นิทานเล่าเรื่อง-กาจอมตะกละ_Force8949
... ระเบียงความรู้ อ่านเพื่อเพิ่มพูน ... ... สัพเพเหระ สารพันเรื่องราว ในห้วงหนึ่งของชีวิตแต่ละช่วงวัย
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ภาษาไทยหรรษา-ผันวรรณยุกต์อักษรกลาง
ภาษาไทยหรรษา-ผันวรรณยุกต์อักษรกลาง-1of2_Force8949
ภาษาไทยหรรษา-ผันวรรณยุกต์อักษรกลาง-2of2_Force8949
ชาดก 500 ชาติ-อารามทูสกชาดก
ชาดก 500 ชาติ-อารามทูสกชาดก-1of2_Force8949
ชาดก 500 ชาติ-อารามทูสกชาดก-2of2_Force8949
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ทำไมต้องแกล้งกันด้วย (พฤติกรรมเด็ก)
ทำไมต้องแกล้งกันด้วย
*************************************
****** ลูกของคุณเป็นหนึ่งในเด็กที่ดูขี้อาย ตัวเล็กแคระแกร็น ฟันหลอ
ผิวคล้ำ ผมหยิกฟู หรือใส่แว่น ตัวอ้วนกลม ดูไม่แข็งแรงหรือเปล่าครับ
ถ้าใช่!!! ลูกของคุณอาจตกเป็นที่ล้อเลียน หรือ เป้าสายตาของเพื่อนๆ
ที่ชอบรังแกคนอื่นได้โดยง่ายครับ สังเกตง่ายๆ
คำล้อเลียนไม่ว่าจะเป็นคำว่ายายหมูอ้วน เจ้าแว่น น้องขี้โรค นังฟันหลอ
คุณกาดำ อาจตกเป็นชื่อเรียกขานประจำยามที่ลูกรักก้าวขาเข้าไปในโรงเรียน
ซึ่งถ้ามองในมุมหนึ่งแล้วดูเหมือนลูกของคุณเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ
แต่อีกมุมมองหนึ่งแน่นอนว่าการเรียกขานนั้นๆ ย่อมทำให้ลูกรักรู้สึกอับอาย
ไม่สบายใจจนมีอาการไม่อยากไปโรงเรียน หรือไม่อยากพูดคุยกับใคร
****** ถ้าการถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งกันรุนแรงในความรู้สึกของลูกรัก
ถึงขั้นที่ลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน เกลียดโรงเรียน นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ฯลฯ
เมื่อนั้นตามความเห็นของผู้เกี่ยวข้องด้านนี้
คุณพ่อคุณแม่ควรรีบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพร้อมประสานงานกับคุณครูโดยด่วนครับ
****** ซึ่งก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือลูกรัก
ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่และคุณครูควรหาสาเหตุที่แท้จริงกันก่อนว่าทำไมเด็กๆถึงต้องรังแกกัน
*************************************
ทำไมต้อง "รังแก" กัน
*************************************
****** การรังแกกันของเด็กๆ จะรวมตั้งแต่การล้อเลียนกันซึ่งเป็นการพูดถึง
จุดด้อยของคนอื่น ไปถึงการตี การแกล้งกัน สาเหตุหลักๆ มาจากผู้ใหญ่ของเราเอง
นั่นแหละครับ ที่ไม่ค่อยนึกถึงว่าการล้อเลียนหรือแกล้งผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร
จึงละเลยไม่ค่อยอบรมสั่งสอนเด็กๆ ในเรื่องนี้ เด็กจึงพูดหรือทำแบบนั้นโดยไม่ยั้งคิด
และตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแล้ว
พฤติกรรมเหล่านี้ดูเหมือนเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีความก้าวร้าวอยู่ในตัว
ซึ่งการอบรมเลี้ยงดูที่ดีจะสามารถลดพฤติกรรมดังว่าได้
ถ้าเด็กได้รับการสอนให้ควบคุมตัวเอง และได้รับการสอนให้รู้จักถูกผิด
รู้อะไรควรไม่ควร ทั้งที่บ้านและโรงเรียน
เด็กก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมล้อเลียน หรือพูดเสียดสี ฯลฯ ได้โดยง่ายครับ
"ช่วงเด็ก 3 - 6 ขวบนี้ พัฒนาการของเด็กหลายๆ ด้านยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
เช่น ด้านภาษา ไม่สามารถบรรยายความโกรธออกมาเป็นคำพูด
จึงต้องอาศัยความก้าวร้าวรุนแรงทางด้านร่างกายมาแทนที่ เด็กบางคนจึงชอบหยิก
ชอบตี หรือกัดแทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราสามารถแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้ได้ครับ"
<<< การเลี้ยงดู >>>
****** ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการปลูกฝังและเป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ดีให้กับเด็กได้ครับ
ถ้าครอบครัวไหนพ่อและแม่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่พูดล้อเลียนคนอื่น ไม่พูดกระทบกระเทียบผู้อื่น
ไม่ทะเลาะกัน เด็กจะซึมซับตัวอย่างที่ดีแบบนี้ไปโดยอัตโนมัติ
แต่ถ้าครอบครัวไหนชอบลงโทษลูกด้วยการตี หรือดุด่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
หรือทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นประจำ
แนวโน้มของเด็กในครอบครัวนี้เมื่อออกสู่สังคมย่อมจะไปกระทำกับผู้อื่นต่อไป
ทั้งด้วยวาจาและการกระทำได้โดยง่ายครับ
****** การหันกลับมาดูแลอย่างใกล้ชิด ให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกๆ
และพยายามสอนลูกว่าสิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร ไม่ตามใจจนเกินไป
เลี้ยงลูกด้วยเหตุผล ไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหาจะช่วยเด็กที่มีพฤติกรรมชอบล้อเลียนเพื่อนๆ
หรือรังแกเพื่อนๆ ให้ลดหรือละพฤติกรรมดังกล่าวได้
<<< ธรรมชาติของเด็กเอง >>>
****** เด็กบางคนป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นและมีอาการหุนหันพลันแล่น
จะคิดจะทำอะไรจะไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน บางครั้งควบคุมตัวเองไม่ได้
จึงอาศัยการทำร้ายร่างกายเพื่อนคนอื่นๆ เป็นการระบายออก
หรือเด็กบางคนอาจมีพัฒนาทางภาษาล่าช้า
เมื่อพรรณนาออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ดีตามใจปรารถนา
จึงระบายออกทางการกระทำหรือทำร้ายรังแกผู้อื่น
****** เด็กบางคนพื้นฐานของอารมณ์เป็นคนหุนหันพลันแล่นขี้โมโห
การทำร้ายร่างกายเด็กคนอื่นอาจเกิดขึ้นได้โดยง่ายเช่นกันครับ
ซึ่งทั้งหมดตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแล้ว
เด็กที่ชอบรังแกเด็กคนอื่นๆ ลึกๆ แล้วเขานั่นแหละที่เป็นเด็กมีปัญหา
ซึ่งควรได้รับการแก้ไขต่อไป
<<< ปฏิกิริยาของคุณครู >>>
****** ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าปฏิกิริยาของคุณครูเองอาจเป็นแรงกระตุ้น
ให้เด็กชอบรังแกเด็กคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เช่น คุณครูอาจเพ่งเล็ง
ให้ความสนใจเด็กที่ชอบทำร้ายคนอื่นมากจนเกินไป
แทนที่จะระงับพฤติกรรมกลับเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้เด็กทำพฤติกรรมนั้นๆ
อย่างต่อเนื่อง เพราะยิ่งทำยิ่งได้รับความสนใจครับ แต่คุณครูสามารถลดพฤติกรรม
ดังกล่าวได้โดยหาจุดดีของเขาแล้วชมเชย ให้เขาเรียนรู้ว่าสิ่งดีๆ มักจะมีคนชม
สำหรับเด็กที่ถูกรังแกคุณครูควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เพราะเด็กที่ถูกรังแกมักจะไม่กล้าบอกใคร และเต็มไปด้วยความกลัว วิตกกังวล
***********************************
เมื่อลูก "ถูกรังแก"
***********************************
****** เด็กที่ถูกรังแกมักจะมีอาการงอแง ไม่ยอมไปโรงเรียนหรือมีอาการซึมเศร้า
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นเด็กร่าเริง บางคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นฝันร้าย เบื่ออาหาร
"เด็กบางคนเวลาถูกรังแกมาอาจเห็นได้ชัดๆ คือ จะเห็นว่ามีรอยแผล
แขนขาช้ำเพราะถูกรังแกมา ซึ่งในส่วนนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยสื่อสาร
กับคุณครูที่โรงเรียนให้ดีๆ เพราะส่วนใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา
โรงเรียนมักปกปิดด้วยเกรงว่าคุณครูที่โรงเรียนดูแลลูกของตัวเองได้ไม่ดี
แต่พ่อแม่เองควรทำความเข้าใจด้วยว่าจำนวนนักเรียนในห้องต่อคุณครู
มีสัดส่วนไม่เท่ากัน ถ้าพ่อแม่เข้าใจอย่างนี้และไม่คาดหวังมาก
พร้อมร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ปัญหาดังกล่าวอาจจะถูกแก้ไขได้ด้วยดีผ่านการร่วมมือกัน"
***********************************
ช่วยลูกที่ "ถูกรังแก"
***********************************
****** ให้โอกาสลูกระบายความรู้สึก
หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นแล้วว่าลูกมีอาการซึมเศร้า
บ่อยครั้งไม่อยากไปโรงเรียน หรือมีรอยแผลกลับมาบ้านอยู่เป็นประจำ
ควรไถ่ถามและเปิดโอกาสให้ลูกรักได้ระบาย
หรือบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี และเหมาะสมที่สุด
เพราะเด็กๆ ควรได้มีโอกาสบอกเล่าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่สบายใจ
กับพ่อและแม่อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ไม่ควรวู่วาม แสดงความโกรธเคืองขัดจังหวะลูก
****** ร่วมมือกับคุณครูหาสาเหตุและแก้ปัญหา
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครูที่โรงเรียนประสานการทำงานร่วมกัน
เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยต่างฝ่ายต่างไม่โทษซึ่งกันและกัน
ปัญหาการรังแกกันในโรงเรียนจะได้รับการแก้ไขได้ด้วยดีครับ
บทบาทหน้าที่ของคุณครูหลังจากที่รับรู้ว่าเด็กคนหนึ่งถูกรังแก
ควรหาสาเหตุว่าทำไมเด็กถึงต้องมีการรังแกกัน
ครอบครัวของเด็กที่ชอบรังแกคนอื่นเป็นอย่างไร
สภาพแวดล้อมภายในบ้านการเลี้ยงดูเป็นอย่างไร
ทัศนคติของพ่อแม่ต่อคำว่ารังแกเป็นอย่างไร
โรงเรียนมีกฎมีระเบียบอย่างไร และคุณครูตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร
****** ที่สำคัญที่สุด เมื่อรู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุ
ขั้นตอนการดำเนินการอาจเป็นการโยกย้ายให้เด็กที่ชอบรังแกเพื่อนคนอื่นๆ
ไปนั่งมุมหนึ่งมุมใดของห้องที่ไกลจากเด็กที่กำลังถูกรังแกอยู่
และตัวคุณครูเองคอยหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กให้มากขึ้นด้วย
