เฉลยข้อ 3 to close แก้เป็น close คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ surprised (adj.) = รู้สึกประหลาดใจ ในประโยคนี้แปลว่า เด็ก ๆ รู้สึกประหลาดใจ
surprise (v) = ทำให้ประหลาดใจ เช่น
It was the tone of his voice that surprised me.
surprised (adj.) = รู้สึกประหลาดใจ เช่น
I was surprised at the test results.
surprising (adj.) = น่าประหลาดใจ
The test results were surprising.
ข้อ 2 ถูก เพราะ when เชื่อม (s + v when s + v) เมื่อประโยคข้างหน้าเป็นกริยาในอดีต (were) กริยาในประโยคหลัง when เป็น Past Simple (had) เช่น
When we got home, we started cooking the dinner.
I'll see you at Christmas when we're all at Sally's [lace.
When you heat ice it turns to water.
ข้อ 3 ผิด เพราะ have ในประโยคนี้หมายความว่า cause somebody to do something เป็นเหตุให้คนบางคนทำบางสิ่งบางอย่าง (ให้คนบางคนทำบางสิ่งบางอย่างให้เรา) มี 2 โครงสร้าง คือ
1. have someone do something เช่น
I had the mechanic repair my washing machine.
The manager had everybody fill out a form.
2. have something done (Past Participle) เช่น
I must have my watch repaired.
I'm going to have my hair cut.
ในประโยคโจทย์ข้อ 1 หมายถึง ครูให้เด็ก ๆ ปิดหนังสือ จึงใช้โครงสร้างที่ 1
have someone do something
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก to close เป็น close
ข้อ 4 ถูก เพราะปิดหนังสืออย่างไม่คาดหวังมาก่อน คำนี้ขยายกริยา close เราจึงใช้ adverb : unexpectedly
***********************************************
เฉลยข้อ 2 enough large แก้เป็น large enough คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ ___ing form สามารถใช้นำหน้าคำนาม แล้วทำหน้าที่เหมือนคำนามคือ Gerund เช่น a waiting room (= a room for waiting. ในที่นี้ waiting คือ gerund ใช้เหมือนคำนาม เช่น เหมือนกับ a guest room)
ดังนั้น The living room คือ a room for living
ข้อ 2 ผิด เพราะคำว่า enough (พอ, เพียงพอ) มี 2 โครงสร้าง คือ
1. adjective / adverb + enough เช่น
Is it warm enough for you ?
You're not driving fast enough.
2. enough + noun เช่น
Have you got enough milk ?
There aren't enough glasses.
ในประโยคโจทย์ข้อ 2 large เป็น adjective ขยายคำนาม room ดังนั้น enough ต้องวางไว้ข้างหลัง
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก enough large เป็น large enough
ข้อ 3 ถูก เพราะโครงสร้าง enough ตามด้วย infinitive with to เช่น
She's old enough to do what she wants.
I haven't got enough money to buy a car.
ข้อ 4 ถูก เพราะจัดหาที่วางโซฟายาว ๆ 2 ตัว ได้อย่างง่ายดาย คำนี้ขยายกริยา accommodate เราจึงใช้ adverb : easily
***********************************************
เฉลยข้อ 2 Sahara Dessert แก้เป็น Sahara Desert คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ Our นำหน้าคำนาม คำว่า trek (N) = การเดินทางด้วยความยากลำบาก
ข้อ 2 ผิด เพราะคำ Dessert (N) = ของหวาน แต่ในประโยคนี้แปลว่าทะเลทราย จึงต้องใช้คำว่า Desert (N) = ทะเลทราย
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก Sahara Dessert เป็น Sahara Desert
เพิ่มเติม ชื่อเฉพาะ (ทะเลทราย) เขียนขึ้นด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ และมี article "the" นำหน้า the Sahara Desert
ข้อ 3 ถูก เพราะความหมายในประโยคนี้แปลว่า น่าหลงใหล (ชวนให้หลงใหล) อย่างมาก คำนี้ขยาย adjective (fascinating) เราจึงใช้ adverb : extremely
ข้อ 4 ถูก เพราะคำเชื่อม and คำข้างหน้าทำหน้าที่อะไร คำข้างหลังต้องใช้คำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน ในประโยคนี้เป็นโครงสร้างนี้
adjective, adjective, and adjective
fascinating (adj.) = น่าหลงใหล, ชวนให้หลงใหล
challenging (adj.) = ที่ท้าทาย
relaxing (adj.) = ที่น่าผ่อนคลาย
***********************************************
เฉลยข้อ 3 toward แก้เป็น to คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ Although เป็นคำเชื่อม โครงสร้างมีดังนี้
Although s + v ______, s + v ______.
Although แปลว่า แม้ว่า เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น
Although I don't like him, I agree that he's a good manager.
ในประโยคโจทย์ข้อ 4 โครงสร้างก็ถูก ความหมายของประโยคก็ได้ คือ
แม้ว่าปัจจุบันนี้วันจะถูกวัดจากเที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ข้อ 2 ถูก เพราะโดยปกติเราใช้ now เป็น adverb of time
ตำแหน่งของ adverb โดยปกติ
1. วางไว้หน้ากริยาแท้
2. วางไว้หลัง verb to be เช่น
She always arrives by taxi and she is always on time.
3. ถ้ามี modal verb หรือ auxiliary verb เราจะวาง adverb ไว้หลัง auxiliary verb ตัวแรก เช่น
We have never been to the Greek islands.
You can just see the coast.
Sea eagles have occasionally been seen around Loch Lomond.
They don't really understand my point of view.
แต่เรามักจะใส่ sometimes, still, certainly, definitely และ probably ไว้หน้า auxiliary ที่เป็นปฏิเสธ เช่น
I sometimes don't understand his arguments.
He still hasn't convinced me.
