วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สานฝัน อาชีพโปรแกรมเมอร์


วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปรึกษาหมอเด็ก - เหงื่อออกมาก

ปรึกษาหมอเด็ก - เหงื่อออกมาก
คำถาม -
ลูกชายอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง ลูกเป็นเด็กที่มีเหงื่อออกมาก
โดยเฉพาะเวลานอน (ทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ร้อน)
ที่ลำคอจะมีผื่นขึ้นตลอดจะทำอย่างไรดี แล้วจะเป็นอันตรายหรือไม่คะ
คำตอบ - 
ตามที่คุณแม่เล่ามาแสดงว่าลูกของคุณขี้ร้อน หรือใส่เสื้อหนาเกินไปในเวลานอน
ทำให้อับเหงื่อ เกิดผื่นผดโดยเฉพาะบริเวณซอกคอจะอบเหงื่อมาก
วิธีป้องกันก็คือให้อยู่ในที่เย็น ๆ เช่น ห้องแอร์ ใช้ผ้าเย็นเช็ดเหงื่อให้บ่อย ๆ
ถ้าเป็นผื่นแดงและคัน อาจใช้ยาน้ำคาลาไมน์ทาให้

การที่เด็กมีเหงื่อออกมากโดยอากาศไม่ร้อน หรือสิ่งแวดล้อมก็เย็นดี
ถ้าลูกสุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีอาการอะไรผิดปกติร่วมด้วยควรไปพบแพทย์
เพราะอาจพบร่วมกับโรคเรื้อรังบางโรคได้
********************************
รศ.พญ.สุจิตรา วีรวรรณ

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกตัวโตเกินไปหรือเปล่า

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกตัวโตเกินไปหรือเปล่า
คำถาม -
ลูกสาวอายุ 4 เดือนตัวใหญ่หนัก 8 กิโลกรัม
ดิฉันสังเกตว่ามือและเท้าเย็นมีเหงื่อออก
ไม่ทราบว่าจะมีผลเสียหรือมีอะไรผิดปกติกับลูกหรือเปล่า
คำตอบ - 
น้ำหนักลูกของคุณค่อนข้างมาก คุณแม่ไม่ได้บอกน้ำหนักแรกคลอด
เพราะโดยทั่วไปน้ำหนักเด็กจะเป็น 2 เท่าของแรกเกิดเมื่ออายุประมาณ 4 เดือน
และจะหนักเป็น 3 เท่าของแรกเกิดเมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ
เด็กทั่วไปน้ำหนักแรกเกิดประมาณ 3 กิโลกรัม
ตอนนี้เด็กหนัก 8 กิโลกรัม นับว่าค่อนข้างมากเกินไปสำหรับเด็ก 4 เดือน

การมีเหงื่อออกมากต้องดูด้วยว่าอยู่ในห้องที่อบหรือร้อนเกินไปหรือเปล่า
ประกอบกับเด็กน้ำหนักมากอาจจะทำให้มีเหงื่อออกมากก็ได้
โดยทั่วไปมักจะได้ยินว่าเด็กที่มีเหงื่อออกมากบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า
จะเป็นโรคหัวใจ คงจะไม่จริงเสมอไป

การมีเหงื่อออกบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้ามาก อาจจะเป็นอาการแสดง
ของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้ แต่มักจะพบในเด็กที่อายุมากกว่านี้
แต่ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจควรพาไปให้คุณหมอตรวจเช็กจะดีกว่าครับ
********************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กระดูกนิ่มเพราะฟาสต์ฟู้ด

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กระดูกนิ่มเพราะฟาสต์ฟู้ด
สังเกตไหมคะว่า เดี๋ยวนี้เด็กไทยร้องจะกินพิซซ่ามากกว่าปลาทู
(ที่แสนจะมีคุณค่ามากมายกว่ากันเยอะ) นั่นเป็นเพราะวัฒนธรรมตะวันตก
ที่เข้ามาแทรกซึมชีวิตประจำวันของเด็ก
ซึ่งส่วนใหญ่เด็กก็จะเลียนแบบหนัง โฆษณา หรือผู้ใหญ่ค่ะ

อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่าจากการศึกษาพบเด็กวัยรุ่นอายุ 12-13 ปี
มีปริมาณเนื้อกระดูกอย่างที่ควรจะเป็นเพียงร้อยละ 60 เท่านั้น
สาเหตุที่เด็กยุคใหม่มีเนื้อกระดูกที่ต่ำกว่าปกติเพราะการนิยมทานอาหารฟาสต์ฟู้ด
ซึ่งอุดมไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรต ทำให้ได้รับแคลเซียมน้อยมาก
และกิจกรรมที่ทำก็เป็นการเล่นเกมคอมพิวเตอร์
ในขณะที่การวิ่งเล่นกลางแจ้งน้อยลง ทำให้การสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์ค่ะ
และจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน
เมื่อปี พ.ศ.2540 พบว่าเด็กอายุ 6-24 ปี
ใช้เวลาว่างดูโทรทัศน์และวิดีโอมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.5 เชียวค่ะ

จากปัญหานี้อาจเกิดโรคกระดูกพรุนกับเด็กในอนาคตได้
ทางที่ดีเรามาชวนเด็กให้ทานอาหารแสนอร่อยอย่างอาหารไทย
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอดีกว่าค่ะ

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกลัวการไปหาหมอมาก

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกลัวการไปหาหมอมาก
คำถาม -
ลูกกลัวการไปหาหมอมาก ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรดี ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
คำตอบ - 
ปัญหาที่ลูกกลัวการไปหาหมอ ภาพที่ต้องฉุดกระชากลากกัน
ตรวจพบได้เสมอ ๆ ทำให้พ่อแม่รวมทั้งหมอปวดหัวใจ (ไม่นับตัวเด็ก)

สิ่งแรกที่พ่อแม่ทำได้คือ มีการซ้อมก่อนพบแพทย์ เล่นตรวจหมอกันก่อนที่บ้าน
เล่านิทาน เช่น ลูกหมีเป็นหวัดไปหาหมอชั่งน้ำหนัก ส่วนลูกวัดปรอท
แล้วคุณหมอใจดีก็ตรวจหัวใจ คลำท้อง ดูหู ดูคอ
แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ตรวจไปด้วย ไฟฉายเป็นของเล่นที่เด็กมักชอบหัดส่องคอกัน
เอาด้ามช้อนกดลิ้นให้เห็นลิ้นไก่เลย คนไข้บางคนไม่ยอมให้หมอดูคอ
แต่ให้แม่หรือคนเลี้ยงเอาไฟฉายส่องกดลิ้น หมอก็ "แอบดูเอา"
พอชิน ๆ มากขึ้นก็ยอมให้หมอส่องดูได้ เล่นกันสนุกสนานที่บ้าน
พอมาถึงโรงพยาบาลก็ช่วยได้มาก แถมท้ายด้วยเอากระบอกฉีดยามาฉีดยายิ่งดี
ถ้ากลัวการฉีดยา ให้เล่นกระบอกฉีดยาให้ชิน เอามาฉีดน้ำ ฉีดสีระบายรูปก็ได้

แล้วขอร้องหน่อยนะคะ อย่าหลอกลูกโดยใช้หมอ
บอกดื้อเดี๋ยวให้หมอฉีดยาซะเลย ตายเลย พอเห็นหน้าหมอก็เป็นอันร้องอย่างเดียว

ขั้นต่อไปถ้าเป็นไปได้ ควรไปหาหมอที่มีเวลา และไม่เหนื่อยเกินไปที่จะตรวจลูก
โดยเฉพาะสถานที่ที่ทำให้เด็กไม่รู้สึกกลัว เช่น มีของเล่น มีตัวการ์ตูน ตุ๊กตา

หมอที่จะตรวจจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจวิธีเข้าหาเด็กแต่ละวัย
จะว่าไปก็คล้ายผู้ชาย "จีบ" ผู้หญิง เป็นศิลปะแบบหนึ่ง เด็กแต่ละวัย แต่ละคน
ต้องรู้ว่าจะเข้าหาอย่างไร เด็กในช่วง 6 เดือนแรกตรวจง่าย เพราะยังไม่รู้สึก
กลัวคนแปลกหน้า ใช้การหลอกไม่มากนัก ก็มักจะตรวจสำเร็จได้โดยไม่ร้องไห้

วัยที่ตรวจยากได้แก่ช่วงมากกว่า 6 เดือนถึง 3 ปี
โดยเฉพาะขวบกว่า ๆ ถึงสองขวบกว่า ๆ เป็นวัยที่จะ "ไม่" อยู่แล้ว
แถมยังใช้ภาษาสื่อไม่ได้ดีนัก หมอเด็กจำเป็นต้องใช้ศิลปะขั้นสูงสุดทีเดียว
อาทิเช่น ต้องหลอก เอาของเล่นให้ก่อน บางทีตรวจตุ๊กตาที่ถือมา
หรือตรวจคุณแม่พี่ ๆ ที่มาด้วยกัน ยิ่งเห็นพี่ ๆ ตรวจก่อนได้ดี
บางทีแย่งกันให้ตรวจไม่งั้นกลัวน้อยหน้า ฟังหัวใจ ตรวจท้องก่อน
แล้วดูหู คอได้ท้ายสุด วันไหนตรวจได้โดยลูกไม่ร้องไห้ก็ไชโย
บ่อยครั้งหลอกไปหลอกมา ยิ่งถ้าทางบ้านเตรียมมาดี ๆ
ฉีดยายังไม่ร้องไห้เลยนะเดี๋ยวจะหาว่าคุย หลอกกันเป็นที่สนุกสนาน
ทั้งหมอ ทั้งคนไข้ บางทีคุณแม่สงสัยว่าลูกป่วยจริงหรือเปล่า
จะขอมาหาหมอ มาโรงพยาบาล