เพื่อป้องกันการรังแกที่อาจเกิดขึ้นในคราวต่อไป
และคุณครูควรพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่ชอบรังแกคนอื่น
แนะนำให้พ่อแม่ของเด็กคนนั้นปรับพฤติกรรมลูกอย่างถูกวิธี
****** และคุณครูเองก็สามารถช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรังแกกันในห้องเรียน
โดยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร โดยให้เด็กได้ทำงานร่วมกัน
มีการช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
รวมทั้งให้โอกาสเด็กที่ชอบรังแกคนอื่นให้ปลดปล่อยอารมณ์โกรธอย่างถูกทาง
เช่น ให้เล่นกีฬาประเภทที่ได้ออกกำลังกายมากๆ
****** ผู้เชี่ยวชาญเองก็ได้แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยลูกให้ระบายความโกรธ
ให้ถูกทาง เช่น หาสิ่งของจำพวกตุ๊กตาให้ลูกระบายความโกรธ
แทนที่จะระบายความโกรธด้วยการทำลายข้าวของหรือรังแกเพื่อนๆ ครับ
พร้อมกับหมั่นสอนให้ลูกรู้จักใจเขาใจเรา รู้จักอดทนอดกลั้น สิ่งไหนดีไม่ดี
อะไรเหมาะอะไรควร การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม
****** เรื่องล้อเลียนหรือแกล้งกันในห้องเรียน
เป็นปัญหาที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข ทั้งคุณครู คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกถูกรังแก
และฝ่ายที่ลูกรังแกเพื่อนด้วย จึงจะสัมฤทธิ์ผลครับ
*************************************
****** ลูกของคุณเป็นหนึ่งในเด็กที่ดูขี้อาย ตัวเล็กแคระแกร็น ฟันหลอ
ผิวคล้ำ ผมหยิกฟู หรือใส่แว่น ตัวอ้วนกลม ดูไม่แข็งแรงหรือเปล่าครับ
ถ้าใช่!!! ลูกของคุณอาจตกเป็นที่ล้อเลียน หรือ เป้าสายตาของเพื่อนๆ
ที่ชอบรังแกคนอื่นได้โดยง่ายครับ สังเกตง่ายๆ
คำล้อเลียนไม่ว่าจะเป็นคำว่ายายหมูอ้วน เจ้าแว่น น้องขี้โรค นังฟันหลอ
คุณกาดำ อาจตกเป็นชื่อเรียกขานประจำยามที่ลูกรักก้าวขาเข้าไปในโรงเรียน
ซึ่งถ้ามองในมุมหนึ่งแล้วดูเหมือนลูกของคุณเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ
แต่อีกมุมมองหนึ่งแน่นอนว่าการเรียกขานนั้นๆ ย่อมทำให้ลูกรักรู้สึกอับอาย
ไม่สบายใจจนมีอาการไม่อยากไปโรงเรียน หรือไม่อยากพูดคุยกับใคร
****** ถ้าการถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งกันรุนแรงในความรู้สึกของลูกรัก
ถึงขั้นที่ลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน เกลียดโรงเรียน นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ฯลฯ
เมื่อนั้นตามความเห็นของผู้เกี่ยวข้องด้านนี้
คุณพ่อคุณแม่ควรรีบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพร้อมประสานงานกับคุณครูโดยด่วนครับ
****** ซึ่งก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือลูกรัก
ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่และคุณครูควรหาสาเหตุที่แท้จริงกันก่อนว่าทำไมเด็กๆถึงต้องรังแกกัน
*************************************
ทำไมต้อง "รังแก" กัน
*************************************
****** การรังแกกันของเด็กๆ จะรวมตั้งแต่การล้อเลียนกันซึ่งเป็นการพูดถึง
จุดด้อยของคนอื่น ไปถึงการตี การแกล้งกัน สาเหตุหลักๆ มาจากผู้ใหญ่ของเราเอง
นั่นแหละครับ ที่ไม่ค่อยนึกถึงว่าการล้อเลียนหรือแกล้งผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร
จึงละเลยไม่ค่อยอบรมสั่งสอนเด็กๆ ในเรื่องนี้ เด็กจึงพูดหรือทำแบบนั้นโดยไม่ยั้งคิด
และตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแล้ว
พฤติกรรมเหล่านี้ดูเหมือนเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีความก้าวร้าวอยู่ในตัว
ซึ่งการอบรมเลี้ยงดูที่ดีจะสามารถลดพฤติกรรมดังว่าได้
ถ้าเด็กได้รับการสอนให้ควบคุมตัวเอง และได้รับการสอนให้รู้จักถูกผิด
รู้อะไรควรไม่ควร ทั้งที่บ้านและโรงเรียน
เด็กก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมล้อเลียน หรือพูดเสียดสี ฯลฯ ได้โดยง่ายครับ
"ช่วงเด็ก 3 - 6 ขวบนี้ พัฒนาการของเด็กหลายๆ ด้านยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
เช่น ด้านภาษา ไม่สามารถบรรยายความโกรธออกมาเป็นคำพูด
จึงต้องอาศัยความก้าวร้าวรุนแรงทางด้านร่างกายมาแทนที่ เด็กบางคนจึงชอบหยิก
ชอบตี หรือกัดแทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราสามารถแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้ได้ครับ"
<<< การเลี้ยงดู >>>
****** ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการปลูกฝังและเป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ดีให้กับเด็กได้ครับ
ถ้าครอบครัวไหนพ่อและแม่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่พูดล้อเลียนคนอื่น ไม่พูดกระทบกระเทียบผู้อื่น
ไม่ทะเลาะกัน เด็กจะซึมซับตัวอย่างที่ดีแบบนี้ไปโดยอัตโนมัติ
แต่ถ้าครอบครัวไหนชอบลงโทษลูกด้วยการตี หรือดุด่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
หรือทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นประจำ
แนวโน้มของเด็กในครอบครัวนี้เมื่อออกสู่สังคมย่อมจะไปกระทำกับผู้อื่นต่อไป
ทั้งด้วยวาจาและการกระทำได้โดยง่ายครับ
****** การหันกลับมาดูแลอย่างใกล้ชิด ให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกๆ
และพยายามสอนลูกว่าสิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร ไม่ตามใจจนเกินไป
เลี้ยงลูกด้วยเหตุผล ไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหาจะช่วยเด็กที่มีพฤติกรรมชอบล้อเลียนเพื่อนๆ
หรือรังแกเพื่อนๆ ให้ลดหรือละพฤติกรรมดังกล่าวได้
<<< ธรรมชาติของเด็กเอง >>>
****** เด็กบางคนป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นและมีอาการหุนหันพลันแล่น
จะคิดจะทำอะไรจะไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน บางครั้งควบคุมตัวเองไม่ได้
จึงอาศัยการทำร้ายร่างกายเพื่อนคนอื่นๆ เป็นการระบายออก
หรือเด็กบางคนอาจมีพัฒนาทางภาษาล่าช้า
เมื่อพรรณนาออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ดีตามใจปรารถนา
จึงระบายออกทางการกระทำหรือทำร้ายรังแกผู้อื่น
****** เด็กบางคนพื้นฐานของอารมณ์เป็นคนหุนหันพลันแล่นขี้โมโห
การทำร้ายร่างกายเด็กคนอื่นอาจเกิดขึ้นได้โดยง่ายเช่นกันครับ
ซึ่งทั้งหมดตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแล้ว
เด็กที่ชอบรังแกเด็กคนอื่นๆ ลึกๆ แล้วเขานั่นแหละที่เป็นเด็กมีปัญหา
ซึ่งควรได้รับการแก้ไขต่อไป
<<< ปฏิกิริยาของคุณครู >>>
****** ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าปฏิกิริยาของคุณครูเองอาจเป็นแรงกระตุ้น
ให้เด็กชอบรังแกเด็กคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เช่น คุณครูอาจเพ่งเล็ง
ให้ความสนใจเด็กที่ชอบทำร้ายคนอื่นมากจนเกินไป
แทนที่จะระงับพฤติกรรมกลับเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้เด็กทำพฤติกรรมนั้นๆ
อย่างต่อเนื่อง เพราะยิ่งทำยิ่งได้รับความสนใจครับ แต่คุณครูสามารถลดพฤติกรรม
ดังกล่าวได้โดยหาจุดดีของเขาแล้วชมเชย ให้เขาเรียนรู้ว่าสิ่งดีๆ มักจะมีคนชม
สำหรับเด็กที่ถูกรังแกคุณครูควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เพราะเด็กที่ถูกรังแกมักจะไม่กล้าบอกใคร และเต็มไปด้วยความกลัว วิตกกังวล
***********************************
เมื่อลูก "ถูกรังแก"
***********************************
****** เด็กที่ถูกรังแกมักจะมีอาการงอแง ไม่ยอมไปโรงเรียนหรือมีอาการซึมเศร้า
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นเด็กร่าเริง บางคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นฝันร้าย เบื่ออาหาร
"เด็กบางคนเวลาถูกรังแกมาอาจเห็นได้ชัดๆ คือ จะเห็นว่ามีรอยแผล
แขนขาช้ำเพราะถูกรังแกมา ซึ่งในส่วนนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยสื่อสาร
กับคุณครูที่โรงเรียนให้ดีๆ เพราะส่วนใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา
โรงเรียนมักปกปิดด้วยเกรงว่าคุณครูที่โรงเรียนดูแลลูกของตัวเองได้ไม่ดี
แต่พ่อแม่เองควรทำความเข้าใจด้วยว่าจำนวนนักเรียนในห้องต่อคุณครู
มีสัดส่วนไม่เท่ากัน ถ้าพ่อแม่เข้าใจอย่างนี้และไม่คาดหวังมาก
พร้อมร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ปัญหาดังกล่าวอาจจะถูกแก้ไขได้ด้วยดีผ่านการร่วมมือกัน"
***********************************
ช่วยลูกที่ "ถูกรังแก"
***********************************
****** ให้โอกาสลูกระบายความรู้สึก
หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นแล้วว่าลูกมีอาการซึมเศร้า
บ่อยครั้งไม่อยากไปโรงเรียน หรือมีรอยแผลกลับมาบ้านอยู่เป็นประจำ
ควรไถ่ถามและเปิดโอกาสให้ลูกรักได้ระบาย
หรือบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี และเหมาะสมที่สุด
เพราะเด็กๆ ควรได้มีโอกาสบอกเล่าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่สบายใจ
กับพ่อและแม่อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ไม่ควรวู่วาม แสดงความโกรธเคืองขัดจังหวะลูก
****** ร่วมมือกับคุณครูหาสาเหตุและแก้ปัญหา
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครูที่โรงเรียนประสานการทำงานร่วมกัน
เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยต่างฝ่ายต่างไม่โทษซึ่งกันและกัน
ปัญหาการรังแกกันในโรงเรียนจะได้รับการแก้ไขได้ด้วยดีครับ
บทบาทหน้าที่ของคุณครูหลังจากที่รับรู้ว่าเด็กคนหนึ่งถูกรังแก
ควรหาสาเหตุว่าทำไมเด็กถึงต้องมีการรังแกกัน
ครอบครัวของเด็กที่ชอบรังแกคนอื่นเป็นอย่างไร
สภาพแวดล้อมภายในบ้านการเลี้ยงดูเป็นอย่างไร
ทัศนคติของพ่อแม่ต่อคำว่ารังแกเป็นอย่างไร
โรงเรียนมีกฎมีระเบียบอย่างไร และคุณครูตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร
****** ที่สำคัญที่สุด เมื่อรู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุ
ขั้นตอนการดำเนินการอาจเป็นการโยกย้ายให้เด็กที่ชอบรังแกเพื่อนคนอื่นๆ
ไปนั่งมุมหนึ่งมุมใดของห้องที่ไกลจากเด็กที่กำลังถูกรังแกอยู่
และตัวคุณครูเองคอยหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กให้มากขึ้นด้วย
เพื่อป้องกันการรังแกที่อาจเกิดขึ้นในคราวต่อไป
และคุณครูควรพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่ชอบรังแกคนอื่น
แนะนำให้พ่อแม่ของเด็กคนนั้นปรับพฤติกรรมลูกอย่างถูกวิธี
****** และคุณครูเองก็สามารถช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรังแกกันในห้องเรียน
โดยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร โดยให้เด็กได้ทำงานร่วมกัน
มีการช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
รวมทั้งให้โอกาสเด็กที่ชอบรังแกคนอื่นให้ปลดปล่อยอารมณ์โกรธอย่างถูกทาง
เช่น ให้เล่นกีฬาประเภทที่ได้ออกกำลังกายมากๆ
****** ผู้เชี่ยวชาญเองก็ได้แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยลูกให้ระบายความโกรธ
ให้ถูกทาง เช่น หาสิ่งของจำพวกตุ๊กตาให้ลูกระบายความโกรธ
แทนที่จะระบายความโกรธด้วยการทำลายข้าวของหรือรังแกเพื่อนๆ ครับ
พร้อมกับหมั่นสอนให้ลูกรู้จักใจเขาใจเรา รู้จักอดทนอดกลั้น สิ่งไหนดีไม่ดี
อะไรเหมาะอะไรควร การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม
****** เรื่องล้อเลียนหรือแกล้งกันในห้องเรียน
เป็นปัญหาที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข ทั้งคุณครู คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกถูกรังแก
และฝ่ายที่ลูกรังแกเพื่อนด้วย จึงจะสัมฤทธิ์ผลครับ
อย่าขโมยความฝันเด็ก
อย่าขโมยความฝันเด็ก
*******************************
****** เก็บตกฟอร์เวิร์ดเมล์ดีๆ
ที่มีผู้แปลจากบทความเรื่อง follow your dreams มาฝาก
เรื่องดีๆ แบบนี้อย่าเพิ่งผ่านตาไปนะครับ อยากให้ติดตามอ่านจนจบ
... เด็กชายอายุ 16 ปีคนหนึ่งชื่อว่า "มอนตี้"
คุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง "โตขึ้นอยากเป็นอะไร"
มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7 หน้ากระดาษถึงความฝันของเขาที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า
พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์
เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุกๆ ส่วน
แต่เมื่อเขานำไปส่ง กลับได้คะแนน F และถูกคุณครูเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน
... มอนตี้เข้าไปพบคุณครู และถามว่าทำไมเรียงความของเขาถึงได้ F
ก็ได้รับคำตอบว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะของครอบครัวของมอนตี้จะสามารถทำได้
แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา
แต่คุณครูไม่รับฟัง และขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่
โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้าง แล้วจะแก้คะแนนให้
... มอนตี้กลับบ้าน และนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา
ซึ่งพ่อก็ให้คำตอบว่า
"เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง
แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่า
การตัดสินใจของลูกครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน"
... มอนตี้ใคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า
"ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกัน ผมจะรักษาความฝันของผมไว้"
... มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนฟัง พร้อมกับกล่าวว่า
"ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะว่าขณะนี้คุณกำลังนั่งอยู่หน้าเตาผิงในบ้าน
พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่ 200 เอเคอร์
และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้นได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาผิง"
... เขาเล่าต่อว่า "ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ
ในวันหนึ่งของฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้วคุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน 30 คน
มาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า
ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็กๆ ไปตั้งมากมาย
แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ"...
***********************************
สรุปว่า "ผิดเป็นครู" ยังเป็นคำก้องในหูและสมองของผมไปตลอดชีวิตเลยนะเนี่ย
*******************************
****** เก็บตกฟอร์เวิร์ดเมล์ดีๆ
ที่มีผู้แปลจากบทความเรื่อง follow your dreams มาฝาก
เรื่องดีๆ แบบนี้อย่าเพิ่งผ่านตาไปนะครับ อยากให้ติดตามอ่านจนจบ
... เด็กชายอายุ 16 ปีคนหนึ่งชื่อว่า "มอนตี้"
คุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง "โตขึ้นอยากเป็นอะไร"
มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7 หน้ากระดาษถึงความฝันของเขาที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า
พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์
เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุกๆ ส่วน
แต่เมื่อเขานำไปส่ง กลับได้คะแนน F และถูกคุณครูเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน
... มอนตี้เข้าไปพบคุณครู และถามว่าทำไมเรียงความของเขาถึงได้ F
ก็ได้รับคำตอบว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะของครอบครัวของมอนตี้จะสามารถทำได้
แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา
แต่คุณครูไม่รับฟัง และขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่
โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้าง แล้วจะแก้คะแนนให้
... มอนตี้กลับบ้าน และนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา
ซึ่งพ่อก็ให้คำตอบว่า
"เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง
แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่า
การตัดสินใจของลูกครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน"
... มอนตี้ใคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า
"ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกัน ผมจะรักษาความฝันของผมไว้"
... มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนฟัง พร้อมกับกล่าวว่า
"ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะว่าขณะนี้คุณกำลังนั่งอยู่หน้าเตาผิงในบ้าน
พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่ 200 เอเคอร์
และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้นได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาผิง"
... เขาเล่าต่อว่า "ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ
ในวันหนึ่งของฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้วคุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน 30 คน
มาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า
ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็กๆ ไปตั้งมากมาย
แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ"...
***********************************
สรุปว่า "ผิดเป็นครู" ยังเป็นคำก้องในหูและสมองของผมไปตลอดชีวิตเลยนะเนี่ย
นักจัดการตัวจิ๋ว (พัฒนาการเด็ก)
นักจัดการตัวจิ๋ว (พัฒนาการเด็ก)
******************************
****** ฮิตกันนักหนาวิชาการจัดการเนี่ย มหาวิทยาลัยที่ไหนที่นั่น
เป็นต้องเปิดคอร์สที่ว่ากันโครมๆ ก็น่าอยู่หรอกครับ
เพราะว่ากันว่าความสามารถในการจัดการกับสิ่งต่างๆ
เป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต
แล้วยังเกี่ยวข้องกับความสำเร็จหรือล้มเหลวในวันข้างหน้าอีกด้วย
****** เจ้าตัวน้อยวัยอนุบาลเริ่มออกสู่โลกกว้างมากขึ้น
ลูกเริ่มมีสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตที่ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองเป็นเงาตามตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งชีวิตที่บ้านและที่โรงเรียน
และเริ่มต้องการวิธีจัดการกับชีวิตประจำวันให้ลงตัวไม่แพ้ผู้ใหญ่เหมือนกัน
****** ที่เกริ่นมาเสียยืดยาว ไม่ได้ต้องการให้คุณไปเสียเงินเสียทอง
หรือเสียเวลาจูงลูกไปเข้าคอร์สกับโปรเฟสเซอร์ชื่อดังคนไหนหรอกนะครับ
ก็คุณเองนั่นแหละครับ ฝึกลูกให้รู้จักจัดการกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตเขาได้ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ครับ
******************************
รู้จักเวลา
******************************
****** สิ่งแรกที่ลูกต้องเรียนรุ้คือเรื่องของเวลา
เวลาไหนควรทำอะไร ถ้าพ่อแม่บ้านไหนดูแลให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ
ตรงเวลาสม่ำเสมอ ตั้งแต่ตื่นนอน ทานข้าว เข้านอน.....
