ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้
ในยุคปลายศตวรรษที่ 20 เช่นนี้ ใครไม่รู้จักยาเม็ดคุมกำเนิดที่ผู้หญิงใช้กินประจำทุกวัน วันละ 1 เม็ดเพื่อใช้ป้องกันการท้อง คงนับได้ว่าเชย
แต่มียาคุมกำเนิดอีกแบบหนึ่งที่คนยังรู้จักกันไม่มาก ยาประเภทหลังนี้ไม่ต้องกินทุกวัน แต่ใช้กินเฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น ร้านขายยาบ้านเรามักเรียกยาคุมนี้ว่า
"ยาคุมกำเนิดชั่วคราว" หรือ
"ยากินหลังร่วมเพศ" (post-coital pill) วิธีเรียกอย่างนี้ทำให้ผู้ซื้อใช้ส่วนใหญ่คิดว่า ยาคุมกำเนิดนี้จะใช้เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ ซึ่งมีคนขี้สงสัยเดาว่า อาจมาจากแผนการตลาดของผู้ที่ขายยาและผู้ที่ผลิตยา เพราะมีส่วนช่วยขยายความต้องการทางตลาดได้มากขึ้น
คำเรียกขานที่ถูกต้องกว่าของยาคุมกำเนิดชนิดนี้ก็คือ
"ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (emergency contraceptive pill) ซึ่งหมายความตามชื่อตรงไปตรงมาว่าให้ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉินจริงๆ เช่น
ใช้ถุงยางแล้วแต่ไม่แน่ใจว่ารั่วหรือแตก
กินยาคุมกำเนิดแบบประจำแต่ลืมกินไปวันหรือ 2 วัน
ใส่ห่วงแล้วหลุด
เผลอมีอะไรกันในช่วงไม่ปลอดภัย
จนถึงการถูกข่มขืน เป็นต้น
เจ้ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ จึงมิได้ผลิตเพื่อให้ใช้พร่ำเพรื่อ ถ้าใครใช้ยานี้แทนยาคุมกำเนิดชนิดกินประจำเพราะไม่อยากกินยาทุกวัน
ให้รู้ตัวไว้เถิดว่า กำลังกินยาอย่างผิดๆ
ในตลาดยาบ้านเรา มียาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ว่านี้ขายอยู่ 2 ยี่ห้อคือ
โพสตินอร์ (Postinor) และ มาดอนนา (Madonna) ซึ่งขายเป็นแผลโดยมียาบรรจุไว้ 2 เม็ด ทั้ง 2 ยี่ห้อให้ข้อมูลในใบกำกับยาภาษาไทยไว้เหมือนกันคือ
- ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังร่วมเพศในกรณีไม่ได้ใช้การป้องกันวิธีอื่นมาก่อน
- ให้กิน 1 เม็ดทันที หรือภายใน 1 ชั่วโมงหลังร่วมเพศ
- หากใช้ยาหลัง 1 ชั่วโมงอาจไม่เกิดผลในการป้องกันการตั้งครรภ์ และแม้ใช้ถูกต้องก็อาจเกิดการตั้งครรภ์ได้
- ไม่ควรกินยานี้มากกว่า 4 เม็ด/เดือน
ข้อมูลในใบกำกับยานี้ขัดแย้งกับข้อค้นพบทางวิชาการที่มาจากผลการวิจัยมากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก (เช่น Emergency Contraception : A Review of Available Methods โดย Batya Elul ปี 1998 และ Emergency Contraceptive Services : A Review of the Literature โดย Charlotte Ellertson และคณะ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1999) ที่พบว่า
ยานี้ต้องกินชุดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังการร่วมเพศที่ไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ และหลังจากที่กินครั้งแรก 12 ชั่วโมงแล้ว ต้องกินชุดที่ 2 ตาม หมายความว่าต้องกินยานี้ 2 ครั้ง จึงจะได้ผลและประสิทธิภาพของการกินยาตามนี้จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียงร้อยละ 75-85 เท่านั้น
จากการวิจัยเช่นกันพบว่า
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้กินยาจะมีอาการคลื่นไส้ และ 1 ใน 5 หรือร้อยละ 20 ของผู้ที่กินยาแล้วจะอาเจียน
ข้อมูลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้ใช้ควรทราบก็คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น กามโรค หรือการติดเชื้อโรคเอดส์ได้ ไม่เหมือนการใช้ถุงยางอนามัยเพราะถุงยางอนามัยสามารถใช้ป้องกันทั้งการติดโรค และการตั้งครรภ์ได้ดีกว่า