ถ้าลูกกลัวมาก ๆ ต้องถามว่ามีเหตุการณ์อะไรในอดีตไหม
ที่ทำให้ลูกกลัวหมอ เช่น มาโรงพยาบาลถูกแทงน้ำเกลือ
ก็ต้องค่อย ๆ ชวนกันเล่นให้ชิน

ลองดูนะคะ เพียงแค่นี้ไม่กี่ครั้งลูกก็จะเป็น "มืออาชีพ"
พอเห็นหมอเธอก็อ้าปากกว้างเห็นลิ้นไก่ พอฉีดยาก็ยื่นแขนให้
แถมชวนพ่อแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาลซะอีก
********************************
พ.ญ.สุดา เย็นบำรุง

ปรึกษาหมอเด็ก - เม็ดขึ้นที่ฝ่ามือและลิ้น

ปรึกษาหมอเด็ก - เม็ดขึ้นที่ฝ่ามือและลิ้น
คำถาม -
ลูกสาวอายุประมาณ 2 ปี 6 เดือนที่ฝ่ามือของแกจะเป็นเม็ดเล็ก ๆ
คล้ายมีหนองเต็มทั้ง 2 ฝ่ามือ ส่วนในปากจะเป็นเม็ดขาว ๆ คล้ายร้อนใน
เป็นที่ลิ้น เม็ดที่ฝ่ามือมีสาเหตุจากร้อนในหรือเปล่าคะ เวลาเป็น ลูกจะกินอาหาร
หรือนมไม่ได้เลย ร้องไห้เจ็บปวดตลอดเวลา น้ำก็กินไม่ได้จะทำอย่างไรดี
กลุ้มใจ สงสารลูกมาก คุณหมอช่วยตอบด้วยนะคะ
คำตอบ - 
จากอาการเล่ามาหมอคิดว่าลูกของคุณจะติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
ซึ่งจะทำให้เกิดแผลในปาก ลิ้น และเป็นตุ่มแดงและมีหนองขาว ๆ
ตรงกลางที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้าด้วย (คุณแม่ลองดูที่ฝ่าเท้าด้วยว่ามีตุ่มเหมือนที่มือหรือเปล่า)
อาการเจ็บปากกินไม่ได้ จะเป็นอยู่ 3-4 วัน อาจใช้ยาป้ายปากที่มียาชาผสม
ป้ายให้ เพื่อช่วยลดความเจ็บปวด หรือให้กินนมเย็น ๆ หลังจาก 3-4 วัน
ตุ่มหรือแผลในปากก็จะดีขึ้น และหายไปภายใน 1 สัปดาห์

ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบ เพราะเป็นเชื้อไวรัส
********************************
รศ.พญ.สุจิตรา วีรวรรณ

ปรึกษาหมอเด็ก - เต้านมตั้ง ตั้งแต่เป็นทารก

ปรึกษาหมอเด็ก - เต้านมตั้ง ตั้งแต่เป็นทารก
คำถาม -
จริงหรือเปล่าที่ว่าจะต้องบีบน้ำใส ๆ ออกจากหน้าอกเด็กทารก
ไม่อย่างนั้นเมื่อโตขึ้นหน้าอกจะใหญ่เร็วกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
คำตอบ - 
เด็กแรกเกิดบางคนมีนมตั้งเต้า ทั้งนี้เกิดจากฮอร์โมนที่เขาได้รับ
ขณะอยู่ในครรภ์มารดา อาจเกิดได้ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย
ห้ามบีบหรือไปทำอะไรวุ่นวาย
เพราะมีเด็กน่าสงสารเป็นฝีเจ็บปวดที่หน้าอกเพราะแม่มืออยู่ไม่สุข บีบนมของลูกค่ะ
ปล่อยตามธรรมชาติ นมจะยุบลงไปเองในเวลาไม่กี่วัน ห้ามยุ่งกับเต้านมของลูกนะคะ
********************************
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - ท้องแรกผ่า ท้องสองคลอดเอง เสี่ยงมดลูกแตก

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - ท้องแรกผ่า ท้องสองคลอดเอง เสี่ยงมดลูกแตก
แม่ที่เคยผ่าตัดคลอด โดยปกติแล้วแพทย์มักจะแนะนำให้ผ่าคลอดในครรภ์ถัดไปด้วย
เพราะหากแม่ต้องการจะคลอดเองตามธรรมชาตินั้นอาจมีความเสี่ยงสูง
โดยเฉพาะถ้าการคลอดนั้นมีการเร่งคลอดร่วมด้วย

ความเสี่ยงที่ว่านี้ เช่น อาจทำให้เกิดมดลูกแตกซึ่งถือเป็นภาวะที่อันตรายมาก
เพราะอาจลุกลามไปสู่การต้องตัดมดลูกทิ้ง หรือการต้องให้เลือดอย่างเร่งด่วน

จากการศึกษาพบว่าในมารดาจำนวน 20,095 คน ที่เลือกการคลอดทางช่องคลอด
หลังจากเคยรับการผ่าท้องคลอดมาแล้ว โอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
จะมีมากกว่ากลุ่มที่เลือกผ่าท้องคลอดถึง 3 เท่า

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกคลอดเองตามธรรมชาติ
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดของทั้งแม่และลูก
ดังนั้นการมุ่งมั่น ตั้งใจตอนท้องสองอาจสายเกินไป
การวางแผนและเตรียมตัวให้ดีตั้งแต่ครรภ์แรกจะทำให้การคลอดของคุณ
เป็นไปอย่างธรรมชาติสมดังตั้งใจ และที่สำคัญ ไม่ว่าท้องกี่ครั้ง ๆ ต่อจากนี้
โอกาสที่คุณจะคลอดลูกได้เองมีเปอร์เซนต์สูงปรี๊ดเลยละครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปรึกษาหมอเด็ก - เครื่องช่วยดูด ทำให้ลูกเป็นแผล

ปรึกษาหมอเด็ก - เครื่องช่วยดูด ทำให้ลูกเป็นแผล
คำถาม -
ตอนเกิดลูกสาวคลอดยาก หมอเลยใช้เครื่องช่วยดูด
บริเวณศีรษะด้านหลังของลูกเป็นแผลลึกมากและเป็นรูด้วย ยังเป็นแผลเป็นอยู่เลย
ไม่ทราบสมองจะเป็นอะไรหรือเปล่า
เพราะตอนที่แผลยังไม่หายมีหนองอยู่บริเวณแผลตลอด
ถามหมอก็บอกว่าต้องดูก่อนตอนโตแล้วค่อยมาเอกซเรย์ดู
(ลูกอายุ 7 เดือนแล้วกำลังคลานเก่ง ซน)
พอจะมีวิธีอย่างไรที่จะรู้ว่าสมองของลูกไม่เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า
เพราะกังวลมากเลยค่ะ
คำตอบ - 
หมอฟังดูแล้วลูกของคุณแม่ขณะนี้อายุ 7 เดือน คลานเก่ง ซน
และถ้าลูกของคุณดูทั่ว ๆ ไปแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาด้านอื่น ๆ
หมอคิดว่าพัฒนาการของเด็กดูเหมาะสมกับอายุดี เพราะถ้าจะมีอะไรในสมอง
น่าจะมีอาการบ่งชี้บางอย่าง เช่น พัฒนาการช้า อาการชักหรือกล้ามเนื้อแขนขาผิดปกติ

การคลอดโดยวิธีใช้เครื่องดูดมีโอกาสที่จะเกิดแผลบริเวณที่สัมผัสกับเครื่องดูดได้
เพราะเวลาจะคลอด คุณหมอต้องใช้เครื่องมือรูปร่างเป็นวงกลม
สัมผัสกับศีรษะแล้วทำให้เกิดแรงสูญญากาศ (negative pressure) หลังจากนั้น
จะออกแรงดึงพอสมควรเพื่อช่วยขบวนการคลอด โดยทั่วไปหลังคลอดแล้ว
จะเห็นเป็นรอยวงแดง ๆ เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดเป็นแผลถลอก
หรือบางครั้งอาจเป็นแผลลึกไปสักหน่อย และอาจจะมีการอักเสบร่วมด้วย

ส่วนใหญ่แล้วแผลมักจะเกิดบริเวณหนังศีรษะที่อยู่นอกกะโหลกศีรษะเท่านั้น
โอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อเนื้อสมองมีได้น้อยครับ
********************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ

ปรึกษาหมอเด็ก - ขอวิธีเก็บน้ำนมให้ลูก

ปรึกษาหมอเด็ก - ขอวิธีเก็บน้ำนมให้ลูก
คำถาม -
การที่เราปั๊มนมออกมาใส่ขวดเก็บไว้ให้ลูกดูด
จะเก็บใส่ตู้เย็นช่องธรรมดาได้นานมั๊ย จะเก็บอย่างไรถึงจะดี
แล้วนมจะออกมาหมดเหมือนที่ลูกดูดมั้ยคะ
คำตอบ - 
หากคุณแม่ที่ให้นมลูกจำเป็นต้องจากลูกเป็นครั้งคราว
ถ้าวางแผนให้ดีก็ให้นมลูกต่อไปได้