มาแต่เล็กแต่น้อย รับรองว่า ไม่ต้องเหนื่อยตอนโต
****** ถ้าไม่ได้ฝึกลูกมาแต่แรก ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาได้นะครับว่า
บทเรียนแรกนี้จะยุ่งเหยิงปั่นป่วนขนาดไหนอยู่ๆ จะมาฝึก ก็ต้องฝึกยากกันหน่อย
แต่เชื่อเถอะครับว่าผ่านไปสักพักลูกจะทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ขอให้คุณเอาจริง แล้วคุณจะแปลกใจว่าทำไมไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชลูกเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อไหร่ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน กินข้าว เล่นซน หรือเข้านอน ลูกช่างรู้เวลาไปหมด
****** เมื่อไหร่ที่ลูกเริ่มจัดการกับเวลาในชีวิตประจำวันของเขาได้
ลูกก็จะจัดการกับเรื่องเรียนของเขาได้ด้วย
******************************
เรียนรู้ระบบ
******************************
****** หลังจากที่ลูกเริ่มเรียนรู้ว่าเวลาไหน ต้องทำอะไรแล้ว
ลูกจะค่อยๆ เรียนรู้เรื่องของ "ระบบ" มากขึ้นเรื่อยๆ
เช่น ถ้าคุณวางตะกร้าของเล่นไว้ใกล้ๆ ตู้หนังสือเสมอ ลูกจะเริ่มรับรู้ว่า
ถ้าจะเล่นต้องไปหยิบของเล่นที่ไหนและเมื่อเล่นเสร็จแล้วจะต้องไปเก็บไว้ที่ใด
ลูกจะเริ่มทำอะไรมีระบบระเบียบ รู้จักหยิบและเก็บของเข้าที่โดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่บอก
จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายไปสู่การจัดระบบชีวิตในเรื่องอื่นๆ ต่อไป
นานวันเข้ากิจวัตรประจำวันต่างๆ ของลูกก็จะแปรเปลี่ยนเป็นนิสัยที่ติดตัวเขาไปในที่สุด
******************************
ได้เวลาฝึก
******************************
****** มาถึงตอนนี้ลูกเริ่มเข้าใจความหมายและความสำคัญของการจัดการสิ่งต่างๆ
แล้วก็ถึงเวลาที่จะฝึกให้ลูกรู้จักการจัดการชีวิตให้ลงตัวกันบ้าง วิธีการเหล่านี้ช่วยคุณได้ครับ
>>> >>> >>> ระบบตะกร้า
คุณควรฝึกให้ลูกรู้ว่าของทุกอย่างมีที่อยู่ของมันเอง
ลองหาตะกร้าใบโตๆ ไว้ให้ลูกเก็บข้าวของของเขา
คุณอาจจะแปะภาพสิ่งของที่ต้องเก็บในกล่องนั้นไว้ด้านหน้ากล่องด้วยก็ได้
เพื่อเป็นการเตือนความจำเจ้าตัวเล็ก
>>> >>> >>> ทำทุกอย่างตามเวลา
ต้องมั่นใจว่าลูกมีเวลาทำการบ้าน กินข้าว พักผ่อน อาบน้ำและเข้านอน
เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน
การทำทุกอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กๆ รู้ว่าเวลาไหนเขาต้องทำอะไร
แต่การให้ลูกทำกิจกรรมเวลาไหน ไม่สำคัญเท่ากับการยึดอยู่กับเวลานั้นๆ อย่างเคร่งครัด
>>> >>> >>> ทำตารางช่วยจำ
แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเรายังต้องทำตารางเพื่อช่วยเตือนความจำ
คุณอาจจะลองนำเอาวิธีนี้ไปใช้กับลูกบ้าง
ถ้าลูกต้องทำกิจกรรมอะไรที่อาศัยอุปกรณ์มากมาย ควรทำตารางช่วยจำขึ้น
ก็เพื่อให้แน่ใจว่าลูกไม่ลืมหยิบของที่ต้องใช้ไปด้วยก่อนออกจากบ้าน
คุณอาจจะเขียนคำง่ายๆ สั้นๆ ในตารางช่วยจำก็ได้
เช่น เขียนคำว่า "ดินสอสี" ลงไปในวันที่ลูกเรียนศิลปะ อย่างนี้เป็นต้น
รับรองว่าอารมณ์หงุดหงิดของคุณเวลาลูกลืมหยิบของไปโรงเรียน จะหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ
>>> >>> >>> วางแผนล่วงหน้า
บางครั้งกิจกรรมของลูก อาจจะกินระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่ประเภทวันเดียวเสร็จ
คุณอาจจะฝึกให้ลูกรู้จักวางแผนล่วงหน้าว่าเมื่อไหร่จะต้องทำอะไร
จะช่วยให้ลูกเห็นภาพสิ่งที่จะทำตามลำดับก่อนหลังได้ง่ายยิ่งขึ้น
และรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อแต่ละขั้นตอนสำเร็จลง
การรู้จักวางแผนล่วงหน้านี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับชีวิตในอนาคตของลูกด้วย
>>> >>> >>> สร้างบรรยากาศทำการบ้าน
ถ้าลูกวอกแวกง่าย ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำการบ้าน เดี๋ยววิ่งไปนั่น เดี๋ยวเล่นของเล่นอันนี้
คุณอาจจะช่วยลูกด้วยการหาที่เงียบๆ ให้เขา เพื่อให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น
และทำการบ้านเสร็จโดยคุณไม่ต้องมานั่งปวดหัว....
เช่นกันครับ เวลาทำการบ้านนั้นควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวันด้วย
>>> >>> >>> ฝึกด้วยงานบ้าน
เด็กบางคนชีวิตไร้ระเบียบยุ่งเหยิง เพราะไม่เคยเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ
ลองหัดให้ลูกรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ
เช่น แรกๆ คุณอาจจะให้ลูกช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ซักแล้วใส่ตะกร้าหรือแยกถุงเท้าเป็นคู่ๆ
จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มงานที่ซับซ้อนขึ้นให้เขาช่วยทำ
การให้ลูกรู้จักรับผิดชอบนี้จะช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
เห็นไหมครับว่าการฝึกลูกให้รับผิดชอบและรู้จักจัดการกับสิ่งต่างๆ
ไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย ขอเพียงต้องทำอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นเองครับ
******************************
****** ฮิตกันนักหนาวิชาการจัดการเนี่ย มหาวิทยาลัยที่ไหนที่นั่น
เป็นต้องเปิดคอร์สที่ว่ากันโครมๆ ก็น่าอยู่หรอกครับ
เพราะว่ากันว่าความสามารถในการจัดการกับสิ่งต่างๆ
เป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต
แล้วยังเกี่ยวข้องกับความสำเร็จหรือล้มเหลวในวันข้างหน้าอีกด้วย
****** เจ้าตัวน้อยวัยอนุบาลเริ่มออกสู่โลกกว้างมากขึ้น
ลูกเริ่มมีสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตที่ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองเป็นเงาตามตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งชีวิตที่บ้านและที่โรงเรียน
และเริ่มต้องการวิธีจัดการกับชีวิตประจำวันให้ลงตัวไม่แพ้ผู้ใหญ่เหมือนกัน
****** ที่เกริ่นมาเสียยืดยาว ไม่ได้ต้องการให้คุณไปเสียเงินเสียทอง
หรือเสียเวลาจูงลูกไปเข้าคอร์สกับโปรเฟสเซอร์ชื่อดังคนไหนหรอกนะครับ
ก็คุณเองนั่นแหละครับ ฝึกลูกให้รู้จักจัดการกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตเขาได้ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ครับ
******************************
รู้จักเวลา
******************************
****** สิ่งแรกที่ลูกต้องเรียนรุ้คือเรื่องของเวลา
เวลาไหนควรทำอะไร ถ้าพ่อแม่บ้านไหนดูแลให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ
ตรงเวลาสม่ำเสมอ ตั้งแต่ตื่นนอน ทานข้าว เข้านอน.....
มาแต่เล็กแต่น้อย รับรองว่า ไม่ต้องเหนื่อยตอนโต
****** ถ้าไม่ได้ฝึกลูกมาแต่แรก ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาได้นะครับว่า
บทเรียนแรกนี้จะยุ่งเหยิงปั่นป่วนขนาดไหนอยู่ๆ จะมาฝึก ก็ต้องฝึกยากกันหน่อย
แต่เชื่อเถอะครับว่าผ่านไปสักพักลูกจะทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ขอให้คุณเอาจริง แล้วคุณจะแปลกใจว่าทำไมไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชลูกเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อไหร่ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน กินข้าว เล่นซน หรือเข้านอน ลูกช่างรู้เวลาไปหมด
****** เมื่อไหร่ที่ลูกเริ่มจัดการกับเวลาในชีวิตประจำวันของเขาได้
ลูกก็จะจัดการกับเรื่องเรียนของเขาได้ด้วย
******************************
เรียนรู้ระบบ
******************************
****** หลังจากที่ลูกเริ่มเรียนรู้ว่าเวลาไหน ต้องทำอะไรแล้ว
ลูกจะค่อยๆ เรียนรู้เรื่องของ "ระบบ" มากขึ้นเรื่อยๆ
เช่น ถ้าคุณวางตะกร้าของเล่นไว้ใกล้ๆ ตู้หนังสือเสมอ ลูกจะเริ่มรับรู้ว่า
ถ้าจะเล่นต้องไปหยิบของเล่นที่ไหนและเมื่อเล่นเสร็จแล้วจะต้องไปเก็บไว้ที่ใด
ลูกจะเริ่มทำอะไรมีระบบระเบียบ รู้จักหยิบและเก็บของเข้าที่โดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่บอก
จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายไปสู่การจัดระบบชีวิตในเรื่องอื่นๆ ต่อไป
นานวันเข้ากิจวัตรประจำวันต่างๆ ของลูกก็จะแปรเปลี่ยนเป็นนิสัยที่ติดตัวเขาไปในที่สุด
******************************
ได้เวลาฝึก
******************************
****** มาถึงตอนนี้ลูกเริ่มเข้าใจความหมายและความสำคัญของการจัดการสิ่งต่างๆ
แล้วก็ถึงเวลาที่จะฝึกให้ลูกรู้จักการจัดการชีวิตให้ลงตัวกันบ้าง วิธีการเหล่านี้ช่วยคุณได้ครับ
>>> >>> >>> ระบบตะกร้า
คุณควรฝึกให้ลูกรู้ว่าของทุกอย่างมีที่อยู่ของมันเอง
ลองหาตะกร้าใบโตๆ ไว้ให้ลูกเก็บข้าวของของเขา
คุณอาจจะแปะภาพสิ่งของที่ต้องเก็บในกล่องนั้นไว้ด้านหน้ากล่องด้วยก็ได้
เพื่อเป็นการเตือนความจำเจ้าตัวเล็ก
>>> >>> >>> ทำทุกอย่างตามเวลา
ต้องมั่นใจว่าลูกมีเวลาทำการบ้าน กินข้าว พักผ่อน อาบน้ำและเข้านอน
เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน
การทำทุกอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กๆ รู้ว่าเวลาไหนเขาต้องทำอะไร
แต่การให้ลูกทำกิจกรรมเวลาไหน ไม่สำคัญเท่ากับการยึดอยู่กับเวลานั้นๆ อย่างเคร่งครัด
>>> >>> >>> ทำตารางช่วยจำ
แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเรายังต้องทำตารางเพื่อช่วยเตือนความจำ
คุณอาจจะลองนำเอาวิธีนี้ไปใช้กับลูกบ้าง
ถ้าลูกต้องทำกิจกรรมอะไรที่อาศัยอุปกรณ์มากมาย ควรทำตารางช่วยจำขึ้น
ก็เพื่อให้แน่ใจว่าลูกไม่ลืมหยิบของที่ต้องใช้ไปด้วยก่อนออกจากบ้าน
คุณอาจจะเขียนคำง่ายๆ สั้นๆ ในตารางช่วยจำก็ได้
เช่น เขียนคำว่า "ดินสอสี" ลงไปในวันที่ลูกเรียนศิลปะ อย่างนี้เป็นต้น
รับรองว่าอารมณ์หงุดหงิดของคุณเวลาลูกลืมหยิบของไปโรงเรียน จะหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ
>>> >>> >>> วางแผนล่วงหน้า
บางครั้งกิจกรรมของลูก อาจจะกินระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่ประเภทวันเดียวเสร็จ
คุณอาจจะฝึกให้ลูกรู้จักวางแผนล่วงหน้าว่าเมื่อไหร่จะต้องทำอะไร
จะช่วยให้ลูกเห็นภาพสิ่งที่จะทำตามลำดับก่อนหลังได้ง่ายยิ่งขึ้น
และรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อแต่ละขั้นตอนสำเร็จลง
การรู้จักวางแผนล่วงหน้านี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับชีวิตในอนาคตของลูกด้วย
>>> >>> >>> สร้างบรรยากาศทำการบ้าน
ถ้าลูกวอกแวกง่าย ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำการบ้าน เดี๋ยววิ่งไปนั่น เดี๋ยวเล่นของเล่นอันนี้
คุณอาจจะช่วยลูกด้วยการหาที่เงียบๆ ให้เขา เพื่อให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น
และทำการบ้านเสร็จโดยคุณไม่ต้องมานั่งปวดหัว....
