วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
"ริดสีดวงทวาร"
โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารโรคหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก มีผู้ป่วยกันไม่ใช่น้อยในปัจจุบัน สาเหตุเกิดจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน
ส่วนใหญ่ก็อยู่กับเรื่องอาหารการกินนี่เอง
เรื่องกินนี้สำคัญที่สุด กินไม่ถูก กินไม่เหมาะสม กินไม่เป็นก็จะทำให้สุขภาพร่างกายของตนเองไม่สมบูรณ์ แข็งแรง ระบบการขับถ่ายไม่ดีพอก็ทำให้เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ เช่น
ท้องผูกเป็นประจำ
ท้องผูกเรื้อรัง
เวลาถ่ายอุจจาระจะต้องเบ่งกันมากมาย
ไอเรื้อรัง
โรคอ้วนที่มีอยู่
มะเร็งลำไส้
เส้นเลือดดำที่ทวารหนักขอด โป่งพอง ออกมา เลือดคั่งมากมายเลือดไหลกลับไม่ได้ เกิดอาการคั่งอยู่ตรงนี้มาก อักเสบกลายเป็นแผลเกิดหัวริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ในที่สุด
เราจะมาแนะนำสิ่งที่ดี ๆ แก่ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารทุกท่านที่สนใจ นำเอาไปปฏิบัติ นำเอาไปป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดป่วยเป็นริดสีดวงทวารขึ้นมา หรือกำลังป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารอยู่แล้วก็จงปฏิบัติตนเองให้ถูกต้อง เพื่อเยียวยารักษาโรคริดสีดวงทวารของตนเองให้หายไป พ้นจากการทรมานที่เกิดขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีต่อไป
ได้กล่าวมาแล้วว่าในปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารกันมากมาย ดังนั้น เมื่อนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปปฏิบัติ มีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี เอาใจใส่ดูแลตัวเองในเรื่องการขับถ่าย การดูแลตนเองไม่ให้ท้องผูก กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ อะไรเหล่านี้ท่านก็จะห่างไกลจากโรคต่าง ๆ รวมทั้งริดสีดวงทวารด้วย
------------------------------------------------------
ริดสีดวงทวารคืออะไร ?
พอเอ่ยถึงคำว่า "ริดสีดวงทวาร" ทุกคนก็คงจะเข้าใจกันดีว่าคืออะไร หมายถึงอะไร เพราะในชีวิตคนเรานั้นคงจะได้พบกับ "ริดสีดวงทวาร" กันจนได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยที่สูงอายุทั้งหลาย
แม้ว่าใคร ๆ จะเข้าใจเรื่องริดสีดวงทวาร อย่างไรก็ตามแต่ ก็ยังมีผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารกันไม่ใช่น้อยในปัจจุบันนี้
ในเด็ก ๆ มักจะไม่พบว่าเป็นริดสีดวงทวารกัน แต่ในผู้ใหญ่ เช่น ผู้ที่มีวัยเกือบ 50 ปี ไปแล้วนั้นมักจะตรวจพบริดสีดวงทวารอยู่เสมอ
จากการตรวจของแพทย์พบว่าบุคคลสูงอายุนั้น ร้อยละ 45 มักเป็นริดสีดวงทวาร บางรายอาจจะไม่แสดงอาการมาก แต่บางรายก็แสดงอาการออกมาให้เห็นเป็นก้อนเนื้อปูดโปนออกมาที่ทวารหนัก บางรายก็มีเลือดออกมาด้วยพร้อมกับก้อนเนื้อของริดสีดวงทวารที่โผล่ยื่นออกมา
คราวนี้ลองมาพิจารณากันถึงเรื่องของริดสีดวงทวารกันบ้างว่าเป็นอย่างไร
"ริดสีดวงทวาร" หมายถึง หลอดเลือดดำที่ทวารหนักโป่งพองยื่นออกมา ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บ ๆ คัน ๆ ในระยะเริ่มแรก ซึ่งผิดปกติไป
ในระยะต่อมา อาการอักเสบจะเริ่มเป็นมากยิ่งขึ้นอีกถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาการเจ็บปวดก็จะเกิดขึ้น หลอดเลือดดำโป่งพองออกมามากแล้วจะแตกออกเป็นแผล เวลาถ่ายอุจจาระจะมีเลือดสด ๆ ออกมาด้วย มองดูแล้วผู้ป่วยจะตกใจทีเดียวที่เห็นโถส้วมสีขาวนั้นแดงฉานไปด้วยเลือดสด ๆ
ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นริดสีดวงทวารแบบเรื้อรังนั้น ส่วนมากท้องจะผูกเวลาถ่ายอุจจาระก็ถ่ายออกมาได้ยากลำบากมาก จะต้องมีการเบ่งอุจจาระกันมากมายทำให้หลอดเลือดที่โป่งพองยิ่งโป่งพองมากยิ่งขึ้นอีกเพราะแรงแบ่งนั่นเอง อาการอักเสบจะมีมากขึ้นเป็นพิเศษ ก้อนเนื้อโป่งพองออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจน เอามือลูบคลำดูก็จะสัมผัสได้ ผู้ป่วยจะเกิดอาการไม่สบายใจยิ่งนัก
บางรายผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงมาก เกิดอักเสบอย่างมากจนเกิดแผล หนอง บวมพองออกมาเป็นก้อนริดสีดวงขนาดใหญ่
น่ากลัวมากจริง ๆ
หลอดเลือดดำที่ทวารหนักเกิดขอดอยู่ที่ตรงนี้มาก เส้นเลือดที่มีอยู่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงที่ทวารหนักเป็นจำนวนมาก เลือดมาคั่งมากมาย เลือดเดินไม่สะดวกเลือดไหลกลับไม่ได้ตามปกติ เลือดก็จะแออัดคั่งกันอยู่ที่ตรงนี้มาก เกิดการโป่งพองและอักเสบแตกออกกลายเป็นแผลเป็นก้อนริดสีดวงทวารไปในที่สุด
อักเสบกันใหญ่โตและเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย
อาการเส้นเลือดขอดที่เป็นเส้นเลือดดำใหญ่จะไม่มีลิ้นที่เส้นเลือด ด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้ผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงทวารจะต้องมีริดสีดวงทวารที่เป็นก้อนโป่งพองออกมามากเวลายืน เดินหรือจะนั่งก็ตาม ยิ่งเวลาไอด้วยก็จะยิ่งเป็นการเบ่งให้ก้อนริดสีดวงทวารออกมามากยิ่งขึ้นอีก
ต่อมลูกหมากโตเมื่อสูงวัยยิ่งขึ้น ถ่ายปัสสาวะยาก เวลาถ่ายปัสสาวะจะต้องมีการเบ่งมากกว่าปกติ ก้อนริดสีดวงทวารจึงเกิดยื่นออกมามากยิ่งขึ้นได้
หลอดเลือดดำที่โป่งพองอยู่นี้จะยิ่งโป่งพองออกมามากที่สุดก็ในเวลามีการถ่ายอุจจาระ เพราะเกิดการเบ่งมากขึ้นนั่นเองดังได้กล่าวมาแล้ว คิดดูเถอะว่าเมื่อเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาแล้วก็จะต้องเบ่งอุจจาระออกมามากยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น หลอดเลือดดำโป่งพองมากยิ่งขึ้น อาการอักเสบจะต้องมีไม่น้อย
จึงไม่ควรทำให้ท้องผูกเป็นอันขาด เป็นอันตรายแก่การป่วยเป็นริดสีดวงทวารมากจริง ๆ
ตามปกติ กล้ามเนื้อที่ทวารหนักของคนเรานั้นจะต้องมีการหดตัวเข้าที่ หลอดเลือดดำก็จะต้องไม่มีโผล่ยื่นออกมา ดังนั้นเองเมื่อการเป็นริดสีดวงทวารมีการอักเสบโผล่ยื่นออกมาก็เจ็บปวดได้
ริดสีดวงทวารนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน
1. ริดสีดวงทวารชนิดภายใน
2. ริดสีดวงทวารชนิดภายนอก
ริดสีดวงทวารชนิดภายในนั้นเกิดขึ้นภายในทวารหนักของผู้ป่วย ที่ปกคลุมไปด้วยเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ไม่มีออกมาให้เห็นที่ภายนอก
ริดสีดวงทวารที่เกิดภายในนั้นแพทย์พบมากกว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออกมาจากภายในมองดูน่ากลัวทีเดียวดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
สาเหตุที่เกิดริดสีดวงทวารภายในนี้ แพทย์เองก็ยังไม่อาจจะทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่ว่าสิ่งที่อาจจะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดเป็นริดสีดวงทวารชนิดภายในขึ้นมาน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการรับประทานอาหารและการขับถ่ายของผู้ป่วยเองมากกว่าอย่างอื่น เป็นต้นว่า เกิดอาการท้องผูกเกิดขึ้นเป็นประจำก็เป็นทางนำไปสู่การเป็นริดสีดวงทวารได้มาก
อุจจาระแข็งมาก เกิดการเสียดสีกับเยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดดำ การเบ่งมีมากเกินไป อาการเส้นเลือดโป่งพองจึงเกิดมีมากขึ้นได้เสมอ
เวลาถ่ายอุจจาระทีก็เบ่งกันอยู่เป็นเวลานาน ๆ ในการถ่ายอุจจาระแต่ละครั้ง ด้วยความยากลำบากจริง ๆ
โดยปกติคนเราก็น่าจะถ่ายอุจจาระวันละครั้ง คือ ตื่นนอนในตอนเช้า หรือจะมีการถ่ายอีกในช่วงเวลากลางวันก็แล้วแต่ ถือเป็นปกติธรรมดา
แต่ยังมีบุคคลที่ถ่ายอุจจาระนาน ๆ ครั้งหนึ่ง เป็นต้นว่า 3-4 วันถ่ายครั้งหนึ่ง บางรายก็ 5 วันครั้ง ซึ่งก็ถือว่าผิดปกติไปหน่อยจะต้องเกิดมีอาการท้องผูกขึ้นมาแล้วอย่างแน่นอนที่สุด
เบ่งมาก อุจจาระก็แข็งมาก เบ่งกันนาน ๆ กว่าก้อนอุจจาระที่แข็งจะหลุดออกมาได้อาการเส้นเลือดโป่งพองก็จะมีมากยิ่งขึ้น