4. คำ adverb บางตัวเรามักจะวางไว้ท้ายประโยค (yet, a lot, any more, any longer, too, as well) เช่น
They aren't selling it any more.
และเราก็มักจะวาง adverb ที่แสดงลักษณะอาการ ไว้ท้ายประโยคด้วยเหมือนกัน เช่น
He plays the guitar well.
แต่ถ้าเป็น adverb ที่แสดงลักษณะอาการที่ลงท้ายด้วย ___ly เราจะวางไว้ได้ทั้งตรงกลางประโยคหรือท้ายประโยคก็ได้ เช่น
Harry painstakingly counted out the coins and arranged them neatly into piles.
5. เราไม่ใช้ hardly ever หรือ never ไว้ท้ายประโยค เช่น
They hardly ever watch television.
ในประโยคโจทย์ข้อ 2 now เป็น adverb of time วางไว้หลัง verb to be ถูกแล้ว
ข้อ 3 ผิด เพราะเราใช้ preposition from ___ to ___ เพื่อแสดงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของช่วงเวลา เช่น
I'll be staying at the Hilton from Friday to Monday.
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก toward เป็น to
ข้อ 4 ถูก เพราะกริยาในประโยคนี้ใช้ have (has) ตามด้วยกริยาช่องที่ 3 คือ been
***********************************************
เฉลยข้อ 1 importances แก้เป็น important คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะคำว่า many นำหน้าคำนาม products ดังนั้น คำที่ขยายคำนามจึงเป็นคำ adjective
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน importance (N) ให้เป็น important (adj.)
ข้อ 2 ถูก เพราะคำว่า and เชื่อมคำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน เมื่อข้างหน้าเป็น products คำนาม ข้างหลังเป็น develpments คำนาม ถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะในประโยคนี้หมายความว่า ผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างและการพัฒนาต่าง ๆ ที่สำคัญมาจากการวิจัย ซึ่งกริยาในประโยคนี้บอกเราเกี่ยวกับอดีตและปัจจุบัน เราจึงใช้ Present Perfect have / has + Past Participle และประธานในประโยคนี้เป็นพหูพจน์จึงใช้ have come
ข้อ 4 ถูก เพราะคำที่อยู่ข้างหลัง Preposition ได้คือ คำนาม, สรรพนาม (กรรม), V.ing หรือ noun clause เช่น
Be careful. The hem of your dress is dragging along the floor.
Can you throw that book to me, please ?
I don't believe in what you said.
I am looking forward to seeing you at the wedding party.
research (N) = การวิจัย, การค้นคว้า
***********************************************
เฉลยข้อ 3 hardly แก้เป็น hard คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ Past Participle (V.3) ทำหน้าที่เป็น adjective ได้ เมื่อคำนามนั้นถูกกระทำ ในประโยคนี้ people (N) ถูกปลดเกษียณ หรือเป็น adjective (retired) แปลว่า ที่ปลดเกษียณ
ข้อ 2 ถูก เพราะ now แสดงความเป็นปัจจุบัน จึงใช้ Present Simple ในประโยคนี้คือ find และประธานเป็นพหูพจน์ people (เพราะ many + คำนามพหูพจน์) จึงใช้ find ไม่เติม s
ข้อ 3 ผิด เพราะคำว่า hardly เป็น adverb แปลว่า เกือบจะไม่, แทบจะไม่, ไม่ค่อยจะ แต่ในที่นี้ต้องใช้ adverb ขยายกริยา work และต้องแปลว่า ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หรืออย่างตั้งอกตั้งใจ จึงต้องใช้ hard
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน hardly เป็น hard
ข้อ 4 ถูก เพราะความหมายในประโยคเพื่อสิ่งที่ดี (ผลประโยชน์) ของชุมชนของพวกเขา (ของพวกคนที่ปลดเกษียณ) ดังนั้น their communities จึงถูก
good (N) = สิ่งที่ดี, ผลประโยชน์
community (N) = ชุมนุมชน
***********************************************
เฉลยข้อ 1 specials แก้เป็น specialists คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะประธานของประโยค คำนาม ซึ่งเป็นคนผู้ซึ่งชำนาญการทางการตลาดไม่ใช่คนพิเศษ ดังนั้นใช้คำว่า special (N) = คนพิเศษไม่ได้ ต้องใช้ specialist (N) = คนผู้ซึ่งชำนาญการ
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน specials เป็น specialists
ข้อ 2 ถูก เพราะ relative pronoun "who" ใช้กับคำนามที่เป็นคน และทำหน้าที่เป็นประธาน เช่น
A man has gone to prison. He shot two policemen.
The man who shot two policemen has gone to prison.
Nick is the man who owns that enormous dog.
The little girl who sat next to me on the coach ate sweets the whole way.
ในประโยคโจทย์ข้อ 7 relative pronoun "who" แทนคำนามคือ the people และเป็นประธานของกริยา work out จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะคำว่า way (N) = วิธีทำบางสิ่งบางอย่าง โครงสร้างคือ a way of doing something เช่น
We have no way of knowing whether she got the message.
ดังนั้น of getting จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะคำว่า possible (adj.) = ที่เป็นไปได้, ที่อาจเป็นได้ ในที่นี้ขยายคำนามคือ cost ซึ่งถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 1 second แก้เป็น the second คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะตัวเลขแสดงลำดับที่จะมี article "the" นำหน้า เช่น
Is your birthday on the third of April ?
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน second เป็น the second
ข้อ 2 ถูก เพราะ article "the" นำหน้าคำนามที่เจาะจงหรือรู้ว่าพูดถึงสิ่งไหน (อันไหน) ดังนั้นในประโยคนี้เจาะจงช่วงเวลา 1800s จึงมี article "the" นำหน้า
ข้อ 3 ถูก เพราะความหมายในประโยคนี้แปลว่า หลังจาก จึงใช้ "after" ถูกแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะในประโยคนี้กล้องถ่ายรูปถูกประดิษฐ์ จึงต้องใช้รูป Passive Voice (be + V.3) และในความหมายตรงนี้เป็นอดีต จึงใช้ Past Simple Tense ดังนั้น was ในประโยคนี้จึงถูกต้อง
***********************************************
เฉลยข้อ 3 consist แก้เป็น consist of คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะความหมายของประโยคนี้คือ สายพันธุ์ส่วนมากของนกพิราบ ดังนั้นประโยคนี้จึงหมายถึง นกพิราบหลายตัว คือ pigeons จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ถูก เพราะเป็นธรรมชาติของนกพิราบจึงเป็นความจริงเสมอ เหตุการณ์เช่นนี้ใช้ Present Simple Tense และประธานเป็นพหูพจน์ กริยา live จึงไม่เติม s
ข้อ 3 ผิด เพราะคำว่า consist แปลว่า ประกอบด้วย ต้องมี preposition of ด้วย เช่น The buffet consisted of several different Indian dishes.
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน consist เป็น consist of
ข้อ 4 ถูก เพราะคำว่า species แปลว่า ตระกูล, สายพันธุ์ สะกดด้วย species ทั้ง คำนามเอกพจน์และพหูพจน์ ดังนั้นคำว่า one species จึงถูกต้อง
***********************************************
เฉลยข้อ 4 arrive แก้เป็น arrived คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะคำว่า and เชื่อมคำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน ข้างหลัง and คือ medicine คือ คำนาม ดังนั้น fuel คือ คำนามด้วยถูกต้อง
fuel (N) = เชื้อเพลิง
ข้อ 2 ถูก เพราะถ้ามีคำว่า several, a few, a couple of วางไว้หน้าคำว่า dozen, hundred, thousand, million หรือ billion คำนามแสดงจำนวนเหล่านี้ไม่มี "s" เช่น
___ several hundred people
A few thousand cars have gone.
___ life a couple of hundred years ago
แต่ถ้าใช้โดด ๆ จะมี "s" เติมท้าย hundreds, thousands, millions, billions + of
เช่น That's going to take hundreds of years.
We travelled thousands of miles across Europe.
ดังนั้น ประโยคโจทย์ข้อ 10 hundreds of years จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะความหมายของประโยคแปลว่า ชาวอินเดียนใช้น้ำมันดิบเป็นเชื้อเพลิงและยาหลายร้อยปีมาแล้ว ก่อนผู้ตั้งถิ่นฐานชาวผิวขาวกลุ่มแรกมาถึง คำว่า ก่อน ใช้ before ถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะความหมายของประโยคนี้เป็นสิ่งที่เกิดในอดีต ดังนั้นกริยาจึงเป็น Past Simple Tense (V.2) จึงใช้ arrived และอีกประการหนึ่ง ประโยคหน้า before กริยาตัวนั้นก็เป็น V.2 (used)
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน arrive เป็น arrived
***********************************************
เฉลยข้อ 2 which the tomb แก้เป็น that the tomb คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ คำว่า believe เป็นกริยาแสดงให้เห็นว่าประธานต้องเป็นคน ดังนั้น คำว่า The นำหน้าคำนาม archaeologist ซึ่งแปลว่า นักโบราณคดี จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ผิด เพราะ โครงสร้าง believe + that Subject Verb เช่น
I can't believe that Rose was offended.
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน which the tomb เป็น that the tomb
ข้อ 3 ถูก เพราะ discovered เป็น Past Participle ซึ่งเป็นกริยาไม่แท้ และทำหน้าที่ขยายคำนาม tomb และในที่นี้ tomb ถูกค้นพบ (ถูกกระทำ) ใช้ Past Participle (V.3) จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะประธานคือ tomb กริยา belong to ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอดีตจึงใช้ Past Simple Tense (V.2) จึงใช้ belonged to ถูกต้องแล้ว
tomb (N) = หลุมศพ
general (N) = นายพล, หัวหน้านิกายศาสนา
***********************************************
เฉลยข้อ 4 exploded แก้เป็น explodes คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ balloon เป็นคำนามนับได้เอกพจน์ และ hydrogen เป็นเสียงพยัญชนะขึ้นต้นเสียงแรก จึงใช้ article "a"
ข้อ 2 ถูก เพราะ compound adjective คือคำที่ประกอบด้วยคำ 2 คำ หรือมากกว่านั้น โดยปกติจะเขียนด้วยมี hyphen (-) อยู่ระหว่างมัน เช่น
a snow-covered mountain
snow-covered เป็น compound adjective ขยายคำนาม mountain จะเห็นว่าคำนาม snow วางหน้า กริยา Past Participle (V.3) วางหลัง แล้วคั่นด้วย hyphen ดังนั้นคำว่า a hydrogen - filled balloon จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะ flame เป็นคำนามที่นับได้ แปลว่า เปลวไฟ และเป็นเอกพจน์ จึงใช้ a flame และประโยคนี้แปลว่า ใกล้เปลวไฟ ดังนั้น near a flame จึงถูกต้อง
ข้อ 4 ผิด เพราะ ประโยคนี้เป็น Conditional Clause (If - Clause) ในรูปแบบที่เป็นความจริงเสมอ เราใช้โครงสร้าง
If + S + V.1 (Present Simple) ____, S + V.1 ( Present Simple) ____ เช่น
If we put water in the freezer, it becomes ice.
If I don't get enough sleep, I feel tired.