เช่นกันครับ เวลาทำการบ้านนั้นควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวันด้วย
>>> >>> >>> ฝึกด้วยงานบ้าน
เด็กบางคนชีวิตไร้ระเบียบยุ่งเหยิง เพราะไม่เคยเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ
ลองหัดให้ลูกรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ
เช่น แรกๆ คุณอาจจะให้ลูกช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ซักแล้วใส่ตะกร้าหรือแยกถุงเท้าเป็นคู่ๆ
จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มงานที่ซับซ้อนขึ้นให้เขาช่วยทำ
การให้ลูกรู้จักรับผิดชอบนี้จะช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
เห็นไหมครับว่าการฝึกลูกให้รับผิดชอบและรู้จักจัดการกับสิ่งต่างๆ
ไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย ขอเพียงต้องทำอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นเองครับ
ก้าวที่พร้อมและง่าย เมื่อต้องไปโรงเรียนประถม
ก้าวที่พร้อมและง่าย เมื่อต้องไปโรงเรียนประถม
********************************
****** มีเสียงเด็กๆ ที่กำลังจะเรียนจบชั้นอนุบาล 3
และต้องไปขึ้นชั้นประถม 1 ในเดือนพฤษภาคมนี้ แว่วมาให้ได้ยินว่า
พวกเขารู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนถูกทิ้งขว้างชอบกล
เพราะพ่อแม่มักคิดว่าลูกโตแล้ว
เคยมีประสบการณ์ไปโรงเรียน (มาตั้ง 3 ปี) แล้ว จึงไม่น่าจะต้องเตรียมตัว
หรือตั้งรับอะไรมาก
แต่ในความเป็นจริงนั้นผิดถนัดเลย
เพราะความประหวั่นพรั่นใจดูเหมือนจะไม่ต่างจากเมื่อคราวต้องจากอ้อมอกพ่อแม่
ไปสู่โรงเรียนอนุบาลเท่าไรนัก
****** แถมปัญหาหนักอกอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เรื่องการเรียน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การจดการบ้าน ลูกเราเคยเรียนแบบนี้เสียที่ไหน
เพราะเคยเรียนแต่ผ่านกิจกรรมสนุกๆ อย่างนี้จะทำได้เหมือนเพื่อนๆ
ที่มาจากต่างโรงเรียนหรือเปล่า เห็นทีจะต้องจับเข่าคุยกันอีกรอบ
เพื่อลูกน้อยของเราจะได้เรียนในชั้นประถมได้อย่างมีความสุข
***************************************
ฝึกรับผิดชอบดูแลตัวเองตามวัยที่เติบโตไป
***************************************
****** เมื่ออยู่ในชั้นเรียนประถมนั้น
อัตราส่วนครูต่อนักเรียนที่น้อยกว่าชั้นเรียนอนุบาล
ทำให้การตามดูแลกันอย่างใกล้ชิด และเฝ้าเก็บสมบัติของลูกศิษย์ตัวเล็กๆ
ที่ลืมนั่นลืมนี่ไว้ที่โรงเรียน ย่อมต้องลดลงเป็นเงาตามตัว
ทางบ้านจำเป็นที่จะต้องฝึกให้เด็กๆ ช่วยเหลือตัวเองให้มาก
โดยฝึกให้ลูกรับผิดชอบเรื่องของตัวเองในชีวิตประจำวันให้ได้
เพราะสิ่งนี้สำคัญมากที่จะช่วยให้ลูกไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยาก
และลดภาระทั้งของคุณพ่อคุณแม่และคุณครูได้เป็นอย่างมาก
****** คงเห็นด้วยนะครับว่าถึงเวลาลงแรงเอาจริงเอาจังกันสักตั้ง
ก่อนถึงวันดีเดย์ที่ลูกต้องหิ้วกระเป๋าเดินตัวปลิวเข้าโรงเรียนประถม
ด้วยวิธีฝึกความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมกับวัย
ให้กำลังใจและชื่นชมกับสิ่งที่ลูกทำได้ มีความชัดเจน
และยืนยันสิ่งที่ต้องการให้ลูกปฏิบัติ ด้วยการกำกับให้ทำอยู่ด้วยกัน
มีความสม่ำเสมอคงเส้นคงวา ได้ทั้งความรับผิดชอบ ได้ทั้งวินัย
****** แต่อย่าลืมนะครับ ขอให้งดเทคนิคเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะได้ผล
จนตัวเองพลอยหงุดหงิดไปด้วย คือการตามบ่นตามว่า จุกจิกจู้จี้
***************************************
ฝึกให้กล้าจัดการกับปัญหาสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
***************************************
****** บทเรียนอีกบทที่จะฝึกลูกนั้น คือการฝึกให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง
กล้าคิดกล้าตัดสินใจเมื่อประสบปัญหา สำหรับเด็กๆ แล้วชีวิตของเด็กประถม 1 นั้น
แต่ละวันช่างมีเรื่องราวมากมายที่เด็กๆ ต้องแก้ ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง
นับตั้งแต่วันแรก จะเดินทางไปไหนก่อนดี หลังจากเดินเข้าประตูโรงเรียนโดยลำพัง
ต้องฟังเสียงประกาศให้เข้าแถว จะยืนตรงไหน จะพูดกับใคร
พอย้ายไปเรียนวิชาพิเศษที่ห้องเรียนอื่น กลับห้องเรียน อ้าว!!! ลืมไปแล้วว่า
เมื่อชั่วโมงก่อนตัวเองนั่งเรียนตรงไหน เพราะโต๊ะเก้าอี้เรียงเป็นแถวเหมือนกันหมด
****** หากเด็กไม่เชื่อมั่นในตนเอง คงจะว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่กล้าตัดสินใจ
อีกทั้งยังไม่กล้าแม้แต่จะขอความช่วยเหลือจากคุณครู
****** เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง
ทักษะในการแก้ปัญหาที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจ
เกิดขึ้นได้ยากในครอบครัวที่ทำให้ลูกไปเสียหมดทุกอย่าง
พ่อแม่บางคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือลูกโดยไม่รอให้ลูกคิดแก้ปัญหาเอง
แบบนี้มีแต่จะทำให้ลูกอ่อนแอ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาโดยลำพัง
***************************************
อย่าท้อเพราะเตรียมความพร้อม
***************************************
****** ผ่านการตั้งรับกันเต็มที่ ทีนี้มาถึงปัญหาหนักอกที่พ่อแม่มักจะวิตกกังวล
ซึ่งหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องการเรียน เพราะลูกเรียนแบบเตรียมความพร้อมมา
การเรียนแนวนี้เราทราบกันว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับพัฒนาการ
ความถนัด ความสนใจของเด็ก เด็กเรียนผ่านการเล่น การทำกิจกรรมที่สนุกสนาน
ไปพร้อมๆ กับได้เรียนรู้ทักษะวิชาต่างๆ ได้คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ
และกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหาความรู้ด้วย
ทักษะเหล่านี้แหละสำคัญมากต่อการเรียนในระดับประถมศึกษา
และมีคุณค่าอย่างมากมายต่อการเรียนในระยะยาว
****** แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า การเรียนในระดับประถมศึกษา
การคัดเขียนเป็นสิ่งที่เด็กต้องทำมากขึ้นกว่าเดิม ต้องจดงาน
จดการบ้านบนกระดานดำ สำหรับเด็กที่เรียนมาแบบเตรียมความพร้อม
อาจจะคัดเขียนได้ช้ากว่า สวยน้อยกว่า
เพราะตอนสมัยอยู่อนุบาลเด็กทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ไม่ได้มัวแต่ทำแบบฝึก และคัดลายมือวันละหลายชั่วโมง
ในระยะแรกๆ อาจทำให้เด็กรู้สึกท้อได้
***************************************
พาลูกก้าวข้ามความรู้สึกยากไปให้ได้
***************************************
****** ตอนนี้ยังปิดเทอมอยู่ ยังพอมีเวลาเตรียมลูกให้พร้อมกับ
ระบบการเรียนที่เปลี่ยนไป เริ่มเสียแต่วันนี้ก็ดี
เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกได้อ่านได้เขียนมากขึ้น มีเทคนิคง่ายๆ มาฝากด้วย
>>> >>> >>> ชวนลูกอ่านหนังสือทุกวัน เป็นการอ่านตามตัวหนังสือ
(จะต่างจากการเล่านิทานนะครับ) และชี้ตัวหนังสือไปด้วย
จึงต้องหาหนังสือที่ตัวโตหน่อย และมีตัวหนังสือไม่มากนัก
>>> >>> >>> เขียนโน้ตถึงกันในบ้าน
เวลาคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่อยู่ ให้เขียนตัวหนังสือโตๆ และชัดๆ
>>> >>> >>> บวกลบเลขจากจำนวนเงินไม่มากนักเมื่อไปซื้อของด้วยกัน
****** ปิดเทอมว่างๆ ชวนลูกคัด เขียน อ่าน วันละนิดวันละหน่อย
เปิดเทอมมาจะได้ไม่ลืม
****** นอกจากนี้ในวันมอบตัว พบครูประจำชั้นของลูก
คุณพ่อคุณแม่ต้องบอกให้คุณครูทราบด้วยครับว่า
ลูกของเราเรียนมาในแนวเตรียมความพร้อม คุณครูจะได้เข้าใจพื้นฐานการเรียนของลูก
จากนั้นในแต่ละวัน ควรให้เวลาและติดตามให้ความช่วยเหลือลูกอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรก อาจช่วยอ่านโจทย์คำสั่งให้ฟังบ้าง
หรือบางทีก็คงต้องช่วยเดาการบ้านที่ลูกจดอย่างตกๆ หล่นๆ
****** อ้อ!!! ระวังนะครับ อย่าแสดงความกังวลว่าลูกของเราจะเรียนสู้ลูกคนอื่นไม่ได้
สิ่งนี้รังแต่จะไปเพิ่มความเครียดให้กับลูกอีก
เพราะลูกเองเขารู้ว่าเขาทำได้ดีแค่ไหนอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ
****** ดีที่สุดคือ ให้เอาความก้าวหน้าในแต่ละวันของลูกเป็นตัวตั้ง
ลูกคนอื่นไม่ต้องไปนึกถึง ให้กำลังใจ ชื่นชมลูกเข้าไว้ครับ ไม่นานนัก
บางคนเดือนเดียว เทอมเดียวก็หมดกังวลได้ และมีอีกหลายๆ คนนั้นพอสิ้นเทอมก็ไปได้ฉิว
เพราะเขาได้รับการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เป็นฐานที่แข็งแรงตั้งแต่อนุบาลอยู่แล้ว
****** ยิ่งสมัยนี้โรงเรียนประถมจำนวนมากมีการปฏิรูปการเรียนรู้
จึงเหมาะมากกับลูกเราที่เรียนแบบเตรียมความพร้อม
ผ่านการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ลูกมีความสุข ความกระตือรือร้น ที่จะค้นหาความรู้ต่อไป
เป็นอันว่าเบาใจหายห่วงได้แล้วนะครับ
********************************
****** มีเสียงเด็กๆ ที่กำลังจะเรียนจบชั้นอนุบาล 3
และต้องไปขึ้นชั้นประถม 1 ในเดือนพฤษภาคมนี้ แว่วมาให้ได้ยินว่า
พวกเขารู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนถูกทิ้งขว้างชอบกล
เพราะพ่อแม่มักคิดว่าลูกโตแล้ว
เคยมีประสบการณ์ไปโรงเรียน (มาตั้ง 3 ปี) แล้ว จึงไม่น่าจะต้องเตรียมตัว
หรือตั้งรับอะไรมาก
แต่ในความเป็นจริงนั้นผิดถนัดเลย
เพราะความประหวั่นพรั่นใจดูเหมือนจะไม่ต่างจากเมื่อคราวต้องจากอ้อมอกพ่อแม่
ไปสู่โรงเรียนอนุบาลเท่าไรนัก
****** แถมปัญหาหนักอกอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เรื่องการเรียน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การจดการบ้าน ลูกเราเคยเรียนแบบนี้เสียที่ไหน
เพราะเคยเรียนแต่ผ่านกิจกรรมสนุกๆ อย่างนี้จะทำได้เหมือนเพื่อนๆ
ที่มาจากต่างโรงเรียนหรือเปล่า เห็นทีจะต้องจับเข่าคุยกันอีกรอบ
เพื่อลูกน้อยของเราจะได้เรียนในชั้นประถมได้อย่างมีความสุข
***************************************
ฝึกรับผิดชอบดูแลตัวเองตามวัยที่เติบโตไป
***************************************
****** เมื่ออยู่ในชั้นเรียนประถมนั้น
อัตราส่วนครูต่อนักเรียนที่น้อยกว่าชั้นเรียนอนุบาล
ทำให้การตามดูแลกันอย่างใกล้ชิด และเฝ้าเก็บสมบัติของลูกศิษย์ตัวเล็กๆ
ที่ลืมนั่นลืมนี่ไว้ที่โรงเรียน ย่อมต้องลดลงเป็นเงาตามตัว
ทางบ้านจำเป็นที่จะต้องฝึกให้เด็กๆ ช่วยเหลือตัวเองให้มาก
โดยฝึกให้ลูกรับผิดชอบเรื่องของตัวเองในชีวิตประจำวันให้ได้
เพราะสิ่งนี้สำคัญมากที่จะช่วยให้ลูกไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยาก
และลดภาระทั้งของคุณพ่อคุณแม่และคุณครูได้เป็นอย่างมาก
****** คงเห็นด้วยนะครับว่าถึงเวลาลงแรงเอาจริงเอาจังกันสักตั้ง
ก่อนถึงวันดีเดย์ที่ลูกต้องหิ้วกระเป๋าเดินตัวปลิวเข้าโรงเรียนประถม
ด้วยวิธีฝึกความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมกับวัย
ให้กำลังใจและชื่นชมกับสิ่งที่ลูกทำได้ มีความชัดเจน
และยืนยันสิ่งที่ต้องการให้ลูกปฏิบัติ ด้วยการกำกับให้ทำอยู่ด้วยกัน
มีความสม่ำเสมอคงเส้นคงวา ได้ทั้งความรับผิดชอบ ได้ทั้งวินัย
****** แต่อย่าลืมนะครับ ขอให้งดเทคนิคเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะได้ผล
จนตัวเองพลอยหงุดหงิดไปด้วย คือการตามบ่นตามว่า จุกจิกจู้จี้
***************************************
ฝึกให้กล้าจัดการกับปัญหาสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
***************************************
****** บทเรียนอีกบทที่จะฝึกลูกนั้น คือการฝึกให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง
กล้าคิดกล้าตัดสินใจเมื่อประสบปัญหา สำหรับเด็กๆ แล้วชีวิตของเด็กประถม 1 นั้น
แต่ละวันช่างมีเรื่องราวมากมายที่เด็กๆ ต้องแก้ ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง
นับตั้งแต่วันแรก จะเดินทางไปไหนก่อนดี หลังจากเดินเข้าประตูโรงเรียนโดยลำพัง
ต้องฟังเสียงประกาศให้เข้าแถว จะยืนตรงไหน จะพูดกับใคร
พอย้ายไปเรียนวิชาพิเศษที่ห้องเรียนอื่น กลับห้องเรียน อ้าว!!! ลืมไปแล้วว่า
เมื่อชั่วโมงก่อนตัวเองนั่งเรียนตรงไหน เพราะโต๊ะเก้าอี้เรียงเป็นแถวเหมือนกันหมด
****** หากเด็กไม่เชื่อมั่นในตนเอง คงจะว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่กล้าตัดสินใจ
อีกทั้งยังไม่กล้าแม้แต่จะขอความช่วยเหลือจากคุณครู
****** เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง
ทักษะในการแก้ปัญหาที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจ
เกิดขึ้นได้ยากในครอบครัวที่ทำให้ลูกไปเสียหมดทุกอย่าง
พ่อแม่บางคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือลูกโดยไม่รอให้ลูกคิดแก้ปัญหาเอง
แบบนี้มีแต่จะทำให้ลูกอ่อนแอ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาโดยลำพัง
***************************************
อย่าท้อเพราะเตรียมความพร้อม
***************************************
****** ผ่านการตั้งรับกันเต็มที่ ทีนี้มาถึงปัญหาหนักอกที่พ่อแม่มักจะวิตกกังวล
ซึ่งหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องการเรียน เพราะลูกเรียนแบบเตรียมความพร้อมมา
การเรียนแนวนี้เราทราบกันว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับพัฒนาการ
ความถนัด ความสนใจของเด็ก เด็กเรียนผ่านการเล่น การทำกิจกรรมที่สนุกสนาน
ไปพร้อมๆ กับได้เรียนรู้ทักษะวิชาต่างๆ ได้คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ
และกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหาความรู้ด้วย
ทักษะเหล่านี้แหละสำคัญมากต่อการเรียนในระดับประถมศึกษา
และมีคุณค่าอย่างมากมายต่อการเรียนในระยะยาว
****** แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า การเรียนในระดับประถมศึกษา
การคัดเขียนเป็นสิ่งที่เด็กต้องทำมากขึ้นกว่าเดิม ต้องจดงาน
จดการบ้านบนกระดานดำ สำหรับเด็กที่เรียนมาแบบเตรียมความพร้อม
อาจจะคัดเขียนได้ช้ากว่า สวยน้อยกว่า
เพราะตอนสมัยอยู่อนุบาลเด็กทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ไม่ได้มัวแต่ทำแบบฝึก และคัดลายมือวันละหลายชั่วโมง
ในระยะแรกๆ อาจทำให้เด็กรู้สึกท้อได้
***************************************
พาลูกก้าวข้ามความรู้สึกยากไปให้ได้
***************************************
****** ตอนนี้ยังปิดเทอมอยู่ ยังพอมีเวลาเตรียมลูกให้พร้อมกับ
ระบบการเรียนที่เปลี่ยนไป เริ่มเสียแต่วันนี้ก็ดี
เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกได้อ่านได้เขียนมากขึ้น มีเทคนิคง่ายๆ มาฝากด้วย
>>> >>> >>> ชวนลูกอ่านหนังสือทุกวัน เป็นการอ่านตามตัวหนังสือ
(จะต่างจากการเล่านิทานนะครับ) และชี้ตัวหนังสือไปด้วย
จึงต้องหาหนังสือที่ตัวโตหน่อย และมีตัวหนังสือไม่มากนัก
>>> >>> >>> เขียนโน้ตถึงกันในบ้าน
เวลาคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่อยู่ ให้เขียนตัวหนังสือโตๆ และชัดๆ
>>> >>> >>> บวกลบเลขจากจำนวนเงินไม่มากนักเมื่อไปซื้อของด้วยกัน
****** ปิดเทอมว่างๆ ชวนลูกคัด เขียน อ่าน วันละนิดวันละหน่อย
เปิดเทอมมาจะได้ไม่ลืม
****** นอกจากนี้ในวันมอบตัว พบครูประจำชั้นของลูก
คุณพ่อคุณแม่ต้องบอกให้คุณครูทราบด้วยครับว่า
ลูกของเราเรียนมาในแนวเตรียมความพร้อม คุณครูจะได้เข้าใจพื้นฐานการเรียนของลูก
จากนั้นในแต่ละวัน ควรให้เวลาและติดตามให้ความช่วยเหลือลูกอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรก อาจช่วยอ่านโจทย์คำสั่งให้ฟังบ้าง
หรือบางทีก็คงต้องช่วยเดาการบ้านที่ลูกจดอย่างตกๆ หล่นๆ
****** อ้อ!!! ระวังนะครับ อย่าแสดงความกังวลว่าลูกของเราจะเรียนสู้ลูกคนอื่นไม่ได้
สิ่งนี้รังแต่จะไปเพิ่มความเครียดให้กับลูกอีก
เพราะลูกเองเขารู้ว่าเขาทำได้ดีแค่ไหนอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ
****** ดีที่สุดคือ ให้เอาความก้าวหน้าในแต่ละวันของลูกเป็นตัวตั้ง
ลูกคนอื่นไม่ต้องไปนึกถึง ให้กำลังใจ ชื่นชมลูกเข้าไว้ครับ ไม่นานนัก
บางคนเดือนเดียว เทอมเดียวก็หมดกังวลได้ และมีอีกหลายๆ คนนั้นพอสิ้นเทอมก็ไปได้ฉิว
เพราะเขาได้รับการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เป็นฐานที่แข็งแรงตั้งแต่อนุบาลอยู่แล้ว
****** ยิ่งสมัยนี้โรงเรียนประถมจำนวนมากมีการปฏิรูปการเรียนรู้
จึงเหมาะมากกับลูกเราที่เรียนแบบเตรียมความพร้อม
ผ่านการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ลูกมีความสุข ความกระตือรือร้น ที่จะค้นหาความรู้ต่อไป
เป็นอันว่าเบาใจหายห่วงได้แล้วนะครับ
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
หนูเป็นนักสืบ (พัฒนาการเด็ก)
หนูเป็นนักสืบ
*******************
****** การเลียนแบบเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
สิ่งใดที่เด็กและผู้ใหญ่เลียนแบบนั้นคือสิ่งที่เขาสนใจ พอใจ มีความรู้สึกแปลกและพิศวง
อาจเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ ซึ่งเขาได้สัมผัสจากการเห็น การใกล้ชิด การแตะต้อง
****** เด็กเลียนแบบสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ เพราะเด็กชอบเล่นสมมติ
เล่นและมีความฝันจินตนาการ เด็กยิ่งโตขึ้นการเลียนแบบจะน้อยลง
เขามีเหตุผลขึ้นและรู้ว่าความจริงคืออะไร
เด็กวัยรุ่นสนใจตัวเองมากขึ้น เด็กผู้ชายอยากให้คนนิยมยอมรับ
เด็กผู้หญิงชอบสวยงามสะดุดตา
เขาจะเลียนแบบการแต่งกายของนักแสดงและดารามากขึ้น
การพูดจาและท่าทาง เครื่องประดับที่ใส่ แฟชั่นอันทันสมัย
พ่อค้าแม่ค้าต่างหาประโยชน์จากเด็กระดับวัยรุ่น
ศูนย์การค้าลงทุนให้นักออกแบบเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า
สำหรับเด็กวัยรุ่นราคาแพงเกินความจำเป็นออกขาย ใครไม่ใช้สิ่งของเหล่านี้
กลายเป็นเชยล้าสมัย เด็กที่ฐานะปานกลางบางคนต้องอดค่าอาหารกลางวัน
เพื่อนำเงินไปซื้อของที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ เด็กซึ่งพ่อแม่ร่ำรวยก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
กลายเป็นนิสัยไม่ดีเมื่อเติบโตขึ้น เด็กที่ยากจนบางคนพยายามหาเงินเพื่อซื้อของล่อตาล่อใจ
อาจตกเป็นเครื่องมือคนทุจริตหลอกล่อเด็กให้นำยาเสพย์ติดไปขายเพื่อนๆ
ทุกอย่างกลายเป็นปัญหาสังคมในปัจจุบันนี้
ที่แน่ๆ ก็คือ วัฒนธรรมประเพณีของไทยค่อยๆ เลือนลางไปทีละน้อย
****** วันนี้ที่ศูนย์เด็กเทศบาลของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งแถวถนนสามเสน
โต้ง เมฆ และลูกข่าง กำลังค้นหาของสิ่งหนึ่งอยู่ตรงสวนหย่อม
ซึ่งอยู่ติดกับบันไดชั้นสองของอาคาร ชั้นเรียนของเด็กเล็ก
เด็ก ป.1 และเด็ก ป.2 จะอยู่ชั้นสองของอาคาร ชั้น ป.3. ป.4. ป.5 ป.6 นั้นอยู่ชั้นสาม
ชั้นล่างมีห้องอาจารย์ใหญ่และห้องธุรการ ห้องพยาบาล ต่อจากนั้นก็เปิดโล่งตลอด
ใช้เป็นที่รับประทานอาหารของเด็ก ที่เล่นของเด็กในร่ม และที่ประชุมผู้ปกครองกับครู
ครูนงนาฏ ประจำชั้นเด็กเล็ก เดินผ่านมาที่สวนหย่อม
เห็นโต้ง เมฆ และลูกข่าง ก้มๆ เงยๆ อยู่ตามกระถางต้นไม้
"นั่นทำอะไรกันจ๊ะ"
"หนูหาของครับ"
"หาอะไรล่ะ"
"ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับ"
"ไม่รู้ว่าของอะไรครูก็ช่วยหาไม่ถูก"
"หนูกำลังเป็นนักสืบอยู่ ติ๊ต่างว่าผู้ร้ายจะซ่อนของในกระถาง จะซ่อนตรงไหน"
"อ้อ นี่เป็นนักสืบรึ เป็นมานานไหม"
"เป็นนานแล้วครับ หนูสามคนเคยไปสืบมาแล้วที่บ้านผีสิง"
"ชื่อน่ากลัวนะ บ้านผีสิงอยู่ที่ไหน"
"ก็แถวบ้านคุณยายอาจารย์ที่แวะมาเยี่ยมเด็กๆ ที่นี่บ่อยๆ
บ้านผีสิงตรงข้ามมุมบ้านคุณยายอาจารย์ หนูเข้าไปบ่อย
ไม่มีผีหรอกมีแต่หญ้ารก บ้านเล็กๆ มืดด้วยไม่มีคน"
"แล้วหนูเข้าไปได้อย่างไร"
"หนูเข้าไปได้สบาย เอียงตัวเข้าตรงประตูรั้ว เขาใส่โซ่มีลูกกุญแจด้วย" เมฆกับลูกข่างตอบ
"โต้งเข้าลำบาก โต้งอ้วนติดประตูนิดหน่อย หัวเข่าถลอกด้วย"
"ไหนโต้งมาให้ครูดูขาหน่อย ตามตัวเจ็บหรือเปล่า"
"หัวเข่าถลอกนี่ ใครทายาแดงให้"
"แม่หนูครับ"
"ดีแล้วเวลามีแผลหรือเจ็บปวดที่ตรงไหนต้องบอกให้ผู้ใหญ่รู้ อยู่โรงเรียนก็บอกครู"
"ทุกกระถางไม่มีสิ่งใดซ่อนอยู่ใช่ไหม"
"ไม่มีครับ"
"ในโรงเรียนของเราไม่มีผู้ร้าย เราก็ไม่ต้องสืบ และที่บ้านผีสิงก็ไม่มีใครอยู่ ไม่มีสิ่งของอะไร มีแต่หญ้ารก บ้านมืด ชื้น หยากไย่รกรุงรัง ในที่เช่นนั้นอาจมีตัวแมลงเป็นพิษ เช่น แมงป่อง ตะขาบ หรืองู คางคก เรามองไม่เห็น ไปเหยียบมันเข้า มันก็จะกัดโขกหรือต่อยเราเจ็บก็ได้ ผู้ใหญ่ไม่รู้เข้าไปไม่ได้ใครจะช่วยเราล่ะ ตรงประตูก็เหมือนกัน เราต้องตะแคงตัวเข้าไป เผลอโดนซี่เหล็กหรือโซ่ที่ล่ามไว้เป็นสนิม ถลอกเป็นแผลเราก็อาจได้เชื้อบาดทะยัก ต้องไปหาหมอฉีดยา เชื่อครูนะ หนูอย่าไปอีกเลย"
"คุณครูครับ หนูยังไม่ได้ขุดดินหาหืบสมบัติเลย" นายโต้งนักสร้างปัญหาเสนอข้อต่อรอง
"ประชุมอะไรกันจ๊ะ" คุณยายอาจารย์ก้าวเข้ามาตรงหน้านักสืบทั้งหลาย
"อ๋อ ยังไม่ได้ขุดดินหาหีบสมบัติ ดูโทรทัศน์เรื่องโจรสลัดในการ์ตูนมากไป กับเกมหาสมบัติที่นักแสดงเขาเล่นกันในโทรทัศน์ ยายจะบอกให้นะ ไม่มีใครทิ้งสมบัติไว้หรอก เจ้าของเขาก็เอาไปหมดแล้ว"
"นักสืบไปเข้าชั้นเรียนได้" ครูนงนาฏบอก เด็กเดินไปแต่โดยดี
คุณยายอาจารย์ "นี่หนู ครูว่าพวกนักสืบคงได้เล่าเรื่องผจญภัยให้เพื่อนๆ ฟังแน่ เด็กผู้ชายซนๆ ชอบนัก ครูชักเป็นห่วง"
"ทำอย่างไรจะยุติพวกนักสืบได้ล่ะคะ"
"ครูว่าเปลี่ยนการค้นคว้าใกล้อันตรายของพวกเขาเป็นกิจกรรมการเล่นเสียดีไหม เช่น การค้นหาตัวอักษร รูปภาพ ก้อนไม้เล็กๆ รูปเรขาคณิต เราซ่อนไว้ในที่ต่างๆ ในห้องเรียน ซ่อนในกล่องกระดาษวางไว้ตามโต๊ะตามชั้นก็ได้ เมื่อใครค้นพบ ก็แสดงให้เพื่อนเห็นแล้วอธิบายว่า สิ่งที่ค้นพบนั้นคืออะไร บางครั้งใช้ภาพคนแสดงท่าทางต่างๆ ก็ได้ เช่น เด็กใส่บาตร หมอตรวจเด็ก เด็กโปรยข้าวให้ไก่กิน เด็กเห็นภาพบอกได้ถูกต้อง ครูก็เล่าเรื่องประกอบเน้นด้านคุณธรรมให้เด็ก หรือให้เด็กแสดงท่าตามภาพก็ได้ เด็กสนุกได้ความรู้ เป็นวิธีสอนทางตรงและทางอ้อมของครู"
"ขอบคุณอาจารย์ค่ะ ที่แนะวิธีการสอนให้หนู"
"เพราะสมัยเด็กครูเป็นเด็กซุกซนมาก ชอบเล่นอะไรผาดโผนและเพ้อฝัน มีความอิสระสนุกสุขใจ ทุกสิ่งฝังแน่นในความทรงจำ ครูจึงอยากให้เด็กทุกคนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานด้วยการเล่น"
**************************************
*******************
****** การเลียนแบบเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
สิ่งใดที่เด็กและผู้ใหญ่เลียนแบบนั้นคือสิ่งที่เขาสนใจ พอใจ มีความรู้สึกแปลกและพิศวง
อาจเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ ซึ่งเขาได้สัมผัสจากการเห็น การใกล้ชิด การแตะต้อง
****** เด็กเลียนแบบสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ เพราะเด็กชอบเล่นสมมติ
เล่นและมีความฝันจินตนาการ เด็กยิ่งโตขึ้นการเลียนแบบจะน้อยลง
เขามีเหตุผลขึ้นและรู้ว่าความจริงคืออะไร
เด็กวัยรุ่นสนใจตัวเองมากขึ้น เด็กผู้ชายอยากให้คนนิยมยอมรับ
เด็กผู้หญิงชอบสวยงามสะดุดตา
เขาจะเลียนแบบการแต่งกายของนักแสดงและดารามากขึ้น
การพูดจาและท่าทาง เครื่องประดับที่ใส่ แฟชั่นอันทันสมัย
พ่อค้าแม่ค้าต่างหาประโยชน์จากเด็กระดับวัยรุ่น
ศูนย์การค้าลงทุนให้นักออกแบบเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า
สำหรับเด็กวัยรุ่นราคาแพงเกินความจำเป็นออกขาย ใครไม่ใช้สิ่งของเหล่านี้
กลายเป็นเชยล้าสมัย เด็กที่ฐานะปานกลางบางคนต้องอดค่าอาหารกลางวัน
เพื่อนำเงินไปซื้อของที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ เด็กซึ่งพ่อแม่ร่ำรวยก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
กลายเป็นนิสัยไม่ดีเมื่อเติบโตขึ้น เด็กที่ยากจนบางคนพยายามหาเงินเพื่อซื้อของล่อตาล่อใจ
อาจตกเป็นเครื่องมือคนทุจริตหลอกล่อเด็กให้นำยาเสพย์ติดไปขายเพื่อนๆ
ทุกอย่างกลายเป็นปัญหาสังคมในปัจจุบันนี้
ที่แน่ๆ ก็คือ วัฒนธรรมประเพณีของไทยค่อยๆ เลือนลางไปทีละน้อย
****** วันนี้ที่ศูนย์เด็กเทศบาลของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งแถวถนนสามเสน
โต้ง เมฆ และลูกข่าง กำลังค้นหาของสิ่งหนึ่งอยู่ตรงสวนหย่อม
ซึ่งอยู่ติดกับบันไดชั้นสองของอาคาร ชั้นเรียนของเด็กเล็ก
เด็ก ป.1 และเด็ก ป.2 จะอยู่ชั้นสองของอาคาร ชั้น ป.3. ป.4. ป.5 ป.6 นั้นอยู่ชั้นสาม
ชั้นล่างมีห้องอาจารย์ใหญ่และห้องธุรการ ห้องพยาบาล ต่อจากนั้นก็เปิดโล่งตลอด
ใช้เป็นที่รับประทานอาหารของเด็ก ที่เล่นของเด็กในร่ม และที่ประชุมผู้ปกครองกับครู
ครูนงนาฏ ประจำชั้นเด็กเล็ก เดินผ่านมาที่สวนหย่อม
เห็นโต้ง เมฆ และลูกข่าง ก้มๆ เงยๆ อยู่ตามกระถางต้นไม้
"นั่นทำอะไรกันจ๊ะ"
"หนูหาของครับ"
"หาอะไรล่ะ"
"ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับ"
"ไม่รู้ว่าของอะไรครูก็ช่วยหาไม่ถูก"
"หนูกำลังเป็นนักสืบอยู่ ติ๊ต่างว่าผู้ร้ายจะซ่อนของในกระถาง จะซ่อนตรงไหน"
"อ้อ นี่เป็นนักสืบรึ เป็นมานานไหม"
"เป็นนานแล้วครับ หนูสามคนเคยไปสืบมาแล้วที่บ้านผีสิง"
"ชื่อน่ากลัวนะ บ้านผีสิงอยู่ที่ไหน"
"ก็แถวบ้านคุณยายอาจารย์ที่แวะมาเยี่ยมเด็กๆ ที่นี่บ่อยๆ
บ้านผีสิงตรงข้ามมุมบ้านคุณยายอาจารย์ หนูเข้าไปบ่อย
ไม่มีผีหรอกมีแต่หญ้ารก บ้านเล็กๆ มืดด้วยไม่มีคน"
"แล้วหนูเข้าไปได้อย่างไร"
"หนูเข้าไปได้สบาย เอียงตัวเข้าตรงประตูรั้ว เขาใส่โซ่มีลูกกุญแจด้วย" เมฆกับลูกข่างตอบ
"โต้งเข้าลำบาก โต้งอ้วนติดประตูนิดหน่อย หัวเข่าถลอกด้วย"
"ไหนโต้งมาให้ครูดูขาหน่อย ตามตัวเจ็บหรือเปล่า"
"หัวเข่าถลอกนี่ ใครทายาแดงให้"
"แม่หนูครับ"
"ดีแล้วเวลามีแผลหรือเจ็บปวดที่ตรงไหนต้องบอกให้ผู้ใหญ่รู้ อยู่โรงเรียนก็บอกครู"
"ทุกกระถางไม่มีสิ่งใดซ่อนอยู่ใช่ไหม"
"ไม่มีครับ"
"ในโรงเรียนของเราไม่มีผู้ร้าย เราก็ไม่ต้องสืบ และที่บ้านผีสิงก็ไม่มีใครอยู่ ไม่มีสิ่งของอะไร มีแต่หญ้ารก บ้านมืด ชื้น หยากไย่รกรุงรัง ในที่เช่นนั้นอาจมีตัวแมลงเป็นพิษ เช่น แมงป่อง ตะขาบ หรืองู คางคก เรามองไม่เห็น ไปเหยียบมันเข้า มันก็จะกัดโขกหรือต่อยเราเจ็บก็ได้ ผู้ใหญ่ไม่รู้เข้าไปไม่ได้ใครจะช่วยเราล่ะ ตรงประตูก็เหมือนกัน เราต้องตะแคงตัวเข้าไป เผลอโดนซี่เหล็กหรือโซ่ที่ล่ามไว้เป็นสนิม ถลอกเป็นแผลเราก็อาจได้เชื้อบาดทะยัก ต้องไปหาหมอฉีดยา เชื่อครูนะ หนูอย่าไปอีกเลย"
"คุณครูครับ หนูยังไม่ได้ขุดดินหาหืบสมบัติเลย" นายโต้งนักสร้างปัญหาเสนอข้อต่อรอง
"ประชุมอะไรกันจ๊ะ" คุณยายอาจารย์ก้าวเข้ามาตรงหน้านักสืบทั้งหลาย
"อ๋อ ยังไม่ได้ขุดดินหาหีบสมบัติ ดูโทรทัศน์เรื่องโจรสลัดในการ์ตูนมากไป กับเกมหาสมบัติที่นักแสดงเขาเล่นกันในโทรทัศน์ ยายจะบอกให้นะ ไม่มีใครทิ้งสมบัติไว้หรอก เจ้าของเขาก็เอาไปหมดแล้ว"
"นักสืบไปเข้าชั้นเรียนได้" ครูนงนาฏบอก เด็กเดินไปแต่โดยดี
คุณยายอาจารย์ "นี่หนู ครูว่าพวกนักสืบคงได้เล่าเรื่องผจญภัยให้เพื่อนๆ ฟังแน่ เด็กผู้ชายซนๆ ชอบนัก ครูชักเป็นห่วง"
"ทำอย่างไรจะยุติพวกนักสืบได้ล่ะคะ"
"ครูว่าเปลี่ยนการค้นคว้าใกล้อันตรายของพวกเขาเป็นกิจกรรมการเล่นเสียดีไหม เช่น การค้นหาตัวอักษร รูปภาพ ก้อนไม้เล็กๆ รูปเรขาคณิต เราซ่อนไว้ในที่ต่างๆ ในห้องเรียน ซ่อนในกล่องกระดาษวางไว้ตามโต๊ะตามชั้นก็ได้ เมื่อใครค้นพบ ก็แสดงให้เพื่อนเห็นแล้วอธิบายว่า สิ่งที่ค้นพบนั้นคืออะไร บางครั้งใช้ภาพคนแสดงท่าทางต่างๆ ก็ได้ เช่น เด็กใส่บาตร หมอตรวจเด็ก เด็กโปรยข้าวให้ไก่กิน เด็กเห็นภาพบอกได้ถูกต้อง ครูก็เล่าเรื่องประกอบเน้นด้านคุณธรรมให้เด็ก หรือให้เด็กแสดงท่าตามภาพก็ได้ เด็กสนุกได้ความรู้ เป็นวิธีสอนทางตรงและทางอ้อมของครู"
"ขอบคุณอาจารย์ค่ะ ที่แนะวิธีการสอนให้หนู"
"เพราะสมัยเด็กครูเป็นเด็กซุกซนมาก ชอบเล่นอะไรผาดโผนและเพ้อฝัน มีความอิสระสนุกสุขใจ ทุกสิ่งฝังแน่นในความทรงจำ ครูจึงอยากให้เด็กทุกคนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานด้วยการเล่น"
**************************************
ไม่มีความสุขใดจะเท่า ความสนุกสุขใจจากการได้เล่น
ขอให้เด็กๆ ของเราได้ใช้เวลา
ในช่วงวัยของเขาให้คุ้มค่าเถอะ
ขอให้เด็กๆ ของเราได้ใช้เวลา
ในช่วงวัยของเขาให้คุ้มค่าเถอะ
วาเลนไทน์ <<< หลากหลายทัศนะแห่งที่มา >>>
วาเลนไทน์ <<< หลากหลายทัศนะแห่งที่มา >>>
****** วันแห่งความรักที่หนุ่มสาวนิยมมอบดอกไม้ให้แก่กัน
มีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน
ทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์
ถือเป็นวันเฉลิมฉลองของเทพจูโน่
เทพแห่งอิสตรี และการแต่งงาน ราชินีแห่งเทพบุตร และเทพธิดาโรมัน
****** ในสมัยนั้น หนุ่มสาวจะถูกแยกกันอย่างเด็ดขาด
แต่เมื่อถึงคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เด็กสาวทุกคนจะเขียนชื่อลงในกระดาษเล็กๆ
เพื่อนำไปใส่ไว้ในเหยือก รอให้เด็กหนุ่มหยิบชื่อออกมา
และจับคู่กันเฉลิมฉลองในงานเลี้ยง Lupercalia ของวันรุ่งขึ้น
ซึ่งบางครั้งหนุ่มสาวก็ตกหลุมรักกัน และลงท้ายด้วยการแต่งงานในที่สุด
****** กรุงโรม ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2
เกิดสงครามขึ้นหลายครั้ง และประสบปัญหาขาดแคลนกำลังทหาร
เนื่องจากผู้ชายชาวโรมันไม่ต้องการจากครอบครัวอันเป็นที่รักไปร่วมศึกสงคราม
จักรพรรดิจึงประกาศ ยกเลิกการแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดใน กรุงโรม
****** นักบุญวาเลนติโน และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งองค์กรเล็กๆ
เพื่อช่วยเหลือชาวคริสต์ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และจัดพิธีแต่งงานให้คู่รักอย่างลับๆ
จนกระทั่งถูกทางการจับขังคุก และถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
ในระหว่างที่นักบุญวาเลนติโนอยู่ในคุก หนุ่มสาวผู้มีศรัทธา
และเชื่อมั่นในความรักต่างพากันมาเยี่ยมให้กำลังใจ
พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก
จนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 นักบุญวาเลนติโน ถูกประหารชีวิต
เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
หลายคนฆ่าตัวตายตาม
****** วันสุดท้ายก่อนนักบุญจะเสียชีวิต
ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อขอบคุณในมิตรภาพ
โดยลงท้ายจดหมายว่า "Love from Valentino"
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีประเพณีแลกเปลี่ยนจดหมายรักกันในวันวาเลนไทน์
และชาวโรมันมักจะแต่งตัวเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์
แล้วร้องเพลงเสียงดัง เนื้อเพลงท่อนหนึ่งกล่าวว่า
"Good morning to you, Valentine;
Curl your looks as I do mine...
Two before and three behind.
Good morning to you, Valentine."
Curl your looks as I do mine...
Two before and three behind.
Good morning to you, Valentine."
****** คู่รักของประเทศเวลส์
มักจะมอบช้อนไม้ที่แกะสลักรูปหัวใจและกุญแจให้แก่กัน
เพื่อสื่อความหมายว่า "You unlock my heart" คุณได้ไขหัวใจของฉัน
****** ยังมีความเชื่ออีกมากมายที่หนุ่มสาวมักปฏิบัติในวันวาเลนไทน์ เช่น
>>> การเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบหย่อนใส่อ่าง แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อ
เพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตนในวันวาเลนไทน์
และนำชื่อนั้นมาติดที่ไม้แขวนเสื้อ 1 สัปดาห์ เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
>>> ผู้หญิงที่ได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายและเก็บของขวัญชิ้นนั้นไว้
แสดงว่าต้องการแต่งงานกับคนที่มอบให้
>>> บางคนเชื่อว่า ผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบิน บินผ่านศีรษะในวันวาเลนไทน์
หมายถึงหญิงผู้นั้นจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ
หากเห็นนกกระจอกจะได้แต่งงานกับชายยากจน และมีชีวิตเป็นสุข
หากเห็นนก Goldfinch จะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี
>>> การนึกชื่อคนที่ตัวเองอยากแต่งงานด้วยประมาณ 5 - 6 ชื่อ
ในขณะปอกเปลือกแอปเปิ้ลให้เป็นขด
คนที่จะได้แต่งงานด้วย คือคนที่ถูกเอ่ยชื่อตอนที่ปอกหมดพอดี