นจะส่งผลผลักดันจิตใจให้เกิดความเครียดและสับสน ซึ่งในที่สุดจะหันมากินขนมหวานและสารอาหารที่มีรสหวานจัดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายลง ทางที่ดีควรมีความรู้สึกพึงพอใจและมีความรู้สึกว่าอาหารที่กินเข้าไปจะถูกนำไปเป็นพลังงานและซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายซึ่งจะมีผลให้สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีขึ้น หากต้องการที่จะลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารลงควรหันมาเลือกใช้วิธีกินอาหารที่มีพลังงานต่ำและมีประโยชน์ต่อร่างกายจะดีกว่ากินอาหารที่ให้แต่พลังงานโดยปราศจากสารอาหารที่มีประโยชน์

ขั้นตอนที่ 4 การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักใด ๆ หากขาดการออกกำลังกายร่วมด้วยจะไม่ได้ผล ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่าการลดน้ำหนักจะได้ผลก็ต่อเมื่อพลังงานที่ได้รับน้อยกว่าพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละวัน หากลดการได้รับพลังงานลงจากการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว จะทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานลดลง และในที่สุดน้ำหนักจะไม่มีการลดลงอีก

..........การออกกำลังกายที่จะให้ผลดีมากที่สุด คือการออกกำลังกายที่ทำให้เพลิดเพลินในขณะปฏิบัติ ไม่ใช่การออกกำลังกายที่ต้องฝืนหรือต้องอดทนเป็นอย่างมากที่จะกระทำ สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนจะมองเห็นการออกกำลังกายเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงจะต้องพยายามทำให้เกิดความรู้สึกสนุกและพึงพอใจในการออกกำลังกายเข้าไว้ การไปออกกำลังกายร่วมกับคนที่ชอบจะมีส่วนช่วยผลักดันได้เหมือนกัน

..........ดังที่ได้อธิบายมาแล้วว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ซึ่งวิธีการเดินน่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว หากสามารถเดินได้นานพอเพียงจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ และทำให้ร่างกายโดยเฉพาะกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ ต้องการเลือดและออกซิเจนจำนวนมาก ซึ่งจะไปเพิ่มการทำงานและความแข็งแรงของหัวใจและปอดอีกด้วย

..........ในการเดินอาจเริ่มต้นโดยการตั้งใจว่าจะก่อให้เกิดความเพลิดเพลิตใจ และเพิ่มการใช้พลังงานแบบแอโรบิค ควรเดินในจังหวะและอัตราที่เหมาะสม พยายามเลือกเส้นทางเดินที่คุณชื่นชอบ และดูระยะเวลาที่ใช้เดินไว้ เพื่อค่อย ๆ ปรับปรุงให้ตนเองสามารถเดินในระยะทางที่ไกลขึ้นได้ทีละน้อย ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เวลาก้าวเดินพยายามชื่นชมกับความแข็งแรงและร่างกายของตนเองให้มาก ๆ พยายามยืดเส้นยืดสายทุกสัดส่วนไปพร้อม ๆ กันด้วยเวลาเดิน และขจัดความตึงเครียดออกจากทุกส่วนของร่างกาย เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินมากขึ้นอาจฟังเพลงไปด้วย และเมื่อทำได้ต่อเนื่องให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจในตนเองและเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

..........สิ่งที่ยากที่สุดของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คือ การเริ่มต้น จึงต้องเอาชนะใจตนเองแต่เริ่มแรกให้ได้ หากต้องการไปเข้ากลุ่มออกกำลังกาย ก็ควรเลือกชั้นเรียนที่สนุกสนานเพื่อให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม บางครั้งการตั้งรางวัลให้กับตนเองจะช่วยเป็นแรงจูงใจให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้ ควรตระหนักไว้เสมอว่าการออกกำลังกายนอกจากจะได้ประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้แล้ว ยังช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ความดันโลหิตลดลง สร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น ทำให้อารมณ์เป็นสุขขึ้น และมีรูปร่างที่ดูดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผลเป็นระยะ
..........ในการประเมินผลของโปรแกรมลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การจดบันทึกการกินอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะเป็นแนวทางในการประเมินความสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว เมื่อใดก็ตามที่คิดจะคุมอาหารมักจะบอกตัวเองเสมอว่า กินน้อยมากแต่ทำไมยังอ้วนอยู่ ซึ่งหากได้มีการจดบันทึกในรายละเอียดจะพบว่ายังกินอาหารมากเกินความจำเป็นอยู่ดีนั่นแหละ การจดบันทึกเวลาที่กินอาหารจะทำให้บอกได้ว่ากินอาหารตรงเวลาหรือไม่ และในกรณีที่ได้มีการบันทึกรายละเอียดกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ก่อนอาหารเพิ่มขึ้น จะทำให้เข้าใจถึงองค์ประกอบที่มีส่วนหนุนให้คุมอาหารได้ยาก

..........การชั่งน้ำหนักเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำบ่อยนักในขณะที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ ทั้งนี้เพราะอาจทำให้หมดกำลังใจและท้อถอยได้ง่าย ควรชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างมาก และนอกเหนือจากน้ำหนักตัวแล้วควรวัดสัดส่วนเอาไว้เปรียบเทียบเป็นระยะด้วย เพื่อจะประเมินว่าได้ขจัดไขมันส่วนเกินออกไปแล้วได้มากน้อยเพียงใด ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการลดน้ำหนักจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่น้ำหนักไม่ลงแต่สังเกตว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นไม่คับเหมือนเดิม ในกรณีเช่นนี้อย่าเพิ่งหมดกำลังใจว่าทำไมน้ำหนักไม่ลด เพราะความจริงแล้ว ไขมันส่วนเกินได้ถูกขจัดออกไปจากเซลล์ไขมันแล้ว แต่น้ำกลับเข้าไปอยู่ในเซลล์แทนจึงส่งผลให้น้ำหนักยังคงที่ อย่างไรก็ตาม น้ำจะถูกกดทับได้มากกว่าไขมันจึงมีผลให้เสื้อผ้าหลวมแต่น้ำหนักไม่เปลี่ยน เมื่อร่างกายปรับสมดุลและขจัดน้ำออกจากเซลล์น้ำหนักจะลดลงตามไปเอง

..........การพิจารณาถึงความรู้สึกทั่วไป เช่น ความแข็งแรง กระชุ่มกระชวย ภาวะการนอนหลับที่ดีขึ้น และความเฉื่อยชาที่ลดลงกว่าเดิม จะแสดงให้เห็นว่าการลดน้ำหนักของคุณประสบความสำเร็จตามสมควรแล้ว สำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ฯลฯ อาจพบว่าปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เหล่านี้กลับดีขึ้น

..........เนื่องจากปัญหาในเรื่องความอ้วนของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน การวิเคราะห์และประเมินผลเป็นระยะจะช่วยทำให้เข้าใจถึงวิธีการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น การปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอาจจะมีประโยชน์ในการให้ความสนับสนุนให้มีโอกาสประสบความสำเร็จดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 6 ปรับปรุงโปรแกรมลดน้ำหนักให้เหมาะสม
..........ในการติดตามและประเมินผลเป็นระยะจะนำไปสู่การลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากการลดน้ำหนักได้ผลดีโดยสามารถลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม แสดงให้เห็นว่าประสบความสำเร็จแล้วอย่างงดงาม เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอคนส่วนใหญ่จะลดน้ำหนักได้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจจะลดลงมาในระดับที่ร่างกายจะกำหนดไว้ของแต่ละบุคคล และน้ำหนักจะเริ่มอยู่ในระดับคงที่อีก ซึ่งหากจะทำให้น้ำหนักลงไปอีกจำเป็นจะต้องคุมอาหารกับออกกำลังกายจริงจังมากขึ้นหรืออาจต้องอาศัยความช่วยเหลือของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการลดน้ำหนักต่าง ๆ ตามความเหมาะสม สำหรับกลุ่มที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพแล้ว อาจพิจารณาควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป

..........การฝึกผ่อนคลายอาจมีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติในรายที่อารมณ์เครียดมีผลต่อการกินอาหาร นอกเหนือจากการออกกำลังกายแล้ว การฝึกโยคะ การฝึกสมาธิ และการฝึกผ่อนคลายด้วยวิธีต่าง ๆ จะมีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนักประสบผลสำเร็จลงได้

..........ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจนกระทั่งอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ดีควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการเหมาะสม แต่พึงหลีกเลี่ยงที่จะรับการรักษาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ หรืออาจทำให้น้ำหนักที่ลดลงไปแล้วคืนกลับมาใหม่อย่างรวดเร็วได้อีก

ขั้นตอนที่ 7 การควบคุมน้ำหนักในระยะยาว
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักนั้นควรมีวัตถุประสงค์ที่จะให้น้ำหนักที่ลดลงแล้วไม่เพิ่มขึ้นอีก การบริโภคอาหารให้ได้สัดส่วนโดยมีไขมันต่ำ มีปริมาณพืชผัก และผลไม้สูง เป็นสิ่งที่ควรทำให้ได้ตลอด ในบางช่วงเวลาที่มีความอยากอาหารซึ่งเป็นของต้องห้ามอย่างรุนแรง อาจผ่อนคลายให้กับตนเองได้บ้างแต่ต้องอย่าทำบ่อย และในวันใดที่กินอาหารที่พลังงานสูงมากเข้าไปจะต้องพยายามชดเชยโดยเลือกกินอาหารที่มีพลังงานต่ำเข้าไปทดแทนในวันนั้นและวันต่อ ๆ ไปด้วย

..........การค้นหาสาเหตุที่กระตุ้นให้ควบคุมอาหารได้ยาก และเรียนรู้จะหลีกเลี่ยงเสีย จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างถาวร ทั้งนี้เพราะการลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องมากมาย จึงสมควรที่จะขจัดสาเหตุต่าง ๆ ให้ได้ด้วยเท่าที่จะกระทำได้

..........การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นในการลดและควบคุมน้ำหนัก และยังช่วยให้สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีขึ้น จึงควรพยายามทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นนิสัยและเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและปฏิบัติได้ต่อเนื่องโดยไม่เบื่อหน่าย

..........ในการที่จะควบคุมน้ำหนักได้ดีอาจต้องอาศัยกำลังใจจากบุคคลอื่น ดังนั้นเพื่อนฝูงและบุคคลในครอบครัวอาจมีบทบาทในการให้กำลังใจและการสนับสนุน เมื่อใดก็ตามที่น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ควรที่จะพยายามเริ่มเข้าสู่โปรแกรมลดน้ำหนักต่อไปอีก ควรพยายามควบคุมน้ำหนักให้คงที่ไว้อย่างน้อย 1-2 ปี จะทำให้มีโอกาสที่น้ำหนักตัวจะไม่ขึ้นสูงอีก

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การใช้ยาลดความอ้วน

การใช้ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วน
..........ปัจจุบันการลดน้ำหนักโดยการรับประทานยาลดความอ้วนกำลังเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย โดยเฉพาะในคนที่อ้วนแล้วไม่สามารถควบคุมการกินอาหาร หรือไม่ชอบออกกำลังกาย คนอ้วนเหล่านี้จึงจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นในการลดน้ำหนักแทน ซึ่งการรับประทานยาลดความอ้วนก็เป้นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว เพียงแต่รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นก็สามารถลดน้ำหนักได้ตามต้องการ

..........ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักโดยวิธีการกินยาลดความอ้วนนี้ จะเป็นวิธีที่ได้ผลก็ตาม แต่การใช้ยาเหล่านี้ควรจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาลดความอ้วนมีมากมายหลายประเภท มีขนาดและการใช้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ก่อนใช้ยาจึงควรมีความรู้หรือความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับผลของยาและการปฏิบัติตัวเสียก่อน เพราะหากใช้ยาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่สำคัญไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มารับประทานเอง

..........ก่อนจะรับประทานยาลดความอ้วน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกาย โรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำซึ่งควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า หรือประวัติการรับประทานยาลดความอ้วน, อาการที่เกิดขึ้นในระหว่างรับประทานยา เป็นต้น มีข้อห้ามใช้ยาลดน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ หากต้องการลดน้ำหนัก ควรทำหลังคลอดบุตรแล้วและรอให้ร่างกายแข็งแรงดีเสียก่อน

ยาลดน้ำหนัก ที่ใช้อยู่ทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. ยาทำให้ไม่อยากอาหาร
..........ยาในกลุ่มนี้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะมีผลทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลงอิ่มเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับอาหารน้อยลง และหากพลังงานที่ได้รับจากอาหารนี้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะต้องหันมาใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทน ก็เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

..........ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมการกินอาหารและบางชนิดยังมีฤทธิ์เพิ่มกลูโคสในกล้ามเนื้อ ผลนี้จะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายเบา ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น และยาบางชนิดยังออกฤทธิ์สลายไขมันอีกด้วย

..........ยาที่ทำให้ไม่อยากอาหาร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
..........1. Amphetamine เป็นยาดั้งเดิมซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ใช้เป็นยาสำหรับลดความอ้วนแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก เป็นอันตรายต่อร่างกายและที่สำคัญคือเสพติดได้ ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว
..........2. Amphetamine derivatives เป็นยาที่พัฒนามาจากยาในกลุ่มแรก ผลข้างเคียงน้อยลง และสามารถทำให้ไม่อยากอาหารและรับประทานได้น้อยลง ยาในกลุ่มนี้มีหลายตัว เช่น Ethylamphetamine, Diethylpropion, Phentermine HCL, Phentermine resin, Phendimetrazine, Mazindol, d-norpseudoephedine เป็นต้น
..........3. ยาอื่นที่ออกฤทธิ์ทำให้ไม่อยากอาหาร และมีผลข้างเคียงน้อย เช่น Phenylpropanalamine
..........ยาในกลุ่มดังกล่าวแต่ละชนิดมีข้อบ่งใช้และขนาดของยาที่รับประทานแตกต่างกัน บางชนิดออกฤทธิ์ได้นาน สามารถรับประทานเพียงวันละครั้งเท่านั้นแต่ออกฤทธิ์ได้ตลอดทั้งวัน ส่วนยาบางชนิดต้องรับประทานวันละหลายครั้งเพราะยาออกฤทธิ์สั้น ๆ ยาเหล่านี้สามารถลดความอยากอาหารได้ ทำให้รับประทานได้น้อยลง น้ำหนักตัวจึงลดลง แต่ก็มีข้อเสียคือยาเหล่านี้ไปนาน ๆ มักจะมีการดื้อยา ดังนั้นเมื่อรับประทานไปนาน ๆ ความรู้สึกเบื่ออาหารก็จะลดลง ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงมักใช้ยาที่ออกฤทธิ์แบบอื่นร่วมด้วย การรับประทานยาเหล่านี้อาจเกิดผลข้างเคียงได้ในบางคน เช่น ง่วงนอน, อ่อนเพลีย, ท้องผูก, นอนไม่หลับ, ปากแห้ง เป็นต้น อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อปรับขนาดยาใหม่หรือหยุดรับประทานยา

2. ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ
..........ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในพวกนักมวยที่ต้องการลดน้ำหนักให้เท่าพิกัดในระยะเวลาสั้น โดยมากแพทย์มักใช้ยานี้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง, ภาวะบวมน้ำ เป็นต้น ยาเหล่านี้หากใช้ในระยะยาว อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง กระหายน้ำ คอแห้ง ปากแห้ง เนื่องจากร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่และน้ำออกไปทางปัสสาวะ แต่ยาในกลุ่มนี้บางชนิดเป็นยาขับปัสสาวะที่สามารถสงวนเกลือแร่บางอย่างโดยเฉพาะโปแตสเซียมได้ จึงทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการขาดเกลือแร่ลดลง

3. ยาฮอร์โมน
..........โดยมากมักจะเป็น "ธัยรอยด์ฮอร์โมน" ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เมื่อพลังงานสะสมถูกใช้ไปมากขึ้นจึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่หากใช้ยาในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการใจสั่น, เหงื่อออกมาก หรือมีอาการคล้ายกับคนที่เป็นโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษได้

4. ยาระบายหรือยาถ่าย
..........ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ให้บีบตัว บางชนิดก็ทำให้อุจจาระอ่อนตัวหรือเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ยาในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ด หลังจากรับประทานแล้วจะรู้สึกอยากถ่ายและอุจจาระจะค่อนข้างเหลว เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ถ่ายยาก

5. ยาลดกรด
..........ยาลดกรดทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ยาลดกรดจะมีสารประกอบที่เป็นอะลูมินัม (Aluminum) ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบและบรรเทาอาการปวดท้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยานาน ๆ เช่น ท้องผูก หรือขาดสารอาหารบางอย่างเนื่องจากยาลดกรดไปรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะ fluoride และ phosphate เป็นต้น

6. ยาหรือสารเคมีที่ผลิตจากใยพืช
..........มักจะอยู่ในรูปของอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปรุงแต่งให้มีพลังงานต่ำ ส่วนประกอบทั่ว ๆ ไป คือ เส้นใยอาหาร, สารอาหารอื่น ๆ คือ คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน รวมทั้งเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆ เพื่อนำไปรับประทานแทนอาหารปกติ เพื่อลดปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารให้น้อยลง เนื่องจากเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเส้นใยอาหารจะพองตัว ทำให้เพิ่มปริมาตรของอาหารในกระเพาะ จึงทำให้รู้สึกไม่หิว และหากรับประทานก่อนมื้ออาหารประมาณ 1/2-1 ชม. ก็จะทำให้รับประทานอาหารอื่นได้น้อยลงและอิ่มเร็มขึ้น
..........ปัจจุบันมีการปรุงแต่งอาหารเหล่านี้ให้น่ารับประทานมากขึ้น มีทั้งที่เป็นอาหารซองสำหรับชงดื่ม, คุกกี้, ขนมเค้ก, เวเฟอร์, เม็ดหรือแคปซูล ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีปริมาณแคลอรี่แตกต่างกัน มักจะระบุไว้ที่ฉลาก ดังนั้นหากต้องการลดความอ้วนและเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้แทน ก็ควรจะพิจารณาเกี่ยวกับสารอาหารต่าง ๆ และปริมาณที่ได้รับด้วย เพราะหากได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนก็จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
..........เส้นใยอาหารยังช่วยขัดขวางการดูดซึมของไขมันด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