ประโยคโจทย์ข้อ 12 นี้ หมายถึง ถ้าลูกโป่งที่บรรจุไฮโดรเจนถูกนำไปวางไว้ใกล้เปลวไฟ มันก็ระเบิด is เป็น Present Simple ดังนั้น explodes ก็ต้องเป็น Present Simple ประธาน it เป็นเอกพจน์ กริยาก็เลยเติม s
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน exploded เป็น explodes
***********************************************
เฉลยข้อ 2 go แก้เป็น goes คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะคำเชื่อม and เชื่อมคำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน ข้างหลัง and เป็น vegetables คำนามพหูพจน์ ข้างหน้าเป็น fruits คำนามพหูพจน์ ซึ่งแปลว่า ผลไม้หลายชนิด จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ผิด เพราะในประโยคนี้แปลว่า ราคาของผลไม้และผักขึ้น ๆ ลง ๆ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากปัจจัยเกี่ยวกับฤดู ซึ่งเป็นความจริงโดยทั่วไป จึงใช้ present simple tense (V.1) และประธานของประโยคนี้คือ cost ซึ่งเป็นคำนามเอกพจน์ กริยาจึงต้องเติม s หรือ es
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน go เป็น goes
ข้อ 3 ถูก เพราะ up and down เป็น adverb ขยาย go แปลว่า สูงขึ้นและต่ำลง
เช่น We all jumped up and down (= jumped repeatedly) for joy
ดังนั้น goes up and down จึงถูกต้อง
ข้อ 4 ถูก เพราะ because of = เนื่องมาจาก ตามด้วยคำนาม ซึ่งในที่นี้ factors เป็นคำนาม
factor (N) = ปัจจัย
***********************************************
เฉลยข้อ 3 her แก้เป็น them คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ The นำหน้าคำนามและประโยคนี้หมายถึง 2 คน จึงเป็น sisters และการแสดงความเป็นเจ้าของมีดังนี้
1. ถ้าเป็นคำนามเอกพจน์ เราเติม 's เช่น
Lila's cell phone, the baby's crib
ข้อยกเว้น ถ้าคำนามมีเสียงมากกว่า 1 พยางค์ และลงท้ายด้วย s เติมเฉพาะ apostrophe (') เช่น the witness' explanation, Mr. Rogers' sweater
2. ถ้าเป็นคำนามพหูพจน์ลงท้ายด้วย s ก็เติมเฉพาะ ' เช่น
the two brothers' business, the horses' stable, the girls' soccer team
3. ถ้าเป็นคำนามพหูพจน์ไม่ได้ลงท้ายด้วย s ก็เติม 's เช่น
a men's clothing store, the children's tickets, the geese's hesting ground
ดังนั้น sister' mother จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 2 ถูก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดแล้วจึงใช้ Past Simple Tense (V.2) ดังนั้น bought จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ผิด เพราะในที่นี้หมายถึง 2 คน ดังนั้น สรรพนามที่ใช้แทนต้องเป็นพหูพจน์แทน sisters
คำตอบจึงต้องเปลี่ยน her เป็น them
ข้อ 4 ถูก เพราะ each แปลว่า แต่ละ มีตำแหน่งดังนี้
1. วางไว้หลังกรรม แต่ไม่จำเป็นต้องวางไว้ท้ายประโยค เช่น
She kissed them each on the forehead.
I want them each to make their own decision.
I sent the secretaries each a Christman card.
2. สามารถวางไว้ท้ายประโยคในคำพูดที่อ้างถึงจำนวนและปริมาณ เช่น
They cost $ 3.50 each.
I bought the girls two ice-creams each.
ดังนั้นประโยคโจทย์ข้อ 14 each จึงถูกต้อง
***********************************************
เฉลยข้อ 1 Almost of แก้เป็น Most of หรือ Almost all คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะ Almost แปลว่า เกือบจะ โดยปกติจะวางไว้หน้า adjective หรือ กลุ่มคำนาม เช่น
The hay was almost ready for cutting.
I spent almost a month in China.
It was made of wood like almost all the houses.
Most แปลว่า ส่วนใหญ่ / ส่วนมาก มักจะวางไว้หน้าคำนามพหูพจน์ เช่น
Most people don't enjoy their own parties.
In most schools, sports are compulsory.
แต่เราใช้ Most of นำหน้าสรรพนามหรือคำนามที่คำ determiner หรือคำแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ข้างหน้า เช่น
Most of us have strong views on politics.
The trees cut out most of the light.
He used to spend most of his time in the library.