เมื่อมีการเบ่งอุจจาระด้วยความลำบากยากเย็นเป็นเวลานาน ๆ ก็เกิดมีความดันในช่องท้องขึ้นมาได้ กล้ามเนื้อที่ทวารหนักก็มีการขยายตัวตามกันออกไปด้วย หลอดเลือดดำก็ยิ่งมีโอกาสโป่งพองยิ่งขึ้น
วันต่อ ๆ มา พฤติกรรมเช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีก เพราะคนเราจะต้องมีการถ่ายอุจจาระกันทุก ๆ วันอยู่เป็นปกติ หลอดเลือดก็จะยิ่งโป่งพองมากยิ่งขึ้น อาการอักเสบก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก จะไม่มีการหดเข้าไปภายในอีก คราวนี้แหละก็มองเห็นอย่างชัดเจนที่ทวารหนักทีเดียว
ริดสีดวงทวาร โรคทรมานที่มีอยู่อีกโรคหนึ่งของคนเราในเวลานี้ท่านที่กำลังอ่านเรื่องนี้แล้วกำลังเป็นริดสีดวงทวารจะทราบดีว่าเป็นอย่างไร
อาการอักเสบเช่นนี้จากริดสีดวงทวารเป็นการทรมานมาก เพราะหลอดเลือดดำที่ยื่นโป่งพองออกมาภายนอกทวารหนัก หรือที่เราเรียกกันว่า "หัวริดสีดวง" ซึ่งก็คือผนังของทวารหนักที่มีหลอดเลือดดำอยู่ด้วย
ทวารหนักที่เป็นปกติจะไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีหัวริดสีดวงทวารเกิดขึ้น หลอดเลือดดำก็ยังไม่โป่งพองอักเสบ
เมื่อพิจารณาดูที่ลำไส้ส่วนบนลงมาประมาณ 6 นิ้ว คือลำไส้ใหญ่ส่วนปลายกับทวารหนักจะมีเยื่อบุที่เราจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เส้นโลหิตดำใต้เยื่อบุ แต่ว่าที่ผิวหนังทวารหนักจะมีปลายประสาทมากมายปรากฏอยู่ คนเราจึงมีอาการรู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย
ได้กล่าวมาแล้วว่า ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารนั้น โดยมากจะท้องผูกเวลาถ่ายอุจจาระจึงจะต้องเบ่งกันมาก เบ่งกันจนหน้าดำหน้าแดงทีเดียวกว่าจะมีก้อนอุจจาระหลุดออกมาได้สัก 1 ก้อน แสนที่จะทรมาน ความแข็งของอุจจาระนั้นมีมาก สามารถเสียดสีสัมผัสกับหลอดเลือดที่โป่งพองจนมีบาดแผลขึ้นมาได้ เลือดไหลเนืองนองออกมาแดงฉานน่ากลัว ยิ่งเวลาขมิบกล้ามเนื้อที่ก้นด้วยเลือดก็จะหยดติ๋ง ๆ ลงมาสู่โถส้วมอีก
ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารนั้นมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางได้อีก ซึ่งมีอันตรายอีกด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการสูญเสียเลือดไปทุก ๆ ครั้งที่ถ่ายอุจจาระนี่เอง
ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงจึงจะต้องระมัดระวัง ดูแลตนเองไม่ให้เกิดอาการท้องผูกขึ้นมาได้ และถ้าเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาท่านก็จะมีอาการของโรคกำเริบมากยิ่งขึ้นอีก จะต้องเอาใจใส่ในเรื่องการรับประทานอาหารให้ดี อาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ อาหารที่มีกากอาหารมาก ๆ เพื่อช่วยในการขับถ่ายให้คล่องมากขึ้น เพื่อสุขภาพของตนเอง ท้องไม่ผูก
อย่าลืมดื่มน้ำให้มาก ๆ วันละ 8 แก้วอีกด้วย เพื่อช่วยในการขับถ่ายให้มาก
การกินยาถ่ายเป็นประจำนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะยาถ่ายจะทำให้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ อุจจาระที่ถูกขับถ่ายออกมาอย่างรุนแรงนั้นนั่นเอง ย่อมไปทำให้เยื่อบุผนังลำไส้เกิดอาการอักเสบขึ้นได้ด้วย อาการริดสีดวงทวารหนักจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เอง
หลอดเลือดดำของทวารหนักก็จะเกิดอาการอักเสบไปอีก เพราะมีการขยายหลอดเลือดออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่หดกลับเข้าที่ อาการอย่างนี้เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ ริดสีดวงทวารก็จะเกิดมีขึ้นได้ทันที
บุคคลบางคนอาจจะมีการขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา ไม่ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาที่กำหนด เช่น ตอนเช้าเมื่อตื่นนอนจะต้องเข้าส้วมเพื่อถ่ายอุจจาระตามกำหนดก็ไม่ปฏิบัติ ไม่ฝึกจนเป็นนิสัย ร่างกายก็ไม่มีระเบียบ ไม่เคยชินที่จะขับของเสียออกไปในเวลาเช่นนี้ มีเวลาที่ไม่แน่นอน แล้วก็เกิดอาการท้องผูกขึ้นมาเป็นประจำ เกิดผลเสียแก่สุขภาพของตนเองไปได้ ท้องผูกไปได้เสมอ
ทำให้เกิดริดสีดวงทวารขึ้นมาได้อีก
การออกกำลังกายก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการออกกำลังกายอยู่เสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำตามกำลังของแต่ละคน ไม่ใช่ออกกำลังกายแบบหักโหม ร่างกายจะสมบูรณ์ แข็งแรง สดชื่น กล้ามเนื้อเป็นปกติ อวัยวะต่าง ๆ ทำงานไปตามหน้าที่ตามปกติการขับถ่ายก็จะเป็นไปตามปกติเสมอ ไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย
คนหนุ่มคนสาวยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรมารบกวน สามารถออกกำลังกายได้อย่างสะดวกสบาย ผสมผสานกับการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมีสารอาหารครบถ้วน ร่างกายและจิตใจก็จะดีเป็นปกติเสมอ โรคภัยไม่มารบกวนง่าย ๆ
ท่านที่สูงอายุแล้วก็เช่นเดียวกัน การออกกำลังกายก็จะต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ก็จะต้องออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยของท่านเอง เป็นต้นว่าเดินออกกำลังกาย วิ่งออกกำลังกายพอสมควร รำมวยจีน กายบริหาร ก็ได้
บางคนอาจจะชอบใช้ยาระบาย ความจริงก็ไม่สมควรไปใช้เลยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ กินอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ดื่มน้ำวันละมาก ๆ เช่น วันละ 8 แก้ว ก็จะระบายของเสียออกไปได้อย่างไม่ลำบากอะไร
อาจจะมีเป็นเพียงบางรายเท่านั้นที่จะต้องใช้ยาระบาย ซึ่งจะต้องให้แพทย์วินิจฉัยและแนะนำเท่านั้น
การรักษาความสะอาดก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก การถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วทุกครั้งไปจะต้องใช้น้ำชำระล้างทำความสะอาดทวารหนักเสมอ น้ำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะไม่มีความระคายเคืองต่อทวารหนักเลย หรือจะใช้กระดาษชำระก็ได้ เพราะกระดาษชำระก็อ่อนนุ่มอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามน้ำก็ยังมีอะไรที่ดีกว่าอยู่นั่นเอง เพราะกระดาษชำระนั้นแม้ว่าจะป้ายเช็ดอุจจาระออกไปแล้วก็ยังคงจะไม่สะอาดอยู่นั่นเอง สู้น้ำไม่ได้
เมื่อท่านมีอาการอักเสบขึ้นที่ทวารหนักขึ้นมา เช่น ริดสีดวงทวารอักเสบมาก อาจจะใช้น้ำอุ่นผสมกับด่างทับทิมพอเป็นสีชมพูอ่อน ๆ หรือจะใช้กรดบอริคละลายในน้ำอุ่นใส่อ่างแช่ก้นที่อักเสบนั้นก็ได้ โดยการแช่เอาไว้ประมาณสัก 30 นาที อาการอักเสบก็จะบรรเทาเบาบางลง เกิดความสบายขึ้นมาอย่างมาก ต่อจากนั้นก็จงซับด้วยผ้าแห้งที่สะอาดให้ก้นแห้ง เอาแป้งฝุ่นโรยตัวใส่ที่ทวารหนักอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ผิวหนังที่ส่วนนี้จะแห้งสนิทและสบายขึ้นมาก
อาการอักเสบของริดสีดวงทวารนั้น อาจจะใช้ยาเหน็บหรือยาทาริดสีดวงทวารก็ใช้ได้ดี สามารถลดอาการอักเสบและแก้ปวด คัน ได้ดีมาก
แพทย์อาจจะใช้ยาฉีด ฉีดเข้าไปที่หัวริดสีดวงทวารด้วยก็ได้ อยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์ที่จะทำการรักษาอย่างไร เพราะการฉีดยาให้หัวริดสีดวงทวารฝ่อไปนั้นก็เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคนี้ สามารถลดอาการอักเสบและแก้ปวด คัน ได้ดีมาก
บางทีแพทย์ก็ใช้ยางรัดหัวริดสีดวงทวารเพื่อให้หัวริดสีดวงทวารขาดไป เพราะเกิดการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
การผ่าตัดก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ก็อยู่ที่การวินิจฉัยของแพทย์อีกเหมือนกันว่าจะรักษาเยียวยาอย่างไหนจึงจะดีที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละราย เพราะอาการที่เกิดขึ้นอาจจะมากน้อยหรือรุนแรงแตกต่างกันก็ได้
ริดสีดวงทวารนี้ แพทย์พบว่าเมื่อทำการรักษาให้หายขาดแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่อีกก็ได้ ไม่ได้หายขาดไปทีเดียว จึงจะต้องระมัดระวังให้มากในการดูแลตนเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน น้ำดื่ม การออกกำลังกาย การพักผ่อน การขับถ่าย การรักษาความสะอาด
การนั่งส้วมแบบชนิดนั่งยอง ๆ นั้น เป็นการทำให้เกิดการขับถ่ายได้ดีคล่องตัว เพราะลำไส้ใหญ่กับทวารหนักเกิดเป็นแนวดิ่งตรงลงมานั่นเอง ซึ่งดีกว่าการนั่งส้วมแบบนั่งห้อยเท้า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้สำหรับท่านที่สูงอายุแล้วอาจจะไม่เหมาะ เพราะเกิดอาการปวดเมื่อยเข่า ข้อ มาก จำเป็นจะต้องนั่งห้อยเท้า
ในบุคคลบางคนอาจจะต้องการถ่ายอุจจาระให้หมดจริง ๆ จึงเกิดการเบ่งอุจจาระมากขึ้นเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าน่าจะถ่ายอุจจาระพอแล้วยังขืนเบ่งต่อไปอีกเพื่อต้องการให้อุจจาระหมดสิ้นไปจริง ๆ จะเพื่อสุขภาพหรืออะไรก็ตามสิ่งนี้ก็ไม่ควรทำเลย เพราะการเบ่งเพื่อถ่ายอุจจาระมากเกินไป นานเกินไปนั้น ก่อให้เกิดริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ เสี่ยงต่อการเป็นริดสีดวงทวารมาก
โรคริดสีดวงทวารนั้นไม่ใช่โรคติดต่ออะไรเลย ไม่มีเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดเป็นริดสีดวงทวารอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าพันธุกรรมหรือกรรมพันธุ์นั้นมีส่วนมาก กล่าวคือ ผนังของหลอดเลือดที่บริเวณทวารหนักเกิดความอ่อนแอมากผิดปกติเลยเกิดโป่งพองได้ง่ายกว่าธรรมดา เลยเกิดเป็นริดสีดวงทวารตามกันไป แต่ว่าก็ไม่ใช่จะเป็นกันเสมอไป
การตั้งครรภ์ของสตรีนั้นมักเกิดริดสีดวงทวารขึ้นได้ง่าย เนื่องจากมดลูกเกิดโตมากขึ้นเพราะทารกในครรภ์นั่นเอง ทำให้เกิดไปกดเส้นเลือดเอาไว้ เลือดจะไหลกลับก็ลำบาก การตั้งครรภ์นั้นก็จะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงที่อวัยวะในอุ้งเชิงกรานมากมายอีกด้วยจึงเกิดริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ง่ายมาก
ความรุนแรงของริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารที่เกิดภายในมักไม่มีหัวริดสีดวงทวารโผล่หรือโป่งพองออกมาให้เห็นได้ภายนอก แต่ว่าถ้าเป็นรุนแรงก็จะเห็นหัวริดสีดวงทวารโผล่ออกมาได้เสมอ
ระยะแรก ๆ ของริดสีดวงทวารนั้น เมื่อถ่ายอุจจาระออกมาก็จะมีเลือดปนออกมาด้วยเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเพียงมองเห็นบ้างพอสมควรเท่านั้น หรือเมื่อเอากระดาษชำระไปเช็ดก็จะเห็นมีเลือดติดออกมาบ้าง ต่อเมื่ออาการมากขึ้นก็จะสังเกตได้ว่ามีเลือดออกมามากกว่าแต่ก่อน
การมองเห็นเลือดออกมานี้ผู้ป่วยมักเกิดความหวาดกลัวมาก เพราะเลือดนั้นแดงน่ากลัวจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม มีการแบ่งอาการของโรคริดสีดวงทวารเอาไว้เป็น 4 ระยะด้วยกัน ดังต่อไปนี้ คือ
ระยะที่ 1
มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระก็ปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาด้วย ถ้าท้องผูกจะยิ่งปรากฏว่ามีเลือดออกมากยิ่งขึ้นเพราะเกิดการเบ่งมากนั่นเอง ริดสีดวงทวารในระยะเริ่มแรกที่เกิดภายในนี้สามารถเอากล้องตรวจดูลำไส้ตรงที่เรียกว่า "พร็อคโตสโคป" (Proctoscope) ตรวจส่องดูได้
ระยะที่ 2
อาการเริ่มมีมากขึ้น หัวริดสีดวงทวารโตมากขึ้น เริ่มโผล่ออกมาพ้นทวารหนักแล้วพอสมควร เวลาเบ่งอุจจาระก็จะออกมาให้เห็นมากขึ้น แต่เวลาถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วก็จะหดกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เอง
ระยะที่ 3
เริ่มมีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้นในระยะเวลานี้ เวลาถ่ายอุจจาระหัวริดสีดวงทวารจะโผล่ออกมามากกว่าแต่ก่อน หรือเวลาจาม ไอ ยกสิ่งของหนัก ๆ ที่ความเกร็ง เบ่ง ในท้องเกิดขึ้นหัวริดสีดวงทวารจะออกมาข้างนอกทวารหนักทีเดียว แล้วก็กลับเข้าที่เดิมไม่ได้เสียด้วยคราวนี้ จะต้องเอานิ้วมือดัน ๆ เข้าไปถึงจะเข้าไปเงียบสงบอยู่ภายในทวารหนักได้
ระยะที่ 4
คราวนี้หัวริดสีดวงจะกำเริบมาก โตมากขึ้นแล้ว มองเห็นได้จากภายนอกอย่างชัดเจน เกิดอาการบวม อักเสบ แพทย์ใช้ยางรัดเอาไว้เพื่อให้หลุดออกไปและรักษาต่อไปอีกตามวิธีการ
อาการแทรกซ้อนของริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารนั้นเมื่อมาถึงระยะที่ 4 อาการก็รุนแรงมาก มีทั้งเลือดที่ออกมาเสมอ มิหนำซ้ำยังมีน้ำเหลือง เมือกลื่น และอุจจาระก็ยังตามออกมาอีกด้วย ทำให้เกิดความสกปรกและมีอาการเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลาทีเดียว คิดดูเถอะว่าจะมีความสกปรกสักเพียงใด เกิดอาการคันตามมาด้วย บางทีก็จะเกิดการเน่า อักเสบมากยิ่งขึ้นอีก
การติดเชื้อโรคเป็นไปได้ง่าย และที่เห็นกันชัด ๆ ก็ได้แก่ เมื่อเลือดออกไปเรื่อย ๆ เช่นนี้อาการซีดก็จะเกิดมีขึ้นได้อย่างแน่นอน ผู้ป่วยจะเกิดโรคโลหิตจางขึ้นได้โดยง่าย
ความอ่อนเพลียเกิดขึ้น น้ำหนักตัวลดลง เกิดอาการหน้ามืดเสมอ
ริดสีดวงทวารอาจจะไม่มีอันตรายอะไรมากนัก แต่ก็บั่นทอนสุขภาพผู้ป่วยไปได้มาก จำเป็นจะต้องให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรค เยียวยารักษาให้ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยจริง ๆ อย่าลืมว่าการเป็นริดสีดวงทวารนั้น โอกาสการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่และทวารหนักจะเป็นไปได้โดยง่าย และในบางครั้งผู้ป่วยอาจจะเป็นริดสีดวงทวารไปพร้อมกับมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งทวารหนักไปด้วยก็มีเช่นเดียวกัน
ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อเราท้องผูกก็เกิดการเบ่งอุจจาระมากเวลาถ่ายอุจจาระในแต่ละครั้ง จนในที่สุดก็เป็นริดสีดวงทวารขึ้นมาได้ หรือเกิดเรื้อรังเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือทวารก็ได้อีกเช่นเดียวกัน ส่วนจะเกิดเป็นอะไรนั้นก็จะต้องให้แพทย์เป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรคเสมอจึงจะทราบแน่ชัด
ริดสีดวงทวารนั้น ส่วนมากจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด เมื่อเกิดเป็นขึ้นก็จะมีอาการคัน ๆ และระคายเคืองที่ทวารเท่านั้นเอง หากเกิดอาการปวด อักเสบมากขึ้นก็หมายความว่าเกิดอาการแทรกซ้อนของโรคขึ้นแล้ว จะต้องรีบให้แพทย์ตรวจรักษาโดยเร็ว หรือถ้าโชคดีอาการนี้อาจจะหายไปได้เองก็ได้โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
ในบุคคลบางคนริดสีดวงทวารอาจจะเกิดอาการเน่าเกิดเป็นแผลตื้น ๆ บางทีก็เกิดอักเสบไปเป็นบริเวณกว้างถึงลำไส้แล้วติดเชื้อที่ลำไส้ใหญ่ อาจจะลามเลยไปถึงอุ้งเชิงกรานก็ได้ บางทีก็อาจจะเกิดเป็นหนองเป็นฝีที่ทวารหนักก็มี
ในบุคคลบางคนก็เกิดการติดเชื้อแพร่เข้าไปในกระแสเลือดก็ได้เกิดอาการอักเสบของเส้นเลือดใหญ่ภายในช่องท้องจนเกิดการเสียชีวิตขึ้น อันตรายอยู่ตรงนี้เอง
ริดสีดวงทวารนั้นก็ไม่ร้ายแรงเท่าไรนัก แต่ระวังโรคแทรกซ้อนซึ่งจะเกิดอาการรุนแรงขึ้นได้ดังที่กล่าวมาแล้ว
ระวังการติดเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตเกิดอาการอักเสบใหญ่โตไปได้.....
แพทย์ตรวจวินิจฉัยริดสีดวงทวารอย่างไร ?
แพทย์จะตรวจริดสีดวงทวารของผู้ป่วยได้ เพื่อให้ทราบว่าผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารหรือไม่ อย่างไร มีมะเร็งร้ายอยู่ด้วยหรือไม่ที่ทวารหนักและที่ลำไส้ใหญ่ หรือผู้ป่วยเป็นริดสีดวงทวารด้วย มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วยอีกโรคหนึ่งรวมกันไป
แพทย์อาจจะสังเกตจากภายนอก เอานิ้วมือที่สวมถุงยางเอาไว้แล้วสอดเข้าไปทางทวารหนักของผู้ป่วย คลำดูก็ได้ แล้วอีกขั้นตอนหนึ่งก็เอากล้องสอดเข้าไปส่องดูภายในทวารหนักก็สามารถทราบได้ว่าเป็นอะไรกันแน่
หรืออาจจะต้องอาศัยการเอกซเรย์ รวมด้วยก็ได้ การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ก็ได้
การรักษาริดสีดวงทวารภายใน
การรักษาริดสีดวงทวารนี้ก่อนอื่นแพทย์จะต้องแนะนำว่าอย่าทำให้ท้องผูกเด็ดขาด จะต้องดื่มน้ำมาก ๆ ทุกวัน กินผักผลไม้มาก ๆ ทุกวัน กินเส้นใยหรือกากอาหารเสมอ เพื่อการขับถ่ายที่ดี แต่ถ้าท้องยังผูกอยู่ก็จะต้องให้ดีเกลือเป็นยาระบายหรือยาระบายแมกนีเซีย แล้วก็อย่าไปเบ่งอุจจาระนาน ๆ หรือยืนนั่งอยู่นาน ๆ เกินไป
มีอาการปวดมากก็ให้กินยาบรรเทาปวด แช่ก้นในน้ำอุ่นผสมด่างทับทิมพอเป็นสีชมพูอ่อน ๆ วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร เช่น เชอริพร็อกต์, พร็อกโตซีดิล, อะนูซอล เหน็บวันละ 2-3 ครั้ง คือ เช้า ก่อนนอน และหลังจากถ่ายอุจจาระแล้ว
ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือมีอาการไม่ดีขึ้นเมื่อใช้ยาและปฏิบัติตามดังกล่าวมาแล้วก็จะต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคทันที
ในสมัยโบราณนั้นการรักษาริดสีดวงทวารเป็นไปอย่างน่ากลัวมาก เพราะผู้รักษาจะต้องเอาเหล็กที่เผาไฟจนแดงจี้ที่หัวริดสีดวงทวาร บางทีก็เอาตะขอเล็กเกี่ยวหัวริดสีดวงทวารเอาไว้แล้วใช้มีดตัดหัวริดสีดวงทวารออกไป แต่นั่นก็เป็นวิธีโบราณซึ่งก็เป็นไปเช่นนั้นสำหรับสมัยก่อน
ยารักษาริดสีดวงทวาร
แพทย์พบว่ายาเหน็บที่ใช้รักษาริดสีดวงทวารยี่ห้อหนึ่ง มีสาร "เฮกซาคลอโรเฟน" (Hexachlorophene) ผสมอยู่ด้วยนั้น เมื่อผู้ป่วยใช้ไปนาน ๆ สารนี้ก็จะไปสะสมอยู่ในร่างกายได้ เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาในที่สุด เวลาใช้ก็จะต้องเก็บเอาไว้ในตู้เย็นอีกด้วยเพราะเมื่อเอาออกมาไว้ภายนอก ยาจะละลายหลอมเหลวไป เหน็บเข้าไปในรูทวารหนักไม่ได้แล้ว จึงขอเตือนเอาไว้ ณ ที่นี้
สำหรับยาที่บอกว่ามีสรรพคุณสามารถกัดเอาหัวริดสีดวงทวารออกไปได้นั้นน่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะตัวยาอาจจะกัดเอาเนื้อที่ดีไปได้ และถ้าหัวริดสีดวงทวารหายไปแล้ว โรคใหม่จะเกิดขึ้นมาได้ นั่นก็ได้แก่รูทวารหนักเกิดการตีบแคบเล็กลงมากกว่าปกติจนกระทั่งผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระไม่ได้สะดวกเหมือนเดิม เกิดการแก้ไขกันอีกเพราะเป็นการแก้ไขที่ไม่ง่ายนักด้วย
จึงอย่าไปใช้ยากันเอง จำต้องให้แพทย์ตรวจและให้ยาเท่านั้น
ยาฉีดริดสีดวงทวาร
ยาฉีดรักษาริดสีดวงทวารนี้เป็นการรักษาที่ได้ผลดีมาก
แพทย์จะทำการฉีดยานี้เข้าไปที่บริเวณริดสีดวงทวารของผู้ป่วยทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที ภายหลัง 24-48 ชั่วโมง หัวริดสีดวงทวารจะเกิดอาการฝ่อไปในที่สุด
วิธีการเช่นนี้ นายแพทย์ มิตเชลล์ แห่งรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกาได้ใช้มาก่อนเป็นเวลานานทีเดียว ในยุคสมัยใหม่นี้วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก จึงมียาฉีดรักษาริดสีดวงทวารดี ๆ หลายชนิด ใช้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สัก 3-5 ครั้ง หัวริดสีดวงจะฝ่อไปเอง ซึ่งแพทย์จะตรวจวินิจฉัยว่าจะฉีดอย่างไร ขนาดไหนกี่ครั้งกี่หน เว้นระยะอย่างไร การฉีดริดสีดวงทวารนี้ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดอะไรเลยแพทย์กล่าวว่าผลการรักษาด้วยยาฉีดนี้ดีมาก เพราะได้ผลเกือบ ร้อยละ 100
สำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ก็ฉีดยารักษาริดสีดวงทวารได้ด้วย ไม่มีข้อเสียหรือเกิดผลข้างเคียงแต่อย่างไรไม่ว่าผู้ที่จะเป็นมารดาหรือทารกในครรภ์ก็ตาม
นับว่ายาฉีดริดสีดวงทวารนี้ได้ผลดีมาก
การใช้ยางรัดหัวริดสีดวงทวาร
บางท่านอาจจะคิดไม่ถึงว่าการใช้ยางรัดหัวริดสีดวงทวารก็ได้ผลดี เรื่องนี้ไม่ได้พูดกันเล่น ๆ เลย เพราะในสหรัฐอเมริกาก็นิยมใช้กันอยู่ในวงการแพทย์ แต่เป็นวิธีการใช้กับเครื่องมือพิเศษชนิดหนึ่ง การรัดด้วยยางรัดนี้จะทำให้หัวริดสีดวงทวารที่มีขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมาจากทวารหนักเมื่อรัดแล้วผู้ป่วยจะมีความรู้สึกผิดปกติที่ทวารหนักตลอดเวลา แพทย์แนะนำให้รัดหัวริดสีดวงทวารครั้งละ 1 หัว อย่าไปรัดทีละหลายหัวหรือทั้งหมด เมื่อหัวริดสีดวงทวารหลุดออกไปแล้วผู้ป่วยจะรู้สึกสบายขึ้นมาก หายจากโรคไปเลย แต่ว่าอาจจะมีเลือดไหลออกมามากก็ได้ ในบุคคลบางคน ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก แพทย์บอกว่าเป็นวิธีที่เหมาะกว่าใช้ยาฉีดถ้าหัวริดสีดวงนั้นมีขนาดใหญ่มาก
รักษาด้วยความเย็นจัด
หัวริดสีดวงทวารนั้นเมื่อถูกความเย็นจัดที่ต่ำกว่าจุดเยือกเข็ง 100-200 เท่า ก็จะถูกทำลายไปได้ จึงเป็นวิธีการรักษาริดสีดวงทวารอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผล แพทย์จะใช้ไนโตรเจนเหลวหรือก๊าซไนตรัสอ็อกไซด์ทำให้เกิดความเย็นจัดขึ้นมา โดยการผ่านความเย็นไปที่แท่งโลหะ ต่อจากนั้นก็เอาแท่งโลหะนี้ไปจี้หัวริดสีดวงทวาร ความเย็นจัดก็จะทำให้หัวริดสีดวงทวารเกิดความเย็นจัดไปทันที แพทย์จะจี้หัวริดสีดวงทวารเป็นเวลาประมาณ 3 นาทีก็เสร็จ
หัวริดสีดวงทวารที่ถูกแท่งโลหะที่เย็นจัดจี้ลงไปจนเป็นก้อนน้ำแข็งจะเป็นเนื้อตายไปในที่สุดหลุดออกมาได้ อย่างไรก็ตามบางทีหลังจากการรักษาแล้วผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการปวดขึ้นมา มีน้ำเหลืองไหลออกมาด้วย เลยไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก
รักษาด้วยแสงอินฟราเรด
การรักษาด้วยอินฟราเรดก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง นับว่าเป็นเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่ใช้แสงอินฟราเรดยิงออกมาเป็นลำแสงจี้ไปที่หัวริดสีดวงทวาร แสงอินฟราเรดจะทำให้เลือดที่อยู่ในหัวริดสีดวงทวารเกิดการเข็งตัว หัวริดสีดวงทวารก็จะฝ่อไปได้ ปรากฏว่าใช้ได้ผลดี ไม่มีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ซึ่ง รศ.น.พ.ชูเกียรติ อัศวาณิชย์ กับ น.พ.สมบุญ เจริญเศรษฐมห ซึ่งเชี่ยวชาญด้านริดสีดวงทวาร แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้แนะนำว่าได้ใช้เครื่องมือนี้มานานปีแล้ว สะดวก ง่ายดาย ปลอดภัยมาก ผู้ป่วยจะไม่เจ็บไม่ปวด ทว่าเหมาะสำหรับใช้กับริดสีดวงทวารที่เป็นหัวเล็ก ๆ ในระยะที่ 1 หรือในระยะที่ 2 เท่านั้น ไม่เหมาะสมกับริดสีดวงที่เป็นหัวใหญ่ทั่วไป
รักษาริดสีดวงด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดริดสีดวงทวารนั้นก็สามารถทำได้ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่จะผ่าตัด ส่วนมากจะใช้วิธีการรักษาอย่างอื่นที่ไม่ได้ผ่าตัดมากกว่า
ผู้ป่วยนั้นเมื่อได้รับการผ่าตัดริดสีดวงทวารแล้วจะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน จึงกลับไปพักผ่อนที่้บ้านอีกระยะหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์
ผู้ป่วยบางรายนั้น การถ่ายอุจจาระครั้งแรกหลังจากผ่าตัดก็เป็นไปโดยยาก เพราะเกิดการท้องผูก ไม่ได้ถ่ายอุจจาระตามปกติ อุจจาระสะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป ถ่ายออกมาลำบาก อุจจาระแข็งมากจึงถ่ายออกมาได้ยาก การถ่ายอุจจาระครั้งนี้จึงจะต้องเกิดการสวนออกก็มี
อาการอักเสบจึงเกิดขึ้นมาอีก เกิดการเจ็บปวดตามมา ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยอาจจะใช้วิธีแช่ก้นในน้ำอุ่นผสมด่างทับทิมพอเป็นสีชมพูอ่อน ๆ ก็ได้ เพื่ออาการอักเสบจะได้หายไป เกิดความสบายขึ้นกับตัวเอง แผลก็จะยุบตัวลง เป็นวิธีการที่ดีไปอีก
ยกก้นออกมาจากกาละมังน้ำอุ่นที่แช่แล้วก็จงซับด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง หรือจะใช้กระดาษชำระซับ ๆ ที่แผลเบา ๆ ก็ดี แล้วเอาผ้าอนามัยมาปิดทาบลงไปที่แผลอีกครั้งหนึ่งก็ถูกต้อง
การรักษาริดสีดวงทวารภายนอก
ริดสีดวงทวารภายนอกนั้นแตกต่างกว่าริดสีดวงทวารภายในมากเพราะอาการจะเจ็บปวดทันทีเมื่อเบ่งอุจจาระ เพราะมีอาการแตกของเส้นเลือดที่ปากทวารหนักของผู้ป่วย อาการเจ็บปวดมากก็เพราะรอบ ๆ ทวารหนักมีเส้นประสาทมาอยู่ตรงส่วนนี้มากมายนั่นเอง
แพทย์อาจจะต้องใช้ยาชาฉีดให้ผู้ป่วยแล้วตัดเอาริดสีดวงทวารออกไป