ก่อนอื่นช่วงการให้นมแม่แรก ๆ ควรเป็นนมแม่อย่างเดียวประมาณ 1-2 เดือน
เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนที่สร้างนมแม่ให้ออกเต็มที่ หลังจากนั้นอาจนำเอา
นมขวดเข้าเป็นครั้งคราวก็ได้ เด็กบางคนตอนอายุ 2-3 เดือน อาจไม่ค่อย
ยอมดูดจุก บางคนก็ไม่ว่ากัน เอาอะไรใส่ปากดูดหมด สำหรับลูกที่ไม่ค่อยยอม
ดูดจุกขวด ขอให้คุณแม่ใจเย็น ๆ ลองหาจุกที่มีลักษณะเหมือนหัวนมแม่
ค่อย ๆ ลองไปเรื่อย ๆ คนที่ให้ไม่ใช่แม่ เพราะแม่มักจะใจอ่อนและลูกก็คุ้น
ที่จะดูดจากเต้า ควรเป็นคนที่จะเลี้ยงลูกในช่วงแม่ไม่อยู่ค่ะ

แม่บางคนนมเยอะมาก ลูกดูดไม่ทัน บางคนก็บีบปั๊มไม่ออกต้องเป็นลูกดูดจึงออก
แต่ละคนแต่ละแบบ ต้องลองดู บางคนก็รองเอาจากอีกข้างขณะที่ลูกดูด
นมพุ่งอุตลุด ส่วนใหญ่จะบีบ / ปั๊มได้มากขึ้น ช่วงหลังจากลูกดูดนมจะ "ลง"
(เกิดจากหลังจากลูกดูด ฮอร์โมน Oxytocin จะหลั่ง บีบให้นมลงมาบริเวณ
กระเปาะแถวลานนม) บางคนบีบได้จากเต้าสบาย บางคนพอใจเครื่องปั๊ม
หลากหลายราคา ลองหาซื้อเอา ปั๊มไฟฟ้าเครื่องใหญ่ตามโรงพยาบาลก็ใช้ดี
แต่ราคาแพงต่างประเทศมีให้เช่า บางคนที่ใช้ปั๊มขนาดพกพาก็ได้
อุปกรณ์ทั้งหมดต้องสะอาด ผ่านการนึ่ง / ต้ม มือแม่ก็ต้องล้างนะคะ

สถานที่ถึงเป็นที่ทำงาน ก็หามุมสงบ บางคนดูรูปลูกก็ช่วย หาตู้เย็นไว้เก็บ
มีกระติกใส่น้ำแข็งไว้หิ้วกลับมาแช่ต่อที่บ้าน

มาถึงการบีบนมด้วยมือค่อย ๆ นวดเป็นวงกลมส่วนบน, ล่าง, ซ้าย, ขวา ของเต้านม
แล้วลูบลงมาสู่บริเวณหัวนม จะช่วยให้นมมาสู่กระเปาะเล็ก ๆ บริเวณรอบลานนม
มากขึ้นแล้วใช้มือบีบเบา ๆ รอบ ๆ ลานนม ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความชำนาญขึ้น
ยิ่งถ้าบีบหลังลูกดูดจะได้มากขึ้น ไม่ต้องกังวลถ้าบีบได้น้อย

วิธีการเก็บนมโดยอาศัยหลักการจาก Laleche Leage ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน
ที่ส่งเสริมนมแม่นานาชาติ ดัดแปลงเล็กน้อยจากประสบการณ์ตัวเอง
และข้อแนะนำของ ศ.นพ.วีระพงษ์ ฉัตรานนท์ นมแม่สามารถเก็บไว้ให้ลูกได้สบายมาก
มีคนบีบเก็บมากมายในตู้เย็นใส่ช่องธรรมดาใส่ลึก ๆ หน่อยอยู่ได้ 24 ชั่วโมง
ถ้าแช่ช่องแข็ง 2 สัปดาห์ และเขียนวันเวลาที่เก็บ อุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องนึ่ง / ต้มก่อนบรรจุ
ควรเก็บทีละ 2-3 ออนซ์เท่าที่ลูกจะดูด นำมาอุ่นในแก้วใส่น้ำร้อน ห้ามต้ม
ใส่ไมโครเวฟนอกจากจะทำลายคุณค่า หลังใส่ไมโครเวฟอาจจะร้อนไม่เท่ากัน
มีอันตรายได้ นมที่อุ่นแล้วให้ทิ้งไปเลย ไม่เก็บไว้ให้ดูดอีก (ถ้าลูกดูดไม่หมด)
ไม่ต้องเสียดาย ยิ่งใช้ยิ่งสร้างสำหรับนมแม่ค่ะ

นมแม่ที่แช่เย็นอาจแยกชั้นไม่ใช่เสีย เขย่าเล็กน้อยให้เข้ากัน

เมื่อกลับไปทำงานนอกบ้านคุณแม่อาจจะเหนื่อยเพิ่มขึ้น กลางคืนอาจจะถูกกวนบ้าง
แต่คุ้มนะคะ นมแม่ให้นานเท่าที่แม่และลูกมีความสุข แต่ละคนมีข้อจำกัดต่างกันไป
ช่วง 4-6 เดือนแรกลูกจะเจริญเติบโตมากโดยเฉพาะสมอง ถ้าให้ได้เต็มที่จะดีมาก
หลังจากนั้นอาหารเสริมเพิ่มบทบาทขึ้น คุณประโยชน์ในแง่ความใกล้ชิด
ป้องกันการติดเชื้อก็มีตลอด กว่าลูกจะมีอารมณ์กรี๊ด ๆ ได้มาก ใช้นมแม่ปราบพยศ
ก็ได้ผลทุกทีเป็นการป้องกันอารมณ์เสียทั้งแม่และลูกช่วงหลัง 4-6 เดือน
อย่าลืมเรื่องอาหารเสริมนะคะ

การให้นมแม่ก็มีศิลปะนะคะ ค่อย ๆ ปรับไปตามวัยลูก
แต่ขอให้เริ่มต้นชีวิตลูกด้วยนมแม่ คุ้มจริง ๆ คุ้มที่สุดค่ะ
********************************
พ.ญ.สุดา เย็นบำรุง

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - ท้องเสียบ่อย จะมีผลให้คลอดก่อนกำหนดหรือไม่

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - ท้องเสียบ่อย จะมีผลให้คลอดก่อนกำหนดหรือไม่
คำถาม - 
ช่วงตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนมีอาการท้องเสียมาก ไม่ทราบสาเหตุ
แต่ทานอาหารรสจืดมาก เวลาจะถ่ายจะมีอาการเกร็งแข็งตัวบ่อย
กลัวว่ามดลูกจะบีบรัดตัว กรณีท้องเสียแบบนี้มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดมั้ยคะ
คำตอบ -
การทานอาหารรสจืดมาก คงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องท้องเสียแต่ประการใด
ส่วนอาการท้องเสียน่าจะมีสาเหตุมาจากอาหารเป็นพิษ
หรืออาหารติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง

อาการท้องเสียจากอาหารเป็นพิษสามารถหายได้เอง
การรักษาก็เพียงให้น้ำเกลือแร่ทดแทน
ส่วนท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
เพื่อไปกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
การที่ท้องเสียอย่างรุนแรงอาจจะเป็นสาเหตุให้มีการหดรัดตัวของมดลูกได้
แต่โดยปกติขณะตั้งครรภ์ 7 เดือน มดลูกก็จะมีการหดรัดตัวได้
วันละประมาณ 4-5 ครั้งโดยไม่มีอาการเจ็บปวด
การหดรัดตัวดังกล่าวเรียกว่า Braxton Hiok contraction ซึ่งไม่มีอันตรายแต่ประการใด
******************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช

ปรึกษาหมอเด็ก - กินมากไปมั้ย

ปรึกษาหมอเด็ก - กินมากไปมั้ย
คำถาม - 
ลูกสาววัยขวบ 2 เดือน ปกติทานนมครั้งละ 6 ออนซ์
ก่อนนอนกลางคืนประมาณ 3-4 ทุ่มจะทานนม 8 ออนซ์
ราวตี 2 จะร้องไห้หิวนม ให้ทานอีก 5 ออนซ์ คืนหนึ่ง 2 ครั้ง
อย่างนี้ถือว่าทานมากไปหรือเปล่า และจะมีผลเสียอะไรหรือไม่
เด็กวัยนี้ต้องอดนมกลางคืนแล้วหรือยัง แล้วถ้าต้องให้อดควรจะทำอย่างไรคะ
คำตอบ -
เด็กวัยพ้นขวบไปแล้วโดยมากจะรับประทานอาหาร 3 มื้อหลักเหมือนเด็กโตหรือผู้ใหญ่แล้ว
และนมสำหรับเด็กวัยขนาดนี้ไม่ได้เป็นอาหารหลักเหมือนเมื่อตอนอายุน้อยกว่าขวบปี
การรับประทานนมในวัยเกินหนึ่งขวบจึงถือเป็นอาหารเสริมจากอาหารหลักคือข้าว 3 มื้อ

ลูกของคุณแม่รับประทานนมมากขนาดนี้แสดงว่าลูกน่าจะรับประทานข้าวมื้อหลัก
ไม่เพียงพอ หมอเห็นเด็กจำนวนมากที่มีปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งมีสาเหตุจาก
การรับประทานอาหารหลักไม่เพียงพอ ทำให้หันมาดูดนมต่อ
บางครั้งคุณแม่ที่มีลูกวัยนี้จะเห็นว่าการให้ลูกรับประทานอาหารให้หมดมื้อ
ต้องพยายามมาก เพราะเด็กบางคนจะรับประทานช้า ทานบ้างเล่นบ้าง
ต้องหลอกล่อกันกว่าจะรับประทานหมดจาน ถ้าคุณแม่อดทนไม่เพียงพอ
อาจเกิดความเบื่อหน่าย และในที่สุดก็จะตัดสินใจให้ลูกทานนมต่อเพื่อให้อิ่มในมื้อนั้น

การทำแบบนี้จะเป็นผลเสียกับลูก คือ จะเป็นเด็กที่ทานอาหารยาก
ควรเริ่มฝึกวินัยให้รู้จักเวลาของการรับประทานอาหาร นั่งให้เป็นที่เป็นทาง
ไม่ป้อนไป อุ้มเดินไป ถ้าทานยากจริง ๆ อย่าให้นมต่อทันที
เพราะเด็กจะเกิดการเรียนรู้ว่าอย่างไรซะฉันก็รับประทานนมต่อได้
คุณแม่อาจให้นมเป็นอาหารเสริมช่วงสาย ๆ บ่าย ๆ และก่อนนอน
เด็กวัยนี้น่าจะลองให้ดื่มนมจากแก้วที่มีปากเล็ก ๆ หรือลองดูดหลอด
พยายามเลิกขวดนม ถ้าเด็กสามารถรับประทานอาหารหลักได้เพียงพอ
เด็กจะอิ่มท้อง และเชื่อว่าการตื่นขึ้นมาทานนมตอนกลางคืนคงจะหายไปในที่สุดครับ
*************************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกินยายากทำอย่างไรดี

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกินยายากทำอย่างไรดี
คำถาม - 
เวลาป้อนยาลูกแล้วสักพักลูกอาเจียนออกมา เราต้องให้ยาแกเพิ่มไหมคะ
ลูกทานยายากมาก คุณหมอช่วยแนะนำทีค่ะ
คำตอบ -
ทุกคนที่เคยป้อนยาลูกมักประสบกับปัญหานี้บ่อยพอควร
ตามธรรมชาติเวลาเด็กเล็ก ๆ ไม่สบาย เช่น เป็นหวัด มีโอกาสง่ายมาก
ที่เด็กจะอาเจียน ไม่ใช่เฉพาะแต่ยา อาหารก็มีโอกาสอาเจียนระหว่างหรือหลังทานด้วย
เนื่องจากเด็กมีอาการระคายคอ
หรือน้ำมูกที่ไหลย้อนกลับไปในคอทำให้เกิดลักษณะเสมหะพันคอและแหวะออกมา

การป้อนยาในเด็กเล็กจะต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ควรใช้หลอดป้อนยาป้อนลงไปตรง ๆ บริเวณคอ เพราะอาจสำลักได้ง่าย
รวมทั้งจะทำให้ยาไปรบกวนบริเวณกล่องเสียงและส่วนต้นของหลอดลม
ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทำให้ส่วนของกล่องเสียงปิด
และปิดกั้นทางเดินของหลอดลมได้
ดังนั้นควรป้อนยาเข้าไปบริเวณกระพุ้งแก้มทีละน้อย อย่าดันพรวดเข้าไป
ถ้ามียาที่ต้องทานหลาย ๆ อย่างอาจจะแบ่งทานทีละ 1-2 อย่าง
และคอยเวลาสักระยะหนึ่ง จึงค่อยทานยาชนิดอื่นตาม

ส่วนเมื่อลูกอาเจียนออกแล้วต้องให้ทานยาอีกหรือไม่นั้น
เป็นคำถามที่ตอบค่อนข้างยาก ไม่มีตัวเลขชี้ชัดลงไปว่าหลังจากป้อนยาแล้ว
ถ้ามีอาเจียนเวลานานเท่าไหร่จะป้อนยาเข้าไปอีกมากน้อยแค่ไหน

หลักการที่ผมใช้กับคนไข้คือ ถ้าทานยาแล้วลูกอาเจียนทันทีควรต้องทานใหม่
แต่ถ้าอาเจียนหลังป้อนยาไปแล้วเกินกว่า 1/2 ชั่วโมง ก็ไม่ต้อง
ถ้าไม่เกิน 1/2 ชั่วโมง คงต้องพิจารณาว่าอาเจียนออกมามียาปนมามากน้อยเท่าไหร่
อาจจะพิจารณาให้ยาอีกสักครึ่งหนึ่งของขนาดยาที่ได้

เด็กบางคนฉลาด สามารถทำให้อาเจียนได้เองเมื่อพ่อแม่ป้อนยาให้
ขอแนะนำว่าอย่าตกใจ ให้พยายามทำใหม่
เพื่อเด็กจะได้เรียนรู้ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องรับประทานยาใหม่ถึงแม้จะอาเจียน
*************************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - น้ำคร่ำมากผิดปกติ เป็นอันตรายต่อลูกมั้ย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - น้ำคร่ำมากผิดปกติ เป็นอันตรายต่อลูกมั้ย
คำถาม - 
ดิฉันแต่งงานมา 4 ปีแล้ว มีลูกคนแรกได้ 2 เดือนก็แท้ง มีคนที่สองก็ตาย
แต่คนที่สองอายุครรภ์ครบนะคะ แต่ไม่สมบูรณ์ หมอบอกว่าเขาไม่ได้อาหารจากแม่
ตัวเล็ก ขายาวข้างสั้นข้าง เป็นผู้หญิง อยู่ตู้อบให้ออกซิเจนอยู่ 3 วัน
น้ำหนัก 1,900 กรัมค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่าคะ
คุณหมอตรวจเลือดให้ก็บอกว่าไม่เป็นไร
ตอนผ่าท้องคลอดคุณหมอบอกว่าน้ำคร่ำมากผิดปกติ
แบบนี้สามารถเจาะดูได้ตั้งแต่ยังไม่คลอดรึเปล่าคะ และถ้าจะมีลูกควรต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
คำตอบ -
ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียทั้งสองครั้งของคุณครับ แต่ปัญหาดังกล่าว
น่าจะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน
ครั้งแรกที่แท้งตั้งแต่ครรภ์เพียง 2 เดือนน่าจะเกิดจากความผิดปกติของ
การเจริญเติบโตของตัวอ่อน บางครั้งดูเหมือนไม่มีการเจริญเติบโตของตัวอ่อนเลย
เรียกว่าการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวเด็ก หรือ Blighted ovum

ส่วนครั้งที่สองที่ครรภ์ครบกำหนด น้ำคร่ำมากกว่าปกติ
ทารกมีรูปผิดปกติโดยกำเนิดและน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ น่าจะมีเหตุจาก
ความผิดปกติของทารกตั้งแต่ในครรภ์ที่อาจจะมีเหตุจากโครโมโซมผิดปกติก็ได้
หากคุณตั้งใจที่จะตั้งครรภ์ครั้งใหม่ ควรจะอยู่ในความดูแลของสูติแพทย์
ที่ชำนาญทางด้านปริกำเนิดซึ่งจะช่วยดูแลการตั้งครรภ์และตรวจสอบ
หาความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยการตรวจเลือดมารดา
ตรวจอัลตราซาวนด์ดูความผิดปกติของทารกในครรภ์
ตรวจน้ำคร่ำเพื่อวิเคราะห์โครโมโซมของทารกในครรภ์
รวมทั้งติดตามดูสุขภาพของทารกในครรภ์ตลอดการตั้งครรภ์
ปัจจุบันนี้สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปริกำเนิดมีอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกแห่ง
โรงพยาบาลของรัฐ เช่น รพ.จุฬาฯ รพ.รามาฯ รพ.ศิริราช เป็นต้น
******************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก - เด็กเอาแต่ใจ...แก้อย่างไรดี

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก - เด็กเอาแต่ใจ...แก้อย่างไรดี
คำถาม -
ดิฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กค่ะ มีเด็กคนหนึ่งที่เลี้ยงอยู่ เขาอายุ 3 ขวบ
เวลาโดนขัดใจเขาจะล้มทั้งยืนหัวฟาดพื้น
พอจับลุกก็จะทิ้งตัวลงไปใหม่ ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรคะ
คำตอบ -
การที่เด็กลงไปนอนดิ้น อาละวาดฟาดหางในลักษณะแบบนั้น
มีสาเหตุหลักอยู่ 2 ข้อ คือ
1. เกิดจากการเลี้ยงดูที่รักและตามใจเด็กมาก
ซึ่งเท่ากับฝึกเด็กให้อยากได้อะไรต้องได้
สุดท้ายเราก็จะได้เด็กคนหนึ่งที่เป็นเจ้าตัวร้าย อาละวาดเก่ง แผดเสียงได้ดังลั่นบ้าน
จนทำให้ทุกคนประสาทผวาไปหมด จนมีคนทนไม่ได้แล้ววิ่งมาเอาอกเอาใจหรือมายอมเด็ก

2. เรื่องการเรียนรู้นั้น เด็กเขาเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูกว่าทำแล้วได้ผล
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีร้องไห้ ร้องไห้ระดับหนึ่งแล้วได้ไหม
หรือลงไปนอนดิ้นได้ไหม หรืออย่างเด็กรายนี้แหละค่ะ
ทำให้พี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ทนไม่ได้จึงยอมเด็ก ถ้าบางครั้งทำได้ผลบ้าง
บางครั้งไม่ได้ผลบ้าง เด็กก็ต้องลองทำอีก เช่น เด็กพยายามทำกับพ่อทุกครั้ง ๆ
ไม่เคยได้ผลเลย เด็กจะไม่อาละวาดกับพ่อ แต่เด็กทำกับแม่บางครั้งได้
บางครั้งไม่ได้ ก็จะทำพฤติกรรมนั้นต่อ เผื่อว่าจะได้ผล

