ชีววิทยา
- ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ชีววิทยา
ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า biology ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีกโบราณ 2 คำ คือ
bios
หมายถึง
ชีวิต
logos หมายถึง ความคิดและเหตุผล
ดังนั้น
ชีววิทยา จึงมีความหมายว่า "การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต"
1.1
<<< สิ่งมีชีวิตคืออะไร >>>
สมบัติของสิ่งมีชีวิต
คือ
เป็นหน่วยที่ต้องใช้พลังงาน
และพลังงานที่ใช้นั้นต้องเกิดจากปฏิกิริยาเคมีในเซลล์หรือในร่างกายสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น
ๆ สิ่งมีชีวิตมีสมบัติทางกายภาพและชีวภาพดังนี้
1.1.1
สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์
(reproduction)
การสืบพันธุ์
หมายถึง
การเพิ่มจำนวนลูกหลานที่มีลักษณะเหมือนเดิมของสิ่งมีชีวิตโดยสิ่งมีชีวิตรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นนี้จะทดแทนสิ่งมีชีวิตรุ่นเก่าที่ล้มหายตายจากไป
ทำให้สิ่งมีชีวิตเหลือรอดอยู่ในโลกได้ โดยไม่สูญพันธุ์ไป
1.1.2 สิ่งมีชีวิตต้องการสารอาหารและพลังงาน
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการสารอาหารและพลังงาน
เพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของตัวสิ่งมีชีวิตเองกิจกรรมต่าง ๆ
ของสิ่งมีชีวิตจะต้องประกอบด้วยกระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) กระบวนการเมแทบอลิซึมเป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์
หรือภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต กระบวนการนี้แบ่งได้เป็น 2 กระบวนการย่อย คือ
1.
แคแทบอลิซึม
(catabolism)
หรือกระบวนการสลาย
เป็นการเปลี่ยนแปลงของสารที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ให้เป็นสารที่มีโมเลกุลเล็กลง
กระบวนการนี้มักมีพลังงานและความร้อนถูกปลดปล่อยออกมาจากกระบวนการ เช่น
การย่อยสลาย การหายใจ
2.
แอแนบอลิซึม
(anabolism)
หรือกระบวนการสร้าง
เป็นการเปลี่ยนแปลงของสารโมเลกุลเล็กให้เป็นสารที่มีขนาโมเลกุลใหญ่ขึ้น
เป็นผลให้มีการเก็บพลังงานไว้ในสารโมเลกุลใหญ่นั้น เช่น
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและกรดอะมิโน
มีผลให้เกิดการเพิ่มปริมาณของโพรโทพลาซึม ทำให้เกิดการเจริญเติบโต
กระบวนการเมแทบอลิซึมทั้งสองขบวนการนี้ต้องมีเอนไซม์ (anzymc) และพลังงานต่าง ๆ
เข้ามาเกี่ยวข้องและร่วมกระบวนการเสมอ
1.1.3.
สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต
มีอายุขัยและขนาดจำกัด
การเจริญเติบโตจะประกอบด้วยกระบวนการต่าง
ๆ 4 กระบวนการ คือ
(1)
การเพิ่มจำนวนเซลล์
(cell
multiplication)
ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียวเมื่อมีการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ก็จะทำให้เกิดการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศขึ้น
ส่วนในพวกสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เมื่อเกิดปฏิสนธิแล้ว เซลล์ที่ได้ก็คือไซโกตซึ่งจะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้น
ผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์ทำให้ได้เซลล์ใหม่มากขึ้นและมีขนาดเพิ่มขึ้น
การจะมีเซลล์มากมายแค่ไหนก็แล้วแต่ชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นว่ามีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เท่าใด
(2)
การเจริญเติบโต
(growth)
ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียว
การเพิ่มของโพรโทพลาซึมก็จัดว่าเป็นการเจริญเติบโต
เมื่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งเซลล์ในตอนแรกเซลล์ใหม่ที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่าเซลล์เดิม
ในเวลาต่อมาเซลล์ใหม่ที่ได้จะสร้างสารต่าง ๆ
เพิ่มมากขึ้นทำให้ขนาดของเซลล์ใหม่นั้นขยายขนาดขึ้น ซึ่งจัดเป็นการเจริญเติบโตด้วย
ในสิ่งมีชีวิตพวกที่เป็นหลายเซลล์ผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์ก็คือการขยายขนาดให้ใหญ่โตขึ้น
ซึ่งจัดเป็นการเจริญเติบโตด้วยเช่นกัน
(3)
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ต่าง
ๆ (cell
differentiation)
สิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ต่าง
ๆ เหมือนกัน เช่น มีการสร้างเซลล์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี เช่น
การสร้างเอนโดสปอร์ (endospore) ของแบคทีเรียในพวกสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินก็มีเช่นการสร้างเซลล์พิเศษซึ่งเรียกว่า
เฮเทอโรซิลต์ (heterocyst)
มีผนังหนาและสามารถจับก๊าซไนโตรเจนในอากาศเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่มีประโยชน์ต่อเซลล์ของสาหร่ายชนิดนั้น
ๆ ได้
ในสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์แบบมีเพศ
เมื่อไข่และอสุจิผสมกันก็จะได้เซลล์ใหม่คือไซโกต ซึ่งมีเพียงเซลล์เดียว
ต่อมาไซโกตจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้นเซลล์ใหม่ ๆ
ที่ได้จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อไปทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่น
เซลล์กล้ามเนื้อทำหน้าที่ในการหดตัว ทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหว
เซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ลำเลียงก๊าซออกซิเจน
เซลล์ประสาททำหน้าที่ในการนำกระแสประสาทเกี่ยวกับความรู้สึกและคำสั่งต่าง ๆ เซลล์ต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน
เป็นต้น จะเห็นได้ว่า
เซลล์ภายในร่างกายของเราจะเริ่มต้นมาจากเซลล์เซลล์เดียวกันแต่มีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อทำหน้าที่ต่าง
ๆ กันไป เพื่อให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
กันได้
(4)
การเกิดรูปร่างที่แน่นอน
(morphogenesis)
เป็นผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์การเจริญเติบโต
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ต่าง ๆ
กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระยะเอมบริโออยู่ตลอดเวลา มีการสร้างอวัยวะต่าง ๆ
ขึ้น อัตราเร็วของการสร้างในแต่ละแห่งบนร่างกายจะไม่เท่ากัน ทำให้เกิดรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดขึ้นโดยที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีแบบแผนและลักษณะต่าง
ๆ เป็นแบบที่เฉพาะตัวและไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ลักษณะต่าง ๆ
เหล่านี้จะเป็นลักษณะทางพันธุกรรม
ซึ่งถูกควบคุมโดยจีนบนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ
1.1.4.
สิ่งมีชีวิตมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
เป็นการตอบสนองของสิ่งมีชีวิตต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีที่เกิดขึ้น
สิ่งเร้า (stimulus)
อย่างเดียวกันอาจจะตอบสนอง
(response)
ไม่เหมือนกันก็ได้
ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เช่น แสงเป็นสิ่งเร้าที่พืชเอนเข้าหา
ส่วนโพรโทซัวหลายชนิดจะเคลื่อนหนี ตัวอย่างของการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เช่น มือเกาะ
(tendril)
ของบวบ
น้ำเต้า ฟัก จะพันรอบกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อพยุงลำต้นให้สูงขึ้น
พืชเอนเข้าหาแสง พืชตระกูลถั่วจะหุบใบในตอนเย็นหรือกลางคืน ซึ่งเรียกว่าต้นไม้นอน
สำหรับสัตว์การตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยการปรับตัว เช่น หลบร้อน หลบหนาว
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอาหาร ที่อยู่ หรือการผสมพันธุ์ เป็นต้น
1.1.5.
สิ่งมีชีวิตมีการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะดำรงชีวิตและทำหน้าที่ต่าง
ๆ ได้อย่างปกติสุขได้นั้นจะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมต่าง ๆ
นั้น ได้แก่ ระดับน้ำในร่างกายและในเซลล์ ความเป็นกรด-เบส อุณหภูมิ แร่ธาตุ
ระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นการรักษาระดับของปัจจัยต่าง ๆ
เหล่านี้ให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม
จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเซลล์และร่างกายสิ่งมีชีวิต
เซลล์คุมแตกต่างจากเซลล์เอพิเดอร์มิสอื่น
คือ เซลล์คุมมีคลอโรฟิลล์อยู่ด้วย
จึงสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้และการสังเคราะห์ด้วยแสงนี้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการเปิดปิดของปากใบ, การคายน้ำและการลำเลียงสารของพืช
ผิวของเซลล์ชั้นเอพิเดอร์มิสมีสารพวกขี้ผึ้ง เรียกว่า คิวทิน (cutin) ฉาบอยู่ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ
ออกจากผิวใบพืช
1.1.6
สิ่งมีชีวิตมีลักษณะจำเพาะ
สิ่งมีชีวิตมีลักษณะจำเพาะ
เช่น ลักษณะของคนจะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า คน แมวก็เช่นกัน สุนัข หรือ
แม้แต่ต้นพืชหรือสาหร่ายขนาดเล็กก็มีลักษณะเฉพาะเช่นกัน
1.2 ชีววิทยาคืออะไร
ชีววิทยาเป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต
ชีววิทยามีหลายสาขาได้แก่
1.2.1.
การศึกษาสิ่งมีชีวิตและกลุ่มของสิ่งมีชีวิต
(1)
สัตววิทยา
(zoology)
เป็นการศึกษาเรื่องราวต่าง
ๆ ของสัตว์ แบ่งออกเป็นสาขาย่อย ๆ เช่น
1.
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
(invertebrate)
2.
สัตว์มีกระดูกสันหลัง
(vertebrate)
3.
มีนวิทยา (icthyology) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับปลาชนิดต่าง
ๆ
4.
สังขวิทยา
(malacology)
ศึกษาเกี่ยวกับหอยชนิดต่าง
ๆ
5.
ปักษินวิทยา
(ornithology)
ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับนก
6.
วิทยาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
(mammalogy)
7.
กีฏวิทยา (entomology) ศึกษาเกี่ยวกับแมลง
8.
วิทยาเห็บไร
(acarology)
ศึกษาเกี่ยวกับเห็บและไร
(2)
พฤกษศาสตร์
(botany) ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ
ของพืช เช่น
1.
พืชชั้นต่ำ
(lower
plant)
2.
พืชมีท่อลำเลียง
(vascular
plant)
3.
พืชมีดอก (angiosperm)
(3)
จุลชีววิทยา
(microbiology)
คือการศึกษาเรื่องราวต่าง
ๆ ของจุลินทรีย์ เช่น
1.
วิทยาแบคทีเรีย
(bacteriology)
ศึกษาเกี่ยวกับแบคทีเรีย
2.
วิทยาไวรัส
(virology)
ศึกษาเกี่ยวกับ
ไวรัส
3.
ราวิทยา (mycology) ศึกษาเกี่ยวกับ รา เห็ด
ยีสต์
4.
วิทยาสัตว์เซลล์เดียว
(protozoology)
ศึกษาเกี่ยวกับพวกโพรโทซัว
1.2.2.
การศึกษาจากโครงสร้างหน้าที่และการทำงานของสิ่งมีชีวิต
(1)
กายวิภาคศาสตร์
(anatomy)
ศึกษาโครงสร้างต่าง
ๆ โดยการตัดผ่า
(2)
สัณฐานวิทยา
(morphology)
ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างและรูปร่างของสิ่งมีชีวิต
(3)
สรีรวิทยา
(physiology)
ศึกษาหน้าที่การทำงานของระบบต่าง
ๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
(4)
พันธุศาสตร์
(genetics)
ศึกษาลักษณะต่าง
ๆ ทางพันธุกรรมและการถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน
(5)
นิเวศวิทยา
(ecology)
ศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
(6)
มิญชยวิทยาหรือเนื้อเยื่อวิทยา
(histology)
ศึกษาลักษณะของเนื้อเยื่อทั้งทางด้านโครงสร้างและหน้าที่การทำงาน
(7)
วิทยาเอมบริโอ
(embryology)
ศึกษาลักษณะการเจริญเติบโตของตัวอ่อน
(8)
ปรสิตวิทยา
(parasitology)
ศึกษาเกี่ยวกับการเป็นปรสิตของสิ่งมีชีวิต
(9)
วิทยาเซลล์
(cytology)
ศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์สิ่งมีชีวิต
1.2.3.
การศึกษาเรื่องราวของสิ่งมีชีวิต
(1)
อนุกรมวิธาน
(taxonomy)
ศึกษาเกี่ยวกับการแบ่งหมวดหมู่
การตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ
(2)
วิวัฒนาการ
(evolution)
ศึกษาเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
(3)
บรรพชีวินวิทยา
(paleontology)
ศึกษาเกี่ยวกับซากโบราณของสิ่งมีชีวิต
ในปัจจุบันการศึกษาทางชีววิทยาได้พัฒนาไปมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
(biotechnology)
ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต
เช่น การผลิตสารต่าง ๆ เช่น ผลิตกรดอะมิโน ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ผลิตเอนไซม์ การเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การผลิตก๊าซชีวภาพ การโคลนนิ่ง (cloning) การตัดต่อจีน ซึ่งกระทำในพวกจุลินทรีย์
เพื่อประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมและการสาธารณสุข ซึ่งเรียกว่าพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) ซึ่งกำลังเจริญพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยการศึกษาของนักจุลชีววิทยา
นักเคมี และนักชีวเคมี
<
< < 1.3 ชีววิทยากับการดำรงชีวิต > > >
ชีววิทยาจะเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของเราเป็นอย่างมาก
เช่น
1.3.1.
การดูแลรักษาสุขภาพของร่างกาย
ได้แก่
(1)
การเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและไม่เป็นโทษต่อร่างกาย
เช่น เลือกกินอาหารที่สะอาด และสุกใหม่ ๆ ไม่กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
ซึ่งอาจติดโรคพยาธิได้ ไม่กินอาหารที่แมลงวันตอมเพราะอาจจะแพร่โรคได้
เลือกอาหารที่ปลอดจากสารพิษต่าง ๆ เป็นต้น
(2)
การออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
รู้จักเลือกการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยและสภาพของร่างกาย
(3)
การรู้จักระบบต่าง
ๆ ของร่างกายช่วยให้การดูแลและรักษาระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบโครงกระดูก
ระบบผิวหนัง ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ฯลฯ เป็นไปอย่างถูกต้อง
อันจะเป็นผลให้สุขภาพของระบบต่าง ๆ รวมถึงร่างกายเป็นปกติสุขด้วย
ฯลฯ
1.3.2.
การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ได้แก่
(1)
การไม่ตัดไม้ทำลายป่า
เพราะต้นไม้มีความสำคัญต่อสภาพแวดล้อมและเป็นตัวการสำคัญในการผลิตออกซิเจนให้แก่โลก
และลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกด้วย
(2)
การปลูกพืชคลุมดิน
การปลูกพืชหมุนเวียน การสงวนน้ำรักษาน้ำ ดินแร่ธาตุ
และอากาศมีผลต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนทั้งสิ้น
(3)
การเข้าใจสมดุลของ
พืช สัตว์ จุลินทรีย์ในฐานะผู้ผลิตอาหาร ผู้บริโภค
ผู้ย่อยสลายสารอันจะก่อให้เกิดวัฏจักรต่าง ๆ ของสารในระบบนิเวศ
ซึ่งนำไปสู่ความสมดุลของสารในธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น
ฯลฯ
1.3.3.
การพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อการอยู่ดีกินดีของมนุษย์ชาติ ได้แก่
(1)
การผลิตสารต่าง
ๆ ที่เป็นอาหารและช่วยในการรักษาโรค เช่น
การผลิตฮอร์โมนอินซูลินจากยีสต์เพื่อรักษาโรคเบาหวานในคน การผลิตฮอร์โมนโกรท
โดยสุกรเพื่อใช้ในการรักษาโรคเกี่ยวกับการเจริญเติบโตที่มากหรือน้อยเกินไป
การผลิตกรดอะมิโนจำเป็นโดยแบคทีเรีย การผลิตสาหร่ายสไปรูไลนา ซึ่งมีโปรตีนสูง
การถนอมอาหาร โดยวิธีการต่าง ๆ เป็นต้น
(2)
การพัฒนาทางด้านพันธุวิศวกรรม
(genetic
engineering) มาใช้ในการตัดต่อสารพันธุกรรมเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืช
พันธุ์สัตว์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมีคุณภาพดีมากยิ่งขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น
แต่ก็ยังต้องมีการศึกษาถึงผลดีและผลเสียกันต่อไป
(3)
การพัฒนาเทคนิคทางด้าน
DNA เพื่อนำมาใช้ในการตรวจหาสายสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก
นอกจากนี้ยังใช้ในการสืบสวนสอบสวนทางคดีของแพทย์และตำรวจได้เป็นอย่างดี
(4)
การศึกาาทางด้านพืชสมุนไพรสามารถนำมาผลิตเป็นยาแผนโบราณใช้ในการรักษาโรคต่าง
ๆ ได้เป็นอย่างดีนับเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจ
(5)
การศึกษาทางด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์
เช่น การผสมเทียมในหลอดแก้ว แล้วถ่ายฝากตัวอ่อน (InVitro Fertilization - Embryo
Transfer) การนำเซลล์สืบพันธุ์ไปใส่ที่ท่อนำไข่หรือที่เรียกว่า
กิ๊ฟ (GIFT
หรือ Gamete Intrafallopian
Transfer) การทำอิ๊กซี่
(ICSI, หรือ Intracytoplasmic Sperm
Injection) รวมไปถึงการทำโคลนนิ่ง
(Cloning)
ด้วย
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้คนมีบุตรยากมีบุตรได้ทั้งสิ้น
สำหรับการทำโคลนนิ่งยังไม่มีข่าวว่าทำสำเร็จแล้วในคน
แต่พบว่าสำเร็จแล้วในสัตว์หลายชนิด เช่น แกะ วัว ลิง เป็นต้น
<
< < ชีวจริยธรรม > > >
การศึกษาทางด้านชีววิทยาเป็นการศึกษาเรื่องของสิ่งมีชีวิตจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากในการศึกษาและกระทำ
เพราะอาจจะผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมาย หรือจริยธรรมได้ เช่น
1.4.1.
การโคลนนิ่งมนุษย์
เพื่อใช้อวัยวะบางส่วนมารักษาโรคหรือเพื่อผลิตลูกหลานขึ้นมาเพราะอาจมีปัญหาต่อสถาบันครอบครัวได้
1.4.2.
การทำแท้ง
ในหลายประเทศสามารถทำแท้งได้แต่ในหลายประเทศก็เป็นการผิดกฎหมาย
1.4.3.
การใช้สัตว์ทดลองทางชีววิทยา
เพราะสัตว์ก็มีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นการทดลองต้องไม่ทรมานสัตว์
และใช้สัตว์ให้น้อยที่สุดและได้ผลความรู้มากที่สุด และต้องไม่ผิดกฎหมายด้วย
1.4.4.
การใช้สารเร่งการเจริญเติบโตในพืชหรือในสัตว์
อันจะก่อให้เกิดสารตกค้างได้นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงให้แก่เนื้อหมูซึ่ง่จะมีผลเสียต่อผู้บริโภคได้
1.4.5.
การใช้สารฟอร์มาลิน
ในการแช่ผัก ปลา หรือเนื้อ ช่วยให้ผัก ปลา
และเนื้อเน่าเสียช้าลงแต่เป็นพิษต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้การใช้สารบอร์แรกซ์ใส่ในลูกชิ้นเด้ง การฉีดดีดีทีให้แก่ปลาเค็ม
เนื้อเค็มก็มีผลเสียต่อผู้บริโภคทั้งสิ้น
1.4.6.
การผลิตอาวุธชีวภาพ
เช่น การนำเชื้อโรคใส่ในซองจดหมาย แล้วส่งไปในที่ต่าง ๆ ทางไปรษณีย์
การปล่อยเชื้อโรคไปในที่สาธารณะ
การผลิตระเบิดติดหัวรบที่มีเชื้อโรคซึ่งเรียกว่าอาวุธเชื้อโรคหรืออาวุธชีวภาพ
ซึ่งเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
ถือว่าผิดทางด้านชีวจริยธรรมทั้งสิ้นและเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงและตระหนักอยู่เสมออันจะเป็นผลให้โลกของเราเกิดสภาพไม่สงบสุขได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น