7. สารสกัดจากส้มแขก
..........ปัจจุบันได้มีการสกัดสารชนิดหนึ่งจากผลส้มแขกหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia Cambogia ซึ่งเชื่อว่ามีผลในการลดไขมันได้ ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนัก สารสกัดที่สำคัญที่ว่าก็คือ ไฮดรอกซีซิตริกแอซิด (Hydroxycitric Acid) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า HCA ซึ่ง อย. รับรองความปลอดภัยแล้วในลักษณะของ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" แต่ไม่ได้รับรองสรรพคุณในแง่ลดความอ้วน
..........ที่มาที่ไปของสาร HCA ที่ว่านี้ก็คือ เมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ Brandeis ได้ค้นพบว่า HCA ในส้มแขก สามารถยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดไขมันและโคเสลเตอรอลได้ เมื่อประกาศการค้นพบ นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ หลายคนก็เริ่มสนใจ HCA ในแง่การลดไขมันและโคเรสเตอรอล จากจุดนี้เอง จึงทำให้การศึกษาอย่างจริงจัง และพบว่า HCA ไม่ใช่กรดผลไม้ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแป้งจากอาหารไปเป็นไขมันได้
..........ในภาวะปกติ เมื่อรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเข้าไป ก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นกลูโคส ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารมากเกินไป กลูโคสที่เหลือก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน โดยอาศัยเอ็นไซม์ที่ชื่อว่า ATP-Citrate Lyase ไขมันที่เกิดขึ้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งหากรับประทาน HCA เข้าไป ก็จะมีผลไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ว่านี้ ดังนั้นแทนที่กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ก็กลับเปลี่ยนไปเป็นไกลโคเจนแทน สะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดไขมันในเลือดและโคเสลเตอรอลได้
..........แต่ในแง่การลดความอ้วนแล้ว จะพบว่า HCA มีผลในการลดน้ำหนักน้อยหรือไม่เห็นผลเลย สาเหตุที่ไม่ได้ผลอาจจะเป็นเพราะ HCA ยับยั้งเฉพาะอาหารประเภทแป้งได้เท่านั้น ดังนั้นหากรับประทานไขมันเข้าไป HCA ก็ไม่มีผลอะไรเลย

8.  แอบซอร์บิทอล (ABSORBITAL) 
..........ปัจจุบันมีการค้นพบเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่าไคโตซาน (Chitosan) ที่ได้จากส่วนนอกหรือเปลือกของสัตว์ เช่น เปลือกกุ้งหรือปู ซึ่งเมื่อนำมาย่อยสลายแล้วจะได้ไคโตซาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับไขมันได้ดี ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาอนุพันธุ์ของไคโตซานเพื่อให้สามารถจับกับไขมันได้ดีในทางเดินอาหารของมนุษย์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "แอบซอร์บิทอล" หรือ L112 ไบโอโพลิเมอร์ (Enhanced Chitosan Derivative) แอบซอร์บิทอลจะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ผิวสูง สามารถจับกับไขมันในทางเดินอาหารและรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนและสามารถถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ ปัจจุบันจึงมีการใช้แอบซอร์บิทอลในการควบคุมน้ำหนักและลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และโคเลสเตอรอลในเลือด การใช้แอบซอร์บิทอลนั้นควรระมัดระวังการขาดวิตามินบางชนิดได้ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น A, D, E และ K
..........แอบซอร์บิทอลจึงมีประโยชน์ในการลดการดูดซึมไขมันที่ได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ในคนที่ต้องการลดความอ้วนซึ่งมีไขมันสะสมอยู่มากตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งแอบซอร์บิทอลไม่สามารถกำจัดได้ จึงจำเป็นจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้น จึงจะมีการเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง และที่สำคัญก็คือแอบซอร์บิทอลไม่ได้มีส่วนในการกำจัดสารอาหารอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารจำพวกโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายเช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าแอบซอร์บิทอลจะช่วยกำจัดไขมันก็ตาม แต่หากต้องการจะลดน้ำหนักก็ควรจะควบคุมการรับประทานอาหารให้น้อยลงและหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กลิ่นตัว

กลิ่นตัว
..........กลิ่นตัวเป็นปัญหาที่คนมากมายประสบอยู่ ร่างกายของมนุษย์เรามีหลายแหล่งที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นตัว ทั้งในแบบปกติธรรมดาและแบบผิดปกติ ทว่าปกติแล้ว คำว่า "กลิ่นตัว" มักจะหมายถึงบรรดากลิ่นที่เกิดมาจากเหงื่อเป็นสำคัญ

..........กลิ่นจากร่างกายบางกลิ่น มาจากของเสียซึ่งร่างกายคนธรรมดาสามัญจำเป็นต้องขับออกมา อย่างเช่นปัสสาวะที่เปื้อนผิวหนังหรือเสื้อผ้า กลิ่นจากร่างกายบางกลิ่นอาจมีสาเหตุมาจากความเจ็บไข้ได้ป่วยชนิดต่าง ๆ อาทิเช่น กลิ่น "ผลไม้" ที่กระจายออกมาจากผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานขั้นรุนแรง คนเหล่านี้จะมีสารอาซีโทน (acetone) อยู่ในลมหายใจ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตขั้นลุกลามจะมีกลิ่นตัวเหมือน "หนู" ซึ่งเป็นกลิ่นที่มีควบคู่มากับการสั่งสมผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเสียเอาไว้ในในโลหิต สภาพการณ์เช่นนี้ ก่อให้เกิดอาการป่วยที่รู้จักกันในนามของ "ยูเรเมีย" (uremia) ต้นเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นผิดปกติเนื่องจากความเจ็บไข้ได้ป่วย คือ การติดเชื้อ ซึ่งมีตั้งแต่ ฝี หนอง เรื่อยไปจนถึงสภาพแผลที่ทำให้เนื้อตายหรือเนื้อเน่า อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงเหล่านี้ แทบจะไม่สามารถดำเนินชีวิตตามกิจวัตรประจำวันเป็นปกติอย่างคนทั่วไปได้ หากมักจะต้องนอนแซ่วอยู่กับเตียง และมีบ่อย ๆ ที่ต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาล

..........เหงื่อชนิดปกติธรรมดา จะไม่มีกลิ่นใด ๆ และมีส่วนประกอบเพียงน้ำกับเกลือ กลิ่นตัวชนิดที่เกิดขึ้นมาจากเหงื่อโดยทั่วไป เป็นกลิ่นซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากการกระทำของสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว ที่สำคัญคือแบคทีเรีย ร่างกายของมนุษย์ทุกคนมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ตามผิวหนังอยู่แล้ว แบคทีเรียเหล่านี้ เป็นตัวการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของเหงื่อ ผลลัพธ์จากกระทำของแบคทีเรีย คือ สิ่งที่สร้างกลิ่นตัวขึ้นมา

..........ตามสภาพเงื่อนไขปกติธรรมดาแล้ว ความร้อน การออกกำลังกายและความตึงเครียดของประสาท เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ต่อมต่าง ๆ ทำงานผลิตเหงื่อออกมา ปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นรอง แต่ก็มีส่วน ได้แก่ อาหารที่ใส่เครื่องเทศมาก เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มชนิดร้อนจัด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่จัดว่าเป็นกรณีพิเศษอย่างอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เหงื่อที่เกิดขึ้นเนื่องจากอากาศร้อนโดยทั่วไปแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์กับกลิ่นตัวเท่ากับปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น นอกเสียจากว่าจะมีสาเหตุอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

..........ต่อมเหงื่อ ซึ่งเรามีกันคนละ 3 ล้านต่อม แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ประเภทที่ 1 คือ ต่อม eccrine ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วพื้นผิวทั้งหมดของร่างกาย ต่อมเหงื่อประเภทที่ 2 คือ ต่อม apocrine ต่อมเหงื่อประเภทหลังนี้มีจำนวนน้อยกว่า โดยจะไปมีมากเป็นพิเศษในบริเวณแถว รักแร้ รอบหัวนม ในบริเวณอวัยวะเพศ และที่บริเวณซอกกลางระหว่างก้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบ ๆ รูทวารหนัก เหงื่อที่ออกในบริเวณดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่มาจากการผลิตของต่อมแอโพครีน ทว่าก็มีส่วนที่ได้จากต่อมประเภทเอ็คครีนบ้างเหมือนกัน

..........กลิ่นตัวซึ่งกระจายออกมาจากเหงื่อ ส่วนใหญ่แล้ว ระเหยออกมาจากบริเวณที่ซึ่งแบคทีเรียซึ่งเป็นตัวสร้างกลิ่น ทำงานแข็งขันมากที่สุด บริเวณดังกล่าวนั้น คือ บริเวณที่ชื้น อุ่น ที่ซึ่งมีเหงื่อมาก อาทิเช่น ที่รักแร้ ขาหนีบ บริเวณอวัยวะเพศและบริเวณซอกกลางระหว่างก้น บริเวณที่อุ่นและชื้นเหล่านี้เป็นบริเวณเดียวกับที่กิจกรรมของแบคทีเรียมีเพิ่มขึ้น ดังนั้น บริเวณดังกล่าว จึงเกี่ยวข้องอยู่กับกลิ่นกายที่ไม่พึงปรารถนา การไม่รักษาสุขอนามัยที่ดีที่บริเวณทวารหนัก อวัยวะเพศ สามารถเกื้อหนุนให้เกิดแหล่งกำเนิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ ด้วยเหตุผลที่มองเห็นได้ชัดอยู่แล้ว

..........พัฒนาการของต่อมแอโพครีน (ที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ และรอบเต้านม) มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับการงอกของขนในบริเวณดังกล่าว ทั้งขนและต่อมที่บริเวณเหล่านี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเพศ ดังนั้น กลิ่นตัวอย่างน้อยก็มีส่วนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหงื่อจากต่อมแอโพครีน จึงแทบจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาให้แก่เด็กในวัยก่อนที่จะเข้าสู่วัยหนุ่มสาว หรือในคนซึ่งถึงวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว อย่างไรก็ดี แม้ในคนกลุ่มอายุน้อยและที่อายุมากก็ยังมีเหงื่อประเภทที่เกิดจากต่อมเอ็คครีนอยู่ และบางคนอาจจะมีเหงื่อจากต่อมเหล่านี้มากเป็นพิเศษ หากว่าแบคทีเรียที่บริเวณรักแร้และทวารหนัก / อวัยวะเพศมีมาก หรือทำงานหนัก กลิ่นตัวจากต่อมเอ็คครีนก็อาจจะมีมากจนกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ บริเวณทวารหนักและอวัยวะเพศของคนทุกวัยทุกเพศเป็นแหล่งรวมของแบคทีเรียจำนวนมาก ซึ่งปกติแล้วเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในเส้นทางเดินอาหาร และเป็นตัวการในการสร้างกลิ่นซึ่งปกติแล้ว เกี่ยวข้องกับกลิ่นที่เกิดกับอุจจาระ

..........สตรีระหว่างมีประจำเดือนอาจจะรู้สึกว่ามีกลิ่นอับ ๆ เกิดขึ้น กลิ่นอับที่ว่านี้สามารถกำจัดได้ด้วยการเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นและทำความสะอาดโดยใช้น้ำและสบู่ธรรมดา ๆ

..........การควบคุมกลิ่นตัว มีหลายวิธีการที่ใช้กันอยู่ ทว่าไม่มีวิธีใด ที่ได้ผลเป็นที่พอใจได้อย่างเต็มที่ วิธีการควบคุมกลิ่นกายวิธีหลัก ๆ แบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. ควบคุมแบคทีเรีย
..........วิธีการนี้ น่าจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การอาบน้ำอย่างหมดจดและให้ความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันกับสุขอนามัยส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการที่จะลดจำนวนแบคทีเรียและปริมาณเหงื่อให้น้อยลง ยาระงับกลิ่นกายบางชนิดทำหน้าที่ยับยั้งการเติบโตหรือการกระทำของแบคทีเรียเป็นหน้าที่หลัก ยาระงับกลิ่นกายด้วยการควบคุมแบคทีเรียมีหลายแบบ ทั้งที่อยู่ในรูปของแอลกอฮอล์ชนิดที่ใช้ทา สบู่ และโลชั่นซึ่งมีอยู่ในเครื่องสำอางระงับกลิ่นกายที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป

2. ปกปิดกลิ่นกาย
..........วิธีการนี้เป็นที่ยอมรับกันมากกว่าทำด้วยการใช้สารแต่งกลิ่นที่มีกลิ่นรุนแรงกว่ากลิ่นกาย เป็นต้นว่าน้ำหอมชนิดต่าง ๆ ซึ่งทำจากสารที่มีกลิ่นมาก อย่างเช่น สารผสมเมนธอลหรือการบูร หรือผสมกลิ่นหอมสดชื่นจากพืช อย่างเช่นกลิ่นสนหรือไม้ใบไม้ดอกอย่างอื่น หรือสารแต่งกลิ่นชนิดที่เกี่ยวข้องกับสารปฏิชีวนะแรง ๆ อย่างเช่น ไลซอล (Lysol)

3. การลดปริมาณเหงื่อ
..........อีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง คือการลดปริมาณเหงื่อ ซึ่งเท่ากับลดปริมาณของสารซึ่งแบคทีเรียจะสามารถนำเอาไปใช้สร้างกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้ สารระงับหรือขจัดเหงื่อบางอย่าง ยับยั้งกิจกรรมของแบคทีเรียได้ ทว่าหน้าที่หลักของมันคือการลดปริมาณเหงื่อที่ไหลออกมา ที่สำคัญคือเหงื่อที่บริเวณรักแร้หรือบริเวณทวารหนัก / อวัยวะเพศ

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การลดความอ้วนโดยการผ่าตัด

การลดความอ้วนโดยการผ่าตัด
..........การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่พยายามลดความอ้วนด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่สำเร็จ จุดประสงค์ของการผ่าตัดก็เพื่อให้ร่างกายได้รับอาหารหรือดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง

..........การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วนในที่นี้ คือ การผ่าตัดอวัยวะภายในที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธี คือ
1. ผ่าตัดยึดกระดูกขากรรไกร
..........เป็นการผ่าตัดยึดกระดูกขากรรไกรบนและล่างเข้าไว้ด้วยกันทำให้อ้าปากกว้างไม่ได้ เพื่อให้กินอาหารได้ลำบากขึ้น ส่วนใหญ่จะกินได้แต่อาหารเหลวหรือน้ำเท่านั้น มีรายงานจากประเทศออสเตรเลียว่าวิธีนี้ได้ผล สามารถลดน้ำหนักได้ 25 กิโลกรัมภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่ที่ไม่นิยมทำกันเพราะส่วนใหญ่เมื่ออ้าปากได้เหมือนเดิมก็กลับอ้วนใหม่อีกเพราะกินมากเหมือนเดิม

2. ผ่าตัดกระเพาะอาหารให้เล็กลง
..........โดยตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออกไป เพื่อให้ปริมาตรของกระเพาะลดลง ดังนั้นเมื่อกินอาหารจำนวนไม่มาก ก็จะเต็มกระเพาะจึงรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

3. ผ่าตัดโดยการตัดต่อลำไส้เล็กส่วนต้นเข้ากับลำไส้ใหญ่
..........การผ่าตัดแบบนี้ก็เพื่อที่จะทำให้อาหารที่กินเข้าไป ออกไปทางทวารเร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้การดูดซึมอาหารจากลำไส้ได้น้อยลง

4. ผ่าตัดโดยการตัดต่อลำไส้เล็กส่วนต้นเข้ากับส่วนปลาย
..........อาหารจะผ่านลำไส้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การดูดซึมอาหารจากลำไส้ได้น้อยลง

หลักเกณฑ์ในการผ่าตัด
..........1. น้ำหนักเกินกว่ามาตรฐานไป 45 กิโลกรัมหรือน้ำหนักเป็น 2 เท่าของน้ำหนักมาตรฐานที่ควรจะเป็น
..........2. ผู้ที่ตั้งใจลดน้ำหนักที่อ้วนมากและมีปัญหาเกี่ยวกับการกินอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า "Polyphagia" จะมีอาการคือกินอาหารมากกว่าปกติ หิวบ่อย
..........3. เคยทดลองลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วล้มเหลว เช่น การควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย, ใช้ยาลดน้ำหนัก ฯลฯ อาจเป็นเพราะไม่ได้ทำอย่างจริงจัง, เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ
..........4. ต้องแน่ใจว่าโรคอ้วนที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากโรคอื่น ๆ มีโรคบางอย่างที่ทำให้อ้วนขึ้นได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ หรือเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไฮโปธัยรอยด์ เป็นต้น
..........5. ต้องไม่มีโรคที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดทั่ว ๆ ไปคนที่ต้องการลดน้ำหนักแต่มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถผ่าตัดได้หรือการผ่าตัดจะทำให้โรคที่เป็นอยู่เลวร้ายหรือเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้นก็ควรละเว้นวิธีนี้ เช่น โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้
..........6. ต้องไม่มีปัญหาโรคจิต

การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
..........ภายหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องหัดนิสัยการรับประทานอาหารเสียใหม่ คือ จะต้องรับประทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ต่อจากนั้นก็สามารถรับประทานอาหารธรรมดาได้ แต่ควรจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเสียก่อนทำให้อาหารย่อยง่ายขึ้น ไม่ควรกลืนอาหารคำใหญ่เกินไปเพราะอาหารอาจไปอุดตันรูเปิดของทางเดินอาหารได้ นอกจากนี้ในแต่ละมื้อก็ควรรับประทานอาหารแต่น้อยประมาณมื้อละ 60 ซีซี.

ผลการผ่าตัด
..........โดยทั่วไปคนอ้วนที่ได้รับการผ่าตัดแล้วน้ำหนักจะลดลงได้อย่างช้า ๆ ในช่วงปีแรกหลังการผ่าตัดน้ำหนักจะลดลงประมาณ 60% ของน้ำหนักที่เกินมา และน้ำหนักจะคงที่อยู่ในระยะนั้นต่อไป

..........ถึงแม้ว่าการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหารเสียใหม่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่แพทย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่แนะนำให้ลดความอ้วนด้วยวิธีนี้ เนื่องจากการผ่าตัดแบบนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างและการทำงานของระบบทางเดินอาหารอย่างถาวรผ่าตัดออกไปแล้วไม่สามารถทำกลับคืนให้เหมือนเดิมได้ยาก นอกจากนี้แล้วยังเกิดผลเสียหลายประการ คือ ประมาณร้อยละ 10 อาจเสียชีวิตจากผ่าตัด เช่น เกิดการอักเสบติดเชื้อทางแผลผ่าตัด, ขณะดมยาสลบ, เสียเลือดมาก และนอกจากนี้ยังอาจเกิดโรคขึ้นภายหลัง เช่น เกิดภาวะตับวาย, เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง, ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย, เป็นนิ่วในไต, กระดูกกร่อน, ท้องเสียตลอดเวลา, คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีผมร่วง, ปวดข้อ, กลายเป็นโรคโลหิตจาง เป็นต้น สาเหตุของโรคต่าง ๆ เหล่านี้ก็เกิดจากการผ่าตัดทำให้การดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ลดน้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

..........ในความคิดของแพทย์แล้วเห็นว่า การผ่าตัดดังกล่าวก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้ผอมได้แต่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ อีกมากมายซึ่งดูแล้วไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงเลย การที่นำมาเล่าสู่กันฟังก็เพียงจะนำเสนอว่ามีคนเขาเคยคิดจะทำวิธีนี้กันแต่เขาเลิกกันไปแล้ว ใครที่มีความคิดแบบนี้ก็ควรจะล้มเลิกไปเสีย ยังมีวิธีการลดความอ้วนอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถทำให้คุณผอมได้โดยไม่เป็นอันตราย

..........คนส่วนมากที่สามารถลดน้ำหนักได้ แต่มักจะเป็นอย่างนี้คืออ้วนแล้วก็ผอม ... ผอมแล้วก็อ้วน ... อ้วนแล้วก็อ้วนขึ้นไปอีก ... เดี๋ยวก็ยุบเดี๋ยวก็พอง ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะว่าตามใจปาก, ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น, ไม่ตั้งใจจริง, หรือทำไม่สม่ำเสมอ ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะลดน้ำหนักวิธีไหนก็ไม่สำเร็จแน่นอน และที่อ้วนอยู่แล้วก็จะอ้วนต่อไป ที่ผอมก็จะอ้วนใหม่อีกอยู่ร่ำไป

..........ความจริงแล้วคนที่อ้วนก็สามารถผอมได้โดยไม่ยาก ไม่ต้องใช้วิธีพิสดารอะไร และคนที่อ้วนแล้วผอมลงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอ้วนใหม่อีก ขอเพียงแต่มีความตั้งใจจริงที่จะลดความอ้วนและเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้จักหลีกเลี่ยงและปฏิเสธสิ่งที่จะทำให้อ้วน เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถบอกลาความอ้วนได้ตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Growth hormone...เรื่องเข้าใจผิดของคนอยากสูง

Growth hormone...เรื่องเข้าใจผิดของคนอยากสูง
..........แม้ว่า Growth hormone จะมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ทำให้เด็กสูงขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หากเด็กขาดฮอร์โมนนี้จะกลายเป็นคนแคระ (dwarf) ในทางกลับกันเด็กที่มี Growth hormone มากเกินไปจะสูงกว่าปกติกลายเป็นยักษ์ได้ (giant) จากการศึกษาพบว่า ในวัยผู้ใหญ่บทบาทของฮอร์โมนตัวนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสูง แต่มีผลเกี่ยวกับความชราโดยตรง เมื่ออายุมากขึ้น จำนวน Growth hormone ที่สร้างหลั่งมาจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะน้อยลงเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดการขาดในที่สุดเมื่อร่างกายขาด Growth hormone อาการที่เกิดจากการขาด Growth hormone คือ ผิวหนังซีดขาว มีริ้วรอยร่องลึก ผิวหนังขาดน้ำ  ผิวบาง ผมบาง คิ้วบาง หนังตาหย่อน แก้มคล้อย ริมฝีปากบาง ผิวหนังและกล้ามเนื้อฝ่อหย่อนยานไม่กระชับ ลงพุง กล้ามเนื้อสะโพกลีบ ไขมันพอกพูน และหลังค่อม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน กระดูกพรุน เป็นต้น ทางด้านจิตใจก็มีผลกระทบด้วย เช่น อารมณ์แปรปรวน กระวนกระวาย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ขาดความมั่นใจในตัวเอง สันโดษ ไม่ชอบเข้าสังคม อาการต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้คนที่ขาด Growth hormone มีคุณภาพชีวิตต่ำลง

..........ด้วยเหตุนี้ ในต่างประเทศจึงมีการศึกษาเรื่องการชดเชย Growth hormone ที่ขาดหายไป โดยฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังทุกวัน วันละครั้ง หลังฉีดประมาณ 15 วัน ถึง 1 เดือน พบว่าสัดส่วนร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ไขมันหน้าท้องลดลง กล้ามเนื้อแข็งแรงและกระชับขึ้น หลังยืดตรง หลังจากฉีด 3 เดือน ริ้วรอยบนใบหน้าเริ่มตื้นขึ้น แก้มและหนังตาที่เคยห้อยคล้อยยกกระชับ และหลังจาก 6 เดือน ถึง 2 ปี พบว่าระดับไขมันในเลือดลดลง ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้น แต่ในขณะนี้ องค์การอาหารและยายังไม่ให้การรับรองว่าวิธีนี้ปลอดภัยที่จะใช้กับมนุษย์ในระยะยาว สิ่งที่ทางการแพทย์ยังคงสงสัยคือ ผลข้างเคียงของ Growth hormone จะไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ หรือกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งไม่อาจสรุปได้แน่ชัด นอกจากนี้การฉีด Growth hormone ยังมีราคาค่อนข้างสูงและต้องฉีดอย่างต่อเนื่องทุกวันสร้าง growth hormone ด้วยตัวเอง เราสามารถดูแลและปฏิบัติตัว ให้ต่อมใต้สมองมีการหลั่ง Growth hormone ออกมาอย่างสม่ำเสมอได้ โดยปกติแล้ว Growth hormone จะหลั่งเฉพาะตอนกลางคืน ช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการนอนเท่านั้น คือประมาณเที่ยงคืนจนถึงตีสาม การนอนดึกจะไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมน ทำให้หลั่งได้น้อยลง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่นอนดึกมักดูโทรมและแก่เร็ว นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะโดยรับประทานผักอย่างน้อย 500 กรัมต่อวัน ผลไม้หลากหลายชนิดและโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ ปลา ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำสำคัญมากต่อการชะลอวัย และหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยไขมันที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การปรุงอาหารด้วยการทอด เพียงเท่านี้ร่างกายของเราก็หลั่ง Growth hormone ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

สารพันปัญหาของคนอ้วน

สารพันปัญหาของคนอ้วน
คำถาม - คุณหมอคะ ดิฉันอยากลดความอ้วนมากค่ะ เพราะตอนนี้แฟนก็บ่นว่าอ้วนเป็นตุ่มน่าเกลียดมากเลยค่ะ มีวิธีไหนที่จะเหมาะสมกับคนอ้วนอย่างหนูคะ
คำตอบ - วิธีการลดความอ้วนมีมากมายหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น เริ่มตั้งแต่ทำด้วยตัวเองคือควบคุมอาหารกินให้น้อยกว่าที่เคย, ออกกำลังกายให้มากมากเข้าไว้ ยิ่งบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี, หรือวิธีอื่น ๆ ที่ต้องให้หมอช่วยก็อย่างเช่น การใช้ยาลดความอ้วน การผ่าตัด หรือการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ละวิธีก็ทำให้น้ำหนักลดลงทั้งนั้น สำคัญอยู่ที่ว่าคุณตั้งใจจริงหรือเปล่า ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ หรือทำ ๆ เลิก ๆ แบบนี้ก็คงยุบหนอพองหนออยู่ร่ำไป ทางที่ดีลองปรึกษาแพทย์ดูซิ น่าจะได้ข้อแนะนำหรือวิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

คำถาม - มีคนแนะนำดิฉันว่าถ้าอยากลดความอ้วนก็ต้องอดอาหารบางมื้อหรือกินอาหารวันละมื้อเดียว คุณหมอว่าวิธีนี้ดีไหมคะ
คำตอบ - วิธีอดอาหารมื้อ เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เหตุผลก็เป็นเพราะ
..........1. การอดอาหารมื้อหนึ่งจะทำให้เกิดท้องว่าง หากทำเช่นนี้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นแผลได้
..........2. วิธีนี้ทำได้ไม่นานก็ต้องเลิกล้มไป เพราะทำให้ความอยากอาหารมากขึ้นในมื้อถัดไป ทำให้กินอาหารชดเชยมากกว่าเดิม
..........3. แต่ถ้าอดอาหารบางมื้อโดยค่อย ๆ ฝึกให้ร่างกายเคยชินจากที่เคยกิน 3 มื้อก็เหลือเพียง 2 มื้อ โดยยึดเวลาระหว่าง 2 มื้อให้นานขึ้น มื้อที่ไม่ควรอดคือมื้อเช้า เพราะอาหารมื้อเช้าจะเป็นพลังงานที่สำคัญในการเริ่มต้นการทำงาน ส่วนมื้อที่ควรอดมากที่สุดคืออาหารมื้อก่อนนอน เพราะในขณะที่หลับร่างกายไม่ต้องการใช้พลังงานมากนัก ทำให้พลังงานเหลือเก็บมากกว่ามื้ออื่น ๆ ทำให้อ้วนได้ง่าย

คำถาม - ครอบครัวของดิฉันอ้วนทุกคน ดิฉันก็อ้วน อยากจะลดน้ำหนักแต่กลัวว่าจะลดยากกว่าคนอื่น คุณหมอคิดว่าเป็นอย่างนั้นไหมคะ
คำตอบ - ถ้าเปรียบเทียบคนที่อ้วนตั้งแต่วัยเด็กกับคนที่เริ่มอ้วนตอนเป็นผู้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าคนอ้วนทั้ง 2 แบบแตกต่างกันคือ คนที่อ้วนมานานตั้งแต่เป็นเด็กจะมีจำนวนเซลล์ไขมันมากกว่าคนปกติ ในขณะที่คนอ้วนที่เริ่มอ้วนตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นพบว่าเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่มีจำนวนเท่าเดิม ดังนั้นแนวโน้มการลดน้ำหนักคนที่อ้วนตั้งแต่เด็กน่าจะยากกว่าคนที่เริ่มอ้วนในวัยผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามคนอ้วนทั้ง 2 แบบก็สามารถลดน้ำหนักตามที่ต้องการได้ ขอเพียงแต่ตั้งใจ ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ เปลี่ยนนิสัยการกินเสียใหม่ และเมื่อลดน้ำหนักได้แล้วก็ต้องควบคุมการกินอาหารให้ดี มิฉะนั้นก็จะอ้วนใหม่อีกได้

คำถาม - ผมพยายามลดความอ้วนโดยการรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลงกว่าเดิมแต่ก็ยังหิวอยู่ จะทำอย่างไรดีครับ
คำตอบ - เป็นเรื่องปกติที่เคยรับประทานอาหารมากแล้วมาลดปริมาณอาหารลง กระเพาะที่เคยรับอาหารปริมาตรเต็มที่ แต่ต่อมาอาหารที่ได้รับใส่ไม่เต็มกระเพาะ ก็เลยยังรู้สึกหิวอยู่
วิธีทำให้อิ่มโดยไม่เพิ่มอาหารเข้าไปก็มีหลายวิธีเช่น
..........- ดื่มน้ำหลาย ๆ แก้วก่อนรับประทานอาหารและเมื่อหลังจากอาหารหมดจานแล้ว
..........- รับประทานไฟเบอร์ชนิดซองหรือชนิดเม็ด เพื่อช่วยเพิ่มปริมาตรอาหารในกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังไปรบกวนการย่อยและการดูดซึมของไขมัน เป็นการลดปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารมื้อนั้นอีกด้วย วิธีรับประทานไฟเบอร์ที่ถูกต้องคือ รับประทานก่อนอาหาร 1/2-1 ชม. ก่อนอาหารและดื่มน้ำตาม 2-3 แก้วทันที ส่วนปริมาณไฟเบอร์นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน คนที่เคยรับประทานมากอาจจะต้องใช้ไฟเบอร์มากกว่าปกติ แล้วค่อย ๆ ปรับลดลงภายหลัง

คำถาม - คุณหมอครับ ผมเป็นคนรูปร่างท้วม ๆ แต่อยู่ไปอยู่ไปกางเกงมันก็เริ่มคับใส่ไม่ได้ต้องตัดใหม่อยู่เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้กินเยอะมากมายอะไร มื้อหนึ่งก็กินข้าวไม่กี่คำ อาหารอื่นก็เล็กน้อยเท่านั้น ผมมีงานสังสรรค์กับเพื่อนค่อนข้างบ่อย แต่ผมก็ดื่มแต่เหล้านะครับ ไม่ได้ผสมน้ำอัดลม กับแกล้มก็ไม่ได้แตะต้องเลยนะครับ เพื่อนผมบอกว่าดื่มแต่เหล้าไม่กินกับแกล้มไม่อ้วนหรอก จริงหรือเปล่าครับ
คำตอบ - การที่กางเกงคุณคับใส่ไม่ได้ก็แสดงว่าท้องหรือพุงของคุณเริ่มใหญ่ขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะร่างกายของคุณมีไขมันสะสมมากขึ้นโดยเฉพาะที่พุง ซึ่งเกิดจากการที่คุณได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินความจำเป็น แม้แต่เหล้าเบียร์หรือเครื่องดื่มที่ผสมเอธิลแอลกอฮอล์ จะให้พลังงานแก่ร่างกายด้วยซึ่งพลังงานที่ได้รับขึ้นอยู่กับปริมาณของเอธิลแอลกอฮอล์และปริมาณที่ดื่มว่ามากน้อยแค่ไหน เอธิลแอลกอฮอล์ 1 กรัม สามารถให้พลังงานได้ถึง 7 แคลอรี่ ซึ่งมากกว่าพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเสียอีก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่การดื่มเหล้าของคุณจะเป็นผลทำให้พุงของคุณขยายใหญ่ขึ้น

คำถาม - จริงหรือเปล่าคะที่คนเค้าว่ากันว่าดื่มน้ำมากมากทำให้ตัวบวมและอ้วนขึ้น
คำตอบ - มันอยู่ที่ว่าน้ำที่คุณว่านั้นเป็นน้ำอะไร ถ้าเป็นน้ำเปล่าธรรมดาซึ่งไม่ให้พลังงานแก่ร่างกายเลย คุณสามารถดื่มได้มากตามต้องการโดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วนเพราะร่างกายมีระบบการควบคุมน้ำในร่างกายหากเกินความต้องการก็จะถูกขับออกจากร่างกายโดยทางปัสสาวะเป็นส่วนมาก ที่เหลือก็จะออกทางอุจจาระและเหงื่อ ยกเว้นเสียแต่ว่ามีภาวะบกพร่องของอวัยวะในร่างกาย เช่น โรคไตซึ่งเกิดความผิดปกติในการขับน้ำ น้ำก็จะสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการบวมตามใบหน้า แขน ขา และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับการสะสมของไขมัน

คำถาม - ดิฉันอายุ 45 ปี พยายามควบคุมน้ำหนักแต่ก็ทำไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ดิฉันก็รับประทานอาหารเท่ากับตอนเป็นสาว ไม่ได้มากกว่าเลย กิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม แต่ทำไมน้ำหนักของดิฉันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะคะ
คำตอบ - ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่ออายุมากขึ้นจะเกิดความเสื่อมของสังขาร ความต้องการพลังงานในการดำรงชีวิตจะลดลง และถ้าทำกิจกรรมลดลงด้วย เช่น ปลดเกษียณ ไม่ได้ทำงานอะไร เคยเป็นนักกีฬาพออายุมากขึ้นก็เลิกไป, เคยทำงานบ้านทุกวันพออายุมากขึ้นก็มีคนอื่นมาทำแทน ฯลฯ ดังนั้นเมื่อความต้องการพลังงานของร่างกายลดลง แต่ได้รับอาหารเหมือนเดิมก็ย่อมต้องมีพลังงานเหลือเก็บอย่างแน่นอน วิธีการควบคุมน้ำหนักที่ดีที่สุดก็คือ การรับประทานอาหารให้น้อยลง และหันไปทำกิจกรรมอื่นทดแทน เช่น ทำสวน, ออกกำลังกาย, เล่นกีฬา เป็นต้น

คำถาม - อาหารอะไรบ้างคะที่ไม่ทำให้อ้วน
คำตอบ - ความจริงแล้วขึ้นชื่อว่าอาหารแล้ว ก็คือแหล่งพลังงานที่สำคัญของมนุษย์ อาหารแต่ละชนิดมีพลังงานมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารและปริมาณที่ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากและควรหลีกเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่น ไขมัน เนย ครีม ขนมของหวาน เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลหรือเอธิลแอลกอฮอล์มาก เป็นต้น คนที่ชอบกินอาหารประเภทนี้บ่อย ๆ ก็จะอ้วนง่ายกว่าคนที่ชอบกินผักหรือผลไม้ ซึ่งให้พลังงานต่ำกว่า และมีเส้นใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติด้วย

คำถาม - ดิฉันเป็นคนชอบทานของหวาน ๆ อะไรอะไรก็ต้องใส่น้ำตาลไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ก็อ้วนอยู่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ มีคนแนะนำว่าให้ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลทราย คุณหมอคิดว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ไหมคะ
คำตอบ - น้ำตาลเทียม ก็คือสารที่ให้ความหวาน ในปัจจุบันที่ใช้กันมากคือ แอสปาร์เทม เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 180-200 เท่า ถ้าเปรียบเทียบพลังงานที่ได้จากน้ำตาลทรายกับน้ำตาลเทียม จะพบว่า น้ำตาลทราย 1 ช้อนชาให้พลังงาน 15-20 แคลอรี่ ในขณะที่น้ำตาลเทียมหรือแอสปาร์เทมที่ให้ความหวานเท่ากับน้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ให้พลังงานเพียง 0.5 แคลอรี่เท่านั้น ฉะนั้นหากคุณต้องการดื่มเครื่องดื่มหรืออาหารที่ต้องการความหวานแต่ให้พลังงานน้อย ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายหรือใช้น้ำตาลเทียมแทน แต่น้ำหนักของคุณจะลดลงหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารอื่น ๆ ด้วย

คำถาม - ดิฉันเคยทานยาลดน้ำหนัก น้ำหนักก็ลดได้ดี แต่เวลาทานยามักจะเกิดอาการหลายอย่างเช่น ปวดศีรษะ ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย อาการเหล่านี้แสดงว่าดิฉันแพ้ยาหรือเปล่าคะ
คำตอบ - จริง ๆ แล้วอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่การแพ้ยา แต่เป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ยาโดยตรงหรือผลข้างเคียงของยาบางชนิด
..........อาการปวดศีรษะ - มักเป็นอาการข้างเคียงของยาในกลุ่มที่ทำให้ไม่หิว อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อหยุดทานยาหรือรับประทานยาในขนาดที่น้อยลง
..........อาการปัสสาวะบ่อย - เป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาขับน้ำ ซึ่งมักจะมีอยู่ในยาลดน้ำหนักทั่ว ๆ ไป จึงทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น หากหยุดรับประทานยา การปัสสาวะก็จะเป็นปกติ แพทย์มักจะใช้ยาขับปัสสาวะในโรคอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง
..........อาการอ่อนเพลีย
          - เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุคือ
          - ในระหว่างที่ทายยาลดน้ำหนัก จะทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหารและทานอาหารให้น้อยลง ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยเกินไป ก็จะทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
          - การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เนื่องจากปัสสาวะบ่อยขึ้นก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วัดปราสาท เชียงใหม่

วัดปราสาท
..........วัดปราสาท นับเป็นอารามเก่าแก่แห่งหนึ่งในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนอินทวโรรส ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับกำแพงเมืองทางด้านประตูสวนดอก


..........ตามข้อความในแผ่นศิลาจารึกของวัดตโปทารามได้กล่าวถึงชื่อเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ที่พระเจ้ายอดเชียงราย เจ้าเมืองเชียงใหม่ ทรงอาราธนานิมนต์ไปร่วมสังฆกรรมสวดแสดงที่วัดและให้สร้างวัดเมื่อปี พ.ศ.2035 โดยข้อความในศิลาจารึกด้านที่ 1 บรรทัดที่ 13-16 มีว่า "มหาสามีญาณโพธิป่าแดง มหาสุรสี มหาโพธิ มหาเถรธรรมเสนาปติเจ้า มหาเถรสัทธรรมฐิรปราสาทเจ้า" ต่อมาทางวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2040


สำหรับชื่อของวัดมาจากคำว่า "ปราสาท" ซึ่งตามความหมายคือที่ประทับของเจ้านายหรือขุนนางที่มีค่ายคูป้อมปราการ ดูเหมือนว่าจะเป็นวัดของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่สร้าง และเนื่องจากตัววัดตั้งอยู่ในกำแพงเมือง วัดปราสาทจึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จากข้าราชการเจ้านายในกาลต่อมาทุกยุคทุกสมัย แม้ในบางคราวที่เชียงใหม่ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของพม่า ทางวัดก็ยังได้รับการทำนุบำรุงซ่อมแซมเรื่อยมา ดังปรากฏในคำจารึกฐานพระพุทธรูปและบันทึกของพระญาหลวงสามล้านเป็นหลักฐาน ดังนั้นงานสถาปัตยกรรมและโบราณสถานตลอดจนโบราณวัตถุของวัดปราสาทจึงยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญ ๆ ได้แก่

1. พระเจดีย์


..........เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของเมืองเชียงใหม่ ลักษณะขององค์เจดีย์เป็นแบบผสมระหว่างเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมศรีสัชนาลัยกับเจดีย์ทรงสามเหลี่ยมของเชียงใหม่ซึ่งไม่ทราบว่ารูปทรงเดิมเป็นเช่นไร จากหลักฐานบันทึกพระญาหลวงสามล้าน ปรากฏว่าเจดีย์องค์นี้ ท่านเป็นประธานบูรณะในปี พ.ศ.2366 ต่อมาได้รับการซ่อมแซมอีกเมื่อปี พ.ศ.2526 สำหรับเจดีย์องค์เดิมเข้าใจว่าชำรุดมาก

2. พระพุทธรูป


..........ที่เรียกกันว่า "พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย" ขนาดสูง 114 เซนติเมตร เป็นพระพุทธรูปโบราณ ซึ่งมีอายุตามคำจารึกที่ฐาน พ.ศ.2133 หากนับเวลาที่สร้างมาจนถึง พ.ศ.2539 พระพุทธรูปองค์นี้ก็มีอายุเกินกว่า 4 ศตวรรษแล้ว พุทธลักษณะโดยทั่วไปคือ พระรัศมีเป็นไม้ ซึ่งเดิมคงจะเป็นทองคำ ด้านหน้าฐานมีข้อความบันทึกเป็นอักษรเมืองภาษาเมืองและตัวเลขเม็ง คำจารึกมีว่า "จุลศักราช 952 ปีกดยี เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ วันศุกร์ (ประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ.2133) พระญาหลวงเจ้าพระนามว่าแสนคำได้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ และถวายพระนามพระพุทธรูปว่า "เจ้าหมื่นทอง" โดยผู้สร้างได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้ตนเป็นผู้ชายที่ประเสริฐคือได้บวชในสำนักพระอริยเมตไตรย และได้เป็นพระอรหันต์เหมือนดังพระสารีบุตรหรือพระมหาโมคคัลลานองค์ใดองค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้จึงนับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปล้ำค่าองค์หนึ่งของนครเชียงใหม่ อนึ่ง ที่ฐานพระพุทธรูปมีห่วง 4 ห่วง คาดว่าใช้เป็นที่ใช้หามพระพุทธรูปในงานแห่ฉลองในงานต่าง ๆ

3. ซุ้มปราสาท


..........อยู่เชื่อมติดกับด้านหลังของวิหาร คาดว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา ภายหลังท่านครูบาศรีวิชัยได้บูรณะซ่อมแซมเมื่อ พ.ศ.2469 ขณะนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากรเรียบร้อยแล้ว

4. พระวิหาร


..........เป็นงานศิลปกรรมแบบโบราณของเชียงใหม่ ฝาผนังทำด้วยไม้สักแกะสลักลวดลาย มีซุ้มปราสาทติดอยู่ด้านหลังวิหาร ก่อและปั้นลวดลายโบราณงดงามมาก มีจารึกลงฝาผนังด้านใต้อ่านได้ความว่า จุลศักราช 1185 ตัวปีฉลู สนำกัมโพชพิไสร ภาษาไทยแปลว่าปีก่าเม็ด (พ.ศ.2366) หมายถึงปีที่สร้างวิหาร ต่อมาในปี พ.ศ.2536 ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายชัยยา พูนศิริวงศ์ เป็นประธานนำการทอดผ้าป่าเพื่อหาทุนมาใช้ในการซ่อมวิหาร โดยการซ่อมแซมครั้งนั้นสิ้นทุนไปประมาณ 550,000 บาท จากนั้นมีการทำบุญเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2528 วิหารหลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรเรียบร้อยแล้ว

5. อุโบสถ



..........ชำรุดผุพังไปเป็นเวลานาน ตามบันทึกของพระญาหลวงฯ ปรากฏว่าท่านได้ซ่อมแซมครั้งหนึ่งแต่ไม่ทราบว่ารูปทรงเดิมเป็นอย่างใด ต่อมา พ.ศ.2520 ท่านพระครูชินวงศานุวัตร์เจ้าอาวาสในสมัยนั้นเป็นประธานซ่อมแซมสิ้นทุนทรัพย์ไปประมาณ 550,000 บาท อุโบสถหลังนี้จึงยังคงความงามตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนาด้วยฝีมือของช่างชั้นครูให้เห็นมาตราบเท่าทุกวันนี้

..........รายนามเจ้าอาวาสวัดปราสาทเท่าที่ทราบนาม คือพระมหาเถรสัทธรรมฐิรปราสาทเจ้า ครูบาสิทธิตนเลิศ ครูบามังคละสวาธุเจ้าครูบาอินตา ทนนฺชย พระครูบุญศรี ครูบาศรีมูล สิทธิ และพระครูชินวงศานุวัตรหรือสิงห์โต ชินวํโส

..........ในปัจจุบัน วัดปราสาทเป็นวัดที่มีความสำคัญทางด้านพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์ศิลปะโบราณคดีวัดหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ ทางกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตของสิ่งสำคัญทั้ง 2 ของวัด ซึ่งได้แก่ วิหารและปราสาท ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 96 ตอนที่ 167 ลงวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2522

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ผ้าห่อคัมภีร์

ผ้าห่อคัมภีร์
..........ทั้งชาวไทยวน ลื้อ และลาว ในอดีตมีประเพณี "การสร้างธรรม" ถวายวัด ซึ่งถือว่าได้อานิสงส์มาก การสร้างธรรม ก็คือการเขียนวรรณกรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น คำสอน ชาดก ตำนาน ประวัติ ฯลฯ ลงบนใบลาน คัมภีร์ใบลานเหล่านี้จะจัดทำอย่างประณีต จารด้วยอักษรธรรม มีไม้แกะสลักปิดทองงดงามประกบใบลานไว้ไม่ให้งอ มีผ้าห่อคัมภีร์นี้และมัดด้วยด้ายฝั้น

ผ้าห่อคัมภีร์ใบลาน จะมี 2 ลักษณะคือ
1. ผ้าที่ทอด้วยเส้นฝ้ายหรือไหมล้วน ๆ
..........แบบธรรมดาก็คือเป็นฝ้ายสีขาว ส่วนที่เป็นผ้าไหมอาจทอด้วยเทคนิคธรรมดา หรือทอเป็นผ้าลายมัดหมี่ ขนาดกว้างยาวประมาณ 75 x 50 ซม.
2. ผ้าที่มีไม้ไผ่สอดสลับ
..........ซึ่งจะใช้เส้นฝ้ายหลากสี มีทั้งที่ทอด้วยเทคนิคธรรมดา และทอด้วยวิธีขิดเป็นลวดลายพื้นฐานรูปต่าง ๆ สลับกับไม้ไผ่สอดคั่นเป็นระยะโดยตลอด หรืออีกลักษณะหนึ่งคือทอด้วยวิธีเกาะโดยสลับสีเส้นฝ้ายกับไม้ไผ่สอดคั่นกันจนเป็นผืนเป็นลวดลายเรขาคณิต มีขนาดกว้างยาวประมาณ 55 x 30 ซม.
..........ปัจจุบันนี้ประเพณี "การสร้างธรรม" ได้เสื่อมไป การทอผ้าห่อคัมภีร์ใบลานจึงเสื่อมสูญไปด้วย คงเหลือแต่ผ้าที่ปรากฏหลักฐานห่อคัมภีร์เก่าแก่เก็บไว้ใน "หอธรรม" (หอไตร) ตามวัดต่าง ๆ เท่านั้น
..........เราจะสามารถรู้ได้ว่า ผืนผ้าเก่าแก่ที่สืบทอดมาเป็นผ้าห่อคัมภีร์ ก็ด้วยสังเกตจากขนาดของผืนผ้า ลักษณะการใช้ไม้ไผ่สอดคั่น หรือการขลิบริมผ้าโดยรอบด้วยผ้าสีแดงหรือขาว และมักมีเส้นด้ายสำหรับมัดห่อคัมภีร์ร้อยติดอยู่
.............................................
นำชมผ้าห่อคัมภีร์ ทำจากผ้ากำมะหยี่ จากรัฐฉาน ประเทศพม่า

ทำจากผ้าพิมพ์ลาย

ทำจากผ้าแพรจีน จากรัฐฉาน ประเทศพม่า





ทำจากผ้ายก

เทคนิคการขิด จากตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อายุ 80 ปี



เทคนิคการขิดสลับกับไม้ไผ่ จากตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อายุ 80 ปี






เทคนิคการขิด และสานขัดบนไม้ไผ่ จากอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

เทคนิคการปักลายผสมแก้วจีนและปีกแมลงทับ จากอำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่
เทคนิคการมัดย้อม จากรัฐฉาน ประเทศพม่า
เทคนิคการสานขัดด้วยเส้นด้ายบนไม้ไผ่ จากอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน อายุ 100 ปี
เทคนิคการสานขัดบนไม้ไผ่ เมืองเมียวดี ประเทศพม่า
เทคนิคการสานขัดบนไม้ไผ่ ผ้าฝ้าย อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

ผ้าลายคลื่นทอด้วยเทคนิคเกาะล้วงด้วยเส้นไหมย้อมสีเคมี จากรัฐฉาน ประเทศพม่า อายุ 70 ปี

ผ้าลายคลื่นทอด้วยเทคนิคเกาะล้วงด้วยเส้นไหมย้อมสีธรรมชาติ จากรัฐฉาน ประเทศพม่า อายุ 150-180 ปี


ลายคลื่น เทคนิคการพิมพ์ลาย จากรัฐฉาน ประเทศพม่า อายุ 50 ปี

ลายสก๊อต จากรัฐฉาน ประเทศพม่า





วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สัตตภัณฑ์

สัตตภัณฑ์

..........ในบริบททางวัฒนธรรมล้านนา หมายถึง เชิงเทียนที่ใช้ในการบูชาพระประธานในวิหาร ซึ่งอาจจำแนกออกตามรูปลักษณ์เป็น 2 แบบ คือ


แบบที่มีลักษณะคล้ายขั้นบันไดซึ่งมีที่สำหรับปักเทียนลดหลั่นกันลงมาได้ 7-9 ที่


และแบบที่เป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วซึ่งจะมีที่สำหรับปักเทียนไล่จากยอดถึงฐานทั้งสองด้านรวม 7 ที่


ทั้งนี้สัตตภัณฑ์แบบสามเหลี่ยมนั้นมักพบทั่วไปในแถบจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย ส่วนสัตตภัณฑ์แบบขั้นบันไดนั้นมักจะพบในท้องที่ของจังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน หรืออาจสรุปได้อย่างกว้าง ๆ ว่า สัตตภัณฑ์แบบสามเหลี่ยมนั้นมักพบทั่วไปในเขตของคนเผ่าไทยวน และสัตตภัณฑ์แบบขั้นบันไดมักพบในละแวกของกลุ่มชนเผ่าไทลื้อเป็นอาทิ


..........คำว่า "สัตตภัณฑ์" นี้ มีผู้ให้ความหมายเป็น 2 แนว
ซึ่งแนวแรกพบจากที่ ดร.วอลเดมาร์ ซี.ไซเลอร์ สัมภาษณ์จากพระผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่จำนวนหนึ่ง กล่าวว่า สัตตภัณฑ์ หมายถึง พุทธปรัชญาหรือหลักปฏิบัติในพุทธศาสนาอันหมายถึงโพชฌงค์ 7 สัทธัมมะ 7 หรือสัปปุริสธัมมะ 7


และแนวที่สองมีความเห็นว่าหมายถึงทิวเขาทั้ง 7 ที่เรียงรายลดหลั่นล้อมรอบเขาพระสุเมรุ


..........สำหรับแนวความคิดเรื่องทิวเขาซึ่งอยู่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุนี้ ในขั้นแรกเห็นว่าสัมพันธ์กับคติความเชื่อด้านจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาซึ่งปรากฏชัดเจน อย่างน้อยที่สุดก็พบใน "จักกวาลทีปนี" ซึ่งเป็นผลงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของพระสิริมังคลาจารย์ซึ่งเป็นปราชญ์แห่งเชียงใหม่ ในยุคประมาณ พ.ศ.2100 และเท่าที่พบในรูปศิลปวัตถุซึ่งตกทอดมานั้น ยังปรากฏเป็นทิวเขาสัตตภัณฑ์จำลองหล่อด้วยโลหะ ซึ่งใช้เป็นเครื่องบูชาแก่มหาเจดีย์แห่งนครหริภุญชัย และโดยเฉพาะพระพุทธบาทจำลองทำด้วยไม้ทาชาดประดับมุก ซึ่งลายพระบาทเป็นแผนผังจักรวาล โดยมีอักษรล้านนากำกับจุดสำคัญต่าง ๆ รวมทั้งทิวเขาสัตตภัณฑ์ไว้อย่างชัดเจน จากรอยพระพุทธบาทจำลองนี้สะท้อนให้เห็นว่าจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้ยังเล็กกว่าฝ่าพระบาทของพระพุทธองค์ กล่าวคือ พระพุทธองค์สามารถย่างเหยียบไปบนแต่ละจักรวาลในหมื่นแสนสหัสโลกธาตุได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการที่จะใช้ทิวเขาแต่ละทิวรอบเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางจักรวาลเพื่อเทิดไว้ซึ่งพุทธบูชานั้น ย่อมจะงดงามด้วยประการทั้งปวงในแง่ของอามิสบูชา


..........ในแง่โลกสัณฐานนั้น จักรวาลแต่ละจักรวาลมีลักษณะเหมือนถาดเหล็กแบนที่ขังน้ำไว้ในสภาพเป็นทะเลน้ำเค็มกึ่งกลางถาดน้ำเค็มนั้นมีเขาพระสุเมรุทรงสัณฐานเหมือนตะโพนสูง 84,000 โยชน์ ตั้งอยู่บนภูเขาสามเส้า รอบเขาพระสุเมรุซึ่งล้านนาเรียกว่า "สิเนรุ" หรือ "สิเนโร" นั้น มีทิวเขา 7 ทิว ล้อมรอบเป็นวงกลมลดหลั่นกันลงมาจากทิวเขาด้านในสุดถึงทิวนอกสุดชื่อ "ยุคันธร อิสินธร กรวิก สุทัสน์ เนมินธร วินันตกะ และอัสสกัณณ์"


..........ทั้งนี้ทิวเขาแต่ละทิวจะมีความสูงเป็นครึ่งหนึ่งของเขาซึ่งอยู่ด้านในของตน กล่าวคือทิวเขายุคันธรจะสูงเพียงครึ่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ และทิวเขาอัสสกัณณ์จะสูงเพียงครึ่งหนึ่งของทิวเขาวินันตกะ เป็นต้น ในโลณสาครหรือทะเลน้ำเค็มนั้น จะมีทวีปหรือเกาะใหญ่ อยุ่ 4 เกาะ คือ อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป ชมพูทวีป และอมรโคยานทวีป ในทิศเหนือ ตะวันออก ใต้ และตะวันตกของทิวเขาสัตตภัณฑ์ และยังมีทวีปน้อยซึ่งเป็นบริวารของทวีปทั้ง 4 อีกทวีปละ 500 ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของจักรวาลอย่างคร่าว ๆ และทั้งหมดนั้นถือว่าเขาพระสุเมรุและเขาสัตตภัณฑ์เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล