... ระเบียงความรู้ อ่านเพื่อเพิ่มพูน ... ... สัพเพเหระ สารพันเรื่องราว ในห้วงหนึ่งของชีวิตแต่ละช่วงวัย
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คำถามชีววิทยา-กระบวนการในการรักษาสภาวะสมดุลของร่างกาย
คำถามชีววิทยา-กระบวนการในการรักษาสภาวะสมดุลของร่างกาย_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=88_cbG9_4dU
*****************************
คำถามชีววิทยา-กระบวนการ plasmolysis
คำถามชีววิทยา-กระบวนการ plasmolysis_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=yN6_ZHxhpUA
************************
คำถามชีววิทยา-Dialysis เป็นกระบวนการที่
คำถามชีววิทยา-Dialysis เป็นกระบวนการที่_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=abw34HY2jjQ
***************************
คำถามชีววิทยา-กระบวนการพลาโมไลซีส
คำถามชีววิทยา-กระบวนการพลาโมไลซีส_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=GYrMdRlbEL0
***********************
คำถามชีววิทยา-กระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างแม่กับทารกในครรภ์
คำถามชีววิทยา-กระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างแม่กับทารกในครรภ์_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=GyLSQC_O2Ts
**************************
คำถามชีววิทยา-กระบวนการออสโมซิสเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อใด
คำถามชีววิทยา-กระบวนการออสโมซิสเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อใด_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=34u-dh0rwUY
**************************
คำถามชีววิทยา-การนำสารเข้าสู่เซลล์
คำถามชีววิทยา-การนำสารเข้าสู่เซลล์_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=Fu60u8aWHzw
***********************
คำถามชีววิทยา-การลำเลียงแบบพาสซีฟแตกต่างอย่างเด่นชัดในเรื่องใด
คำถามชีววิทยา-การลำเลียงแบบพาสซีฟแตกต่างอย่างเด่นชัดในเรื่องใด_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=XNTjvOtJd7U
**********************
คำถามชีววิทยา-ไซโทพลาสซึมเซลล์ของพืชจะหดตัว
คำถามชีววิทยา-ไซโทพลาสซึมเซลล์ของพืชจะหดตัว_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=yC69HhsFg_Y
**********************
คำถามชีววิทยา-นำอะมีบาในน้ำจืดใส่ในสารละลายเกลือเข้มข้นมันจะ
คำถามชีววิทยา-นำอะมีบาในน้ำจืดใส่ในสารละลายเกลือเข้มข้นมันจะ_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=aR7lqhp5WLw
************************
คำถามชีววิทยา-ปรากฏการณ์พลาสโมไลซิส
คำถามชีววิทยา-ปรากฏการณ์พลาสโมไลซิส_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=O78tvfEIj64
********************
คำถามชีววิทยา-เปรียบเทียบพลาสโมไลซีสกับฮีโมไลซีส
คำถามชีววิทยา-เปรียบเทียบพลาสโมไลซีสกับฮีโมไลซีส_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=He1bw_BBI2o
************************
คำถามชีววิทยา-สารละลายใดทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเกิด Haemolysis
คำถามชีววิทยา-สารละลายใดทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเกิด Haemolysis_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=NAVwUimk60A
************************
คำถามชีววิทยา-สารละลายที่ใช้หล่อเลี้ยงเซลล์
คำถามชีววิทยา-สารละลายที่ใช้หล่อเลี้ยงเซลล์_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=ko9tU6OdZqQ
************************
คำถามชีววิทยา-ออสโมซิส จะเกิดขึ้นในภาวะใด
คำถามชีววิทยา-ออสโมซิส จะเกิดขึ้นในภาวะใด_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=8azMMO60ol4
************************
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554
บางอ้อ-กำจัดหนูในสวนปาล์มด้วยนกแสก
บางอ้อ-กำจัดหนูในสวนปาล์มด้วยนกแสก_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=BgmtUY84jmA
***************************
คำถามชวนอ้อ-ชักแม่น้ำทั้ง 5
คำถามชวนอ้อ-ชักแม่น้ำทั้ง 5_Force8949
Your video will be live in a moment at:
http://www.youtube.com/watch?v=VQ5sAsT22Rc
*****************************
ออกกำลัง ชะลอสมองเสื่อม
ออกกำลัง ชะลอสมองเสื่อม
เราทราบกันมาว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ช่วยพัฒนาจิตใจ และยังชะลอความแก่ได้ด้วย แต่นอกเหนือจากมีส่วนช่วยพัฒนาร่างกายแล้วทราบหรือไม่ว่าการออกกำลังกายยังช่วยให้มีความจำดี มีความสามารถในการคิดได้เร็วอีกด้วย
นักวิจัย จอห์น เมเยอร์ จาก Baylor College of Medicine ศึกษาผู้ป่วยที่เป็นอาสาสมัคร 15,000 คน เชื่อว่า การว่ายน้ำ เดินเล่นรอบๆ หรือ 2 รอบสนามกอล์ฟ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างศักยภาพสมองและสุขภาพจิดที่ดี เมื่อคนเราอายุ 25-55 ปี สมองจะเริ่มเสื่อมลงทีละเล็กละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป และการเชื่อมต่อปลายประสาทระหว่างเซลล์ประสาทเรียกว่า Synapses สูญเสียไป หรือน้อยลงไปร้อยละ 25 ดังนั้นการดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์กระฉับกระเฉง สามารถป้องกันความจำเสื่อม และการรักษาร่างกายให้สมบูรณ์ไปพร้อมกับการรักษาจิตใจให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า นับว่าเป็นสิ่งที่ดีสามารถรักษาประสิทธิภาพของสมองไม่ให้เสื่อมลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้
โรเบิร์ต ดัสต์แมน นักประสาทวิทยา พบว่า คนที่ออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิกทำให้คลื่นสมองสัมพันธ์กับการตื่นตัว ทำให้มีสมาธิดี ไม่วอกแวก ช่วยในการลดความเสื่อมของความจำ ลดการลืมชื่อคน สามารถระลึกได้เร็วขึ้น แคล่วคล่องขึ้น
นอกจากนี้เขายังพบว่าผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ทำให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น ร่างกายสมบูรณ์ เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย ทำให้สมองได้รับสารอาหารเต็มที่ ส่งผลให้กระฉับกระเฉง มีความจำดี
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นการบริหารร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ และต้องบริหารใจไปพร้อมๆ กันด้วย ต้องมีจิตใจสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการบริหารร่างกาย หรือกิจกรรมใดเมื่อทำแล้วต้องคิด ต้องใช้สมาธิ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ฝึกพลังสมองหรือพัฒนาศักยภาพสมองได้เช่นกัน
นายแพทย์โรเบิร์ต โกล์ดแมน ได้แนะนำวิธีพัฒนาความคิดและจิตใจ คือ
1. เล่นเกมอักษรไขว้ ทายคำปริศนา เติมคำในช่องว่าง
2. จำบทกลอนที่ชื่นชอบ
3. อ่านหนังสือที่กระตุ้นความสนใจ ชวนติดตามค้นหา
4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยมือที่ตรงข้ามกับมือถนัด เช่น ถนัดขวาก็เปลี่ยนมาเขียนด้วยมือซ้าย แปรงฟันมือซ้าย เพราะอวัยวะส่วนใดในร่างกายเราเมื่อไม่ใช้ก็จะเสื่อม ดังนั้นการพัฒนาสมองก็ต้องฝึกใช้ในส่วนต่างๆ ให้ครบด้วย
จอห์น เมเยอร์ ยังแนะนำให้ทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดและใช้สมาธิ เช่น อ่านวารสารเป็นประจำ เรียนภาษาต่างประเทศที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะต้องใช้สมองตลอด จะได้พัฒนาความคิดด้วย
คุณพ่อคุณแม่ท่านใดไม่ค่อยได้มีเวลาออกกำลังกาย ก็ควรจะเตรียมจัดสรรเวลาได้แล้วนะคะ อย่าลืมว่าพออายุ 25 ปี สมองก็จะเริ่มมีสภาพเสื่อมลงแล้ว แม้จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงอย่างไม่ค่อยได้เห็นได้ชัดเจน แต่การเตรียมสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ไปพร้อมกับการรักษาจิดใจให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ก็จะช่วยรักษาประสิทธิภาพของสมองไม่ให้เสื่อมเร็วเกินควรได้
และข้อมูลเหล่านี้ก็มีประโยชน์ต่อเด็กๆ ด้วยเช่นกัน เด็กๆ คงจะต้องได้รับการปลูกฝังให้ได้ออกกำลังกายอยู่เสมอตามความเหมาะสมกับช่วงของวัยของเขา และการได้มีโอกาสออกกำลังกายร่วมกัน หรือมีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันระหว่าง พ่อ-แม่-ลูก ก็ยังช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น ช่วยเสริมประสิทธิภาพที่ดีให้กับสมองลูกเป็นสองเท่าเลยทีเดียว
เราทราบกันมาว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ช่วยพัฒนาจิตใจ และยังชะลอความแก่ได้ด้วย แต่นอกเหนือจากมีส่วนช่วยพัฒนาร่างกายแล้วทราบหรือไม่ว่าการออกกำลังกายยังช่วยให้มีความจำดี มีความสามารถในการคิดได้เร็วอีกด้วย
นักวิจัย จอห์น เมเยอร์ จาก Baylor College of Medicine ศึกษาผู้ป่วยที่เป็นอาสาสมัคร 15,000 คน เชื่อว่า การว่ายน้ำ เดินเล่นรอบๆ หรือ 2 รอบสนามกอล์ฟ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างศักยภาพสมองและสุขภาพจิดที่ดี เมื่อคนเราอายุ 25-55 ปี สมองจะเริ่มเสื่อมลงทีละเล็กละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป และการเชื่อมต่อปลายประสาทระหว่างเซลล์ประสาทเรียกว่า Synapses สูญเสียไป หรือน้อยลงไปร้อยละ 25 ดังนั้นการดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์กระฉับกระเฉง สามารถป้องกันความจำเสื่อม และการรักษาร่างกายให้สมบูรณ์ไปพร้อมกับการรักษาจิตใจให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า นับว่าเป็นสิ่งที่ดีสามารถรักษาประสิทธิภาพของสมองไม่ให้เสื่อมลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้
โรเบิร์ต ดัสต์แมน นักประสาทวิทยา พบว่า คนที่ออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิกทำให้คลื่นสมองสัมพันธ์กับการตื่นตัว ทำให้มีสมาธิดี ไม่วอกแวก ช่วยในการลดความเสื่อมของความจำ ลดการลืมชื่อคน สามารถระลึกได้เร็วขึ้น แคล่วคล่องขึ้น
นอกจากนี้เขายังพบว่าผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ทำให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น ร่างกายสมบูรณ์ เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย ทำให้สมองได้รับสารอาหารเต็มที่ ส่งผลให้กระฉับกระเฉง มีความจำดี
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นการบริหารร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ และต้องบริหารใจไปพร้อมๆ กันด้วย ต้องมีจิตใจสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการบริหารร่างกาย หรือกิจกรรมใดเมื่อทำแล้วต้องคิด ต้องใช้สมาธิ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ฝึกพลังสมองหรือพัฒนาศักยภาพสมองได้เช่นกัน
นายแพทย์โรเบิร์ต โกล์ดแมน ได้แนะนำวิธีพัฒนาความคิดและจิตใจ คือ
1. เล่นเกมอักษรไขว้ ทายคำปริศนา เติมคำในช่องว่าง
2. จำบทกลอนที่ชื่นชอบ
3. อ่านหนังสือที่กระตุ้นความสนใจ ชวนติดตามค้นหา
4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยมือที่ตรงข้ามกับมือถนัด เช่น ถนัดขวาก็เปลี่ยนมาเขียนด้วยมือซ้าย แปรงฟันมือซ้าย เพราะอวัยวะส่วนใดในร่างกายเราเมื่อไม่ใช้ก็จะเสื่อม ดังนั้นการพัฒนาสมองก็ต้องฝึกใช้ในส่วนต่างๆ ให้ครบด้วย
จอห์น เมเยอร์ ยังแนะนำให้ทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดและใช้สมาธิ เช่น อ่านวารสารเป็นประจำ เรียนภาษาต่างประเทศที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะต้องใช้สมองตลอด จะได้พัฒนาความคิดด้วย
คุณพ่อคุณแม่ท่านใดไม่ค่อยได้มีเวลาออกกำลังกาย ก็ควรจะเตรียมจัดสรรเวลาได้แล้วนะคะ อย่าลืมว่าพออายุ 25 ปี สมองก็จะเริ่มมีสภาพเสื่อมลงแล้ว แม้จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงอย่างไม่ค่อยได้เห็นได้ชัดเจน แต่การเตรียมสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ไปพร้อมกับการรักษาจิดใจให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ก็จะช่วยรักษาประสิทธิภาพของสมองไม่ให้เสื่อมเร็วเกินควรได้
และข้อมูลเหล่านี้ก็มีประโยชน์ต่อเด็กๆ ด้วยเช่นกัน เด็กๆ คงจะต้องได้รับการปลูกฝังให้ได้ออกกำลังกายอยู่เสมอตามความเหมาะสมกับช่วงของวัยของเขา และการได้มีโอกาสออกกำลังกายร่วมกัน หรือมีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันระหว่าง พ่อ-แม่-ลูก ก็ยังช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น ช่วยเสริมประสิทธิภาพที่ดีให้กับสมองลูกเป็นสองเท่าเลยทีเดียว
คลินิกคุณหนู-ลูกนอนดึก
คลินิกคุณหนู-ลูกนอนดึก
ลูกสาวอายุ 1 ปี 9 เดือน น้ำหนัก 10.2 กก. แรกคลอดหนัก 3,200 กรัม คลอดปกติ มีปัญหาว่านอนดึกมาก ช่วงก่อนวัย 1 ขวบ นอนประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ หลัง 1 ขวบ นอน 4 ทุ่ม ช่วงนี้นอน 4-5 ทุ่ม ดิฉันกังวลมากว่าลูกทำไมนอนดึกมาก ทั้งที่ก่อนนอน 2 ทุ่มครึ่งจะพาเข้าห้อง เขาจะเล่นพักนึง ดิฉันก็จะเปิดไฟหรี่และเพลงกล่อมนอน เขาก็ไม่สนใจนอน จะยังหยิบของเล่นมาเล่นตลอด หาหนังสือนิทานมาอ่านให้ฟัง ก็ไม่สนใจนอนฟัง เขาจะเล่นจนเพลียหลับไปเอง
ตอบคำถาม
เด็กสมัยใหม่มีพฤติกรรมการนอนที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าวิถีชีวิตของคุณพ่อคุณแม่และลูกนั้นเปลี่ยนไป
ในอดีตคุณแม่ไม่ได้ทำงาน อยู่กับบ้าน คุณพ่อทำงานกลางวัน แต่ก็กลับบ้านค่อนข้างจะเร็ว มีเวลาอยู่บ้านในช่วงหัวค่ำ เล่นกับลูกแล้วเข้านอนไม่ดึกมาก ดังนั้นเด็กๆ ก็มักจะเข้านอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา ไม่นอนดึกมากนัก
ในปัจจุบันเนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานหรือคุณพ่อต้องทำงานกลับค่ำเพราะรถติด เป็นต้น ทำให้เวลาที่อยู่กับลูกน้อยลงไป ลูกๆ ก็เลยต้องใช้เวลากลางคืนเพื่อจะอยู่กับพ่อแม่มากขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยทีเดียวค่ะ เมื่อเริ่มต้นดึกแล้วนะคะ ต่อๆ ไปก็จะดึกขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับลูกสาวคนนี้กำลังประสบปัญหาอยู่ตอนนี้ พอโตขึ้นหน่อยคุณแม่บอกอะไรก็จะไม่เชื่อแล้วค่ะ เพราะกำลังอยู่ในวัยที่บอกอะไรไม่เชื่อ
คุณแม่คงต้องใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ มองดูว่าเราจะหาทางออกที่นุ่มนวลพอสมควรได้อย่างไร หมออยากจะให้คุณลองวิเคราะห์สภาพความเป็นอยู่ของบ้านว่าเป็นอย่างที่หมอสันนิษฐานหรือไม่ เวลาที่ครอบครัวอยู่ด้วยกันเป็นเวลาที่ค่ำมากหรือเปล่า ทำให้กิจกรรมของพ่อแม่ลูกนั้นอยู่ในช่วงที่ลูกควรจะได้นอนแล้ว ถ้าเป็นจริงอาจจะต้องปรับนิดหน่อยเท่าที่เราทำได้
ประการที่สอง ตอนกลางวันลูกนอนมากหรือเปล่า ถ้าลูกหลับมากในตอนกลางวัน เวลาก็พลิกกลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน ทำให้เด็กนั้นตาสว่างในช่วงกลางคืน เลยนอนยาก
ประการที่สาม กิจกรรมต่างๆ ที่อยู่ในห้องนอนมีเกินจำเป็นหรือไม่ เช่น มีของเล่นหลายๆ รูปแบบอยู่ในห้องนอน เพราะฉะนั้นเวลานอนก็ไม่อยากจะนอน อยากจะเล่นมากกว่า ถ้าคุณแม่สามารถจัดสถานที่ให้นอนห้องนอนเป็นเฉพาะการนอนเท่านั้น ก็คงจะทำให้ลูกไม่มีความสนใจที่เบี่ยงเบนออกไปมากนัก ลองมองไปรอบๆ ห้องนอนนะคะ จัดมุมนอนให้เหมาะสมกับการพักผ่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกในช่วงนอนนั้นคือคุณพ่อหรือคุณแม่ที่อยู่ด้วย เล่านิทาน ร้องเพลง และเมื่อถึงเวลานอนเราคงจะต้องนอนด้วย เพื่อให้ลูกทราบกติกาว่าถึงเวลานอนแล้ว
ในช่วงแรกๆ ของการปรับเปลี่ยนนี้คุณแม่อาจจะค่อยๆ ทำทีละอย่าง เช่น จัดสิ่งแวดล้อมเอาของเล่นออกก่อน แล้วดูเวลานอนตอนกลางวันว่าไม่ให้นอนนานเกินไป จัดเวลาเล่นระหว่างครอบครัวที่เป็นการเล่นไม่รุนแรง ทำให้ลูกตื่นเต้น จนนอนไม่หลับในช่วงถึงเวลานอน เป็นต้น แต่อย่าเพิ่งขัดใจลูกมากนะคะ เพราะว่าในช่วงอายุขนาดนี้เป็นช่วงที่ลูกกำลังมีพฤติกรรมต่อต้านนิดหน่อย ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าเรามีความตั้งใจจริงที่จะปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็คงจะไม่ยากเกินฝีมือของคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ
************************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
ตอบปัญหาและให้คำแนะนำโดย รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
************************************************************
ลูกสาวอายุ 1 ปี 9 เดือน น้ำหนัก 10.2 กก. แรกคลอดหนัก 3,200 กรัม คลอดปกติ มีปัญหาว่านอนดึกมาก ช่วงก่อนวัย 1 ขวบ นอนประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ หลัง 1 ขวบ นอน 4 ทุ่ม ช่วงนี้นอน 4-5 ทุ่ม ดิฉันกังวลมากว่าลูกทำไมนอนดึกมาก ทั้งที่ก่อนนอน 2 ทุ่มครึ่งจะพาเข้าห้อง เขาจะเล่นพักนึง ดิฉันก็จะเปิดไฟหรี่และเพลงกล่อมนอน เขาก็ไม่สนใจนอน จะยังหยิบของเล่นมาเล่นตลอด หาหนังสือนิทานมาอ่านให้ฟัง ก็ไม่สนใจนอนฟัง เขาจะเล่นจนเพลียหลับไปเอง
ตอบคำถาม
เด็กสมัยใหม่มีพฤติกรรมการนอนที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าวิถีชีวิตของคุณพ่อคุณแม่และลูกนั้นเปลี่ยนไป
ในอดีตคุณแม่ไม่ได้ทำงาน อยู่กับบ้าน คุณพ่อทำงานกลางวัน แต่ก็กลับบ้านค่อนข้างจะเร็ว มีเวลาอยู่บ้านในช่วงหัวค่ำ เล่นกับลูกแล้วเข้านอนไม่ดึกมาก ดังนั้นเด็กๆ ก็มักจะเข้านอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา ไม่นอนดึกมากนัก
ในปัจจุบันเนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานหรือคุณพ่อต้องทำงานกลับค่ำเพราะรถติด เป็นต้น ทำให้เวลาที่อยู่กับลูกน้อยลงไป ลูกๆ ก็เลยต้องใช้เวลากลางคืนเพื่อจะอยู่กับพ่อแม่มากขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยทีเดียวค่ะ เมื่อเริ่มต้นดึกแล้วนะคะ ต่อๆ ไปก็จะดึกขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับลูกสาวคนนี้กำลังประสบปัญหาอยู่ตอนนี้ พอโตขึ้นหน่อยคุณแม่บอกอะไรก็จะไม่เชื่อแล้วค่ะ เพราะกำลังอยู่ในวัยที่บอกอะไรไม่เชื่อ
คุณแม่คงต้องใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ มองดูว่าเราจะหาทางออกที่นุ่มนวลพอสมควรได้อย่างไร หมออยากจะให้คุณลองวิเคราะห์สภาพความเป็นอยู่ของบ้านว่าเป็นอย่างที่หมอสันนิษฐานหรือไม่ เวลาที่ครอบครัวอยู่ด้วยกันเป็นเวลาที่ค่ำมากหรือเปล่า ทำให้กิจกรรมของพ่อแม่ลูกนั้นอยู่ในช่วงที่ลูกควรจะได้นอนแล้ว ถ้าเป็นจริงอาจจะต้องปรับนิดหน่อยเท่าที่เราทำได้
ประการที่สอง ตอนกลางวันลูกนอนมากหรือเปล่า ถ้าลูกหลับมากในตอนกลางวัน เวลาก็พลิกกลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน ทำให้เด็กนั้นตาสว่างในช่วงกลางคืน เลยนอนยาก
ประการที่สาม กิจกรรมต่างๆ ที่อยู่ในห้องนอนมีเกินจำเป็นหรือไม่ เช่น มีของเล่นหลายๆ รูปแบบอยู่ในห้องนอน เพราะฉะนั้นเวลานอนก็ไม่อยากจะนอน อยากจะเล่นมากกว่า ถ้าคุณแม่สามารถจัดสถานที่ให้นอนห้องนอนเป็นเฉพาะการนอนเท่านั้น ก็คงจะทำให้ลูกไม่มีความสนใจที่เบี่ยงเบนออกไปมากนัก ลองมองไปรอบๆ ห้องนอนนะคะ จัดมุมนอนให้เหมาะสมกับการพักผ่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกในช่วงนอนนั้นคือคุณพ่อหรือคุณแม่ที่อยู่ด้วย เล่านิทาน ร้องเพลง และเมื่อถึงเวลานอนเราคงจะต้องนอนด้วย เพื่อให้ลูกทราบกติกาว่าถึงเวลานอนแล้ว
ในช่วงแรกๆ ของการปรับเปลี่ยนนี้คุณแม่อาจจะค่อยๆ ทำทีละอย่าง เช่น จัดสิ่งแวดล้อมเอาของเล่นออกก่อน แล้วดูเวลานอนตอนกลางวันว่าไม่ให้นอนนานเกินไป จัดเวลาเล่นระหว่างครอบครัวที่เป็นการเล่นไม่รุนแรง ทำให้ลูกตื่นเต้น จนนอนไม่หลับในช่วงถึงเวลานอน เป็นต้น แต่อย่าเพิ่งขัดใจลูกมากนะคะ เพราะว่าในช่วงอายุขนาดนี้เป็นช่วงที่ลูกกำลังมีพฤติกรรมต่อต้านนิดหน่อย ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าเรามีความตั้งใจจริงที่จะปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็คงจะไม่ยากเกินฝีมือของคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ
************************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
ตอบปัญหาและให้คำแนะนำโดย รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
************************************************************
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554
การโจรกรรมข้อมูลทางโทรศัพท์ บัตรเครดิต คอมพิวเตอร์
การโจรกรรมข้อมูลทางโทรศัพท์ บัตรเครดิต คอมพิวเตอร์_Force8949
เป็นการสาธิตโดยผู้ชำนาญการ ให้ทราบถึง สิ่งที่พึงระมัดระวัง โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ตามหัวข้อที่โพสไว้ หลังจากที่ได้ชมแล้วก็ โปรดระมัดระวังกันด้วยนะครับ
หลากหลายเทคนิค MSN SPACE - Future View
หลากหลายเทคนิค MSN SPACE - Future View
[img]http://upic.me/i/j4/msnspace-futureview.jpg[/img]
***********************************************
หลากหลายเทคนิค MSN SPACE - Future View_Force8949.7z
(55.83 MB)
http://www.mediafire.com/?mj0nrrzc2k6y5j3
***********************************************
[img]http://upic.me/i/j4/msnspace-futureview.jpg[/img]
***********************************************
หลากหลายเทคนิค MSN SPACE - Future View_Force8949.7z
(55.83 MB)
http://www.mediafire.com/?mj0nrrzc2k6y5j3
***********************************************
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คลินิกคุณหนู-สำลักนมบ่อย
คลินิกคุณหนู-สำลักนมบ่อย
ลูกสาวคนเล็กตอนนี้อายุได้ 11 เดือน ร่างกายทั่วไปแข็งแรงดี พัฒนาการดี แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่าแกจะสำลักบ่อยมาก สำลักอย่างรุนแรง มีทั้งนมและบางครั้งมีเศษอาหารชิ้นเล็กๆ ออกมาทางจมูกด้วย แกเริ่มมีอาการอย่างนี้ครั้งแรกตอนอายุประมาณ 2 เดือน แกสำลักนมขณะที่แกเป็นหวัด มีน้ำมูก มีนมออกมาทางจมูกทางปาก ลูกหายใจไม่ค่อยออกหน้าเขียว มือตะกายอากาศ ดิฉันตกใจมาก โชคดีที่สามีอยู่ด้วย คุณพ่อใช้ปากดูดเสมหะออกจากจมูกลูก และจับแกให้ศีรษะต่ำลง จับแกตะแคงกับพื้น และทำอีกหลายอย่างจนลูกร้องเสียงดังขึ้นและหายใจได้ หลังจากนั้นลูกจะมีอาการสำลักนมและน้ำอยู่บ่อยๆ จนถึงปัจจุบัน เคยปรึกษาหมอเด็กตามคลินิกที่ลูกไปฉีดวัคซีน หมอบอกแต่เพียงว่าโตขึ้นจะค่อยๆ หายไปเอง คอยจนลูกอายุ 11 เดือนแล้วก็ยังมีอาการสำลักอยู่ เป็นหวัดบ่อยด้วย เป็นแต่ละครั้งดิฉันหัวใจจะหยุดเต้น เพราะกลัวลูกขาดอากาศหายใจ น่ากลัวค่ะ ยิ่งตอนนี้ให้พี่เลี้ยงดูแลต้องกำชับเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
มีปัญหาอยากเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ
1. เด็กสำลักนมบ่อยๆ จะมีปัญหาเกี่ยวกับสมองหรือไม่
2. เคยถามหมอที่คลินิกข้างบ้าน คุณหมอบอกว่าเด็กจะค่อยๆ มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและจะหยุดสำลักเมื่อโตขึ้น ตอนนี้ 11 เดือนแล้วลูกยังเป็นอยู่ ต้องรอจนโตขนาดไหนลูกถึงจะหายคะ
3. อาการอย่างนี้เกิดจากสาเหตุอื่นได้หรือเปล่า ดิฉันจะพาลูกไปตรวจให้ละเอียดดีไหมคะ แล้วจะตรวจที่ไหนดี คุณหมอกรุณาแนะนำดิฉันด้วยค่ะ
ตอบคำถาม
อ่านจดหมายของคุณแม่แล้วหมอเห็นใจจริงๆ ที่คุณแม่พบประสบการณ์ที่ลูกสำลักจนหน้าเขียวตั้งแต่ลูกอายุได้เพียง 2 เดือน ซึ่งประสบการณ์นั้นก็ทำให้เราใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่ลูกสำลักจนกระทั่งปัจจุบัน อยากจะให้คุณแม่ช่วยสังเกตอาการสำลักของลูกให้ละเอียดและชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเด็กสำลักอาหาร สำลักนม หรือแม้แต่สำลักน้ำบ่อย น่าจะเป็นปัญหาที่เราจะต้องมามองดูกันให้ละเอียดเพื่อจะได้รักษาให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
การสำลักมีอยู่หลายรูปแบบค่ะ โดยทั่วไปหลอดอาหารกับหลอดลมจะมีช่องเปิดที่ใกล้ๆ กันมาก เวลาที่เราจะกลืนอาหารหลอดอาหารจะเปิด หลอดลมก็จะปิด แต่ถ้าจังหวะของการเปิดปิดนั้นเสียก็จะทำให้เศษอาหารหรือน้ำสำลักเข้าไปในหลอดลม เกิดอาการขึ้นมาอย่างที่คุณแม่ได้เห็น อย่างไรก็ตามเวลาที่เราดื่มน้ำหรือรับประทานข้าว คุณแม่สังเกตนะคะ บางทีผู้ใหญ่เองก็สำลัก เพราะเราอาจจะหัวเราะ ทำท่าเหมือนกับจะพูด ทำให้ระบบสองระบบไปพัวพันกัน มีปัญหาได้ แต่ทั่วๆ ไป ร่างกายจะแก้ไขให้เรานำเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นหลุดออกมาได้ อาจจะออกทางปากหรืออาจจะออกมาทางจมูก เหมือนอย่างที่คุณแม่ได้มีประสบการณ์กับลูกสาวคนนี้ตั้งแต่เล็กๆ นั่นเอง
วิธีแก้ไขก็คงจะต้องมองหาสาเหตุและจัดสิ่งแวดล้อม แล้วรักษาให้ตรงประเด็นนั่นเองค่ะ หมอขอตอบเป็นข้อๆ ตามที่คุณแม่ถามมานะคะ
1. เด็กสำลักนมถ้าเป็นนิดหน่อย เป็นการสำลักและขย้อนของ ที่แปลกปลอมออกมาได้หมดโดยไม่หลุดเข้าไปในทางเดินหายใจ ส่วนมากแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรทางสมองนะคะ แต่นานๆ ครั้ง เราเคยเจอมีเศษอาหารหรืออาหารที่เป็นเม็ดแข็งๆ สำลักเข้าไปในหลอดลม ร่างกายไม่สามารถจำกัดออกไปได้ทันการ ก็ทำให้เกิดมีปัญหาในเรื่องทางเดินหายใจได้ หรือมีปัญหาทำให้ระบบทางเดินหายใจอุดตันแล้วเกิดภาวะขาดออกซิเจน มีปัญหาทางสมองตามมา
แต่ในกรณีดังกล่าวนั้น พบได้ไม่บ่อยหรอกคะ มักจะเป็นในเด็กโตหรือเป็นในเด็กๆ ที่เราให้รับประทานอาหารที่แข็งกว่าที่เด็กจะสามารถบดเคี้ยวให้ละเอียดได้ หรืออาจจะเป็นอาหารที่เป็นก้อนลื่นๆ ไหลไป ก็จะทำให้เกิดการสำลักได้ง่าย ไปทำให้เกิดอุดตัน แต่ยังไม่เคยเจอปัญหาเด็กดื่มนมแล้วเกิดการสำลักในเด็กที่แข็งแรงปกติ ซึ่งธรรมชาติของร่างกายจะช่วยขจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ออกมาได้เองค่ะ
2. เด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันออกไป บางคนหายเร็ว บางคนก็หายช้าค่ะ แต่ในช่วงที่เราสังเกตเห็นว่า แกมีอาการสำลักอยู่บ่อยๆ ก็ต้องระมัดระวังในการให้นมให้อาหาร จับท่าทางของการรับประทานให้เหมาะสม วางแผนการให้อาหารว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน ควรจะต้องให้เด็กได้พัก และแน่ใจว่าอาหารนั้นถูกย่อยไปหมด ไม่มีการสำลักเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในข้อสุดท้ายน่าจะตอบไปด้วยกันเลย คุณควรปรึกษาคุณหมออีกสักครั้งนึงนะคะ และบอกรายละเอียดด้วยว่า ลูกสำลักทันทีที่รับประทานอาหารเข้าไปหรือไม่ สำลักขณะรับประทานอาหารมื้อไหน เด็กกำลังทำอะไร เมื่อเราวิเคราะห์สถานการณ์ในช่วงที่ลูกสำลักและเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นได้ ก็จะทำให้เราสามารถดูแลป้องกันไม่ให้ลูกสำลักได้
โดยสรุป หมออยากจะให้คุณแม่ลองทบทวนดูว่าทุกครั้งที่ลูกสำลักนั้นนะคะ ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ลูกกำลังทำอะไรอยู่ รับประทานอะไรไป นานเท่าไร ใช้เวลานานเท่าไร ถึงได้มีการสำลัก สำลักแล้วมีอาการมากน้อยอย่างไร และจากนั้นเรานำเรื่องทั้งหมดมาปรึกษาหารือกันระหว่างแพทย์กับคุณแม่นะคะ ซึ่งอาจจะสรุปลงที่ว่า เรามาวางแผนการป้องกันด้วยเทคนิคการให้อาหารที่เหมาะสม หรืออาจจะมีความจำเป็นต้องมีการตรวจต่อทางห้องปฏิบัติการบางอย่างเพื่อช่วยในการวินิจฉันโรคต่อไป
คุณแม่จะพาลูกไปรับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐขนาดใหญ่ได้นะคะ จะมีแผนกกุมารเวชศาสตร์ มีกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่เกือบทุกโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
************************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
ตอบปัญหาและให้คำแนะนำโดย รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
************************************************************
ลูกสาวคนเล็กตอนนี้อายุได้ 11 เดือน ร่างกายทั่วไปแข็งแรงดี พัฒนาการดี แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่าแกจะสำลักบ่อยมาก สำลักอย่างรุนแรง มีทั้งนมและบางครั้งมีเศษอาหารชิ้นเล็กๆ ออกมาทางจมูกด้วย แกเริ่มมีอาการอย่างนี้ครั้งแรกตอนอายุประมาณ 2 เดือน แกสำลักนมขณะที่แกเป็นหวัด มีน้ำมูก มีนมออกมาทางจมูกทางปาก ลูกหายใจไม่ค่อยออกหน้าเขียว มือตะกายอากาศ ดิฉันตกใจมาก โชคดีที่สามีอยู่ด้วย คุณพ่อใช้ปากดูดเสมหะออกจากจมูกลูก และจับแกให้ศีรษะต่ำลง จับแกตะแคงกับพื้น และทำอีกหลายอย่างจนลูกร้องเสียงดังขึ้นและหายใจได้ หลังจากนั้นลูกจะมีอาการสำลักนมและน้ำอยู่บ่อยๆ จนถึงปัจจุบัน เคยปรึกษาหมอเด็กตามคลินิกที่ลูกไปฉีดวัคซีน หมอบอกแต่เพียงว่าโตขึ้นจะค่อยๆ หายไปเอง คอยจนลูกอายุ 11 เดือนแล้วก็ยังมีอาการสำลักอยู่ เป็นหวัดบ่อยด้วย เป็นแต่ละครั้งดิฉันหัวใจจะหยุดเต้น เพราะกลัวลูกขาดอากาศหายใจ น่ากลัวค่ะ ยิ่งตอนนี้ให้พี่เลี้ยงดูแลต้องกำชับเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
มีปัญหาอยากเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ
1. เด็กสำลักนมบ่อยๆ จะมีปัญหาเกี่ยวกับสมองหรือไม่
2. เคยถามหมอที่คลินิกข้างบ้าน คุณหมอบอกว่าเด็กจะค่อยๆ มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและจะหยุดสำลักเมื่อโตขึ้น ตอนนี้ 11 เดือนแล้วลูกยังเป็นอยู่ ต้องรอจนโตขนาดไหนลูกถึงจะหายคะ
3. อาการอย่างนี้เกิดจากสาเหตุอื่นได้หรือเปล่า ดิฉันจะพาลูกไปตรวจให้ละเอียดดีไหมคะ แล้วจะตรวจที่ไหนดี คุณหมอกรุณาแนะนำดิฉันด้วยค่ะ
ตอบคำถาม
อ่านจดหมายของคุณแม่แล้วหมอเห็นใจจริงๆ ที่คุณแม่พบประสบการณ์ที่ลูกสำลักจนหน้าเขียวตั้งแต่ลูกอายุได้เพียง 2 เดือน ซึ่งประสบการณ์นั้นก็ทำให้เราใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่ลูกสำลักจนกระทั่งปัจจุบัน อยากจะให้คุณแม่ช่วยสังเกตอาการสำลักของลูกให้ละเอียดและชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเด็กสำลักอาหาร สำลักนม หรือแม้แต่สำลักน้ำบ่อย น่าจะเป็นปัญหาที่เราจะต้องมามองดูกันให้ละเอียดเพื่อจะได้รักษาให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
การสำลักมีอยู่หลายรูปแบบค่ะ โดยทั่วไปหลอดอาหารกับหลอดลมจะมีช่องเปิดที่ใกล้ๆ กันมาก เวลาที่เราจะกลืนอาหารหลอดอาหารจะเปิด หลอดลมก็จะปิด แต่ถ้าจังหวะของการเปิดปิดนั้นเสียก็จะทำให้เศษอาหารหรือน้ำสำลักเข้าไปในหลอดลม เกิดอาการขึ้นมาอย่างที่คุณแม่ได้เห็น อย่างไรก็ตามเวลาที่เราดื่มน้ำหรือรับประทานข้าว คุณแม่สังเกตนะคะ บางทีผู้ใหญ่เองก็สำลัก เพราะเราอาจจะหัวเราะ ทำท่าเหมือนกับจะพูด ทำให้ระบบสองระบบไปพัวพันกัน มีปัญหาได้ แต่ทั่วๆ ไป ร่างกายจะแก้ไขให้เรานำเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นหลุดออกมาได้ อาจจะออกทางปากหรืออาจจะออกมาทางจมูก เหมือนอย่างที่คุณแม่ได้มีประสบการณ์กับลูกสาวคนนี้ตั้งแต่เล็กๆ นั่นเอง
วิธีแก้ไขก็คงจะต้องมองหาสาเหตุและจัดสิ่งแวดล้อม แล้วรักษาให้ตรงประเด็นนั่นเองค่ะ หมอขอตอบเป็นข้อๆ ตามที่คุณแม่ถามมานะคะ
1. เด็กสำลักนมถ้าเป็นนิดหน่อย เป็นการสำลักและขย้อนของ ที่แปลกปลอมออกมาได้หมดโดยไม่หลุดเข้าไปในทางเดินหายใจ ส่วนมากแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรทางสมองนะคะ แต่นานๆ ครั้ง เราเคยเจอมีเศษอาหารหรืออาหารที่เป็นเม็ดแข็งๆ สำลักเข้าไปในหลอดลม ร่างกายไม่สามารถจำกัดออกไปได้ทันการ ก็ทำให้เกิดมีปัญหาในเรื่องทางเดินหายใจได้ หรือมีปัญหาทำให้ระบบทางเดินหายใจอุดตันแล้วเกิดภาวะขาดออกซิเจน มีปัญหาทางสมองตามมา
แต่ในกรณีดังกล่าวนั้น พบได้ไม่บ่อยหรอกคะ มักจะเป็นในเด็กโตหรือเป็นในเด็กๆ ที่เราให้รับประทานอาหารที่แข็งกว่าที่เด็กจะสามารถบดเคี้ยวให้ละเอียดได้ หรืออาจจะเป็นอาหารที่เป็นก้อนลื่นๆ ไหลไป ก็จะทำให้เกิดการสำลักได้ง่าย ไปทำให้เกิดอุดตัน แต่ยังไม่เคยเจอปัญหาเด็กดื่มนมแล้วเกิดการสำลักในเด็กที่แข็งแรงปกติ ซึ่งธรรมชาติของร่างกายจะช่วยขจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ออกมาได้เองค่ะ
2. เด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันออกไป บางคนหายเร็ว บางคนก็หายช้าค่ะ แต่ในช่วงที่เราสังเกตเห็นว่า แกมีอาการสำลักอยู่บ่อยๆ ก็ต้องระมัดระวังในการให้นมให้อาหาร จับท่าทางของการรับประทานให้เหมาะสม วางแผนการให้อาหารว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน ควรจะต้องให้เด็กได้พัก และแน่ใจว่าอาหารนั้นถูกย่อยไปหมด ไม่มีการสำลักเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในข้อสุดท้ายน่าจะตอบไปด้วยกันเลย คุณควรปรึกษาคุณหมออีกสักครั้งนึงนะคะ และบอกรายละเอียดด้วยว่า ลูกสำลักทันทีที่รับประทานอาหารเข้าไปหรือไม่ สำลักขณะรับประทานอาหารมื้อไหน เด็กกำลังทำอะไร เมื่อเราวิเคราะห์สถานการณ์ในช่วงที่ลูกสำลักและเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นได้ ก็จะทำให้เราสามารถดูแลป้องกันไม่ให้ลูกสำลักได้
โดยสรุป หมออยากจะให้คุณแม่ลองทบทวนดูว่าทุกครั้งที่ลูกสำลักนั้นนะคะ ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ลูกกำลังทำอะไรอยู่ รับประทานอะไรไป นานเท่าไร ใช้เวลานานเท่าไร ถึงได้มีการสำลัก สำลักแล้วมีอาการมากน้อยอย่างไร และจากนั้นเรานำเรื่องทั้งหมดมาปรึกษาหารือกันระหว่างแพทย์กับคุณแม่นะคะ ซึ่งอาจจะสรุปลงที่ว่า เรามาวางแผนการป้องกันด้วยเทคนิคการให้อาหารที่เหมาะสม หรืออาจจะมีความจำเป็นต้องมีการตรวจต่อทางห้องปฏิบัติการบางอย่างเพื่อช่วยในการวินิจฉันโรคต่อไป
คุณแม่จะพาลูกไปรับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐขนาดใหญ่ได้นะคะ จะมีแผนกกุมารเวชศาสตร์ มีกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่เกือบทุกโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
************************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
ตอบปัญหาและให้คำแนะนำโดย รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
************************************************************
คลินิกหมอสูติ-หน้าท้องไม่ยุบหลังคลอด
คลินิกหมอสูติ-หน้าท้องไม่ยุบหลังคลอด
คลอดบุตรได้เกือบ 2 เดือนแล้ว หน้าท้องยังไม่ลงเลย จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
ตอนท้องน้ำหนักขึ้นมากเลยจาก 61 กก.เป็น 90 กก. หลังคลอดได้ 3 วัน ชั่งน้ำหนักดูหนัก 86 กก. แทบจะไม่ลงเลย ปัจจุบันเกือบ 2 เดือนแล้ว ลงไปแค่ 3 กก. เหลือ 83 กก. อยากทราบวิธีการลดน้ำหนักของสตรีหลังคลอด และให้นมบุตรค่ะ เคยอ่านเจอในนิตยสารรักลูกบอกว่า 3 เดือนแรกเป็นช่วงเวลาที่ลดความอ้วนและหน้าท้องได้ผลดีที่สุด เลยกลัวว่าจะช้าเกินไป
ตอบคำถาม
หลังคลอดแล้ว 2 เดือน หน้าท้องที่ยืดออกมาในระหว่างตั้งครรภ์คงจะยังไม่ค่อยลดลงง่ายๆ ส่วนใหญ่มักจะลดลงหลังจากเดือนที่ 3 ไปแล้ว วิธีบริหารหน้าท้องที่ดีที่สุดก็คือการทำซิตอัพซิตดาวน์ ทำบ่อยๆ ทุกวัน ให้สามีช่วยจับปลายเท้าไว้ ในขณะที่ทำกายบริหารจะทำให้ทำได้ง่ายและสนุกสนานขึ้น เพราะสามีได้มีส่วนในการออกกำลังกายด้วยกัน ไม่นานหรอกครับหน้าท้องก็จะค่อยๆ ลดลง ถ้าสามารถว่ายน้ำหรือเต้นแอโรบิกร่วมด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับได้ดียิ่งขึ้นครับ อ้อแล้วอย่าลืมควบคุมอาหารพวกแป้งและไขมันด้วยนะครับเพื่อให้หน้าท้องลงเร็วๆ
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น" ผมขอให้คุณจงมีความพยายามต่อไป รับรองว่าจะต้องเห็นผลสำเร็จในไม่ช้านี่แหละครับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ดีวิธีหนึ่งเช่นกัน เพราะร่างกายจะดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ในการสร้างน้ำนม ทำให้รูปร่างของคุณแม่ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้การเลี้ยงลูกด้วยตัวเองก็ช่วยให้ได้ออกกำลังกายทางอ้อมด้วยเช่นกัน
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
คลอดบุตรได้เกือบ 2 เดือนแล้ว หน้าท้องยังไม่ลงเลย จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
ตอนท้องน้ำหนักขึ้นมากเลยจาก 61 กก.เป็น 90 กก. หลังคลอดได้ 3 วัน ชั่งน้ำหนักดูหนัก 86 กก. แทบจะไม่ลงเลย ปัจจุบันเกือบ 2 เดือนแล้ว ลงไปแค่ 3 กก. เหลือ 83 กก. อยากทราบวิธีการลดน้ำหนักของสตรีหลังคลอด และให้นมบุตรค่ะ เคยอ่านเจอในนิตยสารรักลูกบอกว่า 3 เดือนแรกเป็นช่วงเวลาที่ลดความอ้วนและหน้าท้องได้ผลดีที่สุด เลยกลัวว่าจะช้าเกินไป
ตอบคำถาม
หลังคลอดแล้ว 2 เดือน หน้าท้องที่ยืดออกมาในระหว่างตั้งครรภ์คงจะยังไม่ค่อยลดลงง่ายๆ ส่วนใหญ่มักจะลดลงหลังจากเดือนที่ 3 ไปแล้ว วิธีบริหารหน้าท้องที่ดีที่สุดก็คือการทำซิตอัพซิตดาวน์ ทำบ่อยๆ ทุกวัน ให้สามีช่วยจับปลายเท้าไว้ ในขณะที่ทำกายบริหารจะทำให้ทำได้ง่ายและสนุกสนานขึ้น เพราะสามีได้มีส่วนในการออกกำลังกายด้วยกัน ไม่นานหรอกครับหน้าท้องก็จะค่อยๆ ลดลง ถ้าสามารถว่ายน้ำหรือเต้นแอโรบิกร่วมด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับได้ดียิ่งขึ้นครับ อ้อแล้วอย่าลืมควบคุมอาหารพวกแป้งและไขมันด้วยนะครับเพื่อให้หน้าท้องลงเร็วๆ
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น" ผมขอให้คุณจงมีความพยายามต่อไป รับรองว่าจะต้องเห็นผลสำเร็จในไม่ช้านี่แหละครับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ดีวิธีหนึ่งเช่นกัน เพราะร่างกายจะดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ในการสร้างน้ำนม ทำให้รูปร่างของคุณแม่ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้การเลี้ยงลูกด้วยตัวเองก็ช่วยให้ได้ออกกำลังกายทางอ้อมด้วยเช่นกัน
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
คลินิกหมอสูติ-น้ำนมพุ่งมาก
คลินิกหมอสูติ-น้ำนมพุ่งมาก
น้ำนมดิฉันแรงมากๆ ถ้าลูกดูดได้ประมาณ 2-3 ครั้ง จะพุ่งเลย ทำให้แกสำลักบ่อยค่ะ จะมีวิธีทำให้น้ำนมพุ่งน้อยๆ บ้างไหมคะ
ตอบคำถาม
น้ำนมคุณพุ่งแรงดีแล้วครับ คงไม่ต้องทำให้พุ่งน้อยลงหรอกครับ เพราะการไปลดปริมาณของน้ำนม ไม่ว่าจะการใช้ยาหรือการดูดที่ห่างขึ้น อาจทำให้น้ำนมแห้งไปเลยก็ได้ ถ้าไม่อยากให้ลูกสำลักบ่อยๆ ในขณะให้ลูกดูดนม ก็ควรประคองให้ศีรษะลูกอยู่สูงจากลำตัวมากๆ หน่อย น้ำนมจะได้ไหลจากลำคอลงสู่กระเพาะอาหารได้ดีขึ้น โดยไม่ค้างอยู่บริเวณลำคอจนทำให้เกิดการสำลักได้
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
น้ำนมดิฉันแรงมากๆ ถ้าลูกดูดได้ประมาณ 2-3 ครั้ง จะพุ่งเลย ทำให้แกสำลักบ่อยค่ะ จะมีวิธีทำให้น้ำนมพุ่งน้อยๆ บ้างไหมคะ
ตอบคำถาม
น้ำนมคุณพุ่งแรงดีแล้วครับ คงไม่ต้องทำให้พุ่งน้อยลงหรอกครับ เพราะการไปลดปริมาณของน้ำนม ไม่ว่าจะการใช้ยาหรือการดูดที่ห่างขึ้น อาจทำให้น้ำนมแห้งไปเลยก็ได้ ถ้าไม่อยากให้ลูกสำลักบ่อยๆ ในขณะให้ลูกดูดนม ก็ควรประคองให้ศีรษะลูกอยู่สูงจากลำตัวมากๆ หน่อย น้ำนมจะได้ไหลจากลำคอลงสู่กระเพาะอาหารได้ดีขึ้น โดยไม่ค้างอยู่บริเวณลำคอจนทำให้เกิดการสำลักได้
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คุยเรื่องลูกกับหมอชนิกา-ให้ลูกมีสุขภาพดีด้วยตัวเอง
คุยเรื่องลูกกับหมอชนิกา-ให้ลูกมีสุขภาพดีด้วยตัวเอง
การเลี้ยงดูลูกนอกจากให้ร่างกายแข็งแรง โภชนาการสมวัย สดใส ทั้งไอคิวและอีคิว สำคัญคือ สร้างสุขนิสัยความสะอาดด้วย ไม่ต้องถึงกับเป็นคุณหญิงสะอาด ต้มแบงก์ต้มเหรียญละค่ะ เพียงแต่สอนให้เด็กรักความสะอาดและปฏิบัติจนเป็นความเคยชิน ตัวอย่างง่ายๆ คือ การอาบน้ำชำระร่างกาย รวมการดูแลสุขภาพฟันให้เหมาะสมตามวัย แปรงฟันอย่างน้อยเช้าและก่อนนอน หลังอาหารถ้าบ้วนปากเป็นก็สอนให้บ้วนปาก ไม่ให้คุ้นเคยกับสภาพมีเศษอาหารค้างในปากเป็นบ่อเกิดเชื้อโรค กลิ่นปาก และฟันผุตามมา ถ้าเขาคุ้นเคยกับปากสะอาด เขาจะรำคาญถ้ามีเศษอาหารค้างอยู่จะต้องทำความสะอาดเอง ก่อนรับประทานอาหารให้ล้างมือก่อน เพราะเด็กๆ จะซุกซน เล่นดิน เล่นทราย หรือลูกไล้ตามขั้นบันได ประตู ถนน สนาม แม้แต่สัตว์เลี้ยง ถ้าทำเป็นนิสัยเขาจะทำเองโดยไม่ต้องบอกเป็นการป้องกันเชื้อโรคไปได้ขั้นตอนหนึ่ง
เชื้อโรคในโลกนี้ช่างมีมากมาย ถ้าเทียบกับสัตว์โลกทุกชนิดในโลกนี้ด้วยจำนวนจะแพ้พวกจุลชีพหรือเชื้อโรค เพราะมีชนิดใหม่ๆ มาให้เรารู้จักและสะพรึงกลัวเสมอมา เช่น เชื้อโรคเอดส์ เพิ่งจะรู้จักไม่นานแต่แพร่หลายและฆ่าคนตายมากมาย เชื้อโรควัวบ้า ฯลฯ เชื้อโรคมีหลายประเภทที่ติดต่อง่ายๆ จากการไอจามรดกัน ในเด็กมีทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ดังนั้น ควรสอนลูกให้เอามือปิดปาก หรือหันหน้าไปทางอื่นเวลาไอหรือจาม ใช้กระดาษทิชชูสั่งน้ำมูกและทิ้งลงถังขยะ ให้ฟอกมือสะอาดด้วย เพราะน้ำมูกอาจเลอะเทอะมือไปจับต้องผู้อื่นหรืออาหาร
การสอนลูกให้รู้จักฟอกมือด้วยสบู่ ฟอกให้สะอาดทั้งสองด้าน ถูในระหว่างนิ้วและปลายนิ้วส่วนเล็บด้วย สอนให้ทำทุกครั้งหลังจากเข้าห้องสุขาออกมา หรือหลังถ่ายอุจจาระ สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวมีผ้าเช็ดตัวประจำคนละผืน พ่อแม่ผืนโต ลูกผืนเล็กหน่อยพอได้สัดส่วนกับร่างกาย ถ้าสมาชิกคนใดเกิดโรคท้องร่วง ท้องเสีย เป็นบิดละก็ทุกคนต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเชื้อโรคออกทางอุจจาระซึ่งอาจจะเข้าทางปากคนใดคนหนึ่งในบ้านได้ การฟอกมือให้สะอาด ที่นั่งโถส้วมแป้นกดชักโครก ก็อกน้ำ กลอนประตูห้องน้ำ ล้วนแต่เป็นจุดที่จะแพร่เชื้อโรคได้ แม้แต่สบู่ก้อนที่ใช้นานๆ แช่น้ำก็อาจมีเชื้อโรคได้ การใช้สบู่เหลวอาจมีข้อได้เปรียบ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะน่าจะวิเคราห์ดูว่าสบู่เหลวบางชนิดอาจจะไม่สะอาดจริงก็ได้ค่ะ ถ้าสมาชิกในบ้านลงท้องจู๊ดๆ อย่างแรง และบ้านก็อัตคัดห้องน้ำ ประเภท 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ อย่างนี้ต้องระวังความสะอาด เช่น เอาน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดตรงบริเวณที่อาจแพร่ เช่น แป้นนั่ง โถส้วม ที่กดส้วมชักโครก เป็นต้น อย่าว่าเป็นคุณนายแสนสะอาดเลย เพราะถ้าลูกตัวจิ๋วหลิวลงท้องแบบอหิวาต์ละก็ไม่สนุกเลยค่ะ อาการหนักทีเดียวแหละ
เด็กๆ ร้อนเก่ง ต้องอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ถ้าเมืองนอกเขาว่าครั้งเดียวพอ พอเด็กเริ่มซุกซนนอกบ้านเหงื่อไคลมาก เริ่มวิ่งเก่งจะยิ่งซนมาก เด็กๆ ชอบอาบน้ำฝักบัวไม่รวยก็อาบได้ ติดฝักบัวแล้วลูกจะติดใจ เพราะเขาอยากเล่นน้ำฝนเมื่อไร ก็ได้อาบจากฝักบัวนี่แหละ ผู้ใหญ่ต้องอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัย ไม่ว่าจะอาบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นก็ต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยค่ะ
สุขนิสัยการกินเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซื้อของสะอาดของปรุงใหม่ไม่ค้าง ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการซื้อของให้ลูก ทั้งดูทั้งดมเลย อย่าขี้เหนียวกลัวเสียของเสียดายเงิน คิดว่าคงไม่เป็นอะไรถ้าจะกินนมที่หมดอายุแค่วันเดียว เครื่องกระป๋องที่ปูดหรือบูดเบี้ยว ไข่ที่แตก ขนมใส่กะทิที่ส่วนหน้ามีลักษณะผิดปกติ อาจเริ่มบูดหรือมีเชื้อราลงกิน เมื่อคุณแม่จะทำกับข้าวก็ต้องล้างมือให้สะอาด ถ้าคุณแม่ทิ้งขยะสกปรกแล้วก็ต้องฟอกมือทุกครั้ง ถ้าคุณแม่มีแผลหรือเป็นหนองต้องปิดพลาสเตอร์ และระวังในการปรุงอาหาร เพราะเชื้อหนองลงอาหารเด็กเกิดอาหารเป็นพิษ ควรงดใช้มือข้างนั้นปรุงอาหาร สวมถุงมือเสียและรีบรักษาค่ะ
ผักผลไม้ล้างให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมและล้างน้ำอีกครั้ง หรือใช้น้ำยาล้างผักก็ต้องล้างอีกครั้ง ลูกเล็กไม่ควรให้กินไข่ลวกค่ะ ควรกินไข่ต้มสุกทั้งไข่ขาวและไข่แดง นมที่กินไม่หมดอย่าเก็บในตู้เย็นนาน เพราะคุณเองก็จะลืมไปชงขวดใหม่ พบขวดเก่าก็เอามาให้กินอาจท้องร่วงได้
อาหารที่จะอุ่นให้ร้อนก็ดูให้ร้อนถ้วนทั่ว โดยเฉพาะอาหารออกจากตู้แช่แข็งหรือตู้เย็นนำเข้าไมโครเวฟ บางครั้งข้างนอกร้อนอุ่นข้างในเย็นไม่เหมาะค่ะ ควรเอามาไว้ข้างนอกสักพักให้ละลายจากช่องแข็ฌง และจึงเข้าไมโครเวฟเพื่อร้อนทั่วถึง ถ้าเป็นอาหารกระป๋องต้องดูวันหมดอายุก่อน เช็ดฝากระป๋องให้สะอาด เปิดกินแล้วส่วนที่เหลืออย่าค้างในกระป๋อง ต้องถ่ายใส่ภาชนะแก้วหรือกล่องสะอาดเข้าตู้เย็น ล้างเครื่องเปิดกระป๋องทุกครั้ง
บ้านเราอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องพึ่งพาอาหารขวด อาหารกระป๋อง คุณแม่ทำกับข้าวและปรุงเสร็จล้างเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เก็บเศษขยะออกนอกครัว อย่าให้มีเศษอาหารติดตามเขียง ตามเตา ตามโต๊ะ เก้าอี้ เพราะเมื่อความมืดมาเยือนจะมีแขกสกปรกไม่รับเชิญ ได้แก่ แมลงสาบ จิ้งจก หนู มากินไม่พอถ่ายรดบ้าง ทิ้งความสกปรกนำโรคท้องเสียบ้าง ตับอักเสบบ้าง ต้องให้ครัวสะอาดด้วยค่ะ
*********************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา
อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
*********************************************************
การเลี้ยงดูลูกนอกจากให้ร่างกายแข็งแรง โภชนาการสมวัย สดใส ทั้งไอคิวและอีคิว สำคัญคือ สร้างสุขนิสัยความสะอาดด้วย ไม่ต้องถึงกับเป็นคุณหญิงสะอาด ต้มแบงก์ต้มเหรียญละค่ะ เพียงแต่สอนให้เด็กรักความสะอาดและปฏิบัติจนเป็นความเคยชิน ตัวอย่างง่ายๆ คือ การอาบน้ำชำระร่างกาย รวมการดูแลสุขภาพฟันให้เหมาะสมตามวัย แปรงฟันอย่างน้อยเช้าและก่อนนอน หลังอาหารถ้าบ้วนปากเป็นก็สอนให้บ้วนปาก ไม่ให้คุ้นเคยกับสภาพมีเศษอาหารค้างในปากเป็นบ่อเกิดเชื้อโรค กลิ่นปาก และฟันผุตามมา ถ้าเขาคุ้นเคยกับปากสะอาด เขาจะรำคาญถ้ามีเศษอาหารค้างอยู่จะต้องทำความสะอาดเอง ก่อนรับประทานอาหารให้ล้างมือก่อน เพราะเด็กๆ จะซุกซน เล่นดิน เล่นทราย หรือลูกไล้ตามขั้นบันได ประตู ถนน สนาม แม้แต่สัตว์เลี้ยง ถ้าทำเป็นนิสัยเขาจะทำเองโดยไม่ต้องบอกเป็นการป้องกันเชื้อโรคไปได้ขั้นตอนหนึ่ง
เชื้อโรคในโลกนี้ช่างมีมากมาย ถ้าเทียบกับสัตว์โลกทุกชนิดในโลกนี้ด้วยจำนวนจะแพ้พวกจุลชีพหรือเชื้อโรค เพราะมีชนิดใหม่ๆ มาให้เรารู้จักและสะพรึงกลัวเสมอมา เช่น เชื้อโรคเอดส์ เพิ่งจะรู้จักไม่นานแต่แพร่หลายและฆ่าคนตายมากมาย เชื้อโรควัวบ้า ฯลฯ เชื้อโรคมีหลายประเภทที่ติดต่อง่ายๆ จากการไอจามรดกัน ในเด็กมีทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ดังนั้น ควรสอนลูกให้เอามือปิดปาก หรือหันหน้าไปทางอื่นเวลาไอหรือจาม ใช้กระดาษทิชชูสั่งน้ำมูกและทิ้งลงถังขยะ ให้ฟอกมือสะอาดด้วย เพราะน้ำมูกอาจเลอะเทอะมือไปจับต้องผู้อื่นหรืออาหาร
การสอนลูกให้รู้จักฟอกมือด้วยสบู่ ฟอกให้สะอาดทั้งสองด้าน ถูในระหว่างนิ้วและปลายนิ้วส่วนเล็บด้วย สอนให้ทำทุกครั้งหลังจากเข้าห้องสุขาออกมา หรือหลังถ่ายอุจจาระ สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวมีผ้าเช็ดตัวประจำคนละผืน พ่อแม่ผืนโต ลูกผืนเล็กหน่อยพอได้สัดส่วนกับร่างกาย ถ้าสมาชิกคนใดเกิดโรคท้องร่วง ท้องเสีย เป็นบิดละก็ทุกคนต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเชื้อโรคออกทางอุจจาระซึ่งอาจจะเข้าทางปากคนใดคนหนึ่งในบ้านได้ การฟอกมือให้สะอาด ที่นั่งโถส้วมแป้นกดชักโครก ก็อกน้ำ กลอนประตูห้องน้ำ ล้วนแต่เป็นจุดที่จะแพร่เชื้อโรคได้ แม้แต่สบู่ก้อนที่ใช้นานๆ แช่น้ำก็อาจมีเชื้อโรคได้ การใช้สบู่เหลวอาจมีข้อได้เปรียบ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะน่าจะวิเคราห์ดูว่าสบู่เหลวบางชนิดอาจจะไม่สะอาดจริงก็ได้ค่ะ ถ้าสมาชิกในบ้านลงท้องจู๊ดๆ อย่างแรง และบ้านก็อัตคัดห้องน้ำ ประเภท 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ อย่างนี้ต้องระวังความสะอาด เช่น เอาน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดตรงบริเวณที่อาจแพร่ เช่น แป้นนั่ง โถส้วม ที่กดส้วมชักโครก เป็นต้น อย่าว่าเป็นคุณนายแสนสะอาดเลย เพราะถ้าลูกตัวจิ๋วหลิวลงท้องแบบอหิวาต์ละก็ไม่สนุกเลยค่ะ อาการหนักทีเดียวแหละ
เด็กๆ ร้อนเก่ง ต้องอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ถ้าเมืองนอกเขาว่าครั้งเดียวพอ พอเด็กเริ่มซุกซนนอกบ้านเหงื่อไคลมาก เริ่มวิ่งเก่งจะยิ่งซนมาก เด็กๆ ชอบอาบน้ำฝักบัวไม่รวยก็อาบได้ ติดฝักบัวแล้วลูกจะติดใจ เพราะเขาอยากเล่นน้ำฝนเมื่อไร ก็ได้อาบจากฝักบัวนี่แหละ ผู้ใหญ่ต้องอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัย ไม่ว่าจะอาบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นก็ต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยค่ะ
สุขนิสัยการกินเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซื้อของสะอาดของปรุงใหม่ไม่ค้าง ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการซื้อของให้ลูก ทั้งดูทั้งดมเลย อย่าขี้เหนียวกลัวเสียของเสียดายเงิน คิดว่าคงไม่เป็นอะไรถ้าจะกินนมที่หมดอายุแค่วันเดียว เครื่องกระป๋องที่ปูดหรือบูดเบี้ยว ไข่ที่แตก ขนมใส่กะทิที่ส่วนหน้ามีลักษณะผิดปกติ อาจเริ่มบูดหรือมีเชื้อราลงกิน เมื่อคุณแม่จะทำกับข้าวก็ต้องล้างมือให้สะอาด ถ้าคุณแม่ทิ้งขยะสกปรกแล้วก็ต้องฟอกมือทุกครั้ง ถ้าคุณแม่มีแผลหรือเป็นหนองต้องปิดพลาสเตอร์ และระวังในการปรุงอาหาร เพราะเชื้อหนองลงอาหารเด็กเกิดอาหารเป็นพิษ ควรงดใช้มือข้างนั้นปรุงอาหาร สวมถุงมือเสียและรีบรักษาค่ะ
ผักผลไม้ล้างให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมและล้างน้ำอีกครั้ง หรือใช้น้ำยาล้างผักก็ต้องล้างอีกครั้ง ลูกเล็กไม่ควรให้กินไข่ลวกค่ะ ควรกินไข่ต้มสุกทั้งไข่ขาวและไข่แดง นมที่กินไม่หมดอย่าเก็บในตู้เย็นนาน เพราะคุณเองก็จะลืมไปชงขวดใหม่ พบขวดเก่าก็เอามาให้กินอาจท้องร่วงได้
อาหารที่จะอุ่นให้ร้อนก็ดูให้ร้อนถ้วนทั่ว โดยเฉพาะอาหารออกจากตู้แช่แข็งหรือตู้เย็นนำเข้าไมโครเวฟ บางครั้งข้างนอกร้อนอุ่นข้างในเย็นไม่เหมาะค่ะ ควรเอามาไว้ข้างนอกสักพักให้ละลายจากช่องแข็ฌง และจึงเข้าไมโครเวฟเพื่อร้อนทั่วถึง ถ้าเป็นอาหารกระป๋องต้องดูวันหมดอายุก่อน เช็ดฝากระป๋องให้สะอาด เปิดกินแล้วส่วนที่เหลืออย่าค้างในกระป๋อง ต้องถ่ายใส่ภาชนะแก้วหรือกล่องสะอาดเข้าตู้เย็น ล้างเครื่องเปิดกระป๋องทุกครั้ง
บ้านเราอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องพึ่งพาอาหารขวด อาหารกระป๋อง คุณแม่ทำกับข้าวและปรุงเสร็จล้างเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เก็บเศษขยะออกนอกครัว อย่าให้มีเศษอาหารติดตามเขียง ตามเตา ตามโต๊ะ เก้าอี้ เพราะเมื่อความมืดมาเยือนจะมีแขกสกปรกไม่รับเชิญ ได้แก่ แมลงสาบ จิ้งจก หนู มากินไม่พอถ่ายรดบ้าง ทิ้งความสกปรกนำโรคท้องเสียบ้าง ตับอักเสบบ้าง ต้องให้ครัวสะอาดด้วยค่ะ
*********************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา
อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
*********************************************************
คลินิกหมอสูติ-ลูกสำรอกนม
คลินิกหมอสูติ-ลูกสำรอกนม
ปัจจุบันดิฉันคลอดบุตร (คนที่สอง) แล้ว สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีค่ะ แต่น้ำหนักแรกคลอดค่อนข้างน้อย (2,780 กรัม) ตอนออกจากโรงพยาบาลน้ำหนักเหลือ 2,610 กรัม คลอดวันที่ 24 ก.ค. คุณหมอนัดคลอด 13 ส.ค. ตอนที่ไปตรวจสุขภาพตอนครบ 1 เดือน ชั่งน้ำหนักได้ 4,400 กรัม น้ำหนักถือว่าปกติไหมคะ ปัจจุบันลูกชายอายุเกือบ 2 เดือนแล้วค่ะ แต่กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันอกสั่นขวัญแขวนอย่างมากคือ ลูกชายดื่มนม (แม่) เสร็จ ดิฉันก็จับพาดบ่าจนเรอเรียบร้อย ก็จับนอนหงาย แล้วกำลังจะให้น้ำดื่มตาม ใช้ช้อนตักป้อนได้แค่ 1 คำ (ช้อนชา ตักแค่ปลายๆ ช้อน) ลูกชายก็พออืดพะอมแล้ว เขาก็สำรอกนมออกมา ดิฉันก็อุ้มขึ้นนั่งบนตักแล้วค่อยๆ ลูบหลังแต่อาการกลับยิ่งแย่ ลูกชายหน้าแดงแล้วก็กระตุก (อาการคล้ายกับชัก) ดิฉันตกใจมาก พอดีคุณยายนั่งอยู่ใกล้ๆ จึงจับหลานพาดบ่าแล้วตบหลังค่อนข้างแรงจนนมพุ่งออกมาทางจมูกเลยค่ะ ทีนี้ลูกชายร้องลั่นเลย จากทีแรกแกร้องไม่ออก ตกใจมาก รีบพาไปหาหมอ โชคดีที่คุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร ปอดก็ปกติดี เพียงแต่กินมากไปหน่อย แล้วก็สำลักอาเจียนของตัวเองเท่านั้น มีวิธีแก้ไขอาการสำรอกนมเบื้องต้นไหมคะ
ตอบคำถาม
ต้องขอแสดงความยินดีที่คลอดบุตรคนที่สองได้อย่างปลอดภัย น้ำหนักแรกคลอด 2,780 กรัม ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจทีเดียว สำหรับทารกที่คลอดในขณะอายุครรภ์ 37 สัปดาห์
ทารกแรกคลอดมักจะยังมีกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหาร ทำให้มีโอกาสสำรอกบ่อยๆ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรให้ลูกดูดนมในแต่ละมื้อมากจนเกินไป และหลังจากดูดนมแล้วก็ควรอุ้มพาดบ่าเพื่อให้เรอเอาลมออกอย่างที่คุณทำนั่นแหละถูกต้องแล้ว แต่บางครั้งถึงลูกจะเรอแล้วก็ยังมีโอกาสสำรอกได้บ้าง
เนื่องจากดูดนมมากจนเกินไป ดังนั้น จึงควรให้ลูกนอนตะแคงไว้ เพราะจะสามารถหลีกเลี่ยงการสำลักนมได้ดีกว่าท่านอนหงาย และถ้าใช้ผ้าหนุนให้ส่วนศีรษะสูงขึ้นอีกเล็กน้อยก็จะยิ่งดีขึ้น