วิธีการแก้ไขคือ
1. คุณจะต้องแก้ที่รากฐาน ดูว่าในบ้านใครเป็นคนตามใจบ้าง
คุณจะมีโอกาสคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเด็กไหม เพราะถ้าไปคนละทิศละทาง
เช่น คุณย่าตามใจเยอะและมีอำนาจที่สุดในบ้าน แถมยังมีอิทธิพลด้วย
พ่อแม่ไม่กล้าขัดใจ สุดท้ายเด็กก็เสียค่ะ

เพราะฉะนั้นอยู่ที่ระดับผู้ใหญ่จะต้องคุยกันระหว่าง พ่อ แม่ คุณย่า พี่เลี้ยง
ว่าหากเลี้ยงไปในทิศทางของการตามใจจะยิ่งทำให้เด็กอารมณ์ร้อนและไม่ยั้งตัวเอง
ส่งผลให้เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นลำบากในอนาคต
จึงต้องค่อย ๆ ลดการตามใจลงจาก 100 เหลือ 80 หรือ 60 เป็นต้น
ถ้าจะไม่ให้ตามใจเลยคงทำได้ยาก ผู้ใหญ่ก็ทำใจยาก

2. ขณะที่เด็กกำลังอาละวาด แกก็หวังว่าจะได้รับความสนใจ
เพราะฉะนั้นวิธีการคือไม่ให้ความสนใจเลย เดินออกมา
ปล่อยให้อาละวาดไปสักระยะหนึ่ง ให้เด็กเรียนรู้ว่าทำแล้วไม่เกิดผล
พอแกเริ่มเหนื่อยแล้วคุณค่อยเข้าไปชี้ชวนเพื่อเบี่ยงเบนให้เด็กหันไปสนใจสิ่งอื่น
วิธีนี้มักใช้ได้ผล

แต่ถ้าเข้าไปแล้วเด็กยิ่งอาละวาดมากขึ้น คุณต้องถอยออกมาก่อนค่ะ
ไม่ควรพูดแดกดันหรือพูดด้วยความโกรธ ขู่ว่าจะทิ้ง
เพียงแต่พูดว่าหนูยังโกรธอยู่ แม่เข้าใจว่าหนูอยากได้ของสิ่งนั้น แต่ให้ไม่ได้จริง ๆ แล้วจึงเดินออกมา

3. หมอเชื่อว่าเด็กไม่ได้อาละวาดตลอดเวลา ฉะนั้นขณะที่เด็กทำพฤติกรรมดี
คุณสามารถฝึกให้ยั้งอารมณ์ หัดช่วยตัวเองและใจเย็น ๆ
การฝึกแบบนี้ต้องหมั่นชมเชย อาศัยที่เด็กบ้ายอและอยากทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบ
พฤติกรรมที่ดีของเด็กจะพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ๆ ไม่ใช่ทำดีทั้งวันไม่มีใครชม
แต่พออาละวาดทีหนึ่งทุกคนเข้ามาให้ความสนใจไปหมด
พฤติกรรมที่ไม่ดีก็จะเพิ่มขึ้นและไม่หายสักที

อยากให้พิจารณาด้วยว่าการที่เด็กทำพฤติกรรมอาละวาดฟาดหางแบบนี้
เป็นเพราะว่าคุณตามใจมากหรือเป็นเพราะว่าเด็กเกิดการเรียนรู้ว่าคุณมักจะใจอ่อนเวลาที่เขาทำพฤติกรรมไม่ดี
**********************************
พ.ญ.วินัดดา ปิยะศิลป์ จิตแพทย์เด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - อัลตราซาวนด์ 3 มิติ

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - อัลตราซาวนด์ 3 มิติ
คุณสมบัติเด่นของการอัลตราซาวนด์แบบ 3 มิตินี้ คือ จะทำให้แพทย์
และตัวมารดาเห็นภาพทารกในครรภ์เป็นภาพสี 3 มิติ
ซึ่งแต่เดิมจะเห็นเพียงเงาขาวดำเท่านั้น โดยสามารถเก็บภาพ
ขณะอัลตราซาวนด์ติดต่อกันนาน 5 วินาที
แล้วนำไปประเมินผลโดยคอมพิวเตอร์ สร้างเป็นภาพ 3 มิติ

แพทย์ส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่า
เครื่องมือนี้ควรจะถูกใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น
เพราะจะช่วยบอกความผิดปกติบนใบหน้าของเด็กในครรภ์ได้ละเอียดกว่า
เช่น มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ หรือมีก้อนเนื้องอกหรือไม่
และเมื่อรู้ความผิดปกติ
แพทย์ก็จะได้ส่งตัวมารดาผู้นั้นไปรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
รวมทั้งให้ความรู้และคำแนะนำ
ซึ่งเท่าที่ผ่านมาวิธีการนี้จะช่วยทำให้มารดายอมรับและเตรียมปฏิบัติตัวได้ตั้งแต่ก่อนคลอด
รวมทั้งได้รับคำแนะนำถึงการดูแลลูกที่จะเกิดมาอย่างถูกต้อง ทันท่วงที
ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก

ปรึกษาหมอเด็ก - ลิ้นเป็นแผล เป็นหวัดและหลอดลมอักเสบ

ปรึกษาหมอเด็ก - ลิ้นเป็นแผล เป็นหวัดและหลอดลมอักเสบ
คำถาม -
ปัจจุบันลูกสาวอายุ 3 ปี 8 เดือนที่ลิ้นเป็นแผล (หลุม ๆ นูน ๆ ) มาตั้งแต่ขวบกว่า
คิดว่าเป็นผลมาจากการทานนมแล้วไม่ได้เช็ดลิ้น (แต่ให้ทานน้ำตามทุกครั้ง)
คุณหมอที่ตรวจบอกว่า จะไม่หายขาดเพราะเกิดจากข้างใน
ลูกเป็นหลอดลมอักเสบและเป็นหวัดบ่อย แต่ก็ทานข้าวทานนมได้ปกติ (น้ำหนัก 15 กก.)
มีวิธีรักษาและแก้ไขอย่างไรลูกถึงจะหายขาดได้คะ (การที่ลูกเป็นหวัด
น้ำมูกไหลบ่อย เป็นผลมาจากพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศและฝุ่นทั้งคู่ด้วยหรือเปล่า)
คำตอบ - 
เด็กเป็นแผลที่ลิ้นเกิดได้หลายสาเหตุค่ะ บางคนเกิดจากการขาดวิตามิน
บางรายเกิดจากภูมิแพ้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามถ้าแพทย์ตรวจดูแล้วว่าไม่มีอะไรร้ายแรง
ลูกก็กินเก่งไม่มีอะไรผิดปกติ น้ำหนักขึ้นดี กินได้นอนหลับ
คิดว่าไม่มีอันตรายอะไรจากลิ้นที่เป็นลักษณะดังกล่าวค่ะ

ส่วนการที่เป็นภูมิแพ้นั้น เป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
คือ พ่อแม่สามารถถ่ายทอด DNA และยีนที่ควบคุมระบบภูมิแพ้มาสู่ลูกได้
ถ้าพ่อแม่แพ้ฝุ่นก็พยายามอย่าให้ลูกได้รับฝุ่นละออง ทั้งนี้รวมถึงห้องพัก
อย่าสะสมฝุ่นละอองถ้าระมัดระวังดี ๆ เด็กก็ห่างไกลจากโรคนี้ได้แม้พ่อแม่จะเป็นอยู่แล้ว
********************************
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ท้องแรกผ่าคลอด ท้องที่สองจะคลอดเองได้มั้ย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ท้องแรกผ่าคลอด ท้องที่สองจะคลอดเองได้มั้ย
คำถาม -
ท้องแรกผ่าคลอดไม่ทราบว่าท้องที่สองจะคลอดเองได้มั้ยคะ
และควรห่างจากท้องแรกประมาณกี่ปี เพราะอะไร
คำตอบ -
ขึ้นกับว่าท้องแรกผ่าคลอดเพราะอะไร
เช่น ท้องแรกผ่าเพราะว่าทารกเป็นท่าขวาง หรือ ท่าก้น เป็นต้น
ท้องที่สองอาจคลอดเองได้ ถ้าเป็นท่าปกติ คือ เอาศีรษะลง
แต่ถ้าผ่าท้องคลอดเพราะเชิงกรานแคบ และทารกมีขนาดใหญ่
ก็ควรที่จะผ่าออกในครรภ์ต่อไป
อย่างไรก็ตามหากจะลองพยายามคลอดเองในครรภ์ที่สอง
จะต้องแน่ใจว่าในโรงพยาบาลนั้น มีความพร้อมสามารถที่จะ
เปลี่ยนจากการคลอดเองเป็นการผ่าตัดคลอดได้ในทันที
ในกรณีที่เกิดมีการแยกของแผลผ่าตัดที่ผ่าไว้ครั้งก่อน
หรือคลอดไม่ได้ด้วยเหตุอื่นใด