ที่สำคัญที่สุดคือ ยานี้ไม่ใช่ยาทำแท้ง ใครที่จะซื้อใช้เพื่อเหตุผลนี้ให้เลิกคิดไปได้เลย เพราะประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดนี้คือ การไปขัดขวางการตกไข่ หรือทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิมและอาจมีผลทำให้เนื้อเยื่อของผนังมดลูกที่กำลังก่อตัวหนาขึ้นเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่นั้นอ่อนแอลง รวมถึงอาจมีผลอื่นๆ ที่ขัดขวางการผสมระหว่างไข่กับอสุจิโดยตรง
พูดง่ายๆ ว่า ตัวยาจะทำงานเมื่อตัวอ่อนยังไม่เกิด ถ้าตัวอ่อนเกิดแล้ว มันจะไม่ขัดขวางการพัฒนาของตัวอ่อนเลย
แต่ในเรื่องผลข้างเคียงระยะยาวในกรณีการใช้บ่อยหรือต่อเนื่องนาน ยังไม่มีการศึกษาไว้สักแห่งในโลก เพราะพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในประเทศอื่นๆ เขาจะใช้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ ผู้หญิงหลายคนที่ใช้กล่าวว่า เคยกินแค่ครั้งหรือ 2 ครั้งเท่านั้นในชีวิต
แต่มีข้อสันนิษฐานจากแพทย์บางท่านว่า การใช้ยานี้บ่อยๆ อาจทำให้ต้องขูดมดลูกโดยไม่จำเป็นหรืออาจก่อให้เกิดมะเร็งในมดลูกได้
ในประเทศไทยยังไม่เคยมีการวิจัยจริงจังถึงพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ทั้งๆ ที่ยาขนานนี้ได้ถูกนำมาขายแพร่หลายมากกว่า 15 ปีแล้ว แต่ผลการวิจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของคนไทยพบว่า มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น อายุการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกทั้งของผู้ชายและผู้หญิงลดลง การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนมากกว่า 1 คนเป็นเรื่องธรรมดาในกลุ่มวัยรุ่นชายและหญิงจำนวนมาก นอกจากนี้อัตราส่วนของชายหญิงที่ใช้ชีวิตคู่กันอย่างไม่เป็นทางการ (หรือไม่แต่งงาน) มีเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อนหลายเท่าตัว
ในขณะที่วิธีการคุมกำเนิดที่มีการส่งเสริมโดยหน่วยงานรัฐจะมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ข้อมูลเรื่องวิธีคุมกำเนิดแบบต่างๆ ไม่แพร่กระจายในกลุ่มวัยรุ่น และรวมถึงหญิงชายที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่แต่งงาน การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่เผยแพร่แบบปากต่อปาก และผ่านร้านขายยา จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ต้องกินประจำ และก็หาซื้อได้ง่ายอย่างเสรีตามร้านขายยาทั่วไป
จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อยานี้ใช้ในบ้านเราคือ กลุ่มวัยรุ่น ชายหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กันประจำ โดยยังไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน สามีภรรยาที่แยกกันอยู่ และผู้หญิงบริการ ในกลุ่มวัยรุ่นนั้น คนซื้อจะเป็นวัยรุ่นชายมากกว่าวัยรุ่นหญิง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า วัยรุ่นชายซื้อยานี้ในลักษณะ "เตรียมพร้อม" เมื่อคาดว่าจะมีอะไรกับเพื่อนหญิง วัยรุ่นชายที่ว่านี้เป็นทั้งกำลังเรียนหนังสือและทำงาน และตลาดการซื้อขายยานี้คึกคักทั้งในเมืองและในชนบท
กลุ่มแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาหารือในเรื่องการคุมกำเนิด หรือเรื่องเพศในบ้านเรา มักให้คำปรึกษาในเรื่องวิธีการกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้แตกต่างกัน บางคนกล่าวว่าต้องกิน 2 เม็ดภายใน 6 ชั่วโมง อีกรายบอกว่าต้องกินภายใน 24 ชั่วโมง บ้างว่าอย่ากินเกิน 2 ครั้ง/เดือน บ้างก็ว่าไม่น่าจะเกิน 5-6 เม็ด/เดือน