ดังนั้น ในที่นี้ถ้าเราใช้ Most (ส่วนใหญ่) ต้องเป็น most of เพราะมี the อยู่หน้า trees ถ้าเราจะใช้ almost (เกือบจะ) จะนำหน้ากลุ่มคำนาม จึงต้องเปลี่ยนเป็น almost all the trees
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก Almost of เป็น Most of หรือ Almost all
ข้อ 2 ถูก เพราะ plantation เป็นคำนามนับได้ แปลว่า ไร่ และในที่นี้แปลว่า ไร่แห่งนี้ จึงใช้ this + คำนามเอกพจน์ ดังนั้น this plantation จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะ การโค่นต้นไม้และเผาต้นไม้จำนวนมากต้องใช้ระยะเวลา จึงเป็นเหตุการณ์ที่เราพูดถึงอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นการใช้ Present Perfect Tense จึงถูกต้อง have / has + V.3 และประธานในประโยคคือ Most of the trees หรือ Almost all the trees ซึ่งเป็นพหูพจน์ เราใช้ have had จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะ had to + V.1 และในประโยคนี้ต้นไม้โค่นเองไม่ได้ต้องถูกโค่น จึงต้องใช้ Passive Voice (be + V.3) ดังนั้นรูปนี้จึงเป็น had to be V.3 คำว่า cut down จึงถูกต้อง อีกประการหนึ่ง and เชื่อมคำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน ข้างหลัง and เป็น burned (V.3) หน้า and ก็เป็น cut (V.3) จึงถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 1 for แก้เป็น to คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะ look forward + to = ตั้งตารอคอย
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก for เป็น to
ข้อ 2 ถูก เพราะ many นำหน้าคำนามนับได้พหูพจน์ ในที่นี้คือ advances และในความหมายในประโยคนี้ "เราตั้งตารอคอยการพัฒนาที่นำไปสู่ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น ก็ใช้ more ดังนั้น many more ก็ถูกต้องแล้ว
more + adj. (exciting)
ข้อ 3 ถูก เพราะ advance เป็นคำนามนับได้ แปลว่า การพัฒนาที่นำไปสู่ความก้าวหน้า ในที่นี้มีคำว่า many จึงทำให้คำนามนับได้เป็นรูปพหูพจน์ ดังนั้น advances จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะ article "the" นำหน้าสิ่งที่เจาะจงหรือรู้ว่าพูดถึงสิ่งไหน (อันไหน) ดังนั้น the year 2000 จึงถูกต้อง
***********************************************
เฉลยข้อ 4 let him to แก้เป็น let him คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ solzhenitsyn ได้รับรางวัล หมายถึง เขาถูกให้ (มอบรางวัล) จึงใช้รูป Passive Voice (be + V.3) และเหตุการณ์นี้เกิดในอดีตจึงใช้ Past Simple Tense (v.2) ดังนั้น was awarded จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 2 ถูก เพราะ in absentia (formal) แปลว่า เมื่อคุณไม่ได้อยู่ที่สถานที่ที่เขาทำการประกาศ (มอบรางวัล) ดังนั้น in absentia จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะ article "the" เมื่อผู้ฟังรู้ว่าผู้พูดหมายถึงอะไร (อันไหน, คนไหน) หรือเมื่อผู้พูดกับผู้ฟังรู้ว่า เรากำลังพูดถึงสิ่งไหน คนไหน เช่น
I'm going to the post office. (The listener knows which : the usual one)
I don't like the film. (The one that the speaker and listener saw.)
ดังนั้น the นำหน้า authorities ก็หมายถึง เรารู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่พูดถึงคือ เจ้าหน้าที่ที่เขากลัวว่าจะไม่ยอมปล่อยตัวเขากลับไปนั่นเอง ดังนั้น the authorities จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะโครงสร้างของ let คือ let someone + infinitive without to ____
เช่น His mother won't let him watch football on TV.
ดังนั้นตรงนี้จึงต้องเป็น let him return to Russia
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก let him to เป็น let him
***********************************************
เฉลยข้อ 1 doing แก้เป็น did คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะประโยคนี้ประธานคือ President Clinton กริยาแท้คือ doing ซึ่งผิด
V.ing เฉย ๆ ทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ไม่ได้ กริยาแท้ต้องเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ นั่นคือเปลี่ยนแปลง Tense ในประโยคนี้เป็นเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในอดีต (ปี 1995) จึงใช้ Past Simple Tense (V.2)
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก doing เป็น did
ข้อ 2 ถูก เพราะ Middle East ต้องมี article "the" นำหน้า และความหมายตรงนี้ คือ ส่งเสริมสันติภาพใน Middle East และ Ireland ดังนั้น in the Middle East จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะ any ในที่นี้พูดถึงสมาชิกทั่วไปในกลุ่มนี้ ในประโยคนี้หมายถึงสมาชิกทั่วไปของบรรพบุรุษของ President Clinton โดยปกติ any + N. แต่ถ้านำหน้าคำนามมี determiner หรือคำแสดงความเป็นเจ้าของ เราต้องใช้ any of ในประโยคนี้ any of his predecessors จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะความหมายตรงนี้ แต่กระนั้น ภายในประเทศ เขายังคงไม่เป็นที่ชื่นชอบ ดังนั้นใช้ domestically ซึ่งเป็น adverb ขยายและเน้นความหมายตรงนี้ จึงถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 1 plant แก้เป็น plants คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะ some ใช้เพื่อบอกจำนวนที่ไม่เจาะจง จะตามด้วยคำนามนับได้พหูพจน์หรือคำนามนับไม่ได้ เช่น
I need some new clothes.
Would you like some tea?
ในประโยคโจทย์ข้อ 19 plant เป็นคำนามนับได้ เมื่อมาอยู่หลัง some ต้องเป็น plants คำตอบจึงเปลี่ยนจาก plant เป็น plants
ข้อ 2 ถูก เพราะ can + infinitive without to ในที่นี้คือ affect และในประโยคนี้หมายความว่า พิษซึ่งมีผลต่อคน คำว่า มีผลต่อ คือ affect จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะ even if ใช้เพื่อพูดว่า ถึงแม้ว่าถ้า ......... เช่น
Even if I become a millionaire, I shall always be a socialist.
ในประโยคโจทย์ข้อ 19 แปลว่า มีผลต่อคนถึงแม้ว่าถ้าคน ๆ นั้น เพียงแค่เฉียดไปโดน พืชเหล่านั้นเท่านั้น ดังนั้นใช้คำว่า even if ในประโยคนี้จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะความหมายเพียงแค่เฉียดไปโดนเท่านั้น คำว่าเพียงเท่านั้นคือ merely เป็น adverb ขยาย brushes จึงถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 3 raise แก้เป็น rise คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะเราพูด 7 ปีสุดท้ายนี้ เราต้องเรียง the last seven years ดังนั้นการเรียงแบบนี้จึงถูกต้องแล้ว
ตัวอย่างเพิ่มเติม
I've been busy for the last three months.
The last few days have been busy.