ในกรณีที่ลูกของคุณหายใจไม่ออก เนื่องจากสำลักนมเข้าไปในหลอดลม การที่คุณยายจับหลายพาดบ่าแล้วตบหลังแรงๆ ให้ไอเอานมออกม เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีครับ
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
คุณประดิษฐ์ขวัญ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
******************************************************
ปัจจุบันดิฉันคลอดบุตร (คนที่สอง) แล้ว สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีค่ะ แต่น้ำหนักแรกคลอดค่อนข้างน้อย (2,780 กรัม) ตอนออกจากโรงพยาบาลน้ำหนักเหลือ 2,610 กรัม คลอดวันที่ 24 ก.ค. คุณหมอนัดคลอด 13 ส.ค. ตอนที่ไปตรวจสุขภาพตอนครบ 1 เดือน ชั่งน้ำหนักได้ 4,400 กรัม น้ำหนักถือว่าปกติไหมคะ ปัจจุบันลูกชายอายุเกือบ 2 เดือนแล้วค่ะ แต่กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันอกสั่นขวัญแขวนอย่างมากคือ ลูกชายดื่มนม (แม่) เสร็จ ดิฉันก็จับพาดบ่าจนเรอเรียบร้อย ก็จับนอนหงาย แล้วกำลังจะให้น้ำดื่มตาม ใช้ช้อนตักป้อนได้แค่ 1 คำ (ช้อนชา ตักแค่ปลายๆ ช้อน) ลูกชายก็พออืดพะอมแล้ว เขาก็สำรอกนมออกมา ดิฉันก็อุ้มขึ้นนั่งบนตักแล้วค่อยๆ ลูบหลังแต่อาการกลับยิ่งแย่ ลูกชายหน้าแดงแล้วก็กระตุก (อาการคล้ายกับชัก) ดิฉันตกใจมาก พอดีคุณยายนั่งอยู่ใกล้ๆ จึงจับหลานพาดบ่าแล้วตบหลังค่อนข้างแรงจนนมพุ่งออกมาทางจมูกเลยค่ะ ทีนี้ลูกชายร้องลั่นเลย จากทีแรกแกร้องไม่ออก ตกใจมาก รีบพาไปหาหมอ โชคดีที่คุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร ปอดก็ปกติดี เพียงแต่กินมากไปหน่อย แล้วก็สำลักอาเจียนของตัวเองเท่านั้น มีวิธีแก้ไขอาการสำรอกนมเบื้องต้นไหมคะ
ตอบคำถาม
ต้องขอแสดงความยินดีที่คลอดบุตรคนที่สองได้อย่างปลอดภัย น้ำหนักแรกคลอด 2,780 กรัม ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจทีเดียว สำหรับทารกที่คลอดในขณะอายุครรภ์ 37 สัปดาห์
ทารกแรกคลอดมักจะยังมีกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหาร ทำให้มีโอกาสสำรอกบ่อยๆ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรให้ลูกดูดนมในแต่ละมื้อมากจนเกินไป และหลังจากดูดนมแล้วก็ควรอุ้มพาดบ่าเพื่อให้เรอเอาลมออกอย่างที่คุณทำนั่นแหละถูกต้องแล้ว แต่บางครั้งถึงลูกจะเรอแล้วก็ยังมีโอกาสสำรอกได้บ้าง
เนื่องจากดูดนมมากจนเกินไป ดังนั้น จึงควรให้ลูกนอนตะแคงไว้ เพราะจะสามารถหลีกเลี่ยงการสำลักนมได้ดีกว่าท่านอนหงาย และถ้าใช้ผ้าหนุนให้ส่วนศีรษะสูงขึ้นอีกเล็กน้อยก็จะยิ่งดีขึ้น
ในกรณีที่ลูกของคุณหายใจไม่ออก เนื่องจากสำลักนมเข้าไปในหลอดลม การที่คุณยายจับหลายพาดบ่าแล้วตบหลังแรงๆ ให้ไอเอานมออกม เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีครับ
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
คุณประดิษฐ์ขวัญ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
******************************************************
คลินิกหมอสูติ-กลัวผลข้างเคียงยาคุมกำเนิด
คลินิกหมอสูติ-กลัวผลข้างเคียงยาคุมกำเนิด
ดิฉันมีปัญหาจะถามคุณหมอดังนี้ ดิฉันอายุ 35 ปี ตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้ 7 เดือน หลังคลอดต้องการคุมกำเนิดแต่ไม่อยากผ่าตัดทำหมัน เนื่องจากคิดว่าประมาณ 10 ปี (อายุ 45 ปี) อาจจะหมดประจำเดือนแล้ว และสามีไม่ได้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน จะมาก็ช่วงเสาร์-อาทิตย์ทุกสัปดาห์ อยากคุมกำเนิดมาก เพราะเห็นว่าสามารถอยู่ได้นานถึง 5 ปี แต่กลัวเรื่องประจำเดือนจะมากะปริบกะปรอยหรือมาไม่สม่ำเสมอ กลัวอ้วนและกลัวเป็นฝ้า หรือมะเร็งเนื่องจากยาเม็ดอายุนานมาก
ตอบคำถาม
หลังจากคลอดบุตรคนที่สองเรียบร้อยแล้ว คุณคงไม่อยากจะมีบุตรเพิ่มอีกแน่ เพราะอายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว ความจริงการทำหมันหลังคลอดในกรณีของคุณน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด จะได้ไม่ต้องมาลำบากในการคุมกำเนิดชั่วคราวด้วยวิธีต่างๆ ต่อไป แต่ในเมื่อคุณยืนยันที่จะไม่ทำหมัน ก็คงต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งระหว่างการกินยาเม็ดคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิด หรือการฝังยาคุมกำเนิด ทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีคุมกำเนิดชนิดใช้ฮอร์โมนที่เป็นที่นิยมใช้ในบ้านเรา
ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละเม็ดจะประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ผสมกันอยู่ในสัดส่วนแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ แต่ละแผงจะมีฮอร์โมน 21 เม็ด และจะมีช่วงเว้นหรือเป็นเม็ดวิตามินผสมน้ำตาลแทรกมา 7 เม็ด คุณจะต้องกินยาคุมที่เป็นฮอร์โมนวันละเม็ดทุกวันจนครบ 21 เม็ด จากนั้นจึงค่อยกินวิตามินอีก 7 เม็ดที่เหลือ หรือจะเว้นช่วงไว้ 1 สัปดาห์ก็ได้ จากนั้นก็เริ่มแผงใหม่ตามวิธีเดิมไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญก็คือจะต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าในรอบเดือนนั้น จะมีเพศสัมพันธ์มากน้อยเท่าไรก็ตาม เพราะถ้าลืมแม้แต่เม็ดเดียวก็อาจเกิดการตั้งครรภ์ หรือทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ ข้อดีของยาเม็ดคุมกำเนิดก็คือมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง และจะช่วยคุมให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอและมีปริมาณน้อย แต่ก็อาจจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และน้ำหนักตัวเพิ่มในบางรายได้
ส่วนยาฉีดคุมกำเนิด จะประกอบด้วยฮอร์โมนชนิดโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ขี้ลืมไม่ชอบกินยาทุกวัน ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นฉีดยาเข็มละ 3 เดือน ประสิทธิภาพก็ใกล้เคียงกับยาเม็ดคุมกำเนิด แต่จะไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ยาฉีดคุมกำเนิดจะช่วยทำให้เยื่อประจำเดือนแห้งและฝ่อไป ดังนั้น ในขณะฉีดยาคุมจึงจะไม่มีประจำเดือนให้เห็น แต่อาจจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยบ้างในเข็มแรกๆ
สำหรับยาฝังคุมกำเนิดก็เป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับยาฉีดคุมกำเนิด แต่ทำเป็นแท่งๆ ฝังไว้ที่บริเวณท้องแขนแล้วค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมา ยาฝังรุ่นแรกๆ จะทำเป็นแท่งๆ ฝังคราวละ 6 แท่ง อยู่ได้นาน 5 ปี ปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการลดจำนวนแท่งลงเหลือเพียงแท่งเดียว แต่อยู่ได้นาน 3 ปี ทั้ง 3 วิธีเป็นฮอร์โมนคุมกำเนิด ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเกิดเลือดออกกะปริบกะปรอย เป็นฝ้า หรือน้ำหนักตัวเพิ่มได้ แต่ไม่ทำให้เป็นมะเร็งหรอกครับ
คุณสนใจวิธีไหนก็เชิญเลือกได้ตามอัธยาศัย แต่ก่อนอื่นควรที่จะได้รับการตรวจร่างกายและตรวจภายในจากแพทย์เสียก่อนนะครับ จะได้แน่ใจว่าไม่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด เช่น มีเนื้องอกมดลูก ความดันโลหิตสูง หรือมีความผิดปกติในการทำงานของตับ เป็นต้น
นอกจากทั้ง 3 วิธีข้างต้น ก็ยังมีวิธีคุมกำเนิดที่ไม่ต้องใช้ฮอร์โมนอีกวิธี ก็คือ การใส่ห่วงคุมกำเนิด ใส่ง่ายมากและอายุการใช้งานนาน ใส่ครั้งเดียวก็สบายไปถึง 3 ปี วิธีนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องอ้วน เป็นฝ้า หรือมะเร็ง ระหว่างที่ใส่ห่วงจะมีประจำเดือนมาตามปกติ และประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดก็ใกล้เคียงกับการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด แต่ถ้าคุณไม่อยากวุ่นวายกับวิธีคุมกำเนิดชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยกภาระให้สามีใช้ถุงยางอนามัยแทนก็น่าจะสะดวกและปลอดภัยดีครับ
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
ดิฉันมีปัญหาจะถามคุณหมอดังนี้ ดิฉันอายุ 35 ปี ตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้ 7 เดือน หลังคลอดต้องการคุมกำเนิดแต่ไม่อยากผ่าตัดทำหมัน เนื่องจากคิดว่าประมาณ 10 ปี (อายุ 45 ปี) อาจจะหมดประจำเดือนแล้ว และสามีไม่ได้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน จะมาก็ช่วงเสาร์-อาทิตย์ทุกสัปดาห์ อยากคุมกำเนิดมาก เพราะเห็นว่าสามารถอยู่ได้นานถึง 5 ปี แต่กลัวเรื่องประจำเดือนจะมากะปริบกะปรอยหรือมาไม่สม่ำเสมอ กลัวอ้วนและกลัวเป็นฝ้า หรือมะเร็งเนื่องจากยาเม็ดอายุนานมาก
ตอบคำถาม
หลังจากคลอดบุตรคนที่สองเรียบร้อยแล้ว คุณคงไม่อยากจะมีบุตรเพิ่มอีกแน่ เพราะอายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว ความจริงการทำหมันหลังคลอดในกรณีของคุณน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด จะได้ไม่ต้องมาลำบากในการคุมกำเนิดชั่วคราวด้วยวิธีต่างๆ ต่อไป แต่ในเมื่อคุณยืนยันที่จะไม่ทำหมัน ก็คงต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งระหว่างการกินยาเม็ดคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิด หรือการฝังยาคุมกำเนิด ทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีคุมกำเนิดชนิดใช้ฮอร์โมนที่เป็นที่นิยมใช้ในบ้านเรา
ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละเม็ดจะประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ผสมกันอยู่ในสัดส่วนแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ แต่ละแผงจะมีฮอร์โมน 21 เม็ด และจะมีช่วงเว้นหรือเป็นเม็ดวิตามินผสมน้ำตาลแทรกมา 7 เม็ด คุณจะต้องกินยาคุมที่เป็นฮอร์โมนวันละเม็ดทุกวันจนครบ 21 เม็ด จากนั้นจึงค่อยกินวิตามินอีก 7 เม็ดที่เหลือ หรือจะเว้นช่วงไว้ 1 สัปดาห์ก็ได้ จากนั้นก็เริ่มแผงใหม่ตามวิธีเดิมไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญก็คือจะต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าในรอบเดือนนั้น จะมีเพศสัมพันธ์มากน้อยเท่าไรก็ตาม เพราะถ้าลืมแม้แต่เม็ดเดียวก็อาจเกิดการตั้งครรภ์ หรือทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ ข้อดีของยาเม็ดคุมกำเนิดก็คือมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง และจะช่วยคุมให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอและมีปริมาณน้อย แต่ก็อาจจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และน้ำหนักตัวเพิ่มในบางรายได้
ส่วนยาฉีดคุมกำเนิด จะประกอบด้วยฮอร์โมนชนิดโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ขี้ลืมไม่ชอบกินยาทุกวัน ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นฉีดยาเข็มละ 3 เดือน ประสิทธิภาพก็ใกล้เคียงกับยาเม็ดคุมกำเนิด แต่จะไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ยาฉีดคุมกำเนิดจะช่วยทำให้เยื่อประจำเดือนแห้งและฝ่อไป ดังนั้น ในขณะฉีดยาคุมจึงจะไม่มีประจำเดือนให้เห็น แต่อาจจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยบ้างในเข็มแรกๆ
สำหรับยาฝังคุมกำเนิดก็เป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับยาฉีดคุมกำเนิด แต่ทำเป็นแท่งๆ ฝังไว้ที่บริเวณท้องแขนแล้วค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมา ยาฝังรุ่นแรกๆ จะทำเป็นแท่งๆ ฝังคราวละ 6 แท่ง อยู่ได้นาน 5 ปี ปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการลดจำนวนแท่งลงเหลือเพียงแท่งเดียว แต่อยู่ได้นาน 3 ปี ทั้ง 3 วิธีเป็นฮอร์โมนคุมกำเนิด ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเกิดเลือดออกกะปริบกะปรอย เป็นฝ้า หรือน้ำหนักตัวเพิ่มได้ แต่ไม่ทำให้เป็นมะเร็งหรอกครับ
คุณสนใจวิธีไหนก็เชิญเลือกได้ตามอัธยาศัย แต่ก่อนอื่นควรที่จะได้รับการตรวจร่างกายและตรวจภายในจากแพทย์เสียก่อนนะครับ จะได้แน่ใจว่าไม่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด เช่น มีเนื้องอกมดลูก ความดันโลหิตสูง หรือมีความผิดปกติในการทำงานของตับ เป็นต้น
นอกจากทั้ง 3 วิธีข้างต้น ก็ยังมีวิธีคุมกำเนิดที่ไม่ต้องใช้ฮอร์โมนอีกวิธี ก็คือ การใส่ห่วงคุมกำเนิด ใส่ง่ายมากและอายุการใช้งานนาน ใส่ครั้งเดียวก็สบายไปถึง 3 ปี วิธีนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องอ้วน เป็นฝ้า หรือมะเร็ง ระหว่างที่ใส่ห่วงจะมีประจำเดือนมาตามปกติ และประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดก็ใกล้เคียงกับการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด แต่ถ้าคุณไม่อยากวุ่นวายกับวิธีคุมกำเนิดชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยกภาระให้สามีใช้ถุงยางอนามัยแทนก็น่าจะสะดวกและปลอดภัยดีครับ
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ศึกษาทัศน์-วิทยาลัยดุสิตธานี
ศึกษาทัศน์-วิทยาลัยดุสิตธานี_Force8949-1 of 2
ศึกษาทัศน์-วิทยาลัยดุสิตธานี_Force8949-2 of 2
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คลินิกหมอสูติ-ท้องลม ครรภ์ไข่ปลาอุก
คลินิกหมอสูติ-ท้องลม ครรภ์ไข่ปลาอุก
ท้องลมต่างจากท้องไข่ปลาอุกอย่างไรคะ ดิฉันเป็นท้องลมค่ะ ขูดมดลูกไปเมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม อายุครรภ์ 2 เดือน 10 วัน เสียใจมาก ทั้งๆ ที่เตรียมตัวอย่างดี
ดิฉันเข้าใจคำว่าท้องลมพอสมควร โดยอ่านจากฉบับที่ 209 หน้า 56 ของ ผศ.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร สงสัยประโยคที่ว่าตัวเด็กนั้นมีความผิดปกติอยู่ก่อนแล้วจึงสลายไปเองภายหลัง
ดิฉันอาจุ 34 ปี อาชีพค้าขายแบบซูเปอร์มาร์เก็ต สามีทำธุรกิจ อายุเท่ากัน มีลูกชายอายุ 7 ขวบ ไม่มีปัญหาตอนท้อง คลอดธรรมชาติ แพ้ท้องมากกว่าท้องหลัง คุมกำเนิดโดยการนับวัน หน้า 7 หลัง 7 ใช้ถุงยางอนามัยบ้างมากว่า 5 ปี ท้องหลังนี้ดิฉันมีประจำเดือนวันแรก คือวันที่ 1 นอนกับสามีวันที่ 10 จากนั้นไม่ได้นอนอีกเลย ไปอัลตร้าซาวนด์หมอว่าท้อง ดิฉันเข้าใจว่าประจำเดือนยังไม่หมดดี ใช่สาเหตุของความผิดปกติของเด็กหรือเปล่าคะ แล้วทำไมต้องรอถึง 3 เดือน จึงท้องได้ แต่ทำไมท้องไข่ปลาอุกต้องรอเป็นปี มีญาติเพิ่งขูดมดลูกโดยหมอคนเดียวกัน ดิฉันตรวจ HIV โรคเลือดมะเร็งปากมดลูกก่อนท้อง 3 เดือน เคยฉัดวัคซีนหัดเยอรมันเมื่อปี 2533 ถ้าดิฉันท้องในปีหน้าต้องตรวจอะไรบ้างคะ
ตอบคำถาม
ไม่ว่าจะท้องลมหรือท้องไข่ปลาอุก ก็ถือว่าได้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นแล้วทั้งสิ้น แสดงว่าฟองไข่ของคุณสุมาลีได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิเรียบร้อยแล้ว และสามารถเข้ามาฝังในโพรงมดลูกสำเร็จจนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น เพียงแต่ภาวะท้องลมเกิดจากความผิดปกติในการแบ่งตัวของตัวอ่อนที่เกิดไม่สมบูรณ์ คือมีการสร้างถุงน้ำคร่ำและรก แต่ไม่มีการสร้างหรือเจริญเติบโตของตัวอ่อน ถ้าจะเปรียบก็คงคล้ายกับการสร้างตัวบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีผู้อาศัย ทิ้งเอาไว้มดลูกก็จะโตต่อไปเรื่อยๆ แต่ในโพรงมดลูก จะมีแต่ถุงน้ำคร่ำ ไม่มี ตัวเด็ก มองเข้าไปในถุงน้ำคร่ำจะเห็นแต่ความว่างเปล่า เหมือนมองเห็นน้ำหรืออากาศโล่งๆ ก็เลยถูกเรียกว่า "ท้องลม" ในที่สุดก็จะเกิดการแท้งออกมาเองตามธรรมชาติ เพราะร่างกายจะทราบดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป
สาเหตุสำคัญที่สุดในการเกิดท้องลม ก็มักมาจากความผิดปกติของโครโมโซม อาจจะเกิดจากจำนวนโครโมโซมที่ขาดหรือเกินกว่าจำนวนปกติ ร่างกายก็เลยไม่รู้จะประกอบรูปร่างเด็กตามจำนวนโครโมโซมที่ผิดไปได้อย่างไร ขืนประกอบขึ้นมาก็คงเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่หรือกลายเป็นอสุรกายก็ได้ ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ต้องเสียชีวิตอยู่ดี ร่างกายก็เลยไม่สร้างตัวเด็กขึ้นมาซะดื้อๆ หรืออาจพยายามสร้างบ้างเล็กน้อย แต่สร้างต่อไม่ได้ก็เลยหยุดสร้าง แล้วปล่อยให้ตัวเด็กสลายหายไปเอง แบบที่อาจารย์ดิษฐกานต์ว่าเอาไว้นั่นแหละครับ
คุณแม่ที่มีประวัติการแท้งจากท้องลมบ่อยๆ เมื่อสามารถตั้งครรภ์ครั้งต่อไปสำเร็จ ควรที่จะได้รับการตรวจเช็กโครโมโซมด้วย เพราะมีโอกาสที่ลูกในท้องจะมีความผิดปกติของโครโมโซมเช่นกัน ภาวะท้องลมยังดีที่แท้งไปแล้วก็ปล่อยให้ท้องใหม่ได้ตามปกติ จะท้องต่อไปเลยหรือเว้นไว้ 3 เดือนเพื่อให้ร่างกาย และจิตใจฟื้นตัวดีค่อยท้องใหม่ก็ได้ ผิดกับท้องไข่ปลาอุกที่ต้องงดเว้นการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากท้องไข่ปลาอุก ถือเป็นโรคหรือความผิดปกติของเนื้อรก ทำให้เนื้อรกเกิดภาวะบวมน้ำ เกิดเป็นเม็ดๆ พองเป็นถุงน้ำคล้ายพวงองุ่น หรือเม็ดสาคูเต็มโพรงมดลูกไปหมด คนโบราณมองดูเม็ดเหล่านี้ ว่าคล้ายฟองไข่ของปลาอุก ก็เลยตั้งชื่อว่า "ท้องไข่ปลาอุก" และเนื่องจากเนื้อรกเป็นตัวสร้างฮอร์โมน HCG ซึ่งเชื่อว่าทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง ดังนั้น ในท้องไข่ปลาอุกปริมาณของ HCG จึงมีสูงกว่าปกติ มากตามขนาดของเนื้อรกที่บวมขึ้นมา คนไข้ท้องไข่ปลาอุก จึงมีอาการแพ้ท้องรุนแรงมาก ผิดกับภาวะท้องลมที่มักจะสบาย ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีอาการแพ้ท้องเลย
นอกจากนี้ในท้องไข่ปลาอุกส่วนใหญ่ มดลูกจะมีขนาดโตกว่าอายุครรภ์มาก เนื่องจากการบวมของเนื้อรก บางรายท้องแค่ 3 เดือน มดลูกโตเหมือนคนใกล้คลอดเลย นอกจากนี้ก็ยังอาจจะมีอาการของครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ บางครั้งเนื้อรกบวมมากจนเกิดการปริหรือขาดเป็นบางส่วน ทำให้มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดได้ แต่ที่อันตรายที่สุด ก็คือ สามารถกลายเป็นมะเร็งไข่ปลาอุกและลุกลามไปยังช่องคลอดหรือปอดได้ ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นในท้องไข่ปลาอุกเมื่อได้รับการรักษาโดยการดูดหรือขูดมดลูกออกไปแล้ว ต้องห้ามท้องต่ออย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าโรคจะหายขาด และไม่เป็นมะเร็งไข่ปลาอุกต่อไป ในรายท้องไข่ปลาอุกที่มีอาการรุนแรง หลังจากขูดมดลูกแล้วแพทย์อาจต้องให้ยาเคมีบำบัด เพื่อป้องกันการเป็นมะเร็งต่อไปอีกระยะหนึ่งด้วย
สำหรับคุณสุมาลี ทิ้งระยะการมีบุตรห่างไปสักหน่อย ตอนนี้มีอายุ 34 ปีแล้ว คุณแม่ที่มีอายุมากขึ้นก็มีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดท้องลมได้บ่อยขึ้น ดังนั้น ท้องครั้งต่อไปควรที่จะได้รับการตรวจอัลตร้าซาวนด์ตั้งแต่เริ่มแรกเพื่อที่จะได้แน่ใจว่าตั้งครรภ์ปกติหรือไม่ ส่วนเรื่องการตรวจต่างๆ ก็คงต้องตรวจตามปกติของสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป เช่น ตรวจความเข้มข้นของเลือด ซิฟิลิส ตับอักเสบบี และเชื้อเอดส์ใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ก็ควรได้รับการตรวจโครโมโซมของลูกด้วย เพราะปีหน้าคุณสุมาลีก็จะมีอายุครบ 35 ปีพอดี ซึ่งเริ่มเป็นคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตั้งครรภ์ที่มีโครโมโซมผิดปกติแล้วครับ
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
สุมาลี บำรุงการ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
******************************************************
ท้องลมต่างจากท้องไข่ปลาอุกอย่างไรคะ ดิฉันเป็นท้องลมค่ะ ขูดมดลูกไปเมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม อายุครรภ์ 2 เดือน 10 วัน เสียใจมาก ทั้งๆ ที่เตรียมตัวอย่างดี
ดิฉันเข้าใจคำว่าท้องลมพอสมควร โดยอ่านจากฉบับที่ 209 หน้า 56 ของ ผศ.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร สงสัยประโยคที่ว่าตัวเด็กนั้นมีความผิดปกติอยู่ก่อนแล้วจึงสลายไปเองภายหลัง
ดิฉันอาจุ 34 ปี อาชีพค้าขายแบบซูเปอร์มาร์เก็ต สามีทำธุรกิจ อายุเท่ากัน มีลูกชายอายุ 7 ขวบ ไม่มีปัญหาตอนท้อง คลอดธรรมชาติ แพ้ท้องมากกว่าท้องหลัง คุมกำเนิดโดยการนับวัน หน้า 7 หลัง 7 ใช้ถุงยางอนามัยบ้างมากว่า 5 ปี ท้องหลังนี้ดิฉันมีประจำเดือนวันแรก คือวันที่ 1 นอนกับสามีวันที่ 10 จากนั้นไม่ได้นอนอีกเลย ไปอัลตร้าซาวนด์หมอว่าท้อง ดิฉันเข้าใจว่าประจำเดือนยังไม่หมดดี ใช่สาเหตุของความผิดปกติของเด็กหรือเปล่าคะ แล้วทำไมต้องรอถึง 3 เดือน จึงท้องได้ แต่ทำไมท้องไข่ปลาอุกต้องรอเป็นปี มีญาติเพิ่งขูดมดลูกโดยหมอคนเดียวกัน ดิฉันตรวจ HIV โรคเลือดมะเร็งปากมดลูกก่อนท้อง 3 เดือน เคยฉัดวัคซีนหัดเยอรมันเมื่อปี 2533 ถ้าดิฉันท้องในปีหน้าต้องตรวจอะไรบ้างคะ
ตอบคำถาม
ไม่ว่าจะท้องลมหรือท้องไข่ปลาอุก ก็ถือว่าได้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นแล้วทั้งสิ้น แสดงว่าฟองไข่ของคุณสุมาลีได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิเรียบร้อยแล้ว และสามารถเข้ามาฝังในโพรงมดลูกสำเร็จจนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น เพียงแต่ภาวะท้องลมเกิดจากความผิดปกติในการแบ่งตัวของตัวอ่อนที่เกิดไม่สมบูรณ์ คือมีการสร้างถุงน้ำคร่ำและรก แต่ไม่มีการสร้างหรือเจริญเติบโตของตัวอ่อน ถ้าจะเปรียบก็คงคล้ายกับการสร้างตัวบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีผู้อาศัย ทิ้งเอาไว้มดลูกก็จะโตต่อไปเรื่อยๆ แต่ในโพรงมดลูก จะมีแต่ถุงน้ำคร่ำ ไม่มี ตัวเด็ก มองเข้าไปในถุงน้ำคร่ำจะเห็นแต่ความว่างเปล่า เหมือนมองเห็นน้ำหรืออากาศโล่งๆ ก็เลยถูกเรียกว่า "ท้องลม" ในที่สุดก็จะเกิดการแท้งออกมาเองตามธรรมชาติ เพราะร่างกายจะทราบดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป
สาเหตุสำคัญที่สุดในการเกิดท้องลม ก็มักมาจากความผิดปกติของโครโมโซม อาจจะเกิดจากจำนวนโครโมโซมที่ขาดหรือเกินกว่าจำนวนปกติ ร่างกายก็เลยไม่รู้จะประกอบรูปร่างเด็กตามจำนวนโครโมโซมที่ผิดไปได้อย่างไร ขืนประกอบขึ้นมาก็คงเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่หรือกลายเป็นอสุรกายก็ได้ ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ต้องเสียชีวิตอยู่ดี ร่างกายก็เลยไม่สร้างตัวเด็กขึ้นมาซะดื้อๆ หรืออาจพยายามสร้างบ้างเล็กน้อย แต่สร้างต่อไม่ได้ก็เลยหยุดสร้าง แล้วปล่อยให้ตัวเด็กสลายหายไปเอง แบบที่อาจารย์ดิษฐกานต์ว่าเอาไว้นั่นแหละครับ
คุณแม่ที่มีประวัติการแท้งจากท้องลมบ่อยๆ เมื่อสามารถตั้งครรภ์ครั้งต่อไปสำเร็จ ควรที่จะได้รับการตรวจเช็กโครโมโซมด้วย เพราะมีโอกาสที่ลูกในท้องจะมีความผิดปกติของโครโมโซมเช่นกัน ภาวะท้องลมยังดีที่แท้งไปแล้วก็ปล่อยให้ท้องใหม่ได้ตามปกติ จะท้องต่อไปเลยหรือเว้นไว้ 3 เดือนเพื่อให้ร่างกาย และจิตใจฟื้นตัวดีค่อยท้องใหม่ก็ได้ ผิดกับท้องไข่ปลาอุกที่ต้องงดเว้นการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากท้องไข่ปลาอุก ถือเป็นโรคหรือความผิดปกติของเนื้อรก ทำให้เนื้อรกเกิดภาวะบวมน้ำ เกิดเป็นเม็ดๆ พองเป็นถุงน้ำคล้ายพวงองุ่น หรือเม็ดสาคูเต็มโพรงมดลูกไปหมด คนโบราณมองดูเม็ดเหล่านี้ ว่าคล้ายฟองไข่ของปลาอุก ก็เลยตั้งชื่อว่า "ท้องไข่ปลาอุก" และเนื่องจากเนื้อรกเป็นตัวสร้างฮอร์โมน HCG ซึ่งเชื่อว่าทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง ดังนั้น ในท้องไข่ปลาอุกปริมาณของ HCG จึงมีสูงกว่าปกติ มากตามขนาดของเนื้อรกที่บวมขึ้นมา คนไข้ท้องไข่ปลาอุก จึงมีอาการแพ้ท้องรุนแรงมาก ผิดกับภาวะท้องลมที่มักจะสบาย ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีอาการแพ้ท้องเลย
นอกจากนี้ในท้องไข่ปลาอุกส่วนใหญ่ มดลูกจะมีขนาดโตกว่าอายุครรภ์มาก เนื่องจากการบวมของเนื้อรก บางรายท้องแค่ 3 เดือน มดลูกโตเหมือนคนใกล้คลอดเลย นอกจากนี้ก็ยังอาจจะมีอาการของครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ บางครั้งเนื้อรกบวมมากจนเกิดการปริหรือขาดเป็นบางส่วน ทำให้มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดได้ แต่ที่อันตรายที่สุด ก็คือ สามารถกลายเป็นมะเร็งไข่ปลาอุกและลุกลามไปยังช่องคลอดหรือปอดได้ ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นในท้องไข่ปลาอุกเมื่อได้รับการรักษาโดยการดูดหรือขูดมดลูกออกไปแล้ว ต้องห้ามท้องต่ออย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าโรคจะหายขาด และไม่เป็นมะเร็งไข่ปลาอุกต่อไป ในรายท้องไข่ปลาอุกที่มีอาการรุนแรง หลังจากขูดมดลูกแล้วแพทย์อาจต้องให้ยาเคมีบำบัด เพื่อป้องกันการเป็นมะเร็งต่อไปอีกระยะหนึ่งด้วย
สำหรับคุณสุมาลี ทิ้งระยะการมีบุตรห่างไปสักหน่อย ตอนนี้มีอายุ 34 ปีแล้ว คุณแม่ที่มีอายุมากขึ้นก็มีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดท้องลมได้บ่อยขึ้น ดังนั้น ท้องครั้งต่อไปควรที่จะได้รับการตรวจอัลตร้าซาวนด์ตั้งแต่เริ่มแรกเพื่อที่จะได้แน่ใจว่าตั้งครรภ์ปกติหรือไม่ ส่วนเรื่องการตรวจต่างๆ ก็คงต้องตรวจตามปกติของสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป เช่น ตรวจความเข้มข้นของเลือด ซิฟิลิส ตับอักเสบบี และเชื้อเอดส์ใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ก็ควรได้รับการตรวจโครโมโซมของลูกด้วย เพราะปีหน้าคุณสุมาลีก็จะมีอายุครบ 35 ปีพอดี ซึ่งเริ่มเป็นคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตั้งครรภ์ที่มีโครโมโซมผิดปกติแล้วครับ
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
สุมาลี บำรุงการ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
******************************************************
คลินิกหมอสูติ-ตั้งครรภ์อายุน้อย
คลินิกหมอสูติ-ตั้งครรภ์อายุน้อย
ตั้งครรภ์ตอนอายุยังน้อย จำเป็นจะต้องผ่าตัดหรือเปล่าคะ เพราะเมื่อตอนไปฝากครรภ์คราวก่อนเห็นเด็กอายุ 15 ปีคลอดวิธีธรรมชาติ แต่เด็กอายุ 17 ต้องผ่าตัดออก ทั้งๆ ที่เด็กสองคนนี้ก็ดูแข็งแรงดีค่ะ
ตอบคำถาม
เรื่องคุณแม่ตั้งครรภ์อายุยังน้อย บางคนคลอดเองบางคนต้องผ่าออกทางหน้าท้อง โดยทั่วไปแล้ววิธีการคลอดของมารดาที่อายุน้อยมักจะมีโอกาสคลอดโดยผ่าออกทางหน้าท้องมากกว่า เนื่องจากกระดูกเชิงกรานยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ คือ มีขนาดเล็ก ทำให้คลอดยากหรือไม่ได้
นอกจากนี้ โรคแทรกก็ยังมากกว่าครรภ์ทั่วๆ ไป เช่น การเกิดพิษแห่งครรภ์มากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ต้องผ่าตัดออกทางหน้าท้องด้วย
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
******************************************************
ตั้งครรภ์ตอนอายุยังน้อย จำเป็นจะต้องผ่าตัดหรือเปล่าคะ เพราะเมื่อตอนไปฝากครรภ์คราวก่อนเห็นเด็กอายุ 15 ปีคลอดวิธีธรรมชาติ แต่เด็กอายุ 17 ต้องผ่าตัดออก ทั้งๆ ที่เด็กสองคนนี้ก็ดูแข็งแรงดีค่ะ
ตอบคำถาม
เรื่องคุณแม่ตั้งครรภ์อายุยังน้อย บางคนคลอดเองบางคนต้องผ่าออกทางหน้าท้อง โดยทั่วไปแล้ววิธีการคลอดของมารดาที่อายุน้อยมักจะมีโอกาสคลอดโดยผ่าออกทางหน้าท้องมากกว่า เนื่องจากกระดูกเชิงกรานยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ คือ มีขนาดเล็ก ทำให้คลอดยากหรือไม่ได้
นอกจากนี้ โรคแทรกก็ยังมากกว่าครรภ์ทั่วๆ ไป เช่น การเกิดพิษแห่งครรภ์มากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ต้องผ่าตัดออกทางหน้าท้องด้วย
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
******************************************************
คลินิกหมอสูติ-เคยผ่าตัดซีสต์
คลินิกหมอสูติ-เคยผ่าตัดซีสต์
ดิฉันเคยผ่าตัดมดลูกเอา Chocolate ซีสต์ออก จะทราบได้อย่างไรว่า มีพังผืดอยู่มากหรือเปล่า แล้วสามารถคลอดเองได้หรือเปล่าคะ
ตอบคำถาม
การผ่าตัด Chocolate ออก คือ การตัดรังไข่ซึ่งกลายเป็นรังไข่ที่มีเลือดประจำเดือนขังอยู่ ทำให้เห็นเป็นลูกก้อนเลือดที่เรียกว่า Chocalate Cyst เพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับตัวมดลูก การคลอดจึงไม่มีผลอะไรจากการผ่าตัด Chocalate Cyst เลย กระบวนการคลอดก็เหมือนหญิงตั้งครรภ์ทั่วๆ ไป สามารถคลอดเองได้ถ้าไม่มีเหตุอื่น ส่วนเรื่องพังผืดนั้นไม่สามารถบอกว่ามีมากหรือไม่ แต่โอกาสจะมีพังผืดคงมี
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
******************************************************
ดิฉันเคยผ่าตัดมดลูกเอา Chocolate ซีสต์ออก จะทราบได้อย่างไรว่า มีพังผืดอยู่มากหรือเปล่า แล้วสามารถคลอดเองได้หรือเปล่าคะ
ตอบคำถาม
การผ่าตัด Chocolate ออก คือ การตัดรังไข่ซึ่งกลายเป็นรังไข่ที่มีเลือดประจำเดือนขังอยู่ ทำให้เห็นเป็นลูกก้อนเลือดที่เรียกว่า Chocalate Cyst เพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับตัวมดลูก การคลอดจึงไม่มีผลอะไรจากการผ่าตัด Chocalate Cyst เลย กระบวนการคลอดก็เหมือนหญิงตั้งครรภ์ทั่วๆ ไป สามารถคลอดเองได้ถ้าไม่มีเหตุอื่น ส่วนเรื่องพังผืดนั้นไม่สามารถบอกว่ามีมากหรือไม่ แต่โอกาสจะมีพังผืดคงมี
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
******************************************************
คลินิกหมอสูติ-อยากคลอดเอง
คลินิกหมอสูติ-อยากคลอดเอง
ดิฉันอยากคลอดเองถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าถึงเวลาปวดท้องแล้ว เด็กไม่กลับหัวจะทำอย่างไรคะ มีวิธีที่ทำให้คลอดเองได้ไหมคะ
ตอบคำถาม
ถ้าเด็กไม่กลับหัวและเกิดการเจ็บครรภ์ เมื่อครรภ์แก่แล้ว เพื่อความปลอดภัยต่อทารก แพทย์ส่วนใหญ่จะผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง เพราะว่าถ้าให้คลอดท่าก้น โอกาสทารกจะคลอดยากและติดศีรษะ ก็อาจจะทำให้ทารกขาดออกซิเจน หรือบาดเจ็บต่อตัวเด็กได้ เช่น แขนหัก กระดูกคอหัก หรือมีการอัมพาตของแขนก็ได้ เพราะฉะนั้นใคร่ขอแนะนำว่าน่าจะผ่าคลอดออกทางหน้าท้องมีการเสี่ยงน้อยมาก
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
******************************************************
ดิฉันอยากคลอดเองถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าถึงเวลาปวดท้องแล้ว เด็กไม่กลับหัวจะทำอย่างไรคะ มีวิธีที่ทำให้คลอดเองได้ไหมคะ
ตอบคำถาม
ถ้าเด็กไม่กลับหัวและเกิดการเจ็บครรภ์ เมื่อครรภ์แก่แล้ว เพื่อความปลอดภัยต่อทารก แพทย์ส่วนใหญ่จะผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง เพราะว่าถ้าให้คลอดท่าก้น โอกาสทารกจะคลอดยากและติดศีรษะ ก็อาจจะทำให้ทารกขาดออกซิเจน หรือบาดเจ็บต่อตัวเด็กได้ เช่น แขนหัก กระดูกคอหัก หรือมีการอัมพาตของแขนก็ได้ เพราะฉะนั้นใคร่ขอแนะนำว่าน่าจะผ่าคลอดออกทางหน้าท้องมีการเสี่ยงน้อยมาก
******************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
******************************************************
คลินิกหมอสูติ-นวดมีอันตรายไหม
คลินิกหมอสูติ-นวดมีอันตรายไหม
ขณะนี้ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน แล้วค่ะ เป็นท้องแรกเริ่มมีอาการปวดหลังเพราะท้องใหญ่มากขึ้น จะให้ญาติซึ่งชำนาญด้านการนวดช่วยนวดจับเส้นให้ ไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่าคะ และการนวดฝ่าเท้าล่ะคะ จะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ เพราะเห็นตำราโบราณบอกว่านวดฝ่าเท้าบริเวณนี้จะมีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในด้วย
ตอบคำถาม
ตั้งครรภ์ 7 เดือน ครรภ์แรก การนวดจับเส้นแก้เมื่อยคิดว่าไม่น่าจะมีผลต่อทารก ถ้าไม่ให้ไปกระทบกระเทือนต่อท้อง ส่วนผลต่อแม่อาจมีได้ถ้าบางครั้งนวดรุนแรงไป เคยเห็นคนไข้ถูกนวดจนเป็นอัมพาตไป การนวดฝ่าเท้าขณะนี้ก็เป็นศาสตร์หนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ว่ามีผลต่อร่างกายส่วนอื่นของมารดา ส่วนผลต่อทารกนั้นไม่ทราบแน่นอน ถ้าเกรงจะมีผลก็งดไว้ก่อน
***************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
***************************************************
ขณะนี้ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน แล้วค่ะ เป็นท้องแรกเริ่มมีอาการปวดหลังเพราะท้องใหญ่มากขึ้น จะให้ญาติซึ่งชำนาญด้านการนวดช่วยนวดจับเส้นให้ ไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่าคะ และการนวดฝ่าเท้าล่ะคะ จะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ เพราะเห็นตำราโบราณบอกว่านวดฝ่าเท้าบริเวณนี้จะมีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในด้วย
ตอบคำถาม
ตั้งครรภ์ 7 เดือน ครรภ์แรก การนวดจับเส้นแก้เมื่อยคิดว่าไม่น่าจะมีผลต่อทารก ถ้าไม่ให้ไปกระทบกระเทือนต่อท้อง ส่วนผลต่อแม่อาจมีได้ถ้าบางครั้งนวดรุนแรงไป เคยเห็นคนไข้ถูกนวดจนเป็นอัมพาตไป การนวดฝ่าเท้าขณะนี้ก็เป็นศาสตร์หนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ว่ามีผลต่อร่างกายส่วนอื่นของมารดา ส่วนผลต่อทารกนั้นไม่ทราบแน่นอน ถ้าเกรงจะมีผลก็งดไว้ก่อน
***************************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
***************************************************
คลินิกหมอสูติ-ฉีดยากันบาดทะยัก
คลินิกหมอสูติ-ฉีดยากันบาดทะยัก
การฉีดยากันบาดทะยักมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนคะ
ตอบคำถาม
การฉีดยากันบาดทะยัก เพื่อป้องกันการเกิดบาดทะยักในบุตร ยกเว้นรายที่แพ้ยานี้ จึงไม่ต้องฉีดยานี้ การฉีดจะฉีด 3 ครั้ง คือ ครั้งแรก แล้วครั้งที่สอง อีกครั้งหนึ่งเดือนหลังเข็มแรก และเข็มที่สามห่างจากเข็มแรกหกเดือน
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
การฉีดยากันบาดทะยักมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนคะ
ตอบคำถาม
การฉีดยากันบาดทะยัก เพื่อป้องกันการเกิดบาดทะยักในบุตร ยกเว้นรายที่แพ้ยานี้ จึงไม่ต้องฉีดยานี้ การฉีดจะฉีด 3 ครั้ง คือ ครั้งแรก แล้วครั้งที่สอง อีกครั้งหนึ่งเดือนหลังเข็มแรก และเข็มที่สามห่างจากเข็มแรกหกเดือน
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
คลินิกหมอสูติ-ลูกดิ้นแบบไหนดิ้นมากดิ้นน้อย
คลินิกหมอสูติ-ลูกดิ้นแบบไหนดิ้นมากดิ้นน้อย
เราจะนับการดิ้นของลูกในครรภ์อย่างไรว่าดิ้นมากดิ้นน้อย และแบบไหนที่เป็นปกติ
ตอบคำถาม
การนับการดิ้นของลูกในครรภ์ว่าดิ้นมากหรือน้อย ทางการแพทย์หมายถึงจำนวนครั้งของการดิ้นหรือการเคลื่อนไหว เพื่อติดตามดูสุขภาพของทารกในครรภ์ว่าอยู่สุขสบายหรือไม่ อย่างไร ความสำคัญอยู่ที่จำนวนครั้งของการดิ้นในแต่ละวัน ถ้าสังเกตว่าจำนวนครั้งลดลงกว่าร้อยละ 50 ก็น่ารายงานให้แพทย์ทราบ หรืออาจลองนับจำนวนครั้งในหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารสามมื้อ ถ้าน้อยกว่า 4 ครั้ง ต่อชั่วโมง แพทย์ก็จะถือว่าสำคัญและต้องตรวจพิเศษอย่างอื่นเพิ่มเติม ระยะเวลาที่จะเริ่มนับควรเริ่มตั้งแต่ 32 สัปดาห์ขึ้นไป
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
เราจะนับการดิ้นของลูกในครรภ์อย่างไรว่าดิ้นมากดิ้นน้อย และแบบไหนที่เป็นปกติ
ตอบคำถาม
การนับการดิ้นของลูกในครรภ์ว่าดิ้นมากหรือน้อย ทางการแพทย์หมายถึงจำนวนครั้งของการดิ้นหรือการเคลื่อนไหว เพื่อติดตามดูสุขภาพของทารกในครรภ์ว่าอยู่สุขสบายหรือไม่ อย่างไร ความสำคัญอยู่ที่จำนวนครั้งของการดิ้นในแต่ละวัน ถ้าสังเกตว่าจำนวนครั้งลดลงกว่าร้อยละ 50 ก็น่ารายงานให้แพทย์ทราบ หรืออาจลองนับจำนวนครั้งในหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารสามมื้อ ถ้าน้อยกว่า 4 ครั้ง ต่อชั่วโมง แพทย์ก็จะถือว่าสำคัญและต้องตรวจพิเศษอย่างอื่นเพิ่มเติม ระยะเวลาที่จะเริ่มนับควรเริ่มตั้งแต่ 32 สัปดาห์ขึ้นไป
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
ห้องแนะแนว-ภาควิชาการจัดการการไมซ์และอีเว็นทส์ คณะอุตสาหกรรมบริการ วิทยาลัยดุสิตธานี
ห้องแนะแนว-ภาควิชาการจัดการการไมซ์และอีเว็นทส์ คณะอุตสาหกรรมบริการ วิทยาลัยดุสิตธานี_Force8949
คลินิกหมอสูติ-น้ำมันหอมระเหยมีผลต่อทารกไหม
คลินิกหมอสูติ-น้ำมันหอมระเหยมีผลต่อทารกไหม
การใช้กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยเพื่อช่วยลดความเครียดจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่คะ
ตอบคำถาม
กลิ่นหอมของน้ำมันระเหยไม่ทราบว่ามีส่วนประกอบอะไรคงตอบไม่ได้แน่ชัด
แต่ถ้าไม่ใช่ก่อนการตั้งครรภ์ 3 เดือน คงไม่มีผลหรือมีก็น้อย เรื่องความเครียดน่า
จะปรึกษาแพทย์จะดีกว่า
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
การใช้กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยเพื่อช่วยลดความเครียดจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่คะ
ตอบคำถาม
กลิ่นหอมของน้ำมันระเหยไม่ทราบว่ามีส่วนประกอบอะไรคงตอบไม่ได้แน่ชัด
แต่ถ้าไม่ใช่ก่อนการตั้งครรภ์ 3 เดือน คงไม่มีผลหรือมีก็น้อย เรื่องความเครียดน่า
จะปรึกษาแพทย์จะดีกว่า
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
คลินิกหมอสูติ-การที่แม่ตั้งครรภ์เป็นตะคริว
คลินิกหมอสูติ-การที่แม่ตั้งครรภ์เป็นตะคริว
เกิดจากการขาดสารอาหารอะไรหรือเปล่าคะ ต้องกินอะไรเพิ่มเติมไหมคะ
ตอบคำถาม
การที่แม่ตั้งครรภ์และเป็นตะคริวเข้าใจว่ามีการขาดแคลเซียม
หรือแคลเซียมในร่างกายน้อยกว่าปกติ เนื่องจากระหว่างตั้งครรภ์
คุณแม่ต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นเพื่อแบ่งให้ทารกในครรภ์
เพราะฉะนั้นควรรีบรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ปลาตัวเล็กๆ
นมพร่องมันเนยสัก 2 กล่องต่อวัน หรือบางครั้งแพทย์อาจให้ยาเม็ดรับประทาน
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
เกิดจากการขาดสารอาหารอะไรหรือเปล่าคะ ต้องกินอะไรเพิ่มเติมไหมคะ
ตอบคำถาม
การที่แม่ตั้งครรภ์และเป็นตะคริวเข้าใจว่ามีการขาดแคลเซียม
หรือแคลเซียมในร่างกายน้อยกว่าปกติ เนื่องจากระหว่างตั้งครรภ์
คุณแม่ต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นเพื่อแบ่งให้ทารกในครรภ์
เพราะฉะนั้นควรรีบรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ปลาตัวเล็กๆ
นมพร่องมันเนยสัก 2 กล่องต่อวัน หรือบางครั้งแพทย์อาจให้ยาเม็ดรับประทาน
*********************************************
ขอขอบคุณ ข้อมูลดีดีจาก วารสารรักลูก ฉบับที่ 227
*********************************************
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554
VERY
********
** ถาม **
********
วลีที่ว่า "from the very start" ไปพบในหนังสือแมกกาซีน
อยากทราบความหมายและวิธีใช้
*********
** ตอบ **
*********
ปัญหาอยู่ตรง very ครับ คำนี้อ่านว่า เว้หรี่ นะครับ ไม่ใช่ เวอรี่ อย่างที่เรา
ถนัดปากกัน และปัญหาของคำว่า very ก็คือ เรามักจะเอาไปผูกกับ
คำแปลว่า มาก เช่น I love you very much.
ภาษาอังกฤษนั้น ผมได้บอกมาหลายหนแล้วว่า มีแต่ความหมาย
ไม่มีคำแปล ถ้าไปจำว่ามีคำแปล ไปเห็นศัพท์คำไหน ก็จะยึดติดกับ
คำแปลนั้น ซึ่งทำให้ผิดบ่อยๆ
very มีหลายความหมายครับ ในความหมายหนึ่งดังที่เอามาใช้ ในกรณีนั้น
หมายถึง ตรงเปรี๊ยะเลยกับที่บอกหรือแสดง เป็นการย้ำน้ำหนักของคำที่มา
ขยายว่า แน่นอนไม่มีวันเป็นอื่น from the very start (ที่ผมเห็นมักชอบใช้
คำว่า the very beginning กันมากกว่า) ก็หมายถึง จากจุดเริ่มต้นอย่าง
แน่ๆ เลย คือย้ำให้เห็นแบบสุดๆ เลยว่า จากจุดนั้นเอง เวลาคุณเห็น
the very day ก็หมายถึงย้ำว่า วันนั้นแหละ (วันที่พูดถึง ไม่ใช่วันอื่น)
********
** ถาม **
********
วลีที่ว่า "from the very start" ไปพบในหนังสือแมกกาซีน
อยากทราบความหมายและวิธีใช้
*********
** ตอบ **
*********
ปัญหาอยู่ตรง very ครับ คำนี้อ่านว่า เว้หรี่ นะครับ ไม่ใช่ เวอรี่ อย่างที่เรา
ถนัดปากกัน และปัญหาของคำว่า very ก็คือ เรามักจะเอาไปผูกกับ
คำแปลว่า มาก เช่น I love you very much.
ภาษาอังกฤษนั้น ผมได้บอกมาหลายหนแล้วว่า มีแต่ความหมาย
ไม่มีคำแปล ถ้าไปจำว่ามีคำแปล ไปเห็นศัพท์คำไหน ก็จะยึดติดกับ
คำแปลนั้น ซึ่งทำให้ผิดบ่อยๆ
very มีหลายความหมายครับ ในความหมายหนึ่งดังที่เอามาใช้ ในกรณีนั้น
หมายถึง ตรงเปรี๊ยะเลยกับที่บอกหรือแสดง เป็นการย้ำน้ำหนักของคำที่มา
ขยายว่า แน่นอนไม่มีวันเป็นอื่น from the very start (ที่ผมเห็นมักชอบใช้
คำว่า the very beginning กันมากกว่า) ก็หมายถึง จากจุดเริ่มต้นอย่าง
แน่ๆ เลย คือย้ำให้เห็นแบบสุดๆ เลยว่า จากจุดนั้นเอง เวลาคุณเห็น
the very day ก็หมายถึงย้ำว่า วันนั้นแหละ (วันที่พูดถึง ไม่ใช่วันอื่น)
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ร้องไปเถอะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
=====================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ร้องไปเถอะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
=====================================
***********
** ถาม **
***********
เวลาส่งลูกไปโรงเรียนลูกมักจะร้องไห้ตาม ครูที่โรงเรียนบอกว่าไม่เป็นไรปล่อยเขาให้ร้องไห้อย่างนั้นสักพักเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง แต่สงสัยว่านั่นคือการทำร้ายจิตใจเด็กมากเกินไปหรือเปล่า และถ้าขอร้องคุณครูให้อยู่เป็นเพื่อนลูกจนกว่าเขาจะหยุดร้องจะเป็นการดีกว่าหรือไม่
************
** ตอบ **
************
เด็กในช่วง 2-4 ปี กลัวความพลัดพรากมาก กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวเสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้อง กลัวของเล่น กลัวไปหมด ฉะนั้นการร้องไห้เมื่อไปโรงเรียนในตอนเช้า เป็นเหตุการณ์ปกติครับ การไปโรงเรียนถือเป็นการก้าวไปสู่โลกภายนอกที่ต่างไปจากบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ของเล่น เพื่อนและครู
เด็กจึงย่อมเกิดความกังวลในการปรับตัว และยิ่งต้องจากแม่ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดที่สุด แถมต้องไปอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคยอีก เด็กบางคนยังตื่นเต้นอยู่ ใหม่ๆ ก็ร้องไห้นิดหน่อย แต่พอไป 2-3 สัปดาห์ยิ่งร้องไห้มากขึ้น เพราะรู้ชัดเจนแล้วว่า โรงเรียนไม่เหมือนบ้านแน่นอน แถมครูยังมีเด็กจำนวนมาก ย่อมตอบสนองและดูแลตนได้ไม่ดีเท่ากับบ้าน เด็กที่พร้อมมากๆ หมายถึงสังคมดี คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าบ้างแล้วก็ยังร้องไห้เลยครับ จนคุณครู มักจะกล่าวกันว่าเด็กคนไหนไม่ร้องไห้สิ ผิดสังเกต ต้องจับตาดูกันหน่อย อาจจะมีปัญหาละมัง แต่เด็กทุกคนก็จะปรับตัวได้ในที่สุด ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ พอคุณแม่คล้อยไปแล้ว สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าจะช่วยให้ดีขึ้น และถ้าร่วมทำกิจกรรมได้ เรียกได้ว่าร้องไห้แป๊บเดียว แต่ผู้ปกครองมักจะจำได้ติดตาว่าลูกร้องไห้แล้วนำไปคิดต่อทั้งวัน ปฏิบัติตามที่คุณครูบอกเถอะครับ ร่วมมือกัน เด็กจะปรับตัวได้และเลิกร้องไห้ในที่สุด ส่วนมากไม่เกิน 6 สัปดาห์ครับ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ร้องไปเถอะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
=====================================
***********
** ถาม **
***********
เวลาส่งลูกไปโรงเรียนลูกมักจะร้องไห้ตาม ครูที่โรงเรียนบอกว่าไม่เป็นไรปล่อยเขาให้ร้องไห้อย่างนั้นสักพักเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง แต่สงสัยว่านั่นคือการทำร้ายจิตใจเด็กมากเกินไปหรือเปล่า และถ้าขอร้องคุณครูให้อยู่เป็นเพื่อนลูกจนกว่าเขาจะหยุดร้องจะเป็นการดีกว่าหรือไม่
************
** ตอบ **
************
เด็กในช่วง 2-4 ปี กลัวความพลัดพรากมาก กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวเสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้อง กลัวของเล่น กลัวไปหมด ฉะนั้นการร้องไห้เมื่อไปโรงเรียนในตอนเช้า เป็นเหตุการณ์ปกติครับ การไปโรงเรียนถือเป็นการก้าวไปสู่โลกภายนอกที่ต่างไปจากบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ของเล่น เพื่อนและครู
เด็กจึงย่อมเกิดความกังวลในการปรับตัว และยิ่งต้องจากแม่ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดที่สุด แถมต้องไปอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคยอีก เด็กบางคนยังตื่นเต้นอยู่ ใหม่ๆ ก็ร้องไห้นิดหน่อย แต่พอไป 2-3 สัปดาห์ยิ่งร้องไห้มากขึ้น เพราะรู้ชัดเจนแล้วว่า โรงเรียนไม่เหมือนบ้านแน่นอน แถมครูยังมีเด็กจำนวนมาก ย่อมตอบสนองและดูแลตนได้ไม่ดีเท่ากับบ้าน เด็กที่พร้อมมากๆ หมายถึงสังคมดี คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าบ้างแล้วก็ยังร้องไห้เลยครับ จนคุณครู มักจะกล่าวกันว่าเด็กคนไหนไม่ร้องไห้สิ ผิดสังเกต ต้องจับตาดูกันหน่อย อาจจะมีปัญหาละมัง แต่เด็กทุกคนก็จะปรับตัวได้ในที่สุด ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ พอคุณแม่คล้อยไปแล้ว สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าจะช่วยให้ดีขึ้น และถ้าร่วมทำกิจกรรมได้ เรียกได้ว่าร้องไห้แป๊บเดียว แต่ผู้ปกครองมักจะจำได้ติดตาว่าลูกร้องไห้แล้วนำไปคิดต่อทั้งวัน ปฏิบัติตามที่คุณครูบอกเถอะครับ ร่วมมือกัน เด็กจะปรับตัวได้และเลิกร้องไห้ในที่สุด ส่วนมากไม่เกิน 6 สัปดาห์ครับ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เข้าเรียนเทอม 2
=============================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เข้าเรียนเทอม 2
=============================================
***********
** ถาม **
***********
ลูกอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน แต่ตัวเองไม่มีเวลาเลี้ยงและต้องการจะฝากลูกไว้ที่โรงเรียนเร็วๆ ถ้าให้เขาเข้าเรียนในเทอม 2 แทน เขาจะตามเพื่อนทันไหม และจะมีผลต่อพัฒนาการเขาหรือเปล่า
************
** ตอบ **
************
คุณแม่หลายต่อหลายท่านที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกไม่สบายใจกับการนำลูกเข้าโรงเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก ด้วยความจำเป็น ยิ่งเห็นลูกร้องไห้ งอแง ต่อต้านการมาโรงเรียน ในสภาวะที่ลูกกำลังปรับตัวยิ่งเป็นทุกข์ เอาละครับ ถ้ามันมีความจำเป็นจริงๆ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี เริ่มด้วยคุณแม่ต้องทำความรู้สึกกับตัวเองก่อนว่าตัวเองตัดสินใจแล้วว่าการส่งลูกไปโรงเรียนเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเองและลูกก็จะมีผู้ดูแลแทน เพราะหากตัวคุณแม่เองรู้สึกผิดที่ส่งลูกมาตั้งแต่ยังเล็กมาก ลูกน่าสงสาร คุณแม่จะถ่ายทอดความไม่สบายใจมายังลูกโดยไม่รู้ตัว ทั้งวาจาและคำพูด ความไม่มั่นคง ไม่เข้มแข็งของเรา จะทำให้ลูกไม่มั่นคงตามกันไปด้วย การปรับตัวของลูกยิ่งจะนานวัน เมื่อลูกกลับมาจากโรงเรียนให้โอบกอดลูก พูดคุยกับลูกแต่ไม่ใช่เซ้าซี้นะครับ
ลูกไม่เล่าไม่เป็นไร ให้ความสนใจพูดคุยถึงผลงานที่ลูกนำติดมือกลับมาบ้าน สังเกตว่าลูกหิวหรือไม่ อ่อนเพลียแค่ไหน เพื่อให้การดูแลอย่างเหมาะสม เพราะการไปโรงเรียนใหม่ๆ ลูกอาจจะนอนน้อย และรับประทานอาหารไม่ได้เท่าปริมาณเดิม
นอกจากความเอาใจใส่เมื่อลูกกลับมาบ้านแล้ว คุณแม่ลูกเล็กจะต้องติดตามพูดคุยกับผู้เลี้ยงดูหรือคุณครูที่โรงเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อปรึกษาหารือกันในเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก และร่วมกันแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงติดตามว่าลูกทำกิจกรรมอะไรบ้างที่โรงเรียนร้องเพลงท่องกลอนอะไร และหากคุณแม่นำกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนมาใช้ที่บ้านด้วย นอกจากจะช่วยให้ลูกสามารถทำกิจกรรมตามกลุ่มได้เร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้ลูกเบิกบานใจที่คุณแม่ก็รู้เรื่องที่เขากำลังสนใจอยู่ สำหรับการเอาลูกมาเข้าเรียนในภาคเรียนที่สอง ก็มีแง่ดีเหมือนกันครับ เพราะเด็กอื่นๆ ปรับตัวกันหมดแล้ว คุณครูก็จะมีเวลาให้ความช่วยเหลือดูแลลูกได้มากขึ้น และจะช่วยให้ลูกสามารถทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนได้ ไม่นานนักลูกก็จะสนุกสนานและมีความสุขกับการไปโรงเรียน
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เข้าเรียนเทอม 2
=============================================
***********
** ถาม **
***********
ลูกอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน แต่ตัวเองไม่มีเวลาเลี้ยงและต้องการจะฝากลูกไว้ที่โรงเรียนเร็วๆ ถ้าให้เขาเข้าเรียนในเทอม 2 แทน เขาจะตามเพื่อนทันไหม และจะมีผลต่อพัฒนาการเขาหรือเปล่า
************
** ตอบ **
************
คุณแม่หลายต่อหลายท่านที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกไม่สบายใจกับการนำลูกเข้าโรงเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก ด้วยความจำเป็น ยิ่งเห็นลูกร้องไห้ งอแง ต่อต้านการมาโรงเรียน ในสภาวะที่ลูกกำลังปรับตัวยิ่งเป็นทุกข์ เอาละครับ ถ้ามันมีความจำเป็นจริงๆ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี เริ่มด้วยคุณแม่ต้องทำความรู้สึกกับตัวเองก่อนว่าตัวเองตัดสินใจแล้วว่าการส่งลูกไปโรงเรียนเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเองและลูกก็จะมีผู้ดูแลแทน เพราะหากตัวคุณแม่เองรู้สึกผิดที่ส่งลูกมาตั้งแต่ยังเล็กมาก ลูกน่าสงสาร คุณแม่จะถ่ายทอดความไม่สบายใจมายังลูกโดยไม่รู้ตัว ทั้งวาจาและคำพูด ความไม่มั่นคง ไม่เข้มแข็งของเรา จะทำให้ลูกไม่มั่นคงตามกันไปด้วย การปรับตัวของลูกยิ่งจะนานวัน เมื่อลูกกลับมาจากโรงเรียนให้โอบกอดลูก พูดคุยกับลูกแต่ไม่ใช่เซ้าซี้นะครับ
ลูกไม่เล่าไม่เป็นไร ให้ความสนใจพูดคุยถึงผลงานที่ลูกนำติดมือกลับมาบ้าน สังเกตว่าลูกหิวหรือไม่ อ่อนเพลียแค่ไหน เพื่อให้การดูแลอย่างเหมาะสม เพราะการไปโรงเรียนใหม่ๆ ลูกอาจจะนอนน้อย และรับประทานอาหารไม่ได้เท่าปริมาณเดิม
นอกจากความเอาใจใส่เมื่อลูกกลับมาบ้านแล้ว คุณแม่ลูกเล็กจะต้องติดตามพูดคุยกับผู้เลี้ยงดูหรือคุณครูที่โรงเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อปรึกษาหารือกันในเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก และร่วมกันแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงติดตามว่าลูกทำกิจกรรมอะไรบ้างที่โรงเรียนร้องเพลงท่องกลอนอะไร และหากคุณแม่นำกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนมาใช้ที่บ้านด้วย นอกจากจะช่วยให้ลูกสามารถทำกิจกรรมตามกลุ่มได้เร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้ลูกเบิกบานใจที่คุณแม่ก็รู้เรื่องที่เขากำลังสนใจอยู่ สำหรับการเอาลูกมาเข้าเรียนในภาคเรียนที่สอง ก็มีแง่ดีเหมือนกันครับ เพราะเด็กอื่นๆ ปรับตัวกันหมดแล้ว คุณครูก็จะมีเวลาให้ความช่วยเหลือดูแลลูกได้มากขึ้น และจะช่วยให้ลูกสามารถทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนได้ ไม่นานนักลูกก็จะสนุกสนานและมีความสุขกับการไปโรงเรียน
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ยุคเศรษฐกิจแบบนี้จะเสริมทักษะใดดีให้แก่ลูก
================================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ยุคเศรษฐกิจแบบนี้จะเสริมทักษะใดดีให้แก่ลูก
================================================
***********
** ถาม **
***********
ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คุณแม่กลุ้มใจค่ะว่าจะสนับสนุนลูกให้มีทักษะเสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนคอมพิวเตอร์ เรียนดนตรี หรือ เรียนจินตคณิต ฯลฯ ได้อย่างไรในสภาพการเงินที่ฝืดเคืองอย่างนี้
************
** ตอบ **
************
การส่งเสริมความสามารถและความสนใจของลูกมีประโยชน์แน่ๆ แต่สภาพเศรษฐกิจก็เป็นตัวแปรของวิถีชีวิตและโอกาสด้วยเช่นกัน ตามแนวคิดพหุปัญญาที่ยอมรับว่า คนเราน่าจะมีความสามารถหลากหลายและตามหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลทำให้มีกิจกรรมต่างๆ ให้เลือกเรียนเสริมมากมาย ครอบครัวใดไม่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจก็ไม่ทุกข์ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งเสริมความสามารถและความสนใจของลูกจะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องมาคิดก่อนว่าลูกของเรามีศักยภาพอย่างไร เขาสนใจและดูจะมีความสามารถทางดนตรีแน่หรือ เขากระหายใคร่รู้หรือมีปัญหาอย่างยิ่งด้านคณิตศาสตร์ เขาเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ได้เร็วมาก เขาดื่มด่ำงานศิลป์และสร้างงานวาดภาพได้ดี เขาแข็งแรงว่องไวเล่นกีฬาได้ดี ฯลฯ
การเรียนเสริมเรามักทำด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ ส่งเสริมความสามารถความสนใจ หรือไม่ก็เป็นการซ่อมเสริมแก้ไขการเรียนรู้ที่บกพร่อง เราควรตัดสินใจตามความจำเป็นเกี่ยวกับศักยภาพของลูก และความพร้อมทางเศรษฐกิจของครอบครัว อาจเลือกเพียงเรื่องเดียวที่จำเป็นที่สุดก่อน อย่าไปทำตามแฟชั่นทางวิชาการ ที่นอกจากจะเปลืองโดยไม่จำเป็นแล้ว บางทีแทนที่จะส่งเสริมแต่กลายเป็นการยัดเยียด สร้างความเบื่อหรือเกลียดการเรียนไปเลยก็เห็นมามากแล้ว
ความจริงโรงเรียนที่มีคุณภาพ เขามักมีกิจกรรมชุมชนที่เด็กๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมายในการต่อเติมความสามารถและความสนใจของเขา ขอให้ลูกตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมเสริมต่างๆ ในโรงเรียนให้เต็มที่ก็ช่วยได้มากแล้ว ไม่ควรกังวลเกินไปกับการเรียนพิเศษ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ยุคเศรษฐกิจแบบนี้จะเสริมทักษะใดดีให้แก่ลูก
================================================
***********
** ถาม **
***********
ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คุณแม่กลุ้มใจค่ะว่าจะสนับสนุนลูกให้มีทักษะเสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนคอมพิวเตอร์ เรียนดนตรี หรือ เรียนจินตคณิต ฯลฯ ได้อย่างไรในสภาพการเงินที่ฝืดเคืองอย่างนี้
************
** ตอบ **
************
การส่งเสริมความสามารถและความสนใจของลูกมีประโยชน์แน่ๆ แต่สภาพเศรษฐกิจก็เป็นตัวแปรของวิถีชีวิตและโอกาสด้วยเช่นกัน ตามแนวคิดพหุปัญญาที่ยอมรับว่า คนเราน่าจะมีความสามารถหลากหลายและตามหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลทำให้มีกิจกรรมต่างๆ ให้เลือกเรียนเสริมมากมาย ครอบครัวใดไม่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจก็ไม่ทุกข์ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งเสริมความสามารถและความสนใจของลูกจะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องมาคิดก่อนว่าลูกของเรามีศักยภาพอย่างไร เขาสนใจและดูจะมีความสามารถทางดนตรีแน่หรือ เขากระหายใคร่รู้หรือมีปัญหาอย่างยิ่งด้านคณิตศาสตร์ เขาเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ได้เร็วมาก เขาดื่มด่ำงานศิลป์และสร้างงานวาดภาพได้ดี เขาแข็งแรงว่องไวเล่นกีฬาได้ดี ฯลฯ
การเรียนเสริมเรามักทำด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ ส่งเสริมความสามารถความสนใจ หรือไม่ก็เป็นการซ่อมเสริมแก้ไขการเรียนรู้ที่บกพร่อง เราควรตัดสินใจตามความจำเป็นเกี่ยวกับศักยภาพของลูก และความพร้อมทางเศรษฐกิจของครอบครัว อาจเลือกเพียงเรื่องเดียวที่จำเป็นที่สุดก่อน อย่าไปทำตามแฟชั่นทางวิชาการ ที่นอกจากจะเปลืองโดยไม่จำเป็นแล้ว บางทีแทนที่จะส่งเสริมแต่กลายเป็นการยัดเยียด สร้างความเบื่อหรือเกลียดการเรียนไปเลยก็เห็นมามากแล้ว
ความจริงโรงเรียนที่มีคุณภาพ เขามักมีกิจกรรมชุมชนที่เด็กๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมายในการต่อเติมความสามารถและความสนใจของเขา ขอให้ลูกตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมเสริมต่างๆ ในโรงเรียนให้เต็มที่ก็ช่วยได้มากแล้ว ไม่ควรกังวลเกินไปกับการเรียนพิเศษ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ร.ร.Bilingual & นานาชาติต่างกันไหม
=========================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ร.ร.Bilingual & นานาชาติต่างกันไหม
=========================================
***********
** ถาม **
***********
เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนที่สอน 2 ภาษาหรือไบลิงกัวล์เกิดขึ้นมากมาย เลยอยากทราบว่า ถ้าให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนแบบนี้จะแตกต่างกับให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ อย่างไรคะ
************
** ตอบ **
************
โรงเรียน Bilingual คือ โรงเรียนที่สอนตามหลักของกระทรวง เพียงแต่เปิดโอกาสให้สอนเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนโรงเรียนนานาชาติมีหลักสูตรจัดให้เหมาะสมเฉพาะที่ รวมถึงโรงเรียนจีน โรงเรียนญี่ปุ่นก็มีหลักสูตรจัดเพื่อเหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ หากคุณแม่มีความคิดจะส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ เราก็ต้องดูความเหมาะสมในครอบครัวเราด้วย พิจารณาดูว่ามีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องให้ลูกศึกษาภาษาต่างประเทศ ในครอบครัวเราพบปะกับผู้คนต่างชาติหรือมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาต่างประเทศหรือไม่ การรับรู้ทางภาษาตามธรรมชาติของมนุษย์แล้วจะเรียนรู้ได้ดีหากมีโอกาสได้ใช้ เรียนไปใช้ไปมักได้ผลกับผู้เรียน
โรงเรียน Bilingual คือได้ 2 อย่าง ได้ทั้งหลักสูตรของประเทศเราและภาษาที่ 2 ไปด้วย ส่วนโรงเรียนนานาชาติลูกก็จะได้สังคมที่แตกต่างออกไป มีเพื่อนหลายชาติ หลายภาษา หลักสูตรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน ซึ่งต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชมและพูดคุยกันนะครับ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ร.ร.Bilingual & นานาชาติต่างกันไหม
=========================================
***********
** ถาม **
***********
เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนที่สอน 2 ภาษาหรือไบลิงกัวล์เกิดขึ้นมากมาย เลยอยากทราบว่า ถ้าให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนแบบนี้จะแตกต่างกับให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ อย่างไรคะ
************
** ตอบ **
************
โรงเรียน Bilingual คือ โรงเรียนที่สอนตามหลักของกระทรวง เพียงแต่เปิดโอกาสให้สอนเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนโรงเรียนนานาชาติมีหลักสูตรจัดให้เหมาะสมเฉพาะที่ รวมถึงโรงเรียนจีน โรงเรียนญี่ปุ่นก็มีหลักสูตรจัดเพื่อเหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ หากคุณแม่มีความคิดจะส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ เราก็ต้องดูความเหมาะสมในครอบครัวเราด้วย พิจารณาดูว่ามีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องให้ลูกศึกษาภาษาต่างประเทศ ในครอบครัวเราพบปะกับผู้คนต่างชาติหรือมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาต่างประเทศหรือไม่ การรับรู้ทางภาษาตามธรรมชาติของมนุษย์แล้วจะเรียนรู้ได้ดีหากมีโอกาสได้ใช้ เรียนไปใช้ไปมักได้ผลกับผู้เรียน
โรงเรียน Bilingual คือได้ 2 อย่าง ได้ทั้งหลักสูตรของประเทศเราและภาษาที่ 2 ไปด้วย ส่วนโรงเรียนนานาชาติลูกก็จะได้สังคมที่แตกต่างออกไป มีเพื่อนหลายชาติ หลายภาษา หลักสูตรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน ซึ่งต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชมและพูดคุยกันนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เล่นเกมคอมพิวเตอร์ก้าวร้าวได้ไหม
======================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เล่นเกมคอมพิวเตอร์ก้าวร้าวได้ไหม
======================================
***********
** ถาม **
***********
คุณแม่ลูกวัย 5 ขวบ เกรงว่าลูกจะได้รับอิทธิพลจากเกมคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ตามห้างสรรพสินค้า เพราะเนื้อหาในเกมล้วนมีแต่การต่อสู้ รบราฆ่าฟันกัน ถ้าปล่อยให้ลูกเล่นบ่อยๆ ลูกจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าวหรือไม่
************
** ตอบ **
************
เด็กวัย 5 ขวบเป็นวัยที่มีความสนใจหลากหลาย สิ่งใดที่มีความเคลื่อนไหว มีสีสัน มีเสียง ย่อมเรียกร้องความสนใจได้ดีกว่า แต่ก็เป็นความสนใจสั้นๆ เราสามารถหันเหความสนใจไปสู่สิ่งอื่นได้ไม่ยากนัก สิ่งใดที่พิจารณาแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์แก่เด็ก เราต้องเลี่ยงนะครับ ไม่ให้ไปพบไปเห็น เด็กก็จะเดินไปหาเองไม่ได้ เมื่อไม่เห็นสักพักหนึ่งก็จะลืม อาจต้องถึงกับไม่พาลูกไปห้างสรรพสินค้า แต่พาไปที่อื่นที่เห็นว่ามีประโยชน์แก่เด็กวัยนี้แทน เช่น พาไปเล่นกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่น พาไปว่ายน้ำ เป็นต้น จริงอยู่เราหลีกเลี่ยงคอมพิวเตอร์ไม่ได้แน่ สักวันหนึ่งลูกคงต้องใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งวันนั้นลูกอาจเป็นเด็กที่เข้าใจเหตุผลมากขึ้น รู้จักกฏระเบียบที่ร่วมกันกำหนดขึ้น เช่น เล่นได้ครั้งละไม่นาน เป็นต้น เพราะเมื่อถึงเวลานั้น เราจะสามารถพูดคุยร่วมคิดวิเคราะห์ถึงผลที่เกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เราอาจเลือกบรรจุเกมที่สนุก ให้ความรู้ เสริมความคิด ลูกจะได้ใช้คอมพิวเตอร์ได้ และไม่เกิดการเลียนแบบจนกลายเป็นเด็กก้าวร้าวอย่างที่คุณแม่ไม่ต้องการ นอกจากนี้แล้วสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีคือไม่ก้าวร้าวด้วย
เด็ก 5 ขวบยังคงต้องพัฒนาอีกหลายด้านนะครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย การอยู่ร่วมหรือเล่นกับผู้อื่น ซึ่งคอมพิวเตอร์ให้ไม่ได้ ฉะนั้นคงต้องใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็น เพื่อจะได้เกิดประโยชน์แก่เรามากที่สุด
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เล่นเกมคอมพิวเตอร์ก้าวร้าวได้ไหม
======================================
***********
** ถาม **
***********
คุณแม่ลูกวัย 5 ขวบ เกรงว่าลูกจะได้รับอิทธิพลจากเกมคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ตามห้างสรรพสินค้า เพราะเนื้อหาในเกมล้วนมีแต่การต่อสู้ รบราฆ่าฟันกัน ถ้าปล่อยให้ลูกเล่นบ่อยๆ ลูกจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าวหรือไม่
************
** ตอบ **
************
เด็กวัย 5 ขวบเป็นวัยที่มีความสนใจหลากหลาย สิ่งใดที่มีความเคลื่อนไหว มีสีสัน มีเสียง ย่อมเรียกร้องความสนใจได้ดีกว่า แต่ก็เป็นความสนใจสั้นๆ เราสามารถหันเหความสนใจไปสู่สิ่งอื่นได้ไม่ยากนัก สิ่งใดที่พิจารณาแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์แก่เด็ก เราต้องเลี่ยงนะครับ ไม่ให้ไปพบไปเห็น เด็กก็จะเดินไปหาเองไม่ได้ เมื่อไม่เห็นสักพักหนึ่งก็จะลืม อาจต้องถึงกับไม่พาลูกไปห้างสรรพสินค้า แต่พาไปที่อื่นที่เห็นว่ามีประโยชน์แก่เด็กวัยนี้แทน เช่น พาไปเล่นกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่น พาไปว่ายน้ำ เป็นต้น จริงอยู่เราหลีกเลี่ยงคอมพิวเตอร์ไม่ได้แน่ สักวันหนึ่งลูกคงต้องใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งวันนั้นลูกอาจเป็นเด็กที่เข้าใจเหตุผลมากขึ้น รู้จักกฏระเบียบที่ร่วมกันกำหนดขึ้น เช่น เล่นได้ครั้งละไม่นาน เป็นต้น เพราะเมื่อถึงเวลานั้น เราจะสามารถพูดคุยร่วมคิดวิเคราะห์ถึงผลที่เกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เราอาจเลือกบรรจุเกมที่สนุก ให้ความรู้ เสริมความคิด ลูกจะได้ใช้คอมพิวเตอร์ได้ และไม่เกิดการเลียนแบบจนกลายเป็นเด็กก้าวร้าวอย่างที่คุณแม่ไม่ต้องการ นอกจากนี้แล้วสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีคือไม่ก้าวร้าวด้วย
เด็ก 5 ขวบยังคงต้องพัฒนาอีกหลายด้านนะครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย การอยู่ร่วมหรือเล่นกับผู้อื่น ซึ่งคอมพิวเตอร์ให้ไม่ได้ ฉะนั้นคงต้องใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็น เพื่อจะได้เกิดประโยชน์แก่เรามากที่สุด
ถาม-ตอบ วัยเรียน-สอนภาษาลูกวิธีไหนถูกสุด
======================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-สอนภาษาลูกวิธีไหนถูกสุด
======================================
***********
** ถาม **
***********
ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ปกครองล้วนมีปัจจัยด้านการเงินจำกัด แต่ก็อยากให้ลูกได้ฝึกทักษะด้านภาษาอย่างมีคุณภาพ จึงอยากขอคำแนะนำว่า จะสนับสนุนลูกไปในเรื่องนี้ได้อย่างไรโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงนัก
************
** ตอบ **
************
คำว่าทักษะด้านภาษาในที่นี้คงหมายถึงด้านภาษาอังกฤษ สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษในช่วงวัยอนุบาลนั้น ยังไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นถึงขั้นลำบากที่จะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจ สิ่งที่จะช่วยได้ดีและค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก ก็อาจทำได้โดยใช้เทปเพลงภาษาอังกฤษ หรือวีดีโอซีดี หรือ ซีดี ที่ทำขึ้นเฉพาะสอนเด็กเล็กๆ โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องอยู่ด้วยใกล้ๆ ร่วมสนทนากับลูกด้วย เพื่อทำให้บทเรียนนั้นน่าสนใจ เพราะทั้งเทปและซีดีนั้น เด็กๆ จะเป็นฝ่ายรับทางเดียว ไม่สามารถจะตอบโต้กับลูกได้ ดังนั้นสื่อเหล่านี้จึงเป็นเพียงเครื่องมือช่วยสอนของคุณพ่อคุณแม่นั่นเองครับ และไม่ต้องสอนกันนานจนลูกเกิดความเบื่อหน่ายและอย่าเอาจริงเอาจังจนเกินไป
การสอนเด็กในวัยนี้ต้องให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน ไม่จงใจสอน แต่เป็นการเรียนปนเล่น เทปและซีดี ยังช่วยลดความกังวลของคุณพ่อคุณแม่ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่สำเนียงภาษาไม่ดีและลูกจะติดไปด้วย
การสอนลูกแบบนี้ท่านเอง ก็ยังได้ฝึกภาษาไปด้วยในตัว นอกจากนี้ยังชี้ชวนกันอ่านป้ายหรือตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่ทั่วไป เช่น ชื่อร้านอาหาร ร้านค้า สินค้าหลายๆ ชนิดที่ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับภาษานั่นเอง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ภาษาค่อนข้างดี ก็อาจจะร้องเพลงภาษาอังกฤษ อ่านนิทาน และพูดคุยประโยคสั้นๆ หรือคำศัพท์ง่ายๆ กับลูก
แต่อย่าคาดหวังว่าลูกจะต้องได้ดังใจที่ตั้งใจหลายๆ ครั้งเราพบว่า พ่อแม่ที่ฝึกให้ลูกท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เวลาพบปะกับเพื่อนหรือญาติ มักบังคับให้ลูกบอกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น แมว ภาษาอังกฤษว่าอะไรลูกบอกป้าเขาซิ ทำเอาเด็กรู้สึกเครียด ไม่ยอมพูด พ่อแม่เองก็รู้สึกผิดหวังจึงแสดงความไม่พอใจที่ลูกไม่ยอมพูด ทำให้บรรยากาศหมดความสุขไปในทันที
ดังนั้นในการสอนภาษาให้กับลูกนั้นต้องให้ลูกรู้สึกสนุกกับภาษาเพื่อให้ลูกรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นของใกล้ตัว และมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษนั่นเอง
ถาม-ตอบ วัยเรียน-สอนภาษาลูกวิธีไหนถูกสุด
======================================
***********
** ถาม **
***********
ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ปกครองล้วนมีปัจจัยด้านการเงินจำกัด แต่ก็อยากให้ลูกได้ฝึกทักษะด้านภาษาอย่างมีคุณภาพ จึงอยากขอคำแนะนำว่า จะสนับสนุนลูกไปในเรื่องนี้ได้อย่างไรโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงนัก
************
** ตอบ **
************
คำว่าทักษะด้านภาษาในที่นี้คงหมายถึงด้านภาษาอังกฤษ สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษในช่วงวัยอนุบาลนั้น ยังไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นถึงขั้นลำบากที่จะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจ สิ่งที่จะช่วยได้ดีและค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก ก็อาจทำได้โดยใช้เทปเพลงภาษาอังกฤษ หรือวีดีโอซีดี หรือ ซีดี ที่ทำขึ้นเฉพาะสอนเด็กเล็กๆ โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องอยู่ด้วยใกล้ๆ ร่วมสนทนากับลูกด้วย เพื่อทำให้บทเรียนนั้นน่าสนใจ เพราะทั้งเทปและซีดีนั้น เด็กๆ จะเป็นฝ่ายรับทางเดียว ไม่สามารถจะตอบโต้กับลูกได้ ดังนั้นสื่อเหล่านี้จึงเป็นเพียงเครื่องมือช่วยสอนของคุณพ่อคุณแม่นั่นเองครับ และไม่ต้องสอนกันนานจนลูกเกิดความเบื่อหน่ายและอย่าเอาจริงเอาจังจนเกินไป
การสอนเด็กในวัยนี้ต้องให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน ไม่จงใจสอน แต่เป็นการเรียนปนเล่น เทปและซีดี ยังช่วยลดความกังวลของคุณพ่อคุณแม่ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่สำเนียงภาษาไม่ดีและลูกจะติดไปด้วย
การสอนลูกแบบนี้ท่านเอง ก็ยังได้ฝึกภาษาไปด้วยในตัว นอกจากนี้ยังชี้ชวนกันอ่านป้ายหรือตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่ทั่วไป เช่น ชื่อร้านอาหาร ร้านค้า สินค้าหลายๆ ชนิดที่ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับภาษานั่นเอง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ภาษาค่อนข้างดี ก็อาจจะร้องเพลงภาษาอังกฤษ อ่านนิทาน และพูดคุยประโยคสั้นๆ หรือคำศัพท์ง่ายๆ กับลูก
แต่อย่าคาดหวังว่าลูกจะต้องได้ดังใจที่ตั้งใจหลายๆ ครั้งเราพบว่า พ่อแม่ที่ฝึกให้ลูกท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เวลาพบปะกับเพื่อนหรือญาติ มักบังคับให้ลูกบอกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น แมว ภาษาอังกฤษว่าอะไรลูกบอกป้าเขาซิ ทำเอาเด็กรู้สึกเครียด ไม่ยอมพูด พ่อแม่เองก็รู้สึกผิดหวังจึงแสดงความไม่พอใจที่ลูกไม่ยอมพูด ทำให้บรรยากาศหมดความสุขไปในทันที
ดังนั้นในการสอนภาษาให้กับลูกนั้นต้องให้ลูกรู้สึกสนุกกับภาษาเพื่อให้ลูกรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นของใกล้ตัว และมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษนั่นเอง
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เล่นแล้วเก็บหน่อยเถอะลูก
======================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เล่นแล้วเก็บหน่อยเถอะลูก
======================================
***********
** ถาม **
***********
ลูกสาวเล่นของเล่นแล้วไม่ค่อยชอบเก็บ ถ้าจะเก็บต้องมีข้อแม้ หรืออยู่ที่อารมณ์ อยากให้ลูกมีระเบียบเหมือนตอนอยู่โรงเรียนบ้าง
************
** ตอบ **
************
ลูกสาวที่เล่นของเล่นแล้วไม่ค่อยชอบเก็บ คุณแม่คงเหนื่อยที่จะต้องต่อรองเจรจากับข้อแม้ของลูก แต่อยู่ที่โรงเรียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมนะ...
ปัญหาเช่นนี้ เป็นกันมากในหลายๆ บ้าน บางบ้านก็เพิ่มกฏเกณฑ์ เพิ่มเงื่อนไขให้ลูกมากขึ้นอีก คุณแม่บางคนใช้วิธีคุมจนเก็บเสร็จ แล้วก็หมดแรง ส่วนบางบ้านให้พี่เลี้ยงมาช่วยเก็บ แล้วบอกลูกว่า สงสารพี่เขานะลูก พี่เขาไม่ได้เล่น พี่เขายังเก็บเลย เร็วๆ มาช่วยพี่เขาหน่อย... แต่ปัญหานี้ไม่จบแน่ ถ้าเราไม่รู้ว่าสาเหตุของการไม่เก็บของเล่นคืออะไร หากเรามองแบบเข้าข้างเด็ก
ของเล่นที่เล่นเสร็จแล้ว เหมือนเป็นการปิดฉากของความฝัน การเก็บของเล่น ไม่เร้าใจเท่ารื้อของออกมาเล่น เด็กจึงพร้อมที่ผลักออกไปง่ายๆ แต่ถ้าการเก็บยังช่วยให้เด็กมีความฝันต่อเนื่องไปได้ เด็กก็พร้อมที่จะอยู่ต่อจนเก็บเสร็จ
มีเทคนิคง่ายๆ ครับ เพียงแค่คุณแม่บอกลูกว่า
"พาน้องตุ๊กตาไปนอนในตะกร้าแล้วหาผ้าสวยๆ ห่มให้น้องด้วยนะลูก"
"เอารถของลูกมาจอดในโรงรถให้หมดเลย"
"หุ่นยนต์ก็เรียกกลับคืนกองบัญชาการซะ"
หรือหาคำพูดที่จะช่วยให้การเก็บนั้น ยังดูมีจินตนาการสำหรับเด็กๆ ซึ่งเด็กเขาเสียใจอยู่ลึกๆ นะ ถ้าของที่เขารักมักจะไปกองรวมกันอยู่ในตะกร้าใบเดียว คุณแม่ต้องหาที่อยู่ให้ของเล่นเป็นสัดเป็นส่วนด้วย อาจวางอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องเหมือนอย่างที่โรงเรียน ซึ่งเด็กๆ เขามีมุมของเล่นในห้องเรียน เด็กๆ จะรู้จักที่เก็บของเล่น และช่วยกันกับเพื่อนๆ มันมีแรงจูงใจที่สนุก แต่การเก็บนั้นผู้ใหญ่ก็ต้องเป็นผู้นำการเก็บที่เคร่งครัด นำจินตนาการในการเก็บมาใช้ อาจร้องเพลงช่วยสร้างบรรยากาศให้สวยงามไปด้วย เรื่องนี้คุณครูกับคุณแม่น่าจะทำได้พอๆ กันนะครับ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เล่นแล้วเก็บหน่อยเถอะลูก
======================================
***********
** ถาม **
***********
ลูกสาวเล่นของเล่นแล้วไม่ค่อยชอบเก็บ ถ้าจะเก็บต้องมีข้อแม้ หรืออยู่ที่อารมณ์ อยากให้ลูกมีระเบียบเหมือนตอนอยู่โรงเรียนบ้าง
************
** ตอบ **
************
ลูกสาวที่เล่นของเล่นแล้วไม่ค่อยชอบเก็บ คุณแม่คงเหนื่อยที่จะต้องต่อรองเจรจากับข้อแม้ของลูก แต่อยู่ที่โรงเรียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมนะ...
ปัญหาเช่นนี้ เป็นกันมากในหลายๆ บ้าน บางบ้านก็เพิ่มกฏเกณฑ์ เพิ่มเงื่อนไขให้ลูกมากขึ้นอีก คุณแม่บางคนใช้วิธีคุมจนเก็บเสร็จ แล้วก็หมดแรง ส่วนบางบ้านให้พี่เลี้ยงมาช่วยเก็บ แล้วบอกลูกว่า สงสารพี่เขานะลูก พี่เขาไม่ได้เล่น พี่เขายังเก็บเลย เร็วๆ มาช่วยพี่เขาหน่อย... แต่ปัญหานี้ไม่จบแน่ ถ้าเราไม่รู้ว่าสาเหตุของการไม่เก็บของเล่นคืออะไร หากเรามองแบบเข้าข้างเด็ก
ของเล่นที่เล่นเสร็จแล้ว เหมือนเป็นการปิดฉากของความฝัน การเก็บของเล่น ไม่เร้าใจเท่ารื้อของออกมาเล่น เด็กจึงพร้อมที่ผลักออกไปง่ายๆ แต่ถ้าการเก็บยังช่วยให้เด็กมีความฝันต่อเนื่องไปได้ เด็กก็พร้อมที่จะอยู่ต่อจนเก็บเสร็จ
มีเทคนิคง่ายๆ ครับ เพียงแค่คุณแม่บอกลูกว่า
"พาน้องตุ๊กตาไปนอนในตะกร้าแล้วหาผ้าสวยๆ ห่มให้น้องด้วยนะลูก"
"เอารถของลูกมาจอดในโรงรถให้หมดเลย"
"หุ่นยนต์ก็เรียกกลับคืนกองบัญชาการซะ"
หรือหาคำพูดที่จะช่วยให้การเก็บนั้น ยังดูมีจินตนาการสำหรับเด็กๆ ซึ่งเด็กเขาเสียใจอยู่ลึกๆ นะ ถ้าของที่เขารักมักจะไปกองรวมกันอยู่ในตะกร้าใบเดียว คุณแม่ต้องหาที่อยู่ให้ของเล่นเป็นสัดเป็นส่วนด้วย อาจวางอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องเหมือนอย่างที่โรงเรียน ซึ่งเด็กๆ เขามีมุมของเล่นในห้องเรียน เด็กๆ จะรู้จักที่เก็บของเล่น และช่วยกันกับเพื่อนๆ มันมีแรงจูงใจที่สนุก แต่การเก็บนั้นผู้ใหญ่ก็ต้องเป็นผู้นำการเก็บที่เคร่งครัด นำจินตนาการในการเก็บมาใช้ อาจร้องเพลงช่วยสร้างบรรยากาศให้สวยงามไปด้วย เรื่องนี้คุณครูกับคุณแม่น่าจะทำได้พอๆ กันนะครับ
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ออกเสียง ร ล เป็น ง
================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ออกเสียง ร ล เป็น ง
================================
********
** ถาม **
********
ลูกชายพูดไม่ชัดค่ะ ออกเสียง ร หรือ ล เป็น ง ทุกที พยายามหัดให้แกพูดชัดๆ แต่ไม่สำเร็จ ดิฉันกลัวว่าจะติดไปจนโตเป็นหนุ่ม กลุ้มใจมาก
*********
** ตอบ **
*********
การที่ลูกพูดไม่ชัด ต้องดูอายุประกอบด้วยนะครับ เด็กบางคนพูด ส ไม่ได้ และบางคนก็พูดได้ แต่ อ ถ้าเรียกชื่อ ครูอุ้ย ก็ชัดมาเลย.... แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เด็กที่พูดไม่ชัดจะค่อยๆ มีพัฒนาการดีขึ้นเป็นลำดับ เมื่ออายุมากขึ้น เด็กๆ ที่พูดไม่ชัดหลายๆ คน เมื่อโตไปแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหานะครับ แต่ตอนเล็กๆ มักมีข้อสงสัยว่า เอ... เป็นเพราะหูลูกได้ยินอย่างนั้นหรือเปล่า หรือเป็นเพราะลิ้นของลูกทำให้ออกเสียงอย่างนั้น การพูดไม่ชัดทำให้คนฟังมีปฏิกิริยา แต่ถ้าผู้ใหญ่ที่ฟังให้กำลังใจเด็กเสมอ ไม่ทำให้เด็กอาย เด็กย่อมมั่นใจที่จะพัฒนาตัวเขาเอง
ที่สำคัญมนุษย์มีอวัยวะแห่งการรับรู้สัมผัสที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และ ใจ คุณแม่ลองพิจารณาดูประสาทสัมผัสที่ลูกมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด ว่าได้รับโอกาสในการพัฒนาที่ดีหรือเปล่า ลูกได้เห็น ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้รส ได้รับการโอบกอด สัมผัสที่นุ่มนวล และความรัก การรับรู้ก็น่าจะพัฒนาต่อไปในทางที่ดีขึ้น
ถาม-ตอบ วัยเรียน-ออกเสียง ร ล เป็น ง
================================
********
** ถาม **
********
ลูกชายพูดไม่ชัดค่ะ ออกเสียง ร หรือ ล เป็น ง ทุกที พยายามหัดให้แกพูดชัดๆ แต่ไม่สำเร็จ ดิฉันกลัวว่าจะติดไปจนโตเป็นหนุ่ม กลุ้มใจมาก
*********
** ตอบ **
*********
การที่ลูกพูดไม่ชัด ต้องดูอายุประกอบด้วยนะครับ เด็กบางคนพูด ส ไม่ได้ และบางคนก็พูดได้ แต่ อ ถ้าเรียกชื่อ ครูอุ้ย ก็ชัดมาเลย.... แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เด็กที่พูดไม่ชัดจะค่อยๆ มีพัฒนาการดีขึ้นเป็นลำดับ เมื่ออายุมากขึ้น เด็กๆ ที่พูดไม่ชัดหลายๆ คน เมื่อโตไปแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหานะครับ แต่ตอนเล็กๆ มักมีข้อสงสัยว่า เอ... เป็นเพราะหูลูกได้ยินอย่างนั้นหรือเปล่า หรือเป็นเพราะลิ้นของลูกทำให้ออกเสียงอย่างนั้น การพูดไม่ชัดทำให้คนฟังมีปฏิกิริยา แต่ถ้าผู้ใหญ่ที่ฟังให้กำลังใจเด็กเสมอ ไม่ทำให้เด็กอาย เด็กย่อมมั่นใจที่จะพัฒนาตัวเขาเอง
ที่สำคัญมนุษย์มีอวัยวะแห่งการรับรู้สัมผัสที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และ ใจ คุณแม่ลองพิจารณาดูประสาทสัมผัสที่ลูกมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด ว่าได้รับโอกาสในการพัฒนาที่ดีหรือเปล่า ลูกได้เห็น ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้รส ได้รับการโอบกอด สัมผัสที่นุ่มนวล และความรัก การรับรู้ก็น่าจะพัฒนาต่อไปในทางที่ดีขึ้น
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เมื่อต้องเผชิญกับโลกใหม่
================================
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เมื่อต้องเผชิญกับโลกใหม่
================================
********
** ถาม **
********
ลูกชายเตรียมจะเข้าโรงเรียนอนุบาลเทอมหน้านี้ แต่แกไม่ยอมพูด ไม่ยอมให้ความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ นอกจากพ่อแม่และพี่เลี้ยง อยากหาวิธีช่วย
*********
** ตอบ **
*********
เด็กทุกคนที่จะเข้าโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญเหมือนๆ กัน คือ การปรับตัวของเด็กต่อคนแปลกหน้า และต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จะปรับตัวได้เร็วช้า ต่างกันไปนะครับ ปัญหานั้น อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ เมื่อใจไม่มั่นคง หวาดหวั่น ก็ต้องแก้ด้วยการให้กำลังใจ และสร้างความเชื่อมั่นในตัวลูก ผู้ที่อยู่รอบข้างต้องมีท่าที ชื่นชมและชมเชยลูก ในสิ่งที่แสดงออกถึงการปรับตัวที่ดีขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยในสายตาของเรา สำหรับเด็กแล้ว การก้าวข้ามความประหม่า ความหวาดระแวง ความรู้สึกไม่มั่นคงต่อสังคมที่กว้างขวางออกไป เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อลูกแสดงท่าทีที่เริ่มพูด สวัสดีกับคนแปลกหน้า ขอให้ชมเชยทันที อาจปล่อยให้แกม้วนไปม้วนมาสักหน่อยก่อน เมื่ออยากให้ลูกปรับตัวได้ มี 2 ประการที่ผู้ที่อยู่รอบข้างเด็กต้องปรับตัวก่อน และต้องระมัดระวังให้มากกับท่าที ตลอดจนคำพูดของผู้ใหญ่ที่มักจะเกิดขึ้นเสมอกับเด็กขี้อาย
*** ประการแรก คือ
ยิ่งขี้อายยิ่งถูกรุกเร้าแกมบังคับจนเด็กเกิดความเครียด ลูกต้องการเวลาสักพักที่จะสร้างความคุ้นเคย เขาอาจยังไม่เก่งกาจเหมือนลูกคนอื่น หากคุณแม่ให้กำลังใจ ชมเชยอยู่บ่อยๆ ลูกจะค่อยๆ ดีขึ้น
*** ประการที่สอง คือ
กรุณาอย่าตอกย้ำ และตำหนิเด็ก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เช่น "ลูกไม่ค่อยคุ้นกับคนแปลกหน้า แกก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ...ขี้อ๊าย ขี้อาย โอ๊ย..... เจอคนไม่คุ้นทีไรก็ม้วนไปม้วนมา" กรุณาเก็บข้อความเหล่านี้ไว้ในใจ เพราะทุกครั้งที่คุณตอกย้ำลูก เท่ากับย้ำว่าหนูนั่นแหละเป็นเด็กขี้อาย เป็นปมในใจลูก ทำให้ลูกขาดความมั่นใจทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับผู้คนที่ไม่คุ้นเคย คุณต้องสร้างภาพของเด็กที่มีความเชื่อมั่นในใจลูก ไม่ใช่ภาพเด็กขี้อายในสายตาของทุกคน
ถาม-ตอบ วัยเรียน-เมื่อต้องเผชิญกับโลกใหม่
================================
********
** ถาม **
********
ลูกชายเตรียมจะเข้าโรงเรียนอนุบาลเทอมหน้านี้ แต่แกไม่ยอมพูด ไม่ยอมให้ความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ นอกจากพ่อแม่และพี่เลี้ยง อยากหาวิธีช่วย
*********
** ตอบ **
*********
เด็กทุกคนที่จะเข้าโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญเหมือนๆ กัน คือ การปรับตัวของเด็กต่อคนแปลกหน้า และต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จะปรับตัวได้เร็วช้า ต่างกันไปนะครับ ปัญหานั้น อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ เมื่อใจไม่มั่นคง หวาดหวั่น ก็ต้องแก้ด้วยการให้กำลังใจ และสร้างความเชื่อมั่นในตัวลูก ผู้ที่อยู่รอบข้างต้องมีท่าที ชื่นชมและชมเชยลูก ในสิ่งที่แสดงออกถึงการปรับตัวที่ดีขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยในสายตาของเรา สำหรับเด็กแล้ว การก้าวข้ามความประหม่า ความหวาดระแวง ความรู้สึกไม่มั่นคงต่อสังคมที่กว้างขวางออกไป เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อลูกแสดงท่าทีที่เริ่มพูด สวัสดีกับคนแปลกหน้า ขอให้ชมเชยทันที อาจปล่อยให้แกม้วนไปม้วนมาสักหน่อยก่อน เมื่ออยากให้ลูกปรับตัวได้ มี 2 ประการที่ผู้ที่อยู่รอบข้างเด็กต้องปรับตัวก่อน และต้องระมัดระวังให้มากกับท่าที ตลอดจนคำพูดของผู้ใหญ่ที่มักจะเกิดขึ้นเสมอกับเด็กขี้อาย
*** ประการแรก คือ
ยิ่งขี้อายยิ่งถูกรุกเร้าแกมบังคับจนเด็กเกิดความเครียด ลูกต้องการเวลาสักพักที่จะสร้างความคุ้นเคย เขาอาจยังไม่เก่งกาจเหมือนลูกคนอื่น หากคุณแม่ให้กำลังใจ ชมเชยอยู่บ่อยๆ ลูกจะค่อยๆ ดีขึ้น
*** ประการที่สอง คือ
กรุณาอย่าตอกย้ำ และตำหนิเด็ก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เช่น "ลูกไม่ค่อยคุ้นกับคนแปลกหน้า แกก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ...ขี้อ๊าย ขี้อาย โอ๊ย..... เจอคนไม่คุ้นทีไรก็ม้วนไปม้วนมา" กรุณาเก็บข้อความเหล่านี้ไว้ในใจ เพราะทุกครั้งที่คุณตอกย้ำลูก เท่ากับย้ำว่าหนูนั่นแหละเป็นเด็กขี้อาย เป็นปมในใจลูก ทำให้ลูกขาดความมั่นใจทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับผู้คนที่ไม่คุ้นเคย คุณต้องสร้างภาพของเด็กที่มีความเชื่อมั่นในใจลูก ไม่ใช่ภาพเด็กขี้อายในสายตาของทุกคน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)