ข้อที่น่ากังวลของพฤติกรรมการกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินของผู้หญิงไทยก็คือ การที่ผู้หญิงจำนวนหนึ่งไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา แต่หันมาใช้วิธีฉุกเฉินจนกลายเป็นการใช้ประจำ หรือใช้ทุกครั้งหลังการร่วมเพศ เหตุที่ต้องกังวลก็เพราะเราไม่อาจคาดเดาถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้หญิงกลุ่มนี้ในอนาคตได้
สิ่งที่ผู้หญิงในฐานะผู้บริโภค (ในที่นี้คือผู้กินยาเข้าไปจริงๆ ไม่ใช่ผู้ซื้อยา) ต้องรู้และระลึกก็คือ ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์แต่ยังไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์
"การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมิใช่ทางเลือกที่ดี" เพราะยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ได้ต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ มาก ไม่ว่าจะเป็นการกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบธรรมดา การใช้ถุงยางอนามัย การใส่ห่วง การใช้ยาฉีด และการใช้ยาฝัง เป็นต้น
การให้ข้อมูลอย่างรอบด้านในเรื่องยาคุมกำเนิดฉุกเฉินต่อผู้หญิง และต่อประชาชนทั่วไป จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมยุคนี้
ถ้าเช่นนั้น ใครล่ะ ควรเป็นผู้ให้ข้อมูลนี้
สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ต่อสาธารณะอย่างน้อยน่าจะหมายรวมถึง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นักวิชาการ ผู้ผลิตยา คนขายยา องค์การที่ทำงานเกี่ยวกับสุขภาพผู้หญิง และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคทั้งของรัฐและเอกชน
สำหรับใครที่มีข้อกังวลว่า ถ้าเผยแพร่ข้อมูลไปอย่างกว้างขวางแล้วจะทำให้วัยรุ่นใจแตกมากขึ้น หรือจะเกิดพฤติกรรมทางเพศมั่วเซ็กส์มากขึ้น ก็ขอให้ลองคิดถึงเรื่องถุงลมนิรภัย หรือการใส่หมวกกันน็อก ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชนบนถนนเพิ่มขึ้น แต่กลับช่วยลดความเสียหายที่อาจร้ายแรงจากอุบัติเหตุ ฉันใดยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ไม่ได้ส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ฉันนั้น
ทั้ง 2 มาตรการเป็นเพียงทางออกสำรอง ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และ/หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ขึ้นเท่านั้น ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจึงเป็นเครื่องมือช่วยแก้ปัญหา เป็นทางเลือกหรือทางออกให้กับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน
ในสถานการณ์ดั่งว่านี้ต่างหาก ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะเป็นวิธีที่คุ้มค่าอย่างยิ่งในการใช้ เพราะจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ที่ผู้หญิงไม่ต้องการ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่อาจต้องสูญเสียไปกับปัญหาการทำแท้งและความเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการทำแท้งนานับประการ ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียไม่เพียงแต่ความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------
กฤตยา อาชวนิจกุล กศ.ม. , M.A., Ph.D., รองศาสตราจารย์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล