วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน

โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักที่เหมาะสมนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้น้ำหนักลดลงเท่านั้น แต่ต้องสามารถควบคุมน้ำหนักที่ลงมาแล้วให้อยู่ในระดับที่คงที่ด้วย ในสังคมไทยปัจจุบันมีการตื่นตัวถึงการลดน้ำหนักกันมาก ดังจะเห็นได้จากการที่มีโรงพยาบาล คลินิกและสถานบริการต่าง ๆ เปิดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการลดน้ำหนักต่าง ๆ ออกมาจัดจำหน่ายจนแทบจะเรียกได้ว่าถ้ากินทุกชนิดที่ถูกชักชวนพร้อม ๆ กันคงจะอิ่มได้โดยไม่ต้องกินอาหารตามปกติแล้ว

..........ในทางการแพทย์การที่ลดน้ำหนักลงได้เพียงประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น ก็พอเพียงแล้วที่จะให้ผลดีต่อสุขภาพ สำหรับคนที่หมดกำลังใจในการลดน้ำหนักจะเป็นเพราะมุ่งหวังที่จะให้น้ำหนักลงมากเกินกว่าที่จะทำได้จริง ควรที่จะเข้าใจว่าการลดน้ำหนักเพื่อประโยชน์ทางสุขภาพไม่จำเป็นที่จะต้องลดให้ได้จนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การลดน้ำหนักลงประมาณ 5-10 กิโลกรัม สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนที่น้ำหนัก 100 กิโลกรัมก็จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว และการลดน้ำหนักนั้นควรมุ่งเน้นการลดไขมันส่วนเกินโดยยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและสมดุลของน้ำและเกลือแร่ให้เหมาะสม เนื่องจากการลดน้ำหนักค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีองค์ประกอบเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่าการลดน้ำหนักโดยใช้วิธีการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะไม่ได้ผลถาวร และเป็นเหตุให้ผู้ที่ลดน้ำหนักมาแล้วส่วนใหญ่จะมีโอกาสที่น้ำหนักกลับคืน

..........โปรแกรมในการลดน้ำหนักที่เหมาะสมนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และทุกคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืนจะต้องพยายามให้ความร่วมมือในการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเต็มที่ โปรแกรมการลดน้ำหนักที่จะแนะนำต่อไปนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้เขียน โดยรวบรวมแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญในด้านการลดน้ำหนักที่เขียนขึ้นไว้เป็นตำราหลากหลายมาขัดเกลาให้เหมาะสมกับคนไทย หากต้องการที่จะได้ผลอย่างเต็มที่ในการลดน้ำหนักจะต้องมีความตั้งใจจริงที่จะลงมือกระทำตาม ขอให้มีความเชื่อมั่นในตนเองและศักยภาพของมนุษย์ที่จะแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพประการอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิดด้วย นอกจากนี้ควรมีผู้ใกล้ชิดคอยสนับสนุนและให้กำลังใจด้วย ทั้งนี้เพราะการลดน้ำหนักต้องอาศัยความอดทนและการปฏิบัติตนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักนี้เพื่อให้สะดวกในการปฏิบัติตาม ผู้เขียนได้จัดทำไว้เป็น 7 ขั้นตอนด้วยกันดังต่อไปนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1
..........วิเคราะห์ปัญหาน้ำหนักและความต้องการที่จะลดของคุณ

..........มีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจว่าน้ำหนักมีผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของตนเองอย่างไร ซึ่งความไม่รู้ซึ้งถึงปัญหาจะทำให้เป็นการยากที่จะลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน การลดน้ำหนักมีความซับซ้อนและสัมพันธ์กับความต้องการของร่างกาย รวมทั้งอาหารและการกระทำต่าง ๆ ด้วย สภาวะต่าง ๆ อาทิเช่น ความซึมเศร้า ความเครียด อารมณ์โกรธ และเสียใจ รวมทั้งปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ ล้วนส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และลดโอกาสที่จะควบคุมน้ำหนักให้ประสบผลสำเร็จลงได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการวิเคราะห์ปัญหาอย่างถูกต้องจะนำไปสู่วิธีการลดและควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

..........โดยทั่วไปอาจแบ่งปัญหาหลัก ๆ ของผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากออกเป็น 4 แบบด้วยกัน คือ

..........1. กลุ่มที่น้ำหนักขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลา
..........บุคคลกลุ่มนี้อาจจะเคยชั่งน้ำหนักและพบว่าน้ำหนักของตนเองขึ้น ๆ ลง ๆ จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่ายที่จะปล่อยให้น้ำหนักตัวเป็นแบบนี้ ในประเทศไทยสาเหตุสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักขึ้น ๆ ลง ๆ ได้มาก คือ การใช้ยาลดน้ำหนักที่มีผลกดความรู้สึกอยากอาหารโดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเลย การอดอาหารและวิธีการที่ผิด ๆ จะทำให้เกิดปัญหานี้ได้บ่อยเช่นกัน

..........ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีลักษณะปัญหาของน้ำหนักแบบนี้ ควรที่จะทราบว่าพื้นฐานทางอารมณ์จะมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก นักชีววิทยาเชื่อว่าการที่มนุษย์แสวงหาและกินอาหารไม่เพียงแค่ต้องการความอร่อยเท่านั้น แต่เป็นเพราะสารอาหารมีผลต่อจิตใจอีกด้วย สำหรับคนส่วนใหญ่อาหารประเภทไขมันทำให้เกิดความรู้สึกเฉื่อยชา คาร์โบไฮเดรตทำให้เกิดความรู้สึกสงบ สบาย ในขณะที่โปรตีนทำให้ตื่นตัวว่องไว สารสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นสื่อสัญญาณประสาทในสมองคือซีโรโตนิน ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่ออารมณ์ของเราเท่านั้น ยังมีผลกับความอยากอาหารด้วย

..........เหตุผลที่ทำให้เรามีความอยากกินอาหารที่เป็นของหวานและคาร์โบไฮเดรต เป็นเพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ระดับซีโรโตนินเข้าสู่ระดับปกติได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ช่วยลดความแปรปรวนและกดดันทางอารมณ์ลง รวมทั้งยังช่วยขจัดความรู้สึกเศร้า ว่างเปล่า และขาดความสนใจในชีวิตลงได้ จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่าการกดดันทางอารมณ์ในผู้ที่กำลังพยายามลดน้ำหนักอย่างล้มเหลวซ้ำซาก กลับจะผลักดันตนเองให้กินของหวานและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขปัญหานี้อาจทำได้โดยเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งจะช่วยกระตุ้นให้มีระดับซีโรโตนินเหมาะสมในสมองตลอดทั้งวัน และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ง่ายเหมือนของหวานและน้ำตาลทรายบริสุทธิ์

..........ผู้ที่น้ำหนักขึ้นลงบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วย เพื่อจะค้นหาสาเหตุทางร่างกายที่อาจมีผลเกี่ยวข้องทั้งทางร่างกายและจิตใจ การใช้ยาหลายชนิดอาจมีผลทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่ายกว่าปกติและควรหลีกเลี่ยงหากกระทำได้ การประเมินไขมันในร่างกายว่ามีมากน้อยแค่ไหนและอยู่ที่ตำแหน่งใดก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องมีความเสี่ยงมากกว่าไขมันที่ต้นขาหรือตำแหน่งอื่น ๆ ของร่างกาย

..........จากการศึกษาวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้มีน้ำหนักตัวมาก และขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เสมอนั้น กลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าการที่น้ำหนักตัวมากอยู่ในเกณฑ์คงที่เสียอีก ดังนั้นควรพยายามควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสมที่จะช่วยให้น้ำหนักลงอย่างยั่งยืนจะดีกว่า

..........2. กลุ่มที่มีน้ำหนักตัวมากมาตลอด และไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
..........มีบุคคลจำนวนไม่น้อยซึ่งมีน้ำหนักคงที่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก องค์ประกอบซึ่งเป็นสาเหตุมักจะได้จากการที่คนเหล่านี้น้ำหนักตัวมากมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ทั้งนี้เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าหากอ้วนตั้งแต่เด็กจะมีจำนวนเซลล์ไขมันมากกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังอาจเป็นผลมาจากร่างกายควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในจุดที่กำหนด (set point hypothesis) เมื่อมีการลดปริมาณอาหารที่ได้รับจะส่งผลให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลงตามไปด้วย จึงไม่ควรที่จะใช้วิธีการควบคุมอาหารโดยอดอาหาร หรือกำหนดให้พลังงานที่ได้รับต่ำกว่า 800 แคลอรี่ต่อวัน เพราะจะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานด้อยลงไปอีก การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จะมีประโยชน์ในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานที่ไม่ควรละเลย

..........ผู้ที่มีปัญหาลักษณะนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของความอ้วนตามหลักทางการแพทย์เสียก่อน และหากมีปัญหาประการใดก็ขอให้แก้ไขเสีย และหากมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากความกดดันทางด้านจิตใจจะต้องพยายามขจัดออกด้วยเช่นกัน ในกรณีที่สามารถลดน้ำหนักลงได้ตามเป้าหมายแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นอีกอย่างน้อยเป็นเวลา 1-2 ปี ต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการขึ้น ๆ ลง ๆ ของน้ำหนัก

..........3. กลุ่มที่ต้องการลดน้ำหนักเพื่อความสวยงาม
..........ผู้ที่มีความต้องการจะลดน้ำหนักทั้ง ๆ ที่การประเมินปัญหาน้ำหนักตัวไม่ได้ระบุว่าอ้วนแต่อย่างใดนั้น เป็นปัญหาที่บุคคลเหล่านั้นมองเห็นตนเองว่าไม่สวยมากกว่า และการลดน้ำหนักลงได้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านสุขภาพเลย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนจำนวนมากที่มาขอรับบริการลดน้ำหนักมักจะอยู่ในกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ และสำหรับบุคคลบางอาชีพ เช่น นางแบบ นักแสดง ก็อาจมีความจำเป็นที่จะต้องลดน้ำหนักบ้างเพื่อประโยชน์ของอาชีพ