สำหรับระยะห่างของการผ่าตัดคลอดซ้ำ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้
เว้นระยะการมีบุตรประมาณ 1-1 ปีครึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้แผลผ่าตัดมีความแข็งแรง
และคุณแม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในขวบปีแรก
(การเลี้ยงลูกด้วยตนเองเป็นภาระที่หนักมาก แต่ผลที่ได้รับตอบแทนนั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ)
***************************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กินปลารักษาสมาธิสั้นจริงอ่ะ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กินปลารักษาสมาธิสั้นจริงอ่ะ
โรคซึมเศร้า ออทิสซึม อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง สมาธิสั้น
เหล่านี้ล้วนเป็นโรคยอดฮิตกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในโลกตะวันตก
ซึ่งเชื่อได้ว่าส่วนหนี่งเป็นเพราะพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

นักวิจัยอาวุโสด้านประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกล่าวว่า
ไขมันปลามีคุณเอนกอนันต์เพราะนอกจากช่วยบำรุงสมองแล้ว
ยังสามารถช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้

ไขมันที่ช่วยพิชิตอาการซึมเศร้าได้คือ โอเมก้า-3
ซึ่งพบในปลาแซลมอลและปลาแม็กเคอเรล
ซึ่งไขมันชนิดนี้แทบจะไม่มีข้อเสียอะไรเลย และนอกจากข้อดีที่เพียบพร้อมแล้ว
ยังมีผลพลอยได้ทำให้เส้นผมเงางามและเล็บไม่เปราะหรือหักง่ายอีกด้วย

มีข้อน่าสังเกตอีกอย่างคือ ประชาชนในประเทศที่กินปลามาก เช่น ญี่ปุ่น
จะมีภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าประเทศทางตะวันตกเยอะมาก
เอ...ข้อมูลเชียร์อัพขนาดนี้แล้ว คนไทยจะหันมากินปลากันมากขึ้นหรือเปล่าน้า...???

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-คลอดธรรมชาติกับการผ่าออก อย่างไหนแผลหายเร็วกว่ากัน

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-คลอดธรรมชาติกับการผ่าออก อย่างไหนแผลหายเร็วกว่ากัน
คำถาม -
ระหว่างคลอดธรรมชาติกับการผ่าออก อย่างไหนแผลหายเร็วกว่ากันคะ
(ส่วนตัวแล้วกลัวการคลอดธรรมชาติเพราะดูวิดีโอแล้วเสียวไส้ค่ะ)
และถ้าผลการตรวจเลือดของแม่เป็นเลือดจางแบบไม่รุนแรงจะมีผลต่อลูกในท้องมั้ยคะ
คำตอบ -
ระหว่างคลอดธรรมชาติ แผลที่เกิดขึ้นคือรอยฉีกขาดที่บริเวณปากมดลูก
อันเนื่องมาจากการขยายของปากมดลูกจากขนาดเล็กเท่าปลายนิ้ว
จนใหญ่ขนาดทารกผ่านออกมาได้ ซึ่งรอยฉีกขาดดังกล่าวจะหายเองตามธรรมชาติ
ยกเว้นว่ารอยฉีกนี้ทำให้เลือดออก แพทย์ก็จะเย็บซ่อมให้หลังคลอด

อีกแผลหนึ่งก็คือแผลฝีเย็บบริเวณปากช่องคลอดที่ทารกคลอดออกมา
กรณีตั้งครรภ์แรกแพทย์จะต้องตัดฝีเย็บเพื่อให้ทารกคลอดออกมาได้
และฝีเย็บไม่ฉีกขาด ทำให้แผลสวยและสามารถเย็บซ่อมได้เรียบร้อย

ส่วนการผ่าตัดคลอดลูกทางหน้าท้อง จะต้องผ่าผ่านผิวหนังหน้าท้องน้อย
บริเวณเหนือหัวเหน่า ยาวประมาณ 10 ซม. ผ่านชั้นใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ
เยื่อบุช่องท้อง และผ่านกล้ามเนื้อมดลูกส่วนล่าง
จากนั้นจึงสามารถนำทารกออกจากโพรงมดลูกผ่านออกทางหน้าท้องได้

จะเห็นว่าการคลอดตามธรรมชาติแผลจะหายเร็วกว่าอย่างแน่นอน
การฟื้นตัวหลังคลอดสำหรับการคลอดเองตามธรรมชาติก็มักจะฟื้นตัวเร็วกว่า
และระยะที่อยู่ในโรงพยาบาลก็น้อยกว่าด้วย
ดังนั้นการที่จะคลอดลูกด้วยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องควรที่จะต้องมีข้อบ่งชี้
เพราะส่วนใหญ่แล้วแม่ตั้งครรภ์สามารถคลอดลูกได้เองตามธรรมชาติ

สำหรับปัญหาเรื่องโรคโลหิตจางนั้น หากเป็นเพียงเล็กน้อย
ก็จะไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ แต่ควรที่จะทราบว่า
ภาวะโลหิตจางนั้นเกิดจากสาเหตุใด เช่น เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก
หรือเกิดจากการที่เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ
เช่น โรคทาลัสซีเมียชนิดต่าง ๆ ที่พบมากในประเทศไทย
เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
***************************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น-รักษาสิวด้วยยคุมกำเนิด ขนหน้าแข้งยาวอายสาว

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น-รักษาสิวด้วยยคุมกำเนิด ขนหน้าแข้งยาวอายสาว
คำถาม 
1. เพื่อนนักเรียนที่ห้องคนหนึ่ง เป็นผู้ชายนะครับมีสิวเยอะมาก
    แต่ช่วงหลัง ๆ นี้ กลับลดลงอย่างน่าอัศจรรย์
    ซึ่งผมก็มีปัญหาเรื่องสิวเหมือนกันจึงได้สอบถามไปว่า
    ไปหาหมอที่คลินิกไหนหรือเปล่า เค้าบอกว่าซื้อยาคุมกำเนิดมาทานเอง
    ซึ่งผมก็กลัว ๆ ไม่กล้าถามคุณพ่อคุณแม่ครับ กะว่าจะลองซื้อมาทานเอง
    ก็กลัวว่ามันจะมีผลข้างเคียง คุณหมอคิดว่า ควรจะทานดีไหมครับ
    แล้วยาตัวไหน หมายถึงว่าถ้าไปถามซื้อต้องซื้อแบบไหนถึงจะดีครับ
2. ผมมีขนหน้าแข้งเยอะมาก ๆ อายเพื่อนผู้หญิงครับ เค้าชอบแซวบ่อย ๆ
    จึงได้โกนทุกวัน แต่ปรากฏว่าขนที่โกนกลับขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นเส้นแข็ง
    ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีครับ มียาทานที่ลดขนหรือเปล่า เคยได้ยินว่า
    มีการให้กินยาลดฮอร์โมนควรซื้อมาทานดีไหมครับ แล้วยาตัวไหนที่มี
    ประสิทธิภาพดีที่สุดครับ เห็นรายการทีวีรายการหนึ่ง มีการแวกซ์ขน
    ไม่ทราบว่าทำอย่างไร แล้วพวกผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย เช่น ทีวีมีเดีย
    นำเสนอขายแบบเป็นเครื่องไฟฟ้ากำจัดขนทีละเส้นดีไหมครับ
คำตอบ
ปัญหาเรื่องสิว ดูเป็นเรื่องหนักอกหนักใจสำหรับวัยรุ่นส่วนใหญ่
และเดี๋ยวนี้เลยเถิดถึงขั้นที่หาซื้อยาคุมกำเนิดมากินเองเพื่อรักษาสิว
ถามว่าจะเกิดผลอย่างไร ตอบได้เลยครับว่า เกิดผลร้ายมากมายหลายอย่างทีเดียว

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า ระยะวัยรุ่น ร่างกายของเด็กทั้งชายและหญิง
จะเปลี่ยนแปลงตามฤทธิ์การทำงานของฮอร์โมนเพศ
ฮอร์โมนชายหรือเทสโตสเตอโรน และฮอร์โมนเพศหญิงโปรเจสเตอโรนและอีสโตรเจน
ความจริงฮอร์โมนทั้งสองเพศมีแหล่งกำเนิดอันเดียวกัน คือสารสตีรอยด์
แล้วไปแตกกิ่งก้านสาขาของโมเลกุลข้างเคียง ตามเพศของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
เหตุฉะนี้ฤทธิ์บางอย่างของทั้งฮอร์โมนชายและหญิงก็มีเหมือน ๆ กันบางกรณี
เช่น ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังในบางบริเวณสร้างไขมันเพิ่มขึ้น
ไขมันที่สร้างเพิ่มขึ้นนี้เอง ทำให้เป็นอาหารอันโอชะของแบคทีเรีย
ยิ่งถ้ารักษาผิวหนังไม่สะอาด ก็จะเป็นเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง
ดังนั้นทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเมื่อเข้าวัยรุ่นก็มีสิวได้ทั้งสองเพศ
แต่ว่าเพศชายจะมีสิวมากกว่า เพราะฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย

นอกจากนี้ ต่อมไขมันในบางที่ยังสร้างกลิ่นเฉพาะออกมาด้วย
เช่น บริเวณรักแร้ รอบหัวนม และบริเวณอวัยวะเพศ
ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะขึ้นมาโดยธรรมชาติ เพื่อดึงดูดเพศตรงกันข้าม
นี่เป็นที่มาของกลิ่นตัว แต่ถ้าใครรักษาความสะอาดพื้นที่เหล่านี้ไม่ดีพอ
เชื้อแบคทีเรียก็ทำให้เกิดการหมักหมม เกิดกลิ่นตัวแรง

ฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิงยังทำให้ขนตามร่างกายบางแห่งงอกขึ้นมาด้วย
เช่น ขนรักแร้ ขนที่หัวเหน่า และขนหน้าแข้ง เป็นต้น
อีกนั่นแหละที่ฮอร์โมนเพศชายจะทำให้ขนเหล่านี้งอกมากกว่าฮอร์โมนเพศหญิง
แต่เพศหญิงก็มีขนเหล่านี้ขึ้นได้เหมือนกัน

ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้แล้ว จะเห็นว่า นี่คือความเปลี่ยนแปลง
ตามธรรมชาติของคนที่เข้าสู่วัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย รังเกียจหรือต้องดิ้นรน
จนเกินขนาดที่จะขจัดมัน และถ้าขืนไปแตะต้องแก้ไขมันด้วยการกินฮอร์โมนเข้าไป
อาจทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
เกิดปัญหาอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมาอีกมากมายโดยเราไม่ทันคิด

การกินยาคุมกำเนิด ก็คือการรับเอาฮอร์โมนเพศหญิงเข้าสู่ร่างกาย
ด้านหนึ่งอาจออกฤทธิ์ต่ออวัยวะเป้าหมาย แข่งขันกับฮอร์โมนเพศชาย
เป็นผลให้อวัยวะเหล่านั้น ไม่สนองต่อฮอร์โมนเพศชายมากนัก
ผลก็คือ การกินยาคุมกำเนิดทำให้สิวลดน้อยถอยลงไปได้ระดับหนึ่ง
กระทั่งอาจทำให้ขนหน้าแข้งลดจำนวนลง
แต่น้อง ๆ ลองคิดดูซิครับว่า อวัยวะที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายของเรา
จะมีเฉพาะต่อมไขมันและขนหน้าแข้งเท่านั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน
เจ้าอวัยวะอื่น ๆ ล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรารับเอาฮอร์โมนเพศตรงข้ามเข้าไป
หรือถึงแม้จะเป็นน้อง ๆ ผู้หญิงก็เถอะ ในร่างกายเรามีฮอร์โมนในระดับหนึ่ง
แต่นี่เราเติมเข้าไปให้มากกว่าเดิมจะเกิดอะไรขึ้น

ก่อนอื่นสำหรับวัยรุ่นผู้ชาย ถ้าขืนกินยาคุมเข้าไปก็จะเกิดเรื่องราวต่อไปนี้
1. ความสูงที่กำลังเพิ่มขึ้นจะหยุดชะงัก
    เพราะฮอร์โมนเพศชายช่วยทำให้กระดูกท่อนยาวยืดตัวออกไป
    เมื่อถูกรบกวนด้วยฮอร์โมนเพศหญิง ความสูงก็หยุด
2. เสียงจะไม่เปลี่ยน ฮอร์โมนเพศชายทำให้กล่องเสียงโตขึ้น
    กล่องเสียงคือลูกกระเดือกนั่นเอง ผู้ชายจึงมีลูกกระเดือก ทำให้มีเสียงห้าว
    ถ้ากินยาคุม เสียงก็จะแหลมเล็กอย่างพวกคนเพศที่สามนั่นเอง
3. กล้ามเนื้อไม่เจริญเติบโต เพราะฮอร์โมนเพศชายทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น
    กินยาคุมไปเรื่อยเจ้าตัวก็จะกร้องแกร้ง เหมือนไม้เสียบผี
4. เต้านมโตขึ้น ด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิง
5. ร้ายแรงกว่านั้นคือทำให้อัณฑะฝ่อเหี่ยว
    อวัยวะเพศซึ่งจะเพิ่มขนาดในวัยรุ่นด้วย ก็จะไม่เพิ่มขนาด

ทีนี้ล่ะ เรื่องยุ่งคงตามมาอีกเยอะ เพราะฉะนั้นจงอย่าใช้เป็นอันขาด
และรีบบอกเพื่อนให้เลิกใช้เสียโดยด่วน
แม้จะรู้กันว่าแพทย์โรคผิวหนังจำนวนหนึ่งอาจเลือกใช้ในการรักษาสิวกับคนไข้
บางคนบางกรณี ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของแพทย์ไปละกัน อย่าเที่ยวซื้อกินเองส่งเดช

สำหรับเรื่องขนหน้าแข้งก็เหมือนกัน เด็กวัยรุ่นจงรู้ไว้ว่าขนหน้าแข้งนั้น
คือสัญลักษณ์ของความเป็นชาย เป็นการประกาศกร้าวแก่ชาวโลกว่า
"ข้าเนี่ยนะ หนุ่มแล้วนะเว้ย !" และพึงรู้อีกเหมือนกันว่าที่เพื่อนผู้หญิงพากันล้อนั้น
แท้ที่จริงอาจเป็นเพราะว่า พวกเธอชักจะสนใจมาดชายชาตรีที่เริ่มจะ
หรอมแหรมโผล่ขึ้นมาในตัวของเราบ้างแล้ว
เด็กผู้หญิงเหล่านั้น บางทีก็รู้สึกแปลก ๆ กับความในใจของตนเอง
พวกเธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
เพียงแต่รู้สึกว่า เจ้าเพื่อนคนนี้มีอะไรสะดุดตา สะดุดใจอยู่ไม่น้อย
พวกเธอไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองดีแหละครับ
ก็เลยเสแสร้งออกมาเป็นเรื่องของการแอ่วการแซวกัน...กรี๊ดกร๊าด

ด้วยเหตุฉะนี้ เด็กวัยรุ่นจงเริ่มภูมิใจน้อย ๆ ในขนหน้าแข้งของตัวเองได้แล้วละ
ปล่อยมันไว้อย่างนั้น ให้ขึ้นมารกครึ้มเท่าไหร่ก็ช่างมัน จะไปอาย ไปโกนมันทิ้งทำไมกัน
ต้องรู้ไว้ว่า เจ้าเครื่องถอนขนนั่นน่ะ เขาไม่ได้มีไว้ถอนขนหน้าแข้งผู้ชายหรอกนะน้อง
เพราะการถอนแต่ละทีก็เจ็บหยอกอยู่ซะเมื่อไหร่
ผู้ชายนั้นยังไงเสียก็ต้องมีขนหน้าแข้งอยู่แล้ว เพราะฮอร์โมนเพศมันพาไป จะคอยถอนคงไม่ไหว

เจ้าเครื่องถอนขนนั้น มีไว้ให้พวกผู้หญิงเขาใช้กัน
เพราะฮอร์โมนในตัวพวกเธอก็มีฤทธิ์ทำให้ขนขึ้นเหมือนกัน
และค่านิยมในสังคมเรา ไม่ค่อยนิยมที่จะเห็นผู้หญิงคนไหน
โหนรถเมล์ด้วยขนรักแร้แพลมออกมามากมาย
พวกเธอก็เลยต้องทนทรมานถอนขนเหล่านี้ ยิ่งบางคนมีขนหน้าแข้งด้วย
เพราะสัดส่วนฮอร์โมนในตัวเธอออกจะมีความเป็นชายมากกว่าคนธรรมดาอื่น ๆ
พวกเธอไม่อยากให้โลกเขามองว่า "น่อง ๆ นี้อาจเตะช้างล้มได้"
ก็เลยจำต้องถอนขนหน้าแข้งด้วย

จงปล่อยให้พวกเธอทำกันไปเถอะครับ
แต่พึงรู้ว่า รสนิยมการถอนขนนั้นเป็นเรื่องของจริตจะก้านที่สังคมเมือง
เสแสร้งแต่งปั้นเข้าครอบงำกันซะเปล่า ๆ คนไทยรุ่นแม่รุ่นย่ายาย
เขาไม่ได้มาเกี่ยงงอนเรื่องมีขน ไม่มีขน กันสักหน่อย ขอให้เป็นคนนิสัยดี
ทำการบ้านการเรือนได้ การไร่การนาไม่ครั่นคร้าม แถมมีเสน่ห์ปลายจวัก
เท่านี้ก็เป็นผู้หญิงที่ทรงคุณค่าแล้ว ไม่ได้วัดกันด้วยขนรักแร้ หรือน่องมีขนกี่เส้นกันเ..ล้..ย  !

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องกินของแม่ตั้งครรภ์ - B6 แก้แพ้ท้องจริงหรือ

เรื่องกินของแม่ตั้งครรภ์ - B6 แก้แพ้ท้องจริงหรือ

บี 6 ที่ว่านี้ไม่ได้เป็นญาติกับบี 1 บี 2 ในกล้วยหอมจอมซนหรอก
แต่เขาคือ วิตามินบี 6 นั่นเอง ซึ่งคุณแม่หลายท่านอาจเคยได้ยินต่อ ๆ กันมาว่า
"กินวิตามินบี 6 ช่วยแก้อาการแพ้ท้องได้"
และถ้าคุณเกิดอาการโอ้กอ้ากตอนท้องขึ้นมา
และกำลังคิดที่จะไปซื้อหามากินเองตามคำบอกเล่า
ลองพิจารณาข้อเท็จจริงก่อนตัดสินใจนะคะ

บี 6 แก้แพ้ท้อง...จริงอะ
ตอบให้หายข้องใจตรงนี้เลยว่า เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่พิสูจน์ชัดเจนแน่นอน
อาจใช้ได้ผลกับคุณแม่บางคนเท่านั้น แต่บางคนก็ใช้ไม่ได้ผล
และที่ว่าแก้แพ้ท้องนี้ ก็เฉพาะอาการคลื่นเหียนอาเจียน
หรือ ที่ฝรั่งเรียกว่า "morning sickness" เท่านั้นแหละ
ส่วนอาการแพ้ท้องประเภทเบื่อสามี
อันนี้ต้องอาศัยความน่ารักส่วนตัวของคุณสามีเป็นตัวช่วยแล้วล่ะ

ในวงการแพทย์เขามีการใช้วิตามินบี 6 เพื่อช่วยลดอาการแพ้ท้อง
มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 โน่น เพราะเชื่อกันว่าอาการแพ้ท้อง
แบบคลื่นไส้อาเจียนนั้น เกิดจากกระบวนการเมตาบอลิซึมที่ผิดปกติ
ของกรดอะมิโนตัวหนึ่ง (กรดอะมิโนมีอยู่หลายชนิด และเป็นสาร
อาหารจำพวกโปรตีน) และเจ้าบี 6 เขาก็มีหน้าที่ช่วยในการเมตาบอลิซึม
ของร่างกายอยู่แล้วจึงทำให้อาการคลื่นไส้ทุเลาลง

บี 6 กับแม่ท้องจำเป็นแค่ไหน
ถึงวิตามินบี 6 จะไม่ได้ช่วยให้คุณแม่หายแพ้ท้องได้ทุกคน
แต่มีความสำคัญกับแม่ท้องอย่างแน่นอน
เพราะคุณพี่บี 6 เขามีประโยชน์เยอะจริง ๆ นะ
***** ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้คุณและลูกในท้อง
***** ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาทของเจ้าตัวน้อยในท้อง
***** ช่วยให้คุณแม่เผาผลาญอาหารได้ดี
***** ช่วยในการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง
***** ป้องกันตะคริว
***** ป้องกันโรคลมบ้าหมูในเด็กเล็ก
***** ลดอาการภูมิแพ้ ชนิดที่เกิดจากการขาดวิตามิน

กินแค่ไหนดีน้า...
ความต้องการวิตามินบี 6 ของคนเราจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับปริมาณโปรตีนที่เรากินเข้าไปด้วย
สำหรับปริมาณที่แนะนำให้แม่ท้องกินในแต่ละวันหรือ
RDA (recommended daily allowance) คือ 2.2 มิลลิกรัม
ถ้าเป็นคุณแม่ที่ให้นมลูกอยู่ก็ให้ลดลงมานิดหนึ่งเหลือ 2.1 มิลลิกรัม
แต่คนปกติทั่วไป 1.6 มิลลิกรัม ก็เพียงพอ

ถ้าร่างกายเกิดขาดวิตามินบี 6 ขึ้นมา จะมีอาการเป็นตะคริวบริเวณผิวหนังอักเสบ
โลหิตจาง และปลายเส้นประสาทอักเสบซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ค่อยเจอใคร
ที่ขาดวิตามินนี้กันหรอก เพราะมีอยู่ในอาหารหมู่ต่าง ๆ ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ

ถึงร่างกายจะต้องการวิตามินบี 6 แค่นิดหน่อย แต่ขาดไม่ได้เชียวนะ
ฉะนั้นการได้อาหารหลากหลายชนิดจะช่วยคุณแม่ได้แน่นอน
เพราะคุณบี 6 เขาจะคอยแทรกตัวอยู่ตามอาหารเมนูต่าง ๆ รอให้คุณแม่เลือกหม่ำอยู่แล้ว

แหล่งซ่อนตัวของคุณบี 6
ข้าวสาลี ข้าวโพด ตับ เนื้อไก่ เนื้อหมู ปลา นม ถั่วเหลือง ไข่ กล้วย มันฝรั่ง น้ำลูกพรุน อะโวคาโด

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-ดูโทรทัศน์มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-ดูโทรทัศน์มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่
คำถาม -
การดูโทรทัศน์มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่ ผู้ใหญ่ควรดูแลเรื่องนี้อย่างไรครับ
คำตอบ - 
ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ดูเป็นสำคัญครับ ถ้าเรื่องที่ไม่เป็นตัวอย่างของการก้าวร้าว
ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ที่ทุกคนเป็นห่วงก็คือการที่เด็กได้ดูตัวอย่างความก้าวร้าวจากทีวี

ที่ทุกคนเป็นห่วงก็เพราะกลัวการเลียนแบบ ทั้งการเลียนแบบอย่างตั้งใจ
และการซึมซับไปโดยไม่ตั้งใจ ก็คล้าย ๆ กับความเคยชินนั่นแหละครับ
คือเห็นบ่อย ดูบ่อย จนเคยตัว เวลาเกิดเหตุทำนองเดียวกับในทีวี เด็กก็จะเลือกทำ
สิ่งที่เคยเห็นก่อนสิ่งอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีและอันตรายมากนะครับ
ถ้าเด็กได้ดูแต่เรื่องที่ก้าวร้าวในทีวี

วิธีแก้ที่เด็ดขาดเห็นจะไม่มี นอกจากทำให้ทีวีหมดไปจากโลกซึ่งก็ทำไม่ได้
และถ้าขาดทีวีไปเราก็จะขาดอะไร ๆ ที่ดี ๆ อีกหลายอย่างไป ทางออกอย่างเป็นกลาง ๆ
คือทำอย่างไรให้เด็กมีแต่เรื่องที่ดี ๆ ดู หรือทีวีทำแต่เรื่องประเทืองปัญญาสำหรับเด็ก
เช่น รายการดวงใจพ่อแม่อย่างเนี้ยะ

คุณพ่อลองดูทีวีอีกทีนะครับ มีรายการดี ๆ สำหรับเด็กอีกมาก
แต่จะอยู่คนละเวลาที่ผู้ใหญ่ดูกัน และอยู่ที่ช่องที่ไม่ฮิตนัก
เช่น ช่อง 11 ช่วงบ่ายแก่ ๆ ถ้ายังไม่กลับบ้านใช้เครื่องเล่นวิดีโอตั้งเวลาอัดไว้
เปิดให้เด็กดูทีหลังก็ได้ เทคโนโลนีนี้ผมเคยลองนะครับ ไม่เลวทีเดียว
ผมอัดรายการมวย เวลาเอาเทปมาดู สนุกมาก เรากรอข้ามโฆษณาไปเลย
12 ยกชกกันไม่มีพักเลยครับ ดูแล้วเหนื่อยจริง ๆ

อีกวิธีคือการดูทีวีกับลูกจะช่วยได้มาก โดยเราจะช่วยชี้แนะให้เด็กเห็นว่า
สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี ถ้าทำได้แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับ
ความก้าวร้าวรุนแรงมีให้เด็กเห็นทุกวัน ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี คนข้างบ้าน
บางทีคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นตัวอย่างเสียเอง การชี้แนะจะช่วยลดความเคยชินให้เด็กได้
และจะให้ดีก็ต้องลดความรุนแรงในตัวเราเองด้วย

เวลาขับรถแล้วมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า เราทำอะไรต่อหน้าลูก
นั่นแหละความก้าวร้าวต้นฉบับของจริงเลยครับ
**************************************
น.พ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล
**************************************

รอบรู้สุขภาพเด็ก - ทำไมถึงเรียก...ตาขี้เกียจ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - ทำไมถึงเรียก...ตาขี้เกียจ

ตาขี้เกียจ (Lazy eye) เป็นอาการผิดปกติทางสายตาอย่างหนึ่ง
ซึ่งเกิดได้จากดวงตาข้างที่ดีกว่าทำงานแทนดวงตาข้างที่ผิดปกติ
ทั้งนี้โดยการสั่งงานของสมองจะใช้ดวงตาข้างที่ดีกว่า
เพราะสามารถทำงานได้สมบูรณ์ และในที่สุดดวงตาที่ผิดปกติก็จะหยุดการใช้งาน
หยุดการพัฒนา และกลายเป็นดวงตาที่ใช้การไม่ได้ ซึ่งเรียกว่าตาขี้เกียจไง

โดยปกติแล้วทารกแรกคลอดจะสามารถมองเห็นได้ลาง ๆ เท่านั้น
แต่เมื่อมีแสงมากระทบที่จอประสาทตาก็จะเกิดแรงกระตุ้น
ทำให้เด็กสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดยิ่งขึ้น
และจะเห็นเหมือนผู้ใหญ่เมื่ออายุ 2 ปี
ปัญหาที่ก่อให้เกิดอาการตาขี้เกียจก็คือ
ตาเหล่ สายตาสั้น ยาว หรือโรคตาอื่น ๆ ที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด
เราจะสามารถรู้ได้ยากว่าลูกเรามีอาการตาขี้เกียจหรือไม่
และเด็กจะไม่ค่อยบอกว่าดวงตาข้างไหนมองไม่ชัด
เพราะดวงตาข้างที่สมบูรณ์ก็สามารถมองเห็นทดแทนได้เหมือนกัน

แต่ความผิดปกติที่ว่านี้เราอาจสังเกตได้จากการอ่านหนังสือของเจ้าตัวน้อย
ว่ามีพัฒนาการช้าไปหรือเปล่า
เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่อ่านหนังสือไม่ได้มักจะมีปัญหาทางสายตา

การรักษาโรคตาขี้เกียจไม่ยากเลย โดยส่วนใหญ่จักษุแพทย์จะปิดตาข้างที่ดีไว้
และเปิดตาข้างที่ขี้เกียจ เพื่อให้ตาได้ใช้งานฟื้นฟูตัวเอง
และกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแพทย์
ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพาเจ้าตัวน้อยไปตรวจสายตาบ้างนะ
เพราะการรักษาตาขี้เกียจนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายได้เมื่ออายุเกิน 9 ปีไปแล้ว