ข้อ 2 ถูก เพราะเวลาเราพูด the last seven years, the last three months, the last few days เราใช้ Present Perfect Tense ดังนั้น we have seen จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ผิด เพราะ raise (V) = ยกขึ้น. เลี้ยงดู. เพิ่มขึ้น (สังเกต raise ถ้าแปลว่า เพิ่มขึ้น ต้องมีกรรมด้วย) เช่น
He's raising the rent because he's fixed up the apartment.
rise (V) = ขึ้น. เพิ่มขึ้น (สังเกต rise ที่แปลว่า เพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีกรรมตามมา) เช่น
The Earth's average temperature will rise by about 4 degrees Fahrenheit by 2020.
raise (N.) = การเพิ่มเงินที่คุณหาได้ เช่น
Library employees have not received a raise for six years.
rise (N.) = การเพิ่มจำนวนหรือคุณค่า เช่น
They reported a 20% rise in sales last year.
ในประโยคโจทย์ข้อ 20 แปลว่า การเพิ่มจำนวนและเป็นคำนาม ดังนั้น a 10% rise จึงจะถูก คำตอบจึงเปลี่ยนจาก raise เป็น rise
ข้อ 4 ถูก เพราะการเพิ่มในเรื่องอะไร ใช้ in ถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 4 be remained แก้เป็น remain คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ which (relative pronoun) ตัวนี้แทน prices ซึ่งเป็นพหูพจน์ ดังนั้นกริยาใช้ have จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ถูก เพราะ on ในประโยคนี้ใช้ในฐานะ adverb เพื่อว่าแสดงว่า บางสิ่งบางอย่างดำเนินต่อที่จะเกิดขึ้น ในที่นี้ราคาน้ำมันดิบยังคงดำเนินต่อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นคำว่า on จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะ likely เป็น adjective อยู่หลัง verb to be แปลว่า ที่เป็นไปได้ ความหมายตรงนี้แปลว่า ราคาน้ำมันดิบ เป็นไปได้ที่ ......... ดังนั้น likely จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะ remain (V.) = ยังคงอยู่ในสภาพนั้นต่อไป และเราไม่ใช้ remain ในรูป passive voice เช่น
Harry remained silent.
อีกประการหนึ่งคือ adjective + infinitive with to ดังนั้น likely to remain จึงถูกต้อง คำตอบจึงเปลี่ยนจาก be remained เป็น remain
***********************************************
เฉลยข้อ 4 compared by แก้เป็น compared with คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ every + plural noun เมื่อเป็นคำพูดที่อ้างถึง การเว้นระยะหรือช่วง เช่น
I see her every few days.
There's a meeting every six weeks.
She had to stop and rest every two or three steps.
ดังนั้น every ten persons จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 2 ถูก เพราะ labor force (N.) = คนทั้งหมดผู้ซึ่งทำงานให้กับบริษัท 1 บริษัทหรือในประเทศ 1 ประเทศ ซึ่งถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะเราใช้ article "a / an" เมื่อเราแบ่งหมวดหมู่ คน / สิ่งของหรือกำหนดขอบเขต คน / สิ่งของแน่นอน เช่น เมื่อเราพูดว่า เขาคืออะไร เขาทำงานอะไร หรือ เขาถูกนำมาใช้เพื่ออะไร เช่น
She is a doctor.
A glider is a plane with no engine.
Don't use your plate as an ashtray.
ดังนั้น ในที่นี้พูดถึงกลุ่มวัยรุ่น จึงใช้ a teenager ถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะคำว่า compare + to / with เช่น
Compared to Los Angeles, Santa barbara almost seems rural.
Statistics show a 20% reduction in burglary compared with last year.
ดังนั้นในประโยคโจทย์ข้อ 22 เปรียบเทียบ ปี 2005 กับปี 1988 จึงใช้ with ไม่ใช่ by
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก compared by เป็น compared with
***********************************************
เฉลยข้อ 4 is แก้เป็น are คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะคำว่า no matter + what / how / when ......... แปลว่า ไม่ว่า ......... ก็ตาม
เช่น I told him to report to me after the job was completed, no matter how late it was.
They smiled almost continuously, no matter what was said.
จากโครงสร้างตรงนี้ no matter + how + adj. + Subject + verb จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ถูก เพราะในความหมายของประโยคใช้สมาชิกในรูปพหูพจน์ ไม่ว่าจะเป็น they หรือ their ดังนั้น members จึงถูกต้อง ส่วน sales (U) แปลว่า ส่วนของบริษัทซึ่งจัดการเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์ คำว่า staff (c) แปลว่า ผู้ซึ่งทำงานให้กับบริษัท, องค์กร ตรงนี้จะเห็นว่า staff เป็นคำนามนับได้เอกพจน์ จึงมี article "a" นำหน้าว่าเป็นคณะทำงานเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์ 1 คณะ ดังนั้น the members of a sales staff จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะความพยายามของพวกเขา คือ members จึงใช้ their ถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะประโยคหลัง if ประธานคือ claims เป็นพหูพจน์ กริยาเป็น is ไม่ได้
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก is เป็น are
สังเกต
Are these the books that / which you were looking for ?
The man whom / that I was sitting next to on the plane talked all the time.
นักเรียนจะสังเกตว่า Relative pronoun ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมเราสามารถละได้ เราจึงสามารถเขียนได้ว่า
Are these the books you were looking for ?
The man I was sitting next to on the plane talked all the time.
ดังนั้นในประโยค if the claims they make for their product are unreasonable นักเรียนจะเห็นว่าประธานคือ claims และกริยาคือ are ส่วน they make for their product เป็นส่วนขยายที่ละ relative pronoun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมไว้นั่นเอง
***********************************************
เฉลยข้อ 4 or แก้เป็น and คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะเป็นความจริงโดยทั่วไป เราจึงใช้ present simple tense (V.1) ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาจึงเติม s ดังนั้น comes from จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ถูก เพราะ which เป็น relative pronoun ซึ่งแทน seedpod จึงถูกต้องแล้ว
seedpod (N.) = ส่วนของพืชที่เมล็ดเจริญเติบโตข้างใน
ข้อ 3 ถูก เพราะ which แทน seedpod เป็นเอกพจน์ และทำให้แห้งเองไม่ได้ต้องถูกทำ จึงต้องใช้รูป Passive Voice (be + V.3) ดังนั้น is dried จึงถูกต้อง และประโยคนี้เป็นความจริงโดยทั่วไป จึงใช้ present simple tense (V.1) is ก็เลยถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะเวลาเราพูดว่า ต่อไปหรือหลังจากนั้น เราจะพูดว่า and then เช่น
The guides took us all over the city. First to the castle and then to the museum and then to the cathedral.
ในประโยคโจทย์ข้อ 24 แปลว่า เอามาทำให้แห้ง แล้วต่อไปก็เอาไปบดให้ละเอียด ดังนั้นใช้ and then จึงจะถูกต้อง
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก or เป็น and
***********************************************
เฉลยข้อ 4 for buying แก้เป็น to buy คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ mention + to someone ดังนั้น mentioned to me จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ถูก เพราะสังเกตประโยค reported speech กริยาที่เป็น past simple เปลี่ยนเป็น past perfect simple เช่น
"It rained really heavily today." เปลี่ยนเป็น
Sarah mentioned that it had rained really heavily that day.
ในประโยคโจทย์ข้อ 25 mentioned เป็นกริยาช่อง 2 ดังนั้น had written เป็น Past Perfect ถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะ write + to someone ดังนั้น write to him จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ผิด เพราะเวลาเราต้องการบอกจุดประสงค์ เราใช้ in order to / so as to / to เช่น
- In order to survive under the water, fish and other creatures need to get oxygen, just as people do.
- All the coordinates are moved around so as to confuse us.
- I was ringing up to enquire whether you're got any news about Alice.
เราใช้ for + กลุ่มคำนาม เพื่อบอกจุดประสงค์ เช่น
We stopped for lunch by the roadside.
I walked two miles for a couple of pails of water.
เราไม่ใช้ for + V.ing เมื่อต้องการบอกจุดประสงค์ เราจะใช้ in order to / so as to / to
เช่น He went to the city for finding work. (ผิด)
He went to the city in order to find work. (ถูก)
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก for buying เป็น to buy
***********************************************
เฉลยข้อ 3 as well as แก้เป็น and คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะ design (N.) = การออกแบบ + for เช่น
The President will unveil the design for a new World War II memorial on the National Mall.
ดังนั้น for ในข้อนี้ จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ถูก เพราะประธาน design เป็นเอกพจน์ กริยาจึงเติม s ความหมายในประโยคนี้เป็นความจริง โดยทั่วไปจึงใช้ Present Simple Tense (V.1) ดังนั้น combines จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ผิด เพราะคำเชื่อม both ตามด้วย and เช่น
I was both tired and hungry when I arrived home.
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก as well as เป็น and
ข้อ 4 ถูก เพราะ of แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น
the home of a sociology professor
At the top of the hill Harry Jackson paused for breath.
ดังนั้น architecture of the area จึงถูกต้อง
***********************************************
เฉลยข้อ 1 Driving แก้เป็น Driven คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะเมื่อเราจะรวม 2 ประโยคให้เป็นประโยคเดียว และประธาน 2 ประโยคเป็นคนเดียว / สิ่งเดียวกัน เราสามารถละประธานได้ แล้วใช้รูป Participle เช่น
If it is used economically, one tin will last for six weeks.
ในประโยคนี้ it คือ one tin เราจะละประธาน it ก็เลยต้องทำกริยาในส่วนนี้ให้เป็น Participle แต่เป็นเพราะ tin ถูกใช้ เราจึงต้องทำให้เป็น Past Participle (V.3) จึงรวมได้เป็น
Used economically, one tin will last for six weeks.
It rained for two weeks on end so that it completely ruined our holiday.
ในประโยคนี้ it ทั้ง 2 ประโยคคือ ฝนที่ตกลงมา เราจะละประธาน 1 ตัวก็เลยต้องทำกริยาในส่วนนี้ให้เป็น Participle แต่เป็นเพราะฝนทำให้วันหยุดของเราพังพินาศเอง เราจึงต้องทำให้เป็น Present Participle (V.ing) จึงรวมได้เป็น
It rained for two weeks on end, completely ruining our holiday
As I had failed my medical exams, I took up teaching.
ในประโยคนี้ I เป็นประธานทั้ง 2 ประโยค เราจะละประธาน 1 ตัว ก็เลยต้องทำกริยาในส่วนนี้ให้เป็น Participle แต่เป็นเพราะ I สอบตกเอง จึงต้องทำให้เป็น Present Participle แต่เฉพาะเหตุการณ์ฉันสอบตกเกิดขึ้นก่อน แล้วฉันเริ่มทำงานสอบ เราจึงต้องใช้ Present Participle ของกริยาที่เกิดก่อนนั้นเป็นรูป Having + V.3 จึงรวมได้เป็น
Having failed my medical exams, I took up teaching.
ในประโยคโจทย์ข้อ 27 ประธานที่ละไว้คือ sailboat ซึ่งขับเคลื่อนเองไม่ได้ ต้องถูกขับเคลื่อน จึงต้องทำกริยา Drive ตัวนี้ให้เป็น Past Participle (V.3)
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก Driving เป็น Driven
ข้อ 2 ถูก เพราะ sails ของ sailboat ซึ่งเป็นเอกพจน์ จึงใช้ its ถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะ billow (V.) = เคลื่อนที่ไปในลม เป็นกริยาไม่แท้ จึงทำให้รู้ว่า เรือใบขนาดเล็กนี้แล่นในลมนั้นช่างเป็นภาพที่สวยงาม เรือใบนี้แล่นไปในลมนั้นเป็นไปตามธรรมชาติ กริยาไม่แท้นี้จึงใช้ Present Participle (V.ing)
สังเกตประโยคนี้
Who's the man talking to Elizabeth ?
Who's the fat man sitting in the cormer ?
จะสังเกตเห็นว่า ทั้ง 2 ประโยค มีกริยาไม่แท้ คือ
ประโยคที่ 1 talk เป็นกริยาไม่แท้ เพราะอยู่ในส่วนขยาย และ man พูดคุยเอง จึงใช้ Present Participle (V.ing) ในประโยคนี้ใช้ talking
ประโยคที่ 2 sit เป็นกริยาไม่แท้ เพราะอยู่ในส่วนขยาย และ man นั่งเอง จึงใช้ Present Participle (V.ing) ในประโยคนี้ใช้ sitting
ดังนั้น billowing จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะประธานในประโยคคือ sailboat กริยาแท้คือ was ซึ่ง sailboat เป็นคำนามเอกพจน์ และเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในอดีต จึงใช้ Past Simple Tense (V.2) ดังนั้น was จึงถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 2 badly แก้เป็น bad คำอธิบาย
ข้อ 1 ถูก เพราะประธานที่ละไว้ คือ I และฉันทำกริยา ทานอาหารเย็นเอง จึงใช้ Present Participle และอีกประการหนึ่ง After เป็น preposition ได้ กริยาตามหลัง preposition เป็น V.ing ได้ ดังนั้น After having dinner จึงถูกต้อง
ข้อ 2 ผิด เพราะ feel เป็น linking verb (linking verbs แสดงสภาพหรืออาการของคนหรือสิ่งของ อยู่ในประโยคเหมือนกับตำแหน่ง verb to be ปรากฏ เช่น appear, become, feel, grow, sound, seem, look และ taste) เช่น
Lisa seemed surprised. / Lisa was surprised.
The puppies look sleepy, / The puppies are sleepy.
ดังนั้น feel ตามด้วย adj. bad ไม่ใช่ badly (adverb)
คำตอบจึงเปลี่ยนจาก badly เป็น bad
ข้อ 3 ถูก เพราะ and เชื่อมคำที่ทำหน้าที่เหมือนกัน ในที่นี้เป็น
Subject + Verb .......... and Subject + Verb เมื่อกริยาตัวหน้าเป็นกริยาช่อง 2 (felt) กริยาตัวหลังก็เป็นกริยาช่อง 2 (had) ถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะ had to จำเป็นต้อง + V.1 นั่นคือ take (นำไป) take someone to somewhere ดังนั้น take me to the hospital จึงถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 1 the แก้เป็น ตัด the ทิ้ง คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด โดยปกติเราใช้ตัวเลข (one, two, three etc.) หลังคำนาม โดยไม่ต้องมี article "the" นำหน้า เช่น Book Four ; Act Three ; Chapter three เป็นต้น
ดังนั้น in chapter one ถึงจะถูกต้อง
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก the เป็น ตัด the ออกไป
ข้อ 2 ถูก เพราะคำนามสำคัญคือ explanation ซึ่งเป็นเอกพจน์และเป็นเรื่องราวในหนังสือ เราใช้ Present Simple Tense (V.1) เสมอ ดังนั้น is จึงถูกต้องแล้ว
ข้อ 3 ถูก เพราะ really (adverb = โดยแท้จริง, จริง ๆ ) ขยาย good ซึ่งเป็น adjective ซึ่งถูกต้องแล้ว
ข้อ 4 ถูก เพราะข้างหน้า comma (,) เป็นประโยคสมบูรณ์แล้ว ข้างหลังเป็นเพียงแค่ส่วนขยาย สามารถขึ้นส่วนขยายด้วย adjective ได้
สังเกตประโยคข้างหน้า comma (,) เป็นประโยคสมบูรณ์แล้ว ข้างหลังเป็นเพียงส่วนขยายเท่านั้น เช่น
There he met a young woman from Cincinnati, Ohio.
She wasn't like David, who cried about everthing.
และรูปฟอร์ม complete with something ก็ถูกต้องแล้ว
***********************************************
เฉลยข้อ 1 would have sent แก้เป็น had sent คำอธิบาย
ข้อ 1 ผิด เพราะ Conditionals (If-Clause) ที่พูดเกี่ยวกับอดีต เช่น
a. I didn't see you when you passed me in the street.
ฉันไม่เห็นคุณเมื่อคุณผ่านฉันในถนน
If I had seen you, of course I would have said hello.
b. The view was wonderful. If I had had a camera with me, I would have taken some photographs. (but I didn't have a camera.)
จากตัวอย่างทั้ง 2 นักเรียนจะเห็นโครงสร้างดังนี้
If S + had V.3 ........ , S + would have V.3 ............. .
คำตอบจึงต้องเปลี่ยนจาก would have sent เป็น had sent
ข้อ 2 ถูก เพราะ send in = ส่งไป, ส่ง ดังนั้น in จึงถูกต้อง
ข้อ 3 ถูก เพราะโครงสร้าง If + S + had V.3 ............... , S + would have V.3 ........... .
ดังนั้น would have been จึงถูกต้อง
ข้อ 4 ถูก เพราะในความหมายนี้ ถ้า Tom ส่งเอกสารต่าง ๆ เร็วกว่านี้ เขาจะถูกยอมรับในภาคการเรียนนี้ accept จึงใช้รูป Passive Voice (be + V.3) ดังนั้น accepted จึงถูกต้อง
***********************************************
gut gemacht :) Vielen Dank !!!
ตอบลบ