..........สิ่งที่บุคคลประเภทนี้ต้องกระทำคือให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะดีที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงวิธีการต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักลงแล้วถูกดีดกลับขึ้นมากกว่าเดิม (yo-yo effect) เพราะจะทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวมากกว่า ควรเน้นการลดน้ำหนักที่เป็นการขจัดไขมันส่วนเกิน และไม่ทำให้เกิดการสูญเสียมวลของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะการที่จะรูปร่างดีได้นั้นกล้ามเนื้อจะมีส่วนสำคัญทำให้มีรูปร่างกระชับและสวยงาม

..........4. กลุ่มที่มีความผิดปกติทางอารมณ์สืบเนื่องจากปัญหาความอ้วน
..........ในสังคมไทยปัจจุบันเริ่มพบปัญหาของผู้ที่มีความผิดปกติทางอารมณ์และคิดว่าตนเองอ้วนทั้งที่สำหรับคนทั่วไปแล้วเขาเหล่านั้นจะมีรูปร่างเป็นที่น่าอิจฉา หรือบางคนมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ แต่สืบเนื่องจากความเชื่อที่ฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกทำให้มองภาพตัวเองว่ายังคงอ้วนน่าเกลียดอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วจะผอมเกินไปด้วยซ้ำ ความผิดปกตินี้ได้ก่อให้เกิดโรคทางจิตใจซึ่งเรียกว่า anorexia nervosa และ bulimia โรค anorexia nervosa ผู้ป่วยจะปฏิเสธไม่ยอมกินอะไรเลย ซึ่งในที่สุดจะเสียชีวิตจากการขาดอาหาร สำหรับโรค bulimia ผู้ป่วยจะอาเจียนอาหารออกหมดทุกครั้งที่กินเข้าไปและภายหลังอาเจียนจะกลับกินอาหารเข้าไปอย่างหักห้ามใจตนเองไม่ได้ ผู้ป่วยโรคนี้จะไม่เสียชีวิตจากการขาดอาหารแต่จะตายจากการสำลักเศษอาหารเข้าสู่หลอดลมหรืออาจจะฆ่าตัวตายเนื่องจากความกดดันและสับสน

..........การที่จะแก้ไขปัญหาของบุคคลเหล่านี้จึงไม่ใช่อยู่ที่การลดน้ำหนักแต่ประการใด และการที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ยังกระทำได้ยากมาก การแก้ไขโดยการปรับเปลี่ยนที่จิตใต้สำนึกอาจจะเป็นวิธีที่เหมาะสมและได้ประโยชน์ กระบวนการที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนจิตใต้สำนึกซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกว่า autogenic training ซึ่งหากสามารถฝึกปฏิบัติได้อาจช่วยแก้ปัญหาโรคนี้ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ควรกระทำสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องน้ำหนักตัวจนเกินขอบเขตคือ การป้องกันไม่ให้เกิดเป็นโรคทางจิตใจจะดีกว่าการแก้ไข ผู้ที่มีปัญหากังวลจนผิดปกติและมีพฤติกรรมล้วงคอให้อาเจียนอาหารออกทุกครั้ง ควรจะต้องรีบปรึกษาแพทย์อย่าปล่อยให้เกิดมีปัญหาทางจิตใจรุนแรงขึ้นมาจะดีกว่า

..........ในขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาอย่างจริงจังเพื่อนำไปสู่การแก้ไขที่ถูกต้อง และความเข้าใจความต้องการของตนเองจะช่วยให้โปรแกรมการลดและควบคุมน้ำหนักประสบความสำเร็จได้มากขึ้น แต่บนพื้นฐานของความต้องการนั้นจะต้องมีความเป็นไปได้และเหมาะสมด้วย

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดจุดมุ่งหมายที่เหมาะสม
..........บุคคลแต่ละคนมีเหตุผลของตนเองในการต้องการที่จะลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อทำให้สุขภาพดีขึ้น สามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่ต้องการจะใส่ได้ หรือเพื่อรูปร่างที่ดูดีและสวยงามขึ้น แต่ไม่ว่าเหตุผลในการที่จะลดน้ำหนักจะเป็นเช่นใด จุดมุ่งหมายจะต้องเป็นไปได้และสามารถทำให้ได้จริงทั้งในจำนวนทั้งหมดที่ต้องการลดและเวลาที่ใช้ในการลด โดยทั่วไปสำหรับคนที่อ้วนจริงการลดน้ำหนักในอัตราอาทิตย์ละ 0.5-1 กิโลกรัมก็พอเพียงแล้ว เป้าหมายการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพหากสามารถลดลงได้ 5-10% ของน้ำหนักตัวก็จะเป็นการเพียงพอแล้วเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดการลดน้ำหนักโดยขจัดไขมันที่สะสมในร่างกายเป็นเป้าหมายที่สำคัญสูงสุด และการเก็บมวลของกล้ามเนื้อไว้จะทำให้โอกาสที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอีกมีน้อย

..........คนที่ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักเกินความเป็นจริงที่ทำได้ โดยเฉพาะการพยายามลดน้ำหนักจำนวนหลายกิโลกรัมในผู้ที่ไม่อ้วนจริง หรือตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักถึงระดับมาตรฐานในขณะที่มีน้ำหนักเกินมากจนเคยชินแล้ว หรืออ้วนมาตลอดตั้งแต่เด็ก จะทำให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จเป็นไปได้ยาก การตั้งเป้าหมายให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเกินไปไม่เพียงแต่จะกระทำได้ยากเท่านั้น ยังไม่สมควรที่จะพยายามคิดที่จะทำด้วย ทั้งนี้เพราะหากลดน้ำหนักมากเกินไปในระยะเวลาอันสั้น น้ำหนักที่ลดลงจะมาจากการสูญเสียน้ำในร่างกายและมวลของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพและทำให้โอกาสที่น้ำหนักจะกลับคืนอย่างรวดเร็วมีสูงขึ้นมากด้วย

..........ในการกำหนดจุดมุ่งหมายในการลดน้ำหนักควรตั้งเป้าสั้น ๆ มากกว่าที่จะมุ่งหวังผลระยะยาว ทั้งนี้เพราะการหวังผลลดน้ำหนักเดือนละ 2-4 กิโลกรัม ย่อมจะเป็นไปได้มากกว่าที่จะหวังลดน้ำหนักให้ได้ 10-20 กิโลกรัมในระยะยาว เป็นต้น การตั้งเป้าสั้น ๆ จะทำให้มีกำลังใจมากกว่าและยังสามารถปรับปรุงเป้าหมายและประเมินผลให้เหมาะสมได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรที่จะชั่งน้ำหนักบ่อย ๆ ทุกวันโดยเด็ดขาด เพราะหากกำหนดเป้าหมายสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม ในแต่ละวันอาจจะไม่พบว่าเข็มกระดิกบนตาชั่งเลย ซึ่งเป็นเหตุให้หมดกำลังใจได้ง่าย ๆ ดังนั้นทางที่ดีจึงควรอย่าชั่งน้ำหนักบ่อยเกินกว่าสัปดาห์ละครั้งอย่างเด็ดขาด

..........สำหรับผู้ที่ท้อแท้หมดกำลังใจจากการที่ผิดหวังและล้มเหลวในการลดน้ำหนักมาบ่อยครั้งแล้ว จะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จนำเอาประสบการณ์และข้อผิดพลาดในอดีตมาวิเคราะห์เพื่อใช้เป็นแนวทางปรับปรุงพฤติกรรมให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวอีกจะต้องกำหนดเป้าหมายให้ทำได้จริงโดยเริ่มจากเป้าหมายระยะสั้นก่อน

..........กลยุทธ์ง่าย ๆ สำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องของพลังจิตที่มีผลช่วยให้ประสบความสำเร็จคือ การหลับตาเห็นภาพของตัวคุณเองตามที่อยากจะเป็น เห็นรูปร่างที่ได้สัดส่วนแข็งแรงและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น สังเกตว่าเสื้อผ้าที่ใส่พอดีกับตัวไม่มีรอบเอวที่คับแน่น เมื่อออกไปพบปะกับบุคคลอื่นก็มีความรู้สึกกระฉับกระเฉง เชื่อมั่นและรู้สึกยินดีกับภาพที่เห็น พยายามวาดจินตภาพเช่นนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีจิตใจสงบหรือก่อนจะนอนหลับ การกระทำเช่นนี้จะเป็นการสั่งจิตใต้สำนึกให้ควบคุมการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานและทำให้สามารถบริโภคอาหารอย่างเหมาะสมมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 กินอาหารอย่างมีความสุขและให้มีสุขภาพดี
..........ในการกินอาหารควรจะต้องมีความสุขและความพึงพอใจในรสชาติอาหารตามสมควร ไม่ควรอดอาหารอย่างเด็ดขาด การกินอาหารน้อย ๆ แต่บ่อย และมีโภชนาการสมดุลอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ จะช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้ดีกว่าการกินอาหารมื้อใหญ่ ๆ วันละ 1-2 มื้อเท่านั้น ควรลดปริมาณแคลอรี่ที่กินในแต่ละวันลงเพียงเล็กน้อยไปเรื่อย ๆ จะทำให้ได้ผลดีกว่าการลดพลังงานลงอย่างฮวบฮาบ หลีกเลี่ยงการกินไขมันให้ได้มากที่สุด การลดไขมันลงจะทำให้น้ำหนักลดลงและป้องกันภาวะต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายจากสุขภาพอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสารอาหารประเภทไขมันด้วย

..........ในการเลือกซื้ออาหารควรเลือกอาหารประกอบด้วยผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นส่วนใหญ่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และไม่ควรเลือกซื้ออาหารที่พร้อมปรุงเพราะมักจะมีไขมันและแคลอรี่สูง เมื่อปรุงอาหารควรหลีกเลี่ยงการทำอาหารประเภททอด พยายามเอาไขมันจากเนื้อหรือหนังไก่ที่มองเห็นออกก่อนจะกิน ในการตักอาหารควรตักไว้ในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการ ควรเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ซุปผัก หรือสลัดก่อน เวลากินอาหารควรกินอย่างช้า ๆ ไม่ควรรีบเร่ง หยุดกินอาหารทันทีที่รู้สึกอิ่มโดยไม่จำเป็นจะต้องรอให้อาหารหมดจาน

..........การควบคุมอาหารหรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า diet นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ diaita ซึ่งมีความหมายว่าวิถีแห่งชีวิต มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการกินอาหาร ร่างกายของมนุษย์เรียกร้องให้แสวงหาอาหารโดยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอาหารในขณะใดก็ตามที่ได้รับสารอาหารไม่พอเพียง การบริโภคอาหารที่ให้แค่พลังงานโดยไม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างอื่นร่วมด้วย จะทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหารและผลักดันให้กินมากขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากที่กินอาหารเข้าสู่ปากแล้ว กระเพาะและลำไส้ยังต้องทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารเอาไปใช้ประโยชน์ด้วย นอกจากนี้สารพิษที่เป็นของเสียจะต้องถูกขับออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพด้วย หากกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งทำงานบกพร่อง จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวมากขึ้นด้วย

..........ตับและไตเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย การดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตรขึ้นไป จะช่วยขจัดสารพิษได้ดี โดยอวัยวะทั้งสองชนิดนี้รวมทั้งทางลำไส้ใหญ่และผิวหนัง ถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่พอเพียงอาจทำให้เกิดการคั่งของสารพิษในร่างกายได้ การกินกากใยอาหารมาก ๆ จะมีส่วนช่วยในการขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยเช่นกัน ในระบบการแพทย์ทางเลือกมีการใช้กระบวนการล้างพิษกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากเลือกวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยก็อาจจะมีประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้

..........ในการลดน้ำหนักจะต้องไม่พยายามตำหนิติเตียนตนเองเมื่อเผลอใจไปกินของต้องห้ามเป็นครั้งคราว การทำเช่นนั้นจะส่งผลผลักดันจิตใจให้เกิดความเครียดและสับสน ซึ่งในที่สุดจะหันมากินขนมหวานและสารอาหารที่มีรสหวานจัดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายลง ทางที่ดีควรมีความรู้สึกพึงพอใจและมีความรู้สึกว่าอาหารที่กินเข้าไปจะถูกนำไปเป็นพลังงานและซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายซึ่งจะมีผลให้สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีขึ้น หากต้องการที่จะลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารลงควรหันมาเลือกใช้วิธีกินอาหารที่มีพลังงานต่ำและมีประโยชน์ต่อร่างกายจะดีกว่ากินอาหารที่ให้แต่พลังงานโดยปราศจากสารอาหารที่มีประโยชน์

ขั้นตอนที่ 4 การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักใด ๆ หากขาดการออกกำลังกายร่วมด้วยจะไม่ได้ผล ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่าการลดน้ำหนักจะได้ผลก็ต่อเมื่อพลังงานที่ได้รับน้อยกว่าพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละวัน หากลดการได้รับพลังงานลงจากการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว จะทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานลดลง และในที่สุดน้ำหนักจะไม่มีการลดลงอีก

..........การออกกำลังกายที่จะให้ผลดีมากที่สุด คือการออกกำลังกายที่ทำให้เพลิดเพลินในขณะปฏิบัติ ไม่ใช่การออกกำลังกายที่ต้องฝืนหรือต้องอดทนเป็นอย่างมากที่จะกระทำ สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนจะมองเห็นการออกกำลังกายเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงจะต้องพยายามทำให้เกิดความรู้สึกสนุกและพึงพอใจในการออกกำลังกายเข้าไว้ การไปออกกำลังกายร่วมกับคนที่ชอบจะมีส่วนช่วยผลักดันได้เหมือนกัน

..........ดังที่ได้อธิบายมาแล้วว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ซึ่งวิธีการเดินน่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว หากสามารถเดินได้นานพอเพียงจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ และทำให้ร่างกายโดยเฉพาะกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ ต้องการเลือดและออกซิเจนจำนวนมาก ซึ่งจะไปเพิ่มการทำงานและความแข็งแรงของหัวใจและปอดอีกด้วย

..........ในการเดินอาจเริ่มต้นโดยการตั้งใจว่าจะก่อให้เกิดความเพลิดเพลิตใจ และเพิ่มการใช้พลังงานแบบแอโรบิค ควรเดินในจังหวะและอัตราที่เหมาะสม พยายามเลือกเส้นทางเดินที่คุณชื่นชอบ และดูระยะเวลาที่ใช้เดินไว้ เพื่อค่อย ๆ ปรับปรุงให้ตนเองสามารถเดินในระยะทางที่ไกลขึ้นได้ทีละน้อย ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เวลาก้าวเดินพยายามชื่นชมกับความแข็งแรงและร่างกายของตนเองให้มาก ๆ พยายามยืดเส้นยืดสายทุกสัดส่วนไปพร้อม ๆ กันด้วยเวลาเดิน และขจัดความตึงเครียดออกจากทุกส่วนของร่างกาย เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินมากขึ้นอาจฟังเพลงไปด้วย และเมื่อทำได้ต่อเนื่องให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจในตนเองและเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

..........สิ่งที่ยากที่สุดของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คือ การเริ่มต้น จึงต้องเอาชนะใจตนเองแต่เริ่มแรกให้ได้ หากต้องการไปเข้ากลุ่มออกกำลังกาย ก็ควรเลือกชั้นเรียนที่สนุกสนานเพื่อให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม บางครั้งการตั้งรางวัลให้กับตนเองจะช่วยเป็นแรงจูงใจให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้ ควรตระหนักไว้เสมอว่าการออกกำลังกายนอกจากจะได้ประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้แล้ว ยังช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ความดันโลหิตลดลง สร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น ทำให้อารมณ์เป็นสุขขึ้น และมีรูปร่างที่ดูดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผลเป็นระยะ
..........ในการประเมินผลของโปรแกรมลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การจดบันทึกการกินอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะเป็นแนวทางในการประเมินความสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว เมื่อใดก็ตามที่คิดจะคุมอาหารมักจะบอกตัวเองเสมอว่า กินน้อยมากแต่ทำไมยังอ้วนอยู่ ซึ่งหากได้มีการจดบันทึกในรายละเอียดจะพบว่ายังกินอาหารมากเกินความจำเป็นอยู่ดีนั่นแหละ การจดบันทึกเวลาที่กินอาหารจะทำให้บอกได้ว่ากินอาหารตรงเวลาหรือไม่ และในกรณีที่ได้มีการบันทึกรายละเอียดกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ก่อนอาหารเพิ่มขึ้น จะทำให้เข้าใจถึงองค์ประกอบที่มีส่วนหนุนให้คุมอาหารได้ยาก

..........การชั่งน้ำหนักเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำบ่อยนักในขณะที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ ทั้งนี้เพราะอาจทำให้หมดกำลังใจและท้อถอยได้ง่าย ควรชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างมาก และนอกเหนือจากน้ำหนักตัวแล้วควรวัดสัดส่วนเอาไว้เปรียบเทียบเป็นระยะด้วย เพื่อจะประเมินว่าได้ขจัดไขมันส่วนเกินออกไปแล้วได้มากน้อยเพียงใด ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการลดน้ำหนักจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่น้ำหนักไม่ลงแต่สังเกตว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นไม่คับเหมือนเดิม ในกรณีเช่นนี้อย่าเพิ่งหมดกำลังใจว่าทำไมน้ำหนักไม่ลด เพราะความจริงแล้ว ไขมันส่วนเกินได้ถูกขจัดออกไปจากเซลล์ไขมันแล้ว แต่น้ำกลับเข้าไปอยู่ในเซลล์แทนจึงส่งผลให้น้ำหนักยังคงที่ อย่างไรก็ตาม น้ำจะถูกกดทับได้มากกว่าไขมันจึงมีผลให้เสื้อผ้าหลวมแต่น้ำหนักไม่เปลี่ยน เมื่อร่างกายปรับสมดุลและขจัดน้ำออกจากเซลล์น้ำหนักจะลดลงตามไปเอง

..........การพิจารณาถึงความรู้สึกทั่วไป เช่น ความแข็งแรง กระชุ่มกระชวย ภาวะการนอนหลับที่ดีขึ้น และความเฉื่อยชาที่ลดลงกว่าเดิม จะแสดงให้เห็นว่าการลดน้ำหนักของคุณประสบความสำเร็จตามสมควรแล้ว สำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ฯลฯ อาจพบว่าปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เหล่านี้กลับดีขึ้น

..........เนื่องจากปัญหาในเรื่องความอ้วนของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน การวิเคราะห์และประเมินผลเป็นระยะจะช่วยทำให้เข้าใจถึงวิธีการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น การปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอาจจะมีประโยชน์ในการให้ความสนับสนุนให้มีโอกาสประสบความสำเร็จดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 6 ปรับปรุงโปรแกรมลดน้ำหนักให้เหมาะสม
..........ในการติดตามและประเมินผลเป็นระยะจะนำไปสู่การลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากการลดน้ำหนักได้ผลดีโดยสามารถลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม แสดงให้เห็นว่าประสบความสำเร็จแล้วอย่างงดงาม เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอคนส่วนใหญ่จะลดน้ำหนักได้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจจะลดลงมาในระดับที่ร่างกายจะกำหนดไว้ของแต่ละบุคคล และน้ำหนักจะเริ่มอยู่ในระดับคงที่อีก ซึ่งหากจะทำให้น้ำหนักลงไปอีกจำเป็นจะต้องคุมอาหารกับออกกำลังกายจริงจังมากขึ้นหรืออาจต้องอาศัยความช่วยเหลือของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการลดน้ำหนักต่าง ๆ ตามความเหมาะสม สำหรับกลุ่มที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพแล้ว อาจพิจารณาควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป

..........การฝึกผ่อนคลายอาจมีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติในรายที่อารมณ์เครียดมีผลต่อการกินอาหาร นอกเหนือจากการออกกำลังกายแล้ว การฝึกโยคะ การฝึกสมาธิ และการฝึกผ่อนคลายด้วยวิธีต่าง ๆ จะมีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนักประสบผลสำเร็จลงได้

..........ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจนกระทั่งอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ดีควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการเหมาะสม แต่พึงหลีกเลี่ยงที่จะรับการรักษาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ หรืออาจทำให้น้ำหนักที่ลดลงไปแล้วคืนกลับมาใหม่อย่างรวดเร็วได้อีก

ขั้นตอนที่ 7 การควบคุมน้ำหนักในระยะยาว
..........โปรแกรมการลดน้ำหนักนั้นควรมีวัตถุประสงค์ที่จะให้น้ำหนักที่ลดลงแล้วไม่เพิ่มขึ้นอีก การบริโภคอาหารให้ได้สัดส่วนโดยมีไขมันต่ำ มีปริมาณพืชผัก และผลไม้สูง เป็นสิ่งที่ควรทำให้ได้ตลอด ในบางช่วงเวลาที่มีความอยากอาหารซึ่งเป็นของต้องห้ามอย่างรุนแรง อาจผ่อนคลายให้กับตนเองได้บ้างแต่ต้องอย่าทำบ่อย และในวันใดที่กินอาหารที่พลังงานสูงมากเข้าไปจะต้องพยายามชดเชยโดยเลือกกินอาหารที่มีพลังงานต่ำเข้าไปทดแทนในวันนั้นและวันต่อ ๆ ไปด้วย

..........การค้นหาสาเหตุที่กระตุ้นให้ควบคุมอาหารได้ยาก และเรียนรู้จะหลีกเลี่ยงเสีย จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างถาวร ทั้งนี้เพราะการลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องมากมาย จึงสมควรที่จะขจัดสาเหตุต่าง ๆ ให้ได้ด้วยเท่าที่จะกระทำได้

..........การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นในการลดและควบคุมน้ำหนัก และยังช่วยให้สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีขึ้น จึงควรพยายามทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นนิสัยและเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและปฏิบัติได้ต่อเนื่องโดยไม่เบื่อหน่าย

..........ในการที่จะควบคุมน้ำหนักได้ดีอาจต้องอาศัยกำลังใจจากบุคคลอื่น ดังนั้นเพื่อนฝูงและบุคคลในครอบครัวอาจมีบทบาทในการให้กำลังใจและการสนับสนุน เมื่อใดก็ตามที่น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ควรที่จะพยายามเริ่มเข้าสู่โปรแกรมลดน้ำหนักต่อไปอีก ควรพยายามควบคุมน้ำหนักให้คงที่ไว้อย่างน้อย 1-2 ปี จะทำให้มีโอกาสที่น้ำหนักตัวจะไม่ขึ้นสูงอีก

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การใช้ยาลดความอ้วน

การใช้ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วน
..........ปัจจุบันการลดน้ำหนักโดยการรับประทานยาลดความอ้วนกำลังเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย โดยเฉพาะในคนที่อ้วนแล้วไม่สามารถควบคุมการกินอาหาร หรือไม่ชอบออกกำลังกาย คนอ้วนเหล่านี้จึงจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นในการลดน้ำหนักแทน ซึ่งการรับประทานยาลดความอ้วนก็เป้นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว เพียงแต่รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นก็สามารถลดน้ำหนักได้ตามต้องการ

..........ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักโดยวิธีการกินยาลดความอ้วนนี้ จะเป็นวิธีที่ได้ผลก็ตาม แต่การใช้ยาเหล่านี้ควรจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาลดความอ้วนมีมากมายหลายประเภท มีขนาดและการใช้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ก่อนใช้ยาจึงควรมีความรู้หรือความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับผลของยาและการปฏิบัติตัวเสียก่อน เพราะหากใช้ยาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่สำคัญไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มารับประทานเอง

..........ก่อนจะรับประทานยาลดความอ้วน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกาย โรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำซึ่งควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า หรือประวัติการรับประทานยาลดความอ้วน, อาการที่เกิดขึ้นในระหว่างรับประทานยา เป็นต้น มีข้อห้ามใช้ยาลดน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ หากต้องการลดน้ำหนัก ควรทำหลังคลอดบุตรแล้วและรอให้ร่างกายแข็งแรงดีเสียก่อน

ยาลดน้ำหนัก ที่ใช้อยู่ทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. ยาทำให้ไม่อยากอาหาร
..........ยาในกลุ่มนี้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะมีผลทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลงอิ่มเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับอาหารน้อยลง และหากพลังงานที่ได้รับจากอาหารนี้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะต้องหันมาใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทน ก็เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

..........ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมการกินอาหารและบางชนิดยังมีฤทธิ์เพิ่มกลูโคสในกล้ามเนื้อ ผลนี้จะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายเบา ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น และยาบางชนิดยังออกฤทธิ์สลายไขมันอีกด้วย

..........ยาที่ทำให้ไม่อยากอาหาร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
..........1. Amphetamine เป็นยาดั้งเดิมซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ใช้เป็นยาสำหรับลดความอ้วนแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก เป็นอันตรายต่อร่างกายและที่สำคัญคือเสพติดได้ ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว
..........2. Amphetamine derivatives เป็นยาที่พัฒนามาจากยาในกลุ่มแรก ผลข้างเคียงน้อยลง และสามารถทำให้ไม่อยากอาหารและรับประทานได้น้อยลง ยาในกลุ่มนี้มีหลายตัว เช่น Ethylamphetamine, Diethylpropion, Phentermine HCL, Phentermine resin, Phendimetrazine, Mazindol, d-norpseudoephedine เป็นต้น
..........3. ยาอื่นที่ออกฤทธิ์ทำให้ไม่อยากอาหาร และมีผลข้างเคียงน้อย เช่น Phenylpropanalamine
..........ยาในกลุ่มดังกล่าวแต่ละชนิดมีข้อบ่งใช้และขนาดของยาที่รับประทานแตกต่างกัน บางชนิดออกฤทธิ์ได้นาน สามารถรับประทานเพียงวันละครั้งเท่านั้นแต่ออกฤทธิ์ได้ตลอดทั้งวัน ส่วนยาบางชนิดต้องรับประทานวันละหลายครั้งเพราะยาออกฤทธิ์สั้น ๆ ยาเหล่านี้สามารถลดความอยากอาหารได้ ทำให้รับประทานได้น้อยลง น้ำหนักตัวจึงลดลง แต่ก็มีข้อเสียคือยาเหล่านี้ไปนาน ๆ มักจะมีการดื้อยา ดังนั้นเมื่อรับประทานไปนาน ๆ ความรู้สึกเบื่ออาหารก็จะลดลง ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงมักใช้ยาที่ออกฤทธิ์แบบอื่นร่วมด้วย การรับประทานยาเหล่านี้อาจเกิดผลข้างเคียงได้ในบางคน เช่น ง่วงนอน, อ่อนเพลีย, ท้องผูก, นอนไม่หลับ, ปากแห้ง เป็นต้น อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อปรับขนาดยาใหม่หรือหยุดรับประทานยา

2. ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ
..........ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในพวกนักมวยที่ต้องการลดน้ำหนักให้เท่าพิกัดในระยะเวลาสั้น โดยมากแพทย์มักใช้ยานี้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง, ภาวะบวมน้ำ เป็นต้น ยาเหล่านี้หากใช้ในระยะยาว อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง กระหายน้ำ คอแห้ง ปากแห้ง เนื่องจากร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่และน้ำออกไปทางปัสสาวะ แต่ยาในกลุ่มนี้บางชนิดเป็นยาขับปัสสาวะที่สามารถสงวนเกลือแร่บางอย่างโดยเฉพาะโปแตสเซียมได้ จึงทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการขาดเกลือแร่ลดลง

3. ยาฮอร์โมน
..........โดยมากมักจะเป็น "ธัยรอยด์ฮอร์โมน" ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เมื่อพลังงานสะสมถูกใช้ไปมากขึ้นจึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่หากใช้ยาในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการใจสั่น, เหงื่อออกมาก หรือมีอาการคล้ายกับคนที่เป็นโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษได้

4. ยาระบายหรือยาถ่าย
..........ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ให้บีบตัว บางชนิดก็ทำให้อุจจาระอ่อนตัวหรือเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ยาในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ด หลังจากรับประทานแล้วจะรู้สึกอยากถ่ายและอุจจาระจะค่อนข้างเหลว เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ถ่ายยาก

5. ยาลดกรด
..........ยาลดกรดทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ยาลดกรดจะมีสารประกอบที่เป็นอะลูมินัม (Aluminum) ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบและบรรเทาอาการปวดท้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยานาน ๆ เช่น ท้องผูก หรือขาดสารอาหารบางอย่างเนื่องจากยาลดกรดไปรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะ fluoride และ phosphate เป็นต้น

6. ยาหรือสารเคมีที่ผลิตจากใยพืช
..........มักจะอยู่ในรูปของอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปรุงแต่งให้มีพลังงานต่ำ ส่วนประกอบทั่ว ๆ ไป คือ เส้นใยอาหาร, สารอาหารอื่น ๆ คือ คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน รวมทั้งเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆ เพื่อนำไปรับประทานแทนอาหารปกติ เพื่อลดปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารให้น้อยลง เนื่องจากเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเส้นใยอาหารจะพองตัว ทำให้เพิ่มปริมาตรของอาหารในกระเพาะ จึงทำให้รู้สึกไม่หิว และหากรับประทานก่อนมื้ออาหารประมาณ 1/2-1 ชม. ก็จะทำให้รับประทานอาหารอื่นได้น้อยลงและอิ่มเร็มขึ้น
..........ปัจจุบันมีการปรุงแต่งอาหารเหล่านี้ให้น่ารับประทานมากขึ้น มีทั้งที่เป็นอาหารซองสำหรับชงดื่ม, คุกกี้, ขนมเค้ก, เวเฟอร์, เม็ดหรือแคปซูล ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีปริมาณแคลอรี่แตกต่างกัน มักจะระบุไว้ที่ฉลาก ดังนั้นหากต้องการลดความอ้วนและเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้แทน ก็ควรจะพิจารณาเกี่ยวกับสารอาหารต่าง ๆ และปริมาณที่ได้รับด้วย เพราะหากได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนก็จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
..........เส้นใยอาหารยังช่วยขัดขวางการดูดซึมของไขมันด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

7. สารสกัดจากส้มแขก
..........ปัจจุบันได้มีการสกัดสารชนิดหนึ่งจากผลส้มแขกหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia Cambogia ซึ่งเชื่อว่ามีผลในการลดไขมันได้ ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนัก สารสกัดที่สำคัญที่ว่าก็คือ ไฮดรอกซีซิตริกแอซิด (Hydroxycitric Acid) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า HCA ซึ่ง อย. รับรองความปลอดภัยแล้วในลักษณะของ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" แต่ไม่ได้รับรองสรรพคุณในแง่ลดความอ้วน
..........ที่มาที่ไปของสาร HCA ที่ว่านี้ก็คือ เมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ Brandeis ได้ค้นพบว่า HCA ในส้มแขก สามารถยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดไขมันและโคเสลเตอรอลได้ เมื่อประกาศการค้นพบ นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ หลายคนก็เริ่มสนใจ HCA ในแง่การลดไขมันและโคเรสเตอรอล จากจุดนี้เอง จึงทำให้การศึกษาอย่างจริงจัง และพบว่า HCA ไม่ใช่กรดผลไม้ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแป้งจากอาหารไปเป็นไขมันได้
..........ในภาวะปกติ เมื่อรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเข้าไป ก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นกลูโคส ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารมากเกินไป กลูโคสที่เหลือก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน โดยอาศัยเอ็นไซม์ที่ชื่อว่า ATP-Citrate Lyase ไขมันที่เกิดขึ้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งหากรับประทาน HCA เข้าไป ก็จะมีผลไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ว่านี้ ดังนั้นแทนที่กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ก็กลับเปลี่ยนไปเป็นไกลโคเจนแทน สะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดไขมันในเลือดและโคเสลเตอรอลได้
..........แต่ในแง่การลดความอ้วนแล้ว จะพบว่า HCA มีผลในการลดน้ำหนักน้อยหรือไม่เห็นผลเลย สาเหตุที่ไม่ได้ผลอาจจะเป็นเพราะ HCA ยับยั้งเฉพาะอาหารประเภทแป้งได้เท่านั้น ดังนั้นหากรับประทานไขมันเข้าไป HCA ก็ไม่มีผลอะไรเลย

8.  แอบซอร์บิทอล (ABSORBITAL) 
..........ปัจจุบันมีการค้นพบเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่าไคโตซาน (Chitosan) ที่ได้จากส่วนนอกหรือเปลือกของสัตว์ เช่น เปลือกกุ้งหรือปู ซึ่งเมื่อนำมาย่อยสลายแล้วจะได้ไคโตซาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับไขมันได้ดี ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาอนุพันธุ์ของไคโตซานเพื่อให้สามารถจับกับไขมันได้ดีในทางเดินอาหารของมนุษย์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "แอบซอร์บิทอล" หรือ L112 ไบโอโพลิเมอร์ (Enhanced Chitosan Derivative) แอบซอร์บิทอลจะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ผิวสูง สามารถจับกับไขมันในทางเดินอาหารและรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนและสามารถถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ ปัจจุบันจึงมีการใช้แอบซอร์บิทอลในการควบคุมน้ำหนักและลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และโคเลสเตอรอลในเลือด การใช้แอบซอร์บิทอลนั้นควรระมัดระวังการขาดวิตามินบางชนิดได้ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น A, D, E และ K
..........แอบซอร์บิทอลจึงมีประโยชน์ในการลดการดูดซึมไขมันที่ได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ในคนที่ต้องการลดความอ้วนซึ่งมีไขมันสะสมอยู่มากตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งแอบซอร์บิทอลไม่สามารถกำจัดได้ จึงจำเป็นจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้น จึงจะมีการเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง และที่สำคัญก็คือแอบซอร์บิทอลไม่ได้มีส่วนในการกำจัดสารอาหารอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารจำพวกโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายเช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าแอบซอร์บิทอลจะช่วยกำจัดไขมันก็ตาม แต่หากต้องการจะลดน้ำหนักก็ควรจะควบคุมการรับประทานอาหารให้น้อยลงและหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กลิ่นตัว

กลิ่นตัว
..........กลิ่นตัวเป็นปัญหาที่คนมากมายประสบอยู่ ร่างกายของมนุษย์เรามีหลายแหล่งที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นตัว ทั้งในแบบปกติธรรมดาและแบบผิดปกติ ทว่าปกติแล้ว คำว่า "กลิ่นตัว" มักจะหมายถึงบรรดากลิ่นที่เกิดมาจากเหงื่อเป็นสำคัญ

..........กลิ่นจากร่างกายบางกลิ่น มาจากของเสียซึ่งร่างกายคนธรรมดาสามัญจำเป็นต้องขับออกมา อย่างเช่นปัสสาวะที่เปื้อนผิวหนังหรือเสื้อผ้า กลิ่นจากร่างกายบางกลิ่นอาจมีสาเหตุมาจากความเจ็บไข้ได้ป่วยชนิดต่าง ๆ อาทิเช่น กลิ่น "ผลไม้" ที่กระจายออกมาจากผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานขั้นรุนแรง คนเหล่านี้จะมีสารอาซีโทน (acetone) อยู่ในลมหายใจ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตขั้นลุกลามจะมีกลิ่นตัวเหมือน "หนู" ซึ่งเป็นกลิ่นที่มีควบคู่มากับการสั่งสมผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเสียเอาไว้ในในโลหิต สภาพการณ์เช่นนี้ ก่อให้เกิดอาการป่วยที่รู้จักกันในนามของ "ยูเรเมีย" (uremia) ต้นเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นผิดปกติเนื่องจากความเจ็บไข้ได้ป่วย คือ การติดเชื้อ ซึ่งมีตั้งแต่ ฝี หนอง เรื่อยไปจนถึงสภาพแผลที่ทำให้เนื้อตายหรือเนื้อเน่า อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงเหล่านี้ แทบจะไม่สามารถดำเนินชีวิตตามกิจวัตรประจำวันเป็นปกติอย่างคนทั่วไปได้ หากมักจะต้องนอนแซ่วอยู่กับเตียง และมีบ่อย ๆ ที่ต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาล

..........เหงื่อชนิดปกติธรรมดา จะไม่มีกลิ่นใด ๆ และมีส่วนประกอบเพียงน้ำกับเกลือ กลิ่นตัวชนิดที่เกิดขึ้นมาจากเหงื่อโดยทั่วไป เป็นกลิ่นซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากการกระทำของสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว ที่สำคัญคือแบคทีเรีย ร่างกายของมนุษย์ทุกคนมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ตามผิวหนังอยู่แล้ว แบคทีเรียเหล่านี้ เป็นตัวการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของเหงื่อ ผลลัพธ์จากกระทำของแบคทีเรีย คือ สิ่งที่สร้างกลิ่นตัวขึ้นมา

..........ตามสภาพเงื่อนไขปกติธรรมดาแล้ว ความร้อน การออกกำลังกายและความตึงเครียดของประสาท เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ต่อมต่าง ๆ ทำงานผลิตเหงื่อออกมา ปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นรอง แต่ก็มีส่วน ได้แก่ อาหารที่ใส่เครื่องเทศมาก เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มชนิดร้อนจัด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่จัดว่าเป็นกรณีพิเศษอย่างอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เหงื่อที่เกิดขึ้นเนื่องจากอากาศร้อนโดยทั่วไปแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์กับกลิ่นตัวเท่ากับปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น นอกเสียจากว่าจะมีสาเหตุอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

..........ต่อมเหงื่อ ซึ่งเรามีกันคนละ 3 ล้านต่อม แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ประเภทที่ 1 คือ ต่อม eccrine ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วพื้นผิวทั้งหมดของร่างกาย ต่อมเหงื่อประเภทที่ 2 คือ ต่อม apocrine ต่อมเหงื่อประเภทหลังนี้มีจำนวนน้อยกว่า โดยจะไปมีมากเป็นพิเศษในบริเวณแถว รักแร้ รอบหัวนม ในบริเวณอวัยวะเพศ และที่บริเวณซอกกลางระหว่างก้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบ ๆ รูทวารหนัก เหงื่อที่ออกในบริเวณดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่มาจากการผลิตของต่อมแอโพครีน ทว่าก็มีส่วนที่ได้จากต่อมประเภทเอ็คครีนบ้างเหมือนกัน

..........กลิ่นตัวซึ่งกระจายออกมาจากเหงื่อ ส่วนใหญ่แล้ว ระเหยออกมาจากบริเวณที่ซึ่งแบคทีเรียซึ่งเป็นตัวสร้างกลิ่น ทำงานแข็งขันมากที่สุด บริเวณดังกล่าวนั้น คือ บริเวณที่ชื้น อุ่น ที่ซึ่งมีเหงื่อมาก อาทิเช่น ที่รักแร้ ขาหนีบ บริเวณอวัยวะเพศและบริเวณซอกกลางระหว่างก้น บริเวณที่อุ่นและชื้นเหล่านี้เป็นบริเวณเดียวกับที่กิจกรรมของแบคทีเรียมีเพิ่มขึ้น ดังนั้น บริเวณดังกล่าว จึงเกี่ยวข้องอยู่กับกลิ่นกายที่ไม่พึงปรารถนา การไม่รักษาสุขอนามัยที่ดีที่บริเวณทวารหนัก อวัยวะเพศ สามารถเกื้อหนุนให้เกิดแหล่งกำเนิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ ด้วยเหตุผลที่มองเห็นได้ชัดอยู่แล้ว

..........พัฒนาการของต่อมแอโพครีน (ที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ และรอบเต้านม) มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับการงอกของขนในบริเวณดังกล่าว ทั้งขนและต่อมที่บริเวณเหล่านี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเพศ ดังนั้น กลิ่นตัวอย่างน้อยก็มีส่วนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหงื่อจากต่อมแอโพครีน จึงแทบจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาให้แก่เด็กในวัยก่อนที่จะเข้าสู่วัยหนุ่มสาว หรือในคนซึ่งถึงวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว อย่างไรก็ดี แม้ในคนกลุ่มอายุน้อยและที่อายุมากก็ยังมีเหงื่อประเภทที่เกิดจากต่อมเอ็คครีนอยู่ และบางคนอาจจะมีเหงื่อจากต่อมเหล่านี้มากเป็นพิเศษ หากว่าแบคทีเรียที่บริเวณรักแร้และทวารหนัก / อวัยวะเพศมีมาก หรือทำงานหนัก กลิ่นตัวจากต่อมเอ็คครีนก็อาจจะมีมากจนกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ บริเวณทวารหนักและอวัยวะเพศของคนทุกวัยทุกเพศเป็นแหล่งรวมของแบคทีเรียจำนวนมาก ซึ่งปกติแล้วเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในเส้นทางเดินอาหาร และเป็นตัวการในการสร้างกลิ่นซึ่งปกติแล้ว เกี่ยวข้องกับกลิ่นที่เกิดกับอุจจาระ

..........สตรีระหว่างมีประจำเดือนอาจจะรู้สึกว่ามีกลิ่นอับ ๆ เกิดขึ้น กลิ่นอับที่ว่านี้สามารถกำจัดได้ด้วยการเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นและทำความสะอาดโดยใช้น้ำและสบู่ธรรมดา ๆ

..........การควบคุมกลิ่นตัว มีหลายวิธีการที่ใช้กันอยู่ ทว่าไม่มีวิธีใด ที่ได้ผลเป็นที่พอใจได้อย่างเต็มที่ วิธีการควบคุมกลิ่นกายวิธีหลัก ๆ แบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. ควบคุมแบคทีเรีย
..........วิธีการนี้ น่าจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การอาบน้ำอย่างหมดจดและให้ความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันกับสุขอนามัยส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการที่จะลดจำนวนแบคทีเรียและปริมาณเหงื่อให้น้อยลง ยาระงับกลิ่นกายบางชนิดทำหน้าที่ยับยั้งการเติบโตหรือการกระทำของแบคทีเรียเป็นหน้าที่หลัก ยาระงับกลิ่นกายด้วยการควบคุมแบคทีเรียมีหลายแบบ ทั้งที่อยู่ในรูปของแอลกอฮอล์ชนิดที่ใช้ทา สบู่ และโลชั่นซึ่งมีอยู่ในเครื่องสำอางระงับกลิ่นกายที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป

2. ปกปิดกลิ่นกาย
..........วิธีการนี้เป็นที่ยอมรับกันมากกว่าทำด้วยการใช้สารแต่งกลิ่นที่มีกลิ่นรุนแรงกว่ากลิ่นกาย เป็นต้นว่าน้ำหอมชนิดต่าง ๆ ซึ่งทำจากสารที่มีกลิ่นมาก อย่างเช่น สารผสมเมนธอลหรือการบูร หรือผสมกลิ่นหอมสดชื่นจากพืช อย่างเช่นกลิ่นสนหรือไม้ใบไม้ดอกอย่างอื่น หรือสารแต่งกลิ่นชนิดที่เกี่ยวข้องกับสารปฏิชีวนะแรง ๆ อย่างเช่น ไลซอล (Lysol)

3. การลดปริมาณเหงื่อ
..........อีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง คือการลดปริมาณเหงื่อ ซึ่งเท่ากับลดปริมาณของสารซึ่งแบคทีเรียจะสามารถนำเอาไปใช้สร้างกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้ สารระงับหรือขจัดเหงื่อบางอย่าง ยับยั้งกิจกรรมของแบคทีเรียได้ ทว่าหน้าที่หลักของมันคือการลดปริมาณเหงื่อที่ไหลออกมา ที่สำคัญคือเหงื่อที่บริเวณรักแร้หรือบริเวณทวารหนัก / อวัยวะเพศ

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การลดความอ้วนโดยการผ่าตัด

การลดความอ้วนโดยการผ่าตัด
..........การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่พยายามลดความอ้วนด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่สำเร็จ จุดประสงค์ของการผ่าตัดก็เพื่อให้ร่างกายได้รับอาหารหรือดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง

..........การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วนในที่นี้ คือ การผ่าตัดอวัยวะภายในที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธี คือ
1. ผ่าตัดยึดกระดูกขากรรไกร
..........เป็นการผ่าตัดยึดกระดูกขากรรไกรบนและล่างเข้าไว้ด้วยกันทำให้อ้าปากกว้างไม่ได้ เพื่อให้กินอาหารได้ลำบากขึ้น ส่วนใหญ่จะกินได้แต่อาหารเหลวหรือน้ำเท่านั้น มีรายงานจากประเทศออสเตรเลียว่าวิธีนี้ได้ผล สามารถลดน้ำหนักได้ 25 กิโลกรัมภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่ที่ไม่นิยมทำกันเพราะส่วนใหญ่เมื่ออ้าปากได้เหมือนเดิมก็กลับอ้วนใหม่อีกเพราะกินมากเหมือนเดิม

2. ผ่าตัดกระเพาะอาหารให้เล็กลง
..........โดยตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออกไป เพื่อให้ปริมาตรของกระเพาะลดลง ดังนั้นเมื่อกินอาหารจำนวนไม่มาก ก็จะเต็มกระเพาะจึงรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

3. ผ่าตัดโดยการตัดต่อลำไส้เล็กส่วนต้นเข้ากับลำไส้ใหญ่
..........การผ่าตัดแบบนี้ก็เพื่อที่จะทำให้อาหารที่กินเข้าไป ออกไปทางทวารเร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้การดูดซึมอาหารจากลำไส้ได้น้อยลง

4. ผ่าตัดโดยการตัดต่อลำไส้เล็กส่วนต้นเข้ากับส่วนปลาย
..........อาหารจะผ่านลำไส้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การดูดซึมอาหารจากลำไส้ได้น้อยลง

หลักเกณฑ์ในการผ่าตัด
..........1. น้ำหนักเกินกว่ามาตรฐานไป 45 กิโลกรัมหรือน้ำหนักเป็น 2 เท่าของน้ำหนักมาตรฐานที่ควรจะเป็น
..........2. ผู้ที่ตั้งใจลดน้ำหนักที่อ้วนมากและมีปัญหาเกี่ยวกับการกินอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า "Polyphagia" จะมีอาการคือกินอาหารมากกว่าปกติ หิวบ่อย
..........3. เคยทดลองลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วล้มเหลว เช่น การควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย, ใช้ยาลดน้ำหนัก ฯลฯ อาจเป็นเพราะไม่ได้ทำอย่างจริงจัง, เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ
..........4. ต้องแน่ใจว่าโรคอ้วนที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากโรคอื่น ๆ มีโรคบางอย่างที่ทำให้อ้วนขึ้นได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ หรือเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไฮโปธัยรอยด์ เป็นต้น
..........5. ต้องไม่มีโรคที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดทั่ว ๆ ไปคนที่ต้องการลดน้ำหนักแต่มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถผ่าตัดได้หรือการผ่าตัดจะทำให้โรคที่เป็นอยู่เลวร้ายหรือเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้นก็ควรละเว้นวิธีนี้ เช่น โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้
..........6. ต้องไม่มีปัญหาโรคจิต

การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
..........ภายหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องหัดนิสัยการรับประทานอาหารเสียใหม่ คือ จะต้องรับประทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ต่อจากนั้นก็สามารถรับประทานอาหารธรรมดาได้ แต่ควรจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเสียก่อนทำให้อาหารย่อยง่ายขึ้น ไม่ควรกลืนอาหารคำใหญ่เกินไปเพราะอาหารอาจไปอุดตันรูเปิดของทางเดินอาหารได้ นอกจากนี้ในแต่ละมื้อก็ควรรับประทานอาหารแต่น้อยประมาณมื้อละ 60 ซีซี.

ผลการผ่าตัด
..........โดยทั่วไปคนอ้วนที่ได้รับการผ่าตัดแล้วน้ำหนักจะลดลงได้อย่างช้า ๆ ในช่วงปีแรกหลังการผ่าตัดน้ำหนักจะลดลงประมาณ 60% ของน้ำหนักที่เกินมา และน้ำหนักจะคงที่อยู่ในระยะนั้นต่อไป

..........ถึงแม้ว่าการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหารเสียใหม่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่แพทย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่แนะนำให้ลดความอ้วนด้วยวิธีนี้ เนื่องจากการผ่าตัดแบบนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างและการทำงานของระบบทางเดินอาหารอย่างถาวรผ่าตัดออกไปแล้วไม่สามารถทำกลับคืนให้เหมือนเดิมได้ยาก นอกจากนี้แล้วยังเกิดผลเสียหลายประการ คือ ประมาณร้อยละ 10 อาจเสียชีวิตจากผ่าตัด เช่น เกิดการอักเสบติดเชื้อทางแผลผ่าตัด, ขณะดมยาสลบ, เสียเลือดมาก และนอกจากนี้ยังอาจเกิดโรคขึ้นภายหลัง เช่น เกิดภาวะตับวาย, เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง, ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย, เป็นนิ่วในไต, กระดูกกร่อน, ท้องเสียตลอดเวลา, คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีผมร่วง, ปวดข้อ, กลายเป็นโรคโลหิตจาง เป็นต้น สาเหตุของโรคต่าง ๆ เหล่านี้ก็เกิดจากการผ่าตัดทำให้การดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ลดน้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

..........ในความคิดของแพทย์แล้วเห็นว่า การผ่าตัดดังกล่าวก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้ผอมได้แต่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ อีกมากมายซึ่งดูแล้วไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงเลย การที่นำมาเล่าสู่กันฟังก็เพียงจะนำเสนอว่ามีคนเขาเคยคิดจะทำวิธีนี้กันแต่เขาเลิกกันไปแล้ว ใครที่มีความคิดแบบนี้ก็ควรจะล้มเลิกไปเสีย ยังมีวิธีการลดความอ้วนอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถทำให้คุณผอมได้โดยไม่เป็นอันตราย

..........คนส่วนมากที่สามารถลดน้ำหนักได้ แต่มักจะเป็นอย่างนี้คืออ้วนแล้วก็ผอม ... ผอมแล้วก็อ้วน ... อ้วนแล้วก็อ้วนขึ้นไปอีก ... เดี๋ยวก็ยุบเดี๋ยวก็พอง ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะว่าตามใจปาก, ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น, ไม่ตั้งใจจริง, หรือทำไม่สม่ำเสมอ ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะลดน้ำหนักวิธีไหนก็ไม่สำเร็จแน่นอน และที่อ้วนอยู่แล้วก็จะอ้วนต่อไป ที่ผอมก็จะอ้วนใหม่อีกอยู่ร่ำไป

..........ความจริงแล้วคนที่อ้วนก็สามารถผอมได้โดยไม่ยาก ไม่ต้องใช้วิธีพิสดารอะไร และคนที่อ้วนแล้วผอมลงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอ้วนใหม่อีก ขอเพียงแต่มีความตั้งใจจริงที่จะลดความอ้วนและเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้จักหลีกเลี่ยงและปฏิเสธสิ่งที่จะทำให้อ้วน เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถบอกลาความอ้วนได้ตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Growth hormone...เรื่องเข้าใจผิดของคนอยากสูง

Growth hormone...เรื่องเข้าใจผิดของคนอยากสูง
..........แม้ว่า Growth hormone จะมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ทำให้เด็กสูงขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หากเด็กขาดฮอร์โมนนี้จะกลายเป็นคนแคระ (dwarf) ในทางกลับกันเด็กที่มี Growth hormone มากเกินไปจะสูงกว่าปกติกลายเป็นยักษ์ได้ (giant) จากการศึกษาพบว่า ในวัยผู้ใหญ่บทบาทของฮอร์โมนตัวนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสูง แต่มีผลเกี่ยวกับความชราโดยตรง เมื่ออายุมากขึ้น จำนวน Growth hormone ที่สร้างหลั่งมาจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะน้อยลงเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดการขาดในที่สุดเมื่อร่างกายขาด Growth hormone อาการที่เกิดจากการขาด Growth hormone คือ ผิวหนังซีดขาว มีริ้วรอยร่องลึก ผิวหนังขาดน้ำ  ผิวบาง ผมบาง คิ้วบาง หนังตาหย่อน แก้มคล้อย ริมฝีปากบาง ผิวหนังและกล้ามเนื้อฝ่อหย่อนยานไม่กระชับ ลงพุง กล้ามเนื้อสะโพกลีบ ไขมันพอกพูน และหลังค่อม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน กระดูกพรุน เป็นต้น ทางด้านจิตใจก็มีผลกระทบด้วย เช่น อารมณ์แปรปรวน กระวนกระวาย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ขาดความมั่นใจในตัวเอง สันโดษ ไม่ชอบเข้าสังคม อาการต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้คนที่ขาด Growth hormone มีคุณภาพชีวิตต่ำลง

..........ด้วยเหตุนี้ ในต่างประเทศจึงมีการศึกษาเรื่องการชดเชย Growth hormone ที่ขาดหายไป โดยฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังทุกวัน วันละครั้ง หลังฉีดประมาณ 15 วัน ถึง 1 เดือน พบว่าสัดส่วนร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ไขมันหน้าท้องลดลง กล้ามเนื้อแข็งแรงและกระชับขึ้น หลังยืดตรง หลังจากฉีด 3 เดือน ริ้วรอยบนใบหน้าเริ่มตื้นขึ้น แก้มและหนังตาที่เคยห้อยคล้อยยกกระชับ และหลังจาก 6 เดือน ถึง 2 ปี พบว่าระดับไขมันในเลือดลดลง ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้น แต่ในขณะนี้ องค์การอาหารและยายังไม่ให้การรับรองว่าวิธีนี้ปลอดภัยที่จะใช้กับมนุษย์ในระยะยาว สิ่งที่ทางการแพทย์ยังคงสงสัยคือ ผลข้างเคียงของ Growth hormone จะไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ หรือกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งไม่อาจสรุปได้แน่ชัด นอกจากนี้การฉีด Growth hormone ยังมีราคาค่อนข้างสูงและต้องฉีดอย่างต่อเนื่องทุกวันสร้าง growth hormone ด้วยตัวเอง เราสามารถดูแลและปฏิบัติตัว ให้ต่อมใต้สมองมีการหลั่ง Growth hormone ออกมาอย่างสม่ำเสมอได้ โดยปกติแล้ว Growth hormone จะหลั่งเฉพาะตอนกลางคืน ช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการนอนเท่านั้น คือประมาณเที่ยงคืนจนถึงตีสาม การนอนดึกจะไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมน ทำให้หลั่งได้น้อยลง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่นอนดึกมักดูโทรมและแก่เร็ว นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะโดยรับประทานผักอย่างน้อย 500 กรัมต่อวัน ผลไม้หลากหลายชนิดและโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ ปลา ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำสำคัญมากต่อการชะลอวัย และหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยไขมันที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การปรุงอาหารด้วยการทอด เพียงเท่านี้ร่างกายของเราก็หลั่ง Growth hormone ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

สารพันปัญหาของคนอ้วน

สารพันปัญหาของคนอ้วน
คำถาม - คุณหมอคะ ดิฉันอยากลดความอ้วนมากค่ะ เพราะตอนนี้แฟนก็บ่นว่าอ้วนเป็นตุ่มน่าเกลียดมากเลยค่ะ มีวิธีไหนที่จะเหมาะสมกับคนอ้วนอย่างหนูคะ
คำตอบ - วิธีการลดความอ้วนมีมากมายหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น เริ่มตั้งแต่ทำด้วยตัวเองคือควบคุมอาหารกินให้น้อยกว่าที่เคย, ออกกำลังกายให้มากมากเข้าไว้ ยิ่งบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี, หรือวิธีอื่น ๆ ที่ต้องให้หมอช่วยก็อย่างเช่น การใช้ยาลดความอ้วน การผ่าตัด หรือการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ละวิธีก็ทำให้น้ำหนักลดลงทั้งนั้น สำคัญอยู่ที่ว่าคุณตั้งใจจริงหรือเปล่า ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ หรือทำ ๆ เลิก ๆ แบบนี้ก็คงยุบหนอพองหนออยู่ร่ำไป ทางที่ดีลองปรึกษาแพทย์ดูซิ น่าจะได้ข้อแนะนำหรือวิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

คำถาม - มีคนแนะนำดิฉันว่าถ้าอยากลดความอ้วนก็ต้องอดอาหารบางมื้อหรือกินอาหารวันละมื้อเดียว คุณหมอว่าวิธีนี้ดีไหมคะ
คำตอบ - วิธีอดอาหารมื้อ เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เหตุผลก็เป็นเพราะ
..........1. การอดอาหารมื้อหนึ่งจะทำให้เกิดท้องว่าง หากทำเช่นนี้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นแผลได้
..........2. วิธีนี้ทำได้ไม่นานก็ต้องเลิกล้มไป เพราะทำให้ความอยากอาหารมากขึ้นในมื้อถัดไป ทำให้กินอาหารชดเชยมากกว่าเดิม
..........3. แต่ถ้าอดอาหารบางมื้อโดยค่อย ๆ ฝึกให้ร่างกายเคยชินจากที่เคยกิน 3 มื้อก็เหลือเพียง 2 มื้อ โดยยึดเวลาระหว่าง 2 มื้อให้นานขึ้น มื้อที่ไม่ควรอดคือมื้อเช้า เพราะอาหารมื้อเช้าจะเป็นพลังงานที่สำคัญในการเริ่มต้นการทำงาน ส่วนมื้อที่ควรอดมากที่สุดคืออาหารมื้อก่อนนอน เพราะในขณะที่หลับร่างกายไม่ต้องการใช้พลังงานมากนัก ทำให้พลังงานเหลือเก็บมากกว่ามื้ออื่น ๆ ทำให้อ้วนได้ง่าย

คำถาม - ครอบครัวของดิฉันอ้วนทุกคน ดิฉันก็อ้วน อยากจะลดน้ำหนักแต่กลัวว่าจะลดยากกว่าคนอื่น คุณหมอคิดว่าเป็นอย่างนั้นไหมคะ
คำตอบ - ถ้าเปรียบเทียบคนที่อ้วนตั้งแต่วัยเด็กกับคนที่เริ่มอ้วนตอนเป็นผู้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าคนอ้วนทั้ง 2 แบบแตกต่างกันคือ คนที่อ้วนมานานตั้งแต่เป็นเด็กจะมีจำนวนเซลล์ไขมันมากกว่าคนปกติ ในขณะที่คนอ้วนที่เริ่มอ้วนตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นพบว่าเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่มีจำนวนเท่าเดิม ดังนั้นแนวโน้มการลดน้ำหนักคนที่อ้วนตั้งแต่เด็กน่าจะยากกว่าคนที่เริ่มอ้วนในวัยผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามคนอ้วนทั้ง 2 แบบก็สามารถลดน้ำหนักตามที่ต้องการได้ ขอเพียงแต่ตั้งใจ ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ เปลี่ยนนิสัยการกินเสียใหม่ และเมื่อลดน้ำหนักได้แล้วก็ต้องควบคุมการกินอาหารให้ดี มิฉะนั้นก็จะอ้วนใหม่อีกได้

คำถาม - ผมพยายามลดความอ้วนโดยการรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลงกว่าเดิมแต่ก็ยังหิวอยู่ จะทำอย่างไรดีครับ
คำตอบ - เป็นเรื่องปกติที่เคยรับประทานอาหารมากแล้วมาลดปริมาณอาหารลง กระเพาะที่เคยรับอาหารปริมาตรเต็มที่ แต่ต่อมาอาหารที่ได้รับใส่ไม่เต็มกระเพาะ ก็เลยยังรู้สึกหิวอยู่
วิธีทำให้อิ่มโดยไม่เพิ่มอาหารเข้าไปก็มีหลายวิธีเช่น
..........- ดื่มน้ำหลาย ๆ แก้วก่อนรับประทานอาหารและเมื่อหลังจากอาหารหมดจานแล้ว
..........- รับประทานไฟเบอร์ชนิดซองหรือชนิดเม็ด เพื่อช่วยเพิ่มปริมาตรอาหารในกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังไปรบกวนการย่อยและการดูดซึมของไขมัน เป็นการลดปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารมื้อนั้นอีกด้วย วิธีรับประทานไฟเบอร์ที่ถูกต้องคือ รับประทานก่อนอาหาร 1/2-1 ชม. ก่อนอาหารและดื่มน้ำตาม 2-3 แก้วทันที ส่วนปริมาณไฟเบอร์นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน คนที่เคยรับประทานมากอาจจะต้องใช้ไฟเบอร์มากกว่าปกติ แล้วค่อย ๆ ปรับลดลงภายหลัง

คำถาม - คุณหมอครับ ผมเป็นคนรูปร่างท้วม ๆ แต่อยู่ไปอยู่ไปกางเกงมันก็เริ่มคับใส่ไม่ได้ต้องตัดใหม่อยู่เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้กินเยอะมากมายอะไร มื้อหนึ่งก็กินข้าวไม่กี่คำ อาหารอื่นก็เล็กน้อยเท่านั้น ผมมีงานสังสรรค์กับเพื่อนค่อนข้างบ่อย แต่ผมก็ดื่มแต่เหล้านะครับ ไม่ได้ผสมน้ำอัดลม กับแกล้มก็ไม่ได้แตะต้องเลยนะครับ เพื่อนผมบอกว่าดื่มแต่เหล้าไม่กินกับแกล้มไม่อ้วนหรอก จริงหรือเปล่าครับ
คำตอบ - การที่กางเกงคุณคับใส่ไม่ได้ก็แสดงว่าท้องหรือพุงของคุณเริ่มใหญ่ขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะร่างกายของคุณมีไขมันสะสมมากขึ้นโดยเฉพาะที่พุง ซึ่งเกิดจากการที่คุณได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินความจำเป็น แม้แต่เหล้าเบียร์หรือเครื่องดื่มที่ผสมเอธิลแอลกอฮอล์ จะให้พลังงานแก่ร่างกายด้วยซึ่งพลังงานที่ได้รับขึ้นอยู่กับปริมาณของเอธิลแอลกอฮอล์และปริมาณที่ดื่มว่ามากน้อยแค่ไหน เอธิลแอลกอฮอล์ 1 กรัม สามารถให้พลังงานได้ถึง 7 แคลอรี่ ซึ่งมากกว่าพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเสียอีก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่การดื่มเหล้าของคุณจะเป็นผลทำให้พุงของคุณขยายใหญ่ขึ้น

คำถาม - จริงหรือเปล่าคะที่คนเค้าว่ากันว่าดื่มน้ำมากมากทำให้ตัวบวมและอ้วนขึ้น
คำตอบ - มันอยู่ที่ว่าน้ำที่คุณว่านั้นเป็นน้ำอะไร ถ้าเป็นน้ำเปล่าธรรมดาซึ่งไม่ให้พลังงานแก่ร่างกายเลย คุณสามารถดื่มได้มากตามต้องการโดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วนเพราะร่างกายมีระบบการควบคุมน้ำในร่างกายหากเกินความต้องการก็จะถูกขับออกจากร่างกายโดยทางปัสสาวะเป็นส่วนมาก ที่เหลือก็จะออกทางอุจจาระและเหงื่อ ยกเว้นเสียแต่ว่ามีภาวะบกพร่องของอวัยวะในร่างกาย เช่น โรคไตซึ่งเกิดความผิดปกติในการขับน้ำ น้ำก็จะสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการบวมตามใบหน้า แขน ขา และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับการสะสมของไขมัน

คำถาม - ดิฉันอายุ 45 ปี พยายามควบคุมน้ำหนักแต่ก็ทำไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ดิฉันก็รับประทานอาหารเท่ากับตอนเป็นสาว ไม่ได้มากกว่าเลย กิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม แต่ทำไมน้ำหนักของดิฉันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะคะ
คำตอบ - ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่ออายุมากขึ้นจะเกิดความเสื่อมของสังขาร ความต้องการพลังงานในการดำรงชีวิตจะลดลง และถ้าทำกิจกรรมลดลงด้วย เช่น ปลดเกษียณ ไม่ได้ทำงานอะไร เคยเป็นนักกีฬาพออายุมากขึ้นก็เลิกไป, เคยทำงานบ้านทุกวันพออายุมากขึ้นก็มีคนอื่นมาทำแทน ฯลฯ ดังนั้นเมื่อความต้องการพลังงานของร่างกายลดลง แต่ได้รับอาหารเหมือนเดิมก็ย่อมต้องมีพลังงานเหลือเก็บอย่างแน่นอน วิธีการควบคุมน้ำหนักที่ดีที่สุดก็คือ การรับประทานอาหารให้น้อยลง และหันไปทำกิจกรรมอื่นทดแทน เช่น ทำสวน, ออกกำลังกาย, เล่นกีฬา เป็นต้น

คำถาม - อาหารอะไรบ้างคะที่ไม่ทำให้อ้วน
คำตอบ - ความจริงแล้วขึ้นชื่อว่าอาหารแล้ว ก็คือแหล่งพลังงานที่สำคัญของมนุษย์ อาหารแต่ละชนิดมีพลังงานมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารและปริมาณที่ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากและควรหลีกเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่น ไขมัน เนย ครีม ขนมของหวาน เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลหรือเอธิลแอลกอฮอล์มาก เป็นต้น คนที่ชอบกินอาหารประเภทนี้บ่อย ๆ ก็จะอ้วนง่ายกว่าคนที่ชอบกินผักหรือผลไม้ ซึ่งให้พลังงานต่ำกว่า และมีเส้นใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติด้วย

คำถาม - ดิฉันเป็นคนชอบทานของหวาน ๆ อะไรอะไรก็ต้องใส่น้ำตาลไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ก็อ้วนอยู่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ มีคนแนะนำว่าให้ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลทราย คุณหมอคิดว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ไหมคะ
คำตอบ - น้ำตาลเทียม ก็คือสารที่ให้ความหวาน ในปัจจุบันที่ใช้กันมากคือ แอสปาร์เทม เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 180-200 เท่า ถ้าเปรียบเทียบพลังงานที่ได้จากน้ำตาลทรายกับน้ำตาลเทียม จะพบว่า น้ำตาลทราย 1 ช้อนชาให้พลังงาน 15-20 แคลอรี่ ในขณะที่น้ำตาลเทียมหรือแอสปาร์เทมที่ให้ความหวานเท่ากับน้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ให้พลังงานเพียง 0.5 แคลอรี่เท่านั้น ฉะนั้นหากคุณต้องการดื่มเครื่องดื่มหรืออาหารที่ต้องการความหวานแต่ให้พลังงานน้อย ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายหรือใช้น้ำตาลเทียมแทน แต่น้ำหนักของคุณจะลดลงหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารอื่น ๆ ด้วย

คำถาม - ดิฉันเคยทานยาลดน้ำหนัก น้ำหนักก็ลดได้ดี แต่เวลาทานยามักจะเกิดอาการหลายอย่างเช่น ปวดศีรษะ ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย อาการเหล่านี้แสดงว่าดิฉันแพ้ยาหรือเปล่าคะ
คำตอบ - จริง ๆ แล้วอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่การแพ้ยา แต่เป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ยาโดยตรงหรือผลข้างเคียงของยาบางชนิด
..........อาการปวดศีรษะ - มักเป็นอาการข้างเคียงของยาในกลุ่มที่ทำให้ไม่หิว อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อหยุดทานยาหรือรับประทานยาในขนาดที่น้อยลง
..........อาการปัสสาวะบ่อย - เป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาขับน้ำ ซึ่งมักจะมีอยู่ในยาลดน้ำหนักทั่ว ๆ ไป จึงทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น หากหยุดรับประทานยา การปัสสาวะก็จะเป็นปกติ แพทย์มักจะใช้ยาขับปัสสาวะในโรคอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง
..........อาการอ่อนเพลีย
          - เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุคือ
          - ในระหว่างที่ทายยาลดน้ำหนัก จะทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหารและทานอาหารให้น้อยลง ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยเกินไป ก็จะทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
          - การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เนื่องจากปัสสาวะบ่อยขึ้นก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย