วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 30

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 30

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 29

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 29

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 28

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 28

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 27

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 27

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 26

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 26

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 25

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 25

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 24

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 24

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 23

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 23

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 22

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 22

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 21

ตะลุยโจทย์เคมี ปริมาณสัมพันธ์ ข้อที่ 21

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปรึกษาหมอเด็ก - เหงื่อออกมาก

ปรึกษาหมอเด็ก - เหงื่อออกมาก
คำถาม -
ลูกชายอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง ลูกเป็นเด็กที่มีเหงื่อออกมาก
โดยเฉพาะเวลานอน (ทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ร้อน)
ที่ลำคอจะมีผื่นขึ้นตลอดจะทำอย่างไรดี แล้วจะเป็นอันตรายหรือไม่คะ
คำตอบ - 
ตามที่คุณแม่เล่ามาแสดงว่าลูกของคุณขี้ร้อน หรือใส่เสื้อหนาเกินไปในเวลานอน
ทำให้อับเหงื่อ เกิดผื่นผดโดยเฉพาะบริเวณซอกคอจะอบเหงื่อมาก
วิธีป้องกันก็คือให้อยู่ในที่เย็น ๆ เช่น ห้องแอร์ ใช้ผ้าเย็นเช็ดเหงื่อให้บ่อย ๆ
ถ้าเป็นผื่นแดงและคัน อาจใช้ยาน้ำคาลาไมน์ทาให้

การที่เด็กมีเหงื่อออกมากโดยอากาศไม่ร้อน หรือสิ่งแวดล้อมก็เย็นดี
ถ้าลูกสุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีอาการอะไรผิดปกติร่วมด้วยควรไปพบแพทย์
เพราะอาจพบร่วมกับโรคเรื้อรังบางโรคได้
********************************
รศ.พญ.สุจิตรา วีรวรรณ

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกตัวโตเกินไปหรือเปล่า

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกตัวโตเกินไปหรือเปล่า
คำถาม -
ลูกสาวอายุ 4 เดือนตัวใหญ่หนัก 8 กิโลกรัม
ดิฉันสังเกตว่ามือและเท้าเย็นมีเหงื่อออก
ไม่ทราบว่าจะมีผลเสียหรือมีอะไรผิดปกติกับลูกหรือเปล่า
คำตอบ - 
น้ำหนักลูกของคุณค่อนข้างมาก คุณแม่ไม่ได้บอกน้ำหนักแรกคลอด
เพราะโดยทั่วไปน้ำหนักเด็กจะเป็น 2 เท่าของแรกเกิดเมื่ออายุประมาณ 4 เดือน
และจะหนักเป็น 3 เท่าของแรกเกิดเมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ
เด็กทั่วไปน้ำหนักแรกเกิดประมาณ 3 กิโลกรัม
ตอนนี้เด็กหนัก 8 กิโลกรัม นับว่าค่อนข้างมากเกินไปสำหรับเด็ก 4 เดือน

การมีเหงื่อออกมากต้องดูด้วยว่าอยู่ในห้องที่อบหรือร้อนเกินไปหรือเปล่า
ประกอบกับเด็กน้ำหนักมากอาจจะทำให้มีเหงื่อออกมากก็ได้
โดยทั่วไปมักจะได้ยินว่าเด็กที่มีเหงื่อออกมากบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า
จะเป็นโรคหัวใจ คงจะไม่จริงเสมอไป

การมีเหงื่อออกบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้ามาก อาจจะเป็นอาการแสดง
ของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้ แต่มักจะพบในเด็กที่อายุมากกว่านี้
แต่ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจควรพาไปให้คุณหมอตรวจเช็กจะดีกว่าครับ
********************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กระดูกนิ่มเพราะฟาสต์ฟู้ด

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กระดูกนิ่มเพราะฟาสต์ฟู้ด
สังเกตไหมคะว่า เดี๋ยวนี้เด็กไทยร้องจะกินพิซซ่ามากกว่าปลาทู
(ที่แสนจะมีคุณค่ามากมายกว่ากันเยอะ) นั่นเป็นเพราะวัฒนธรรมตะวันตก
ที่เข้ามาแทรกซึมชีวิตประจำวันของเด็ก
ซึ่งส่วนใหญ่เด็กก็จะเลียนแบบหนัง โฆษณา หรือผู้ใหญ่ค่ะ

อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่าจากการศึกษาพบเด็กวัยรุ่นอายุ 12-13 ปี
มีปริมาณเนื้อกระดูกอย่างที่ควรจะเป็นเพียงร้อยละ 60 เท่านั้น
สาเหตุที่เด็กยุคใหม่มีเนื้อกระดูกที่ต่ำกว่าปกติเพราะการนิยมทานอาหารฟาสต์ฟู้ด
ซึ่งอุดมไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรต ทำให้ได้รับแคลเซียมน้อยมาก
และกิจกรรมที่ทำก็เป็นการเล่นเกมคอมพิวเตอร์
ในขณะที่การวิ่งเล่นกลางแจ้งน้อยลง ทำให้การสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์ค่ะ
และจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน
เมื่อปี พ.ศ.2540 พบว่าเด็กอายุ 6-24 ปี
ใช้เวลาว่างดูโทรทัศน์และวิดีโอมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.5 เชียวค่ะ

จากปัญหานี้อาจเกิดโรคกระดูกพรุนกับเด็กในอนาคตได้
ทางที่ดีเรามาชวนเด็กให้ทานอาหารแสนอร่อยอย่างอาหารไทย
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอดีกว่าค่ะ

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกลัวการไปหาหมอมาก

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกลัวการไปหาหมอมาก
คำถาม -
ลูกกลัวการไปหาหมอมาก ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรดี ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
คำตอบ - 
ปัญหาที่ลูกกลัวการไปหาหมอ ภาพที่ต้องฉุดกระชากลากกัน
ตรวจพบได้เสมอ ๆ ทำให้พ่อแม่รวมทั้งหมอปวดหัวใจ (ไม่นับตัวเด็ก)

สิ่งแรกที่พ่อแม่ทำได้คือ มีการซ้อมก่อนพบแพทย์ เล่นตรวจหมอกันก่อนที่บ้าน
เล่านิทาน เช่น ลูกหมีเป็นหวัดไปหาหมอชั่งน้ำหนัก ส่วนลูกวัดปรอท
แล้วคุณหมอใจดีก็ตรวจหัวใจ คลำท้อง ดูหู ดูคอ
แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ตรวจไปด้วย ไฟฉายเป็นของเล่นที่เด็กมักชอบหัดส่องคอกัน
เอาด้ามช้อนกดลิ้นให้เห็นลิ้นไก่เลย คนไข้บางคนไม่ยอมให้หมอดูคอ
แต่ให้แม่หรือคนเลี้ยงเอาไฟฉายส่องกดลิ้น หมอก็ "แอบดูเอา"
พอชิน ๆ มากขึ้นก็ยอมให้หมอส่องดูได้ เล่นกันสนุกสนานที่บ้าน
พอมาถึงโรงพยาบาลก็ช่วยได้มาก แถมท้ายด้วยเอากระบอกฉีดยามาฉีดยายิ่งดี
ถ้ากลัวการฉีดยา ให้เล่นกระบอกฉีดยาให้ชิน เอามาฉีดน้ำ ฉีดสีระบายรูปก็ได้

แล้วขอร้องหน่อยนะคะ อย่าหลอกลูกโดยใช้หมอ
บอกดื้อเดี๋ยวให้หมอฉีดยาซะเลย ตายเลย พอเห็นหน้าหมอก็เป็นอันร้องอย่างเดียว

ขั้นต่อไปถ้าเป็นไปได้ ควรไปหาหมอที่มีเวลา และไม่เหนื่อยเกินไปที่จะตรวจลูก
โดยเฉพาะสถานที่ที่ทำให้เด็กไม่รู้สึกกลัว เช่น มีของเล่น มีตัวการ์ตูน ตุ๊กตา

หมอที่จะตรวจจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจวิธีเข้าหาเด็กแต่ละวัย
จะว่าไปก็คล้ายผู้ชาย "จีบ" ผู้หญิง เป็นศิลปะแบบหนึ่ง เด็กแต่ละวัย แต่ละคน
ต้องรู้ว่าจะเข้าหาอย่างไร เด็กในช่วง 6 เดือนแรกตรวจง่าย เพราะยังไม่รู้สึก
กลัวคนแปลกหน้า ใช้การหลอกไม่มากนัก ก็มักจะตรวจสำเร็จได้โดยไม่ร้องไห้

วัยที่ตรวจยากได้แก่ช่วงมากกว่า 6 เดือนถึง 3 ปี
โดยเฉพาะขวบกว่า ๆ ถึงสองขวบกว่า ๆ เป็นวัยที่จะ "ไม่" อยู่แล้ว
แถมยังใช้ภาษาสื่อไม่ได้ดีนัก หมอเด็กจำเป็นต้องใช้ศิลปะขั้นสูงสุดทีเดียว
อาทิเช่น ต้องหลอก เอาของเล่นให้ก่อน บางทีตรวจตุ๊กตาที่ถือมา
หรือตรวจคุณแม่พี่ ๆ ที่มาด้วยกัน ยิ่งเห็นพี่ ๆ ตรวจก่อนได้ดี
บางทีแย่งกันให้ตรวจไม่งั้นกลัวน้อยหน้า ฟังหัวใจ ตรวจท้องก่อน
แล้วดูหู คอได้ท้ายสุด วันไหนตรวจได้โดยลูกไม่ร้องไห้ก็ไชโย
บ่อยครั้งหลอกไปหลอกมา ยิ่งถ้าทางบ้านเตรียมมาดี ๆ
ฉีดยายังไม่ร้องไห้เลยนะเดี๋ยวจะหาว่าคุย หลอกกันเป็นที่สนุกสนาน
ทั้งหมอ ทั้งคนไข้ บางทีคุณแม่สงสัยว่าลูกป่วยจริงหรือเปล่า
จะขอมาหาหมอ มาโรงพยาบาล

ถ้าลูกกลัวมาก ๆ ต้องถามว่ามีเหตุการณ์อะไรในอดีตไหม
ที่ทำให้ลูกกลัวหมอ เช่น มาโรงพยาบาลถูกแทงน้ำเกลือ
ก็ต้องค่อย ๆ ชวนกันเล่นให้ชิน

ลองดูนะคะ เพียงแค่นี้ไม่กี่ครั้งลูกก็จะเป็น "มืออาชีพ"
พอเห็นหมอเธอก็อ้าปากกว้างเห็นลิ้นไก่ พอฉีดยาก็ยื่นแขนให้
แถมชวนพ่อแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาลซะอีก
********************************
พ.ญ.สุดา เย็นบำรุง

ปรึกษาหมอเด็ก - เม็ดขึ้นที่ฝ่ามือและลิ้น

ปรึกษาหมอเด็ก - เม็ดขึ้นที่ฝ่ามือและลิ้น
คำถาม -
ลูกสาวอายุประมาณ 2 ปี 6 เดือนที่ฝ่ามือของแกจะเป็นเม็ดเล็ก ๆ
คล้ายมีหนองเต็มทั้ง 2 ฝ่ามือ ส่วนในปากจะเป็นเม็ดขาว ๆ คล้ายร้อนใน
เป็นที่ลิ้น เม็ดที่ฝ่ามือมีสาเหตุจากร้อนในหรือเปล่าคะ เวลาเป็น ลูกจะกินอาหาร
หรือนมไม่ได้เลย ร้องไห้เจ็บปวดตลอดเวลา น้ำก็กินไม่ได้จะทำอย่างไรดี
กลุ้มใจ สงสารลูกมาก คุณหมอช่วยตอบด้วยนะคะ
คำตอบ - 
จากอาการเล่ามาหมอคิดว่าลูกของคุณจะติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
ซึ่งจะทำให้เกิดแผลในปาก ลิ้น และเป็นตุ่มแดงและมีหนองขาว ๆ
ตรงกลางที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้าด้วย (คุณแม่ลองดูที่ฝ่าเท้าด้วยว่ามีตุ่มเหมือนที่มือหรือเปล่า)
อาการเจ็บปากกินไม่ได้ จะเป็นอยู่ 3-4 วัน อาจใช้ยาป้ายปากที่มียาชาผสม
ป้ายให้ เพื่อช่วยลดความเจ็บปวด หรือให้กินนมเย็น ๆ หลังจาก 3-4 วัน
ตุ่มหรือแผลในปากก็จะดีขึ้น และหายไปภายใน 1 สัปดาห์

ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบ เพราะเป็นเชื้อไวรัส
********************************
รศ.พญ.สุจิตรา วีรวรรณ

ปรึกษาหมอเด็ก - เต้านมตั้ง ตั้งแต่เป็นทารก

ปรึกษาหมอเด็ก - เต้านมตั้ง ตั้งแต่เป็นทารก
คำถาม -
จริงหรือเปล่าที่ว่าจะต้องบีบน้ำใส ๆ ออกจากหน้าอกเด็กทารก
ไม่อย่างนั้นเมื่อโตขึ้นหน้าอกจะใหญ่เร็วกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
คำตอบ - 
เด็กแรกเกิดบางคนมีนมตั้งเต้า ทั้งนี้เกิดจากฮอร์โมนที่เขาได้รับ
ขณะอยู่ในครรภ์มารดา อาจเกิดได้ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย
ห้ามบีบหรือไปทำอะไรวุ่นวาย
เพราะมีเด็กน่าสงสารเป็นฝีเจ็บปวดที่หน้าอกเพราะแม่มืออยู่ไม่สุข บีบนมของลูกค่ะ
ปล่อยตามธรรมชาติ นมจะยุบลงไปเองในเวลาไม่กี่วัน ห้ามยุ่งกับเต้านมของลูกนะคะ
********************************
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - ท้องแรกผ่า ท้องสองคลอดเอง เสี่ยงมดลูกแตก

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - ท้องแรกผ่า ท้องสองคลอดเอง เสี่ยงมดลูกแตก
แม่ที่เคยผ่าตัดคลอด โดยปกติแล้วแพทย์มักจะแนะนำให้ผ่าคลอดในครรภ์ถัดไปด้วย
เพราะหากแม่ต้องการจะคลอดเองตามธรรมชาตินั้นอาจมีความเสี่ยงสูง
โดยเฉพาะถ้าการคลอดนั้นมีการเร่งคลอดร่วมด้วย

ความเสี่ยงที่ว่านี้ เช่น อาจทำให้เกิดมดลูกแตกซึ่งถือเป็นภาวะที่อันตรายมาก
เพราะอาจลุกลามไปสู่การต้องตัดมดลูกทิ้ง หรือการต้องให้เลือดอย่างเร่งด่วน

จากการศึกษาพบว่าในมารดาจำนวน 20,095 คน ที่เลือกการคลอดทางช่องคลอด
หลังจากเคยรับการผ่าท้องคลอดมาแล้ว โอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
จะมีมากกว่ากลุ่มที่เลือกผ่าท้องคลอดถึง 3 เท่า

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกคลอดเองตามธรรมชาติ
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดของทั้งแม่และลูก
ดังนั้นการมุ่งมั่น ตั้งใจตอนท้องสองอาจสายเกินไป
การวางแผนและเตรียมตัวให้ดีตั้งแต่ครรภ์แรกจะทำให้การคลอดของคุณ
เป็นไปอย่างธรรมชาติสมดังตั้งใจ และที่สำคัญ ไม่ว่าท้องกี่ครั้ง ๆ ต่อจากนี้
โอกาสที่คุณจะคลอดลูกได้เองมีเปอร์เซนต์สูงปรี๊ดเลยละครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปรึกษาหมอเด็ก - เครื่องช่วยดูด ทำให้ลูกเป็นแผล

ปรึกษาหมอเด็ก - เครื่องช่วยดูด ทำให้ลูกเป็นแผล
คำถาม -
ตอนเกิดลูกสาวคลอดยาก หมอเลยใช้เครื่องช่วยดูด
บริเวณศีรษะด้านหลังของลูกเป็นแผลลึกมากและเป็นรูด้วย ยังเป็นแผลเป็นอยู่เลย
ไม่ทราบสมองจะเป็นอะไรหรือเปล่า
เพราะตอนที่แผลยังไม่หายมีหนองอยู่บริเวณแผลตลอด
ถามหมอก็บอกว่าต้องดูก่อนตอนโตแล้วค่อยมาเอกซเรย์ดู
(ลูกอายุ 7 เดือนแล้วกำลังคลานเก่ง ซน)
พอจะมีวิธีอย่างไรที่จะรู้ว่าสมองของลูกไม่เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า
เพราะกังวลมากเลยค่ะ
คำตอบ - 
หมอฟังดูแล้วลูกของคุณแม่ขณะนี้อายุ 7 เดือน คลานเก่ง ซน
และถ้าลูกของคุณดูทั่ว ๆ ไปแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาด้านอื่น ๆ
หมอคิดว่าพัฒนาการของเด็กดูเหมาะสมกับอายุดี เพราะถ้าจะมีอะไรในสมอง
น่าจะมีอาการบ่งชี้บางอย่าง เช่น พัฒนาการช้า อาการชักหรือกล้ามเนื้อแขนขาผิดปกติ

การคลอดโดยวิธีใช้เครื่องดูดมีโอกาสที่จะเกิดแผลบริเวณที่สัมผัสกับเครื่องดูดได้
เพราะเวลาจะคลอด คุณหมอต้องใช้เครื่องมือรูปร่างเป็นวงกลม
สัมผัสกับศีรษะแล้วทำให้เกิดแรงสูญญากาศ (negative pressure) หลังจากนั้น
จะออกแรงดึงพอสมควรเพื่อช่วยขบวนการคลอด โดยทั่วไปหลังคลอดแล้ว
จะเห็นเป็นรอยวงแดง ๆ เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดเป็นแผลถลอก
หรือบางครั้งอาจเป็นแผลลึกไปสักหน่อย และอาจจะมีการอักเสบร่วมด้วย

ส่วนใหญ่แล้วแผลมักจะเกิดบริเวณหนังศีรษะที่อยู่นอกกะโหลกศีรษะเท่านั้น
โอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อเนื้อสมองมีได้น้อยครับ
********************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ

ปรึกษาหมอเด็ก - ขอวิธีเก็บน้ำนมให้ลูก

ปรึกษาหมอเด็ก - ขอวิธีเก็บน้ำนมให้ลูก
คำถาม -
การที่เราปั๊มนมออกมาใส่ขวดเก็บไว้ให้ลูกดูด
จะเก็บใส่ตู้เย็นช่องธรรมดาได้นานมั๊ย จะเก็บอย่างไรถึงจะดี
แล้วนมจะออกมาหมดเหมือนที่ลูกดูดมั้ยคะ
คำตอบ - 
หากคุณแม่ที่ให้นมลูกจำเป็นต้องจากลูกเป็นครั้งคราว
ถ้าวางแผนให้ดีก็ให้นมลูกต่อไปได้

ก่อนอื่นช่วงการให้นมแม่แรก ๆ ควรเป็นนมแม่อย่างเดียวประมาณ 1-2 เดือน
เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนที่สร้างนมแม่ให้ออกเต็มที่ หลังจากนั้นอาจนำเอา
นมขวดเข้าเป็นครั้งคราวก็ได้ เด็กบางคนตอนอายุ 2-3 เดือน อาจไม่ค่อย
ยอมดูดจุก บางคนก็ไม่ว่ากัน เอาอะไรใส่ปากดูดหมด สำหรับลูกที่ไม่ค่อยยอม
ดูดจุกขวด ขอให้คุณแม่ใจเย็น ๆ ลองหาจุกที่มีลักษณะเหมือนหัวนมแม่
ค่อย ๆ ลองไปเรื่อย ๆ คนที่ให้ไม่ใช่แม่ เพราะแม่มักจะใจอ่อนและลูกก็คุ้น
ที่จะดูดจากเต้า ควรเป็นคนที่จะเลี้ยงลูกในช่วงแม่ไม่อยู่ค่ะ

แม่บางคนนมเยอะมาก ลูกดูดไม่ทัน บางคนก็บีบปั๊มไม่ออกต้องเป็นลูกดูดจึงออก
แต่ละคนแต่ละแบบ ต้องลองดู บางคนก็รองเอาจากอีกข้างขณะที่ลูกดูด
นมพุ่งอุตลุด ส่วนใหญ่จะบีบ / ปั๊มได้มากขึ้น ช่วงหลังจากลูกดูดนมจะ "ลง"
(เกิดจากหลังจากลูกดูด ฮอร์โมน Oxytocin จะหลั่ง บีบให้นมลงมาบริเวณ
กระเปาะแถวลานนม) บางคนบีบได้จากเต้าสบาย บางคนพอใจเครื่องปั๊ม
หลากหลายราคา ลองหาซื้อเอา ปั๊มไฟฟ้าเครื่องใหญ่ตามโรงพยาบาลก็ใช้ดี
แต่ราคาแพงต่างประเทศมีให้เช่า บางคนที่ใช้ปั๊มขนาดพกพาก็ได้
อุปกรณ์ทั้งหมดต้องสะอาด ผ่านการนึ่ง / ต้ม มือแม่ก็ต้องล้างนะคะ

สถานที่ถึงเป็นที่ทำงาน ก็หามุมสงบ บางคนดูรูปลูกก็ช่วย หาตู้เย็นไว้เก็บ
มีกระติกใส่น้ำแข็งไว้หิ้วกลับมาแช่ต่อที่บ้าน

มาถึงการบีบนมด้วยมือค่อย ๆ นวดเป็นวงกลมส่วนบน, ล่าง, ซ้าย, ขวา ของเต้านม
แล้วลูบลงมาสู่บริเวณหัวนม จะช่วยให้นมมาสู่กระเปาะเล็ก ๆ บริเวณรอบลานนม
มากขึ้นแล้วใช้มือบีบเบา ๆ รอบ ๆ ลานนม ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความชำนาญขึ้น
ยิ่งถ้าบีบหลังลูกดูดจะได้มากขึ้น ไม่ต้องกังวลถ้าบีบได้น้อย

วิธีการเก็บนมโดยอาศัยหลักการจาก Laleche Leage ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน
ที่ส่งเสริมนมแม่นานาชาติ ดัดแปลงเล็กน้อยจากประสบการณ์ตัวเอง
และข้อแนะนำของ ศ.นพ.วีระพงษ์ ฉัตรานนท์ นมแม่สามารถเก็บไว้ให้ลูกได้สบายมาก
มีคนบีบเก็บมากมายในตู้เย็นใส่ช่องธรรมดาใส่ลึก ๆ หน่อยอยู่ได้ 24 ชั่วโมง
ถ้าแช่ช่องแข็ง 2 สัปดาห์ และเขียนวันเวลาที่เก็บ อุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องนึ่ง / ต้มก่อนบรรจุ
ควรเก็บทีละ 2-3 ออนซ์เท่าที่ลูกจะดูด นำมาอุ่นในแก้วใส่น้ำร้อน ห้ามต้ม
ใส่ไมโครเวฟนอกจากจะทำลายคุณค่า หลังใส่ไมโครเวฟอาจจะร้อนไม่เท่ากัน
มีอันตรายได้ นมที่อุ่นแล้วให้ทิ้งไปเลย ไม่เก็บไว้ให้ดูดอีก (ถ้าลูกดูดไม่หมด)
ไม่ต้องเสียดาย ยิ่งใช้ยิ่งสร้างสำหรับนมแม่ค่ะ

นมแม่ที่แช่เย็นอาจแยกชั้นไม่ใช่เสีย เขย่าเล็กน้อยให้เข้ากัน

เมื่อกลับไปทำงานนอกบ้านคุณแม่อาจจะเหนื่อยเพิ่มขึ้น กลางคืนอาจจะถูกกวนบ้าง
แต่คุ้มนะคะ นมแม่ให้นานเท่าที่แม่และลูกมีความสุข แต่ละคนมีข้อจำกัดต่างกันไป
ช่วง 4-6 เดือนแรกลูกจะเจริญเติบโตมากโดยเฉพาะสมอง ถ้าให้ได้เต็มที่จะดีมาก
หลังจากนั้นอาหารเสริมเพิ่มบทบาทขึ้น คุณประโยชน์ในแง่ความใกล้ชิด
ป้องกันการติดเชื้อก็มีตลอด กว่าลูกจะมีอารมณ์กรี๊ด ๆ ได้มาก ใช้นมแม่ปราบพยศ
ก็ได้ผลทุกทีเป็นการป้องกันอารมณ์เสียทั้งแม่และลูกช่วงหลัง 4-6 เดือน
อย่าลืมเรื่องอาหารเสริมนะคะ

การให้นมแม่ก็มีศิลปะนะคะ ค่อย ๆ ปรับไปตามวัยลูก
แต่ขอให้เริ่มต้นชีวิตลูกด้วยนมแม่ คุ้มจริง ๆ คุ้มที่สุดค่ะ
********************************
พ.ญ.สุดา เย็นบำรุง

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - ท้องเสียบ่อย จะมีผลให้คลอดก่อนกำหนดหรือไม่

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - ท้องเสียบ่อย จะมีผลให้คลอดก่อนกำหนดหรือไม่
คำถาม - 
ช่วงตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนมีอาการท้องเสียมาก ไม่ทราบสาเหตุ
แต่ทานอาหารรสจืดมาก เวลาจะถ่ายจะมีอาการเกร็งแข็งตัวบ่อย
กลัวว่ามดลูกจะบีบรัดตัว กรณีท้องเสียแบบนี้มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดมั้ยคะ
คำตอบ -
การทานอาหารรสจืดมาก คงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องท้องเสียแต่ประการใด
ส่วนอาการท้องเสียน่าจะมีสาเหตุมาจากอาหารเป็นพิษ
หรืออาหารติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง

อาการท้องเสียจากอาหารเป็นพิษสามารถหายได้เอง
การรักษาก็เพียงให้น้ำเกลือแร่ทดแทน
ส่วนท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
เพื่อไปกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
การที่ท้องเสียอย่างรุนแรงอาจจะเป็นสาเหตุให้มีการหดรัดตัวของมดลูกได้
แต่โดยปกติขณะตั้งครรภ์ 7 เดือน มดลูกก็จะมีการหดรัดตัวได้
วันละประมาณ 4-5 ครั้งโดยไม่มีอาการเจ็บปวด
การหดรัดตัวดังกล่าวเรียกว่า Braxton Hiok contraction ซึ่งไม่มีอันตรายแต่ประการใด
******************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช

ปรึกษาหมอเด็ก - กินมากไปมั้ย

ปรึกษาหมอเด็ก - กินมากไปมั้ย
คำถาม - 
ลูกสาววัยขวบ 2 เดือน ปกติทานนมครั้งละ 6 ออนซ์
ก่อนนอนกลางคืนประมาณ 3-4 ทุ่มจะทานนม 8 ออนซ์
ราวตี 2 จะร้องไห้หิวนม ให้ทานอีก 5 ออนซ์ คืนหนึ่ง 2 ครั้ง
อย่างนี้ถือว่าทานมากไปหรือเปล่า และจะมีผลเสียอะไรหรือไม่
เด็กวัยนี้ต้องอดนมกลางคืนแล้วหรือยัง แล้วถ้าต้องให้อดควรจะทำอย่างไรคะ
คำตอบ -
เด็กวัยพ้นขวบไปแล้วโดยมากจะรับประทานอาหาร 3 มื้อหลักเหมือนเด็กโตหรือผู้ใหญ่แล้ว
และนมสำหรับเด็กวัยขนาดนี้ไม่ได้เป็นอาหารหลักเหมือนเมื่อตอนอายุน้อยกว่าขวบปี
การรับประทานนมในวัยเกินหนึ่งขวบจึงถือเป็นอาหารเสริมจากอาหารหลักคือข้าว 3 มื้อ

ลูกของคุณแม่รับประทานนมมากขนาดนี้แสดงว่าลูกน่าจะรับประทานข้าวมื้อหลัก
ไม่เพียงพอ หมอเห็นเด็กจำนวนมากที่มีปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งมีสาเหตุจาก
การรับประทานอาหารหลักไม่เพียงพอ ทำให้หันมาดูดนมต่อ
บางครั้งคุณแม่ที่มีลูกวัยนี้จะเห็นว่าการให้ลูกรับประทานอาหารให้หมดมื้อ
ต้องพยายามมาก เพราะเด็กบางคนจะรับประทานช้า ทานบ้างเล่นบ้าง
ต้องหลอกล่อกันกว่าจะรับประทานหมดจาน ถ้าคุณแม่อดทนไม่เพียงพอ
อาจเกิดความเบื่อหน่าย และในที่สุดก็จะตัดสินใจให้ลูกทานนมต่อเพื่อให้อิ่มในมื้อนั้น

การทำแบบนี้จะเป็นผลเสียกับลูก คือ จะเป็นเด็กที่ทานอาหารยาก
ควรเริ่มฝึกวินัยให้รู้จักเวลาของการรับประทานอาหาร นั่งให้เป็นที่เป็นทาง
ไม่ป้อนไป อุ้มเดินไป ถ้าทานยากจริง ๆ อย่าให้นมต่อทันที
เพราะเด็กจะเกิดการเรียนรู้ว่าอย่างไรซะฉันก็รับประทานนมต่อได้
คุณแม่อาจให้นมเป็นอาหารเสริมช่วงสาย ๆ บ่าย ๆ และก่อนนอน
เด็กวัยนี้น่าจะลองให้ดื่มนมจากแก้วที่มีปากเล็ก ๆ หรือลองดูดหลอด
พยายามเลิกขวดนม ถ้าเด็กสามารถรับประทานอาหารหลักได้เพียงพอ
เด็กจะอิ่มท้อง และเชื่อว่าการตื่นขึ้นมาทานนมตอนกลางคืนคงจะหายไปในที่สุดครับ
*************************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกินยายากทำอย่างไรดี

ปรึกษาหมอเด็ก - ลูกกินยายากทำอย่างไรดี
คำถาม - 
เวลาป้อนยาลูกแล้วสักพักลูกอาเจียนออกมา เราต้องให้ยาแกเพิ่มไหมคะ
ลูกทานยายากมาก คุณหมอช่วยแนะนำทีค่ะ
คำตอบ -
ทุกคนที่เคยป้อนยาลูกมักประสบกับปัญหานี้บ่อยพอควร
ตามธรรมชาติเวลาเด็กเล็ก ๆ ไม่สบาย เช่น เป็นหวัด มีโอกาสง่ายมาก
ที่เด็กจะอาเจียน ไม่ใช่เฉพาะแต่ยา อาหารก็มีโอกาสอาเจียนระหว่างหรือหลังทานด้วย
เนื่องจากเด็กมีอาการระคายคอ
หรือน้ำมูกที่ไหลย้อนกลับไปในคอทำให้เกิดลักษณะเสมหะพันคอและแหวะออกมา

การป้อนยาในเด็กเล็กจะต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ควรใช้หลอดป้อนยาป้อนลงไปตรง ๆ บริเวณคอ เพราะอาจสำลักได้ง่าย
รวมทั้งจะทำให้ยาไปรบกวนบริเวณกล่องเสียงและส่วนต้นของหลอดลม
ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทำให้ส่วนของกล่องเสียงปิด
และปิดกั้นทางเดินของหลอดลมได้
ดังนั้นควรป้อนยาเข้าไปบริเวณกระพุ้งแก้มทีละน้อย อย่าดันพรวดเข้าไป
ถ้ามียาที่ต้องทานหลาย ๆ อย่างอาจจะแบ่งทานทีละ 1-2 อย่าง
และคอยเวลาสักระยะหนึ่ง จึงค่อยทานยาชนิดอื่นตาม

ส่วนเมื่อลูกอาเจียนออกแล้วต้องให้ทานยาอีกหรือไม่นั้น
เป็นคำถามที่ตอบค่อนข้างยาก ไม่มีตัวเลขชี้ชัดลงไปว่าหลังจากป้อนยาแล้ว
ถ้ามีอาเจียนเวลานานเท่าไหร่จะป้อนยาเข้าไปอีกมากน้อยแค่ไหน

หลักการที่ผมใช้กับคนไข้คือ ถ้าทานยาแล้วลูกอาเจียนทันทีควรต้องทานใหม่
แต่ถ้าอาเจียนหลังป้อนยาไปแล้วเกินกว่า 1/2 ชั่วโมง ก็ไม่ต้อง
ถ้าไม่เกิน 1/2 ชั่วโมง คงต้องพิจารณาว่าอาเจียนออกมามียาปนมามากน้อยเท่าไหร่
อาจจะพิจารณาให้ยาอีกสักครึ่งหนึ่งของขนาดยาที่ได้

เด็กบางคนฉลาด สามารถทำให้อาเจียนได้เองเมื่อพ่อแม่ป้อนยาให้
ขอแนะนำว่าอย่าตกใจ ให้พยายามทำใหม่
เพื่อเด็กจะได้เรียนรู้ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องรับประทานยาใหม่ถึงแม้จะอาเจียน
*************************************
รศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - น้ำคร่ำมากผิดปกติ เป็นอันตรายต่อลูกมั้ย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์ - น้ำคร่ำมากผิดปกติ เป็นอันตรายต่อลูกมั้ย
คำถาม - 
ดิฉันแต่งงานมา 4 ปีแล้ว มีลูกคนแรกได้ 2 เดือนก็แท้ง มีคนที่สองก็ตาย
แต่คนที่สองอายุครรภ์ครบนะคะ แต่ไม่สมบูรณ์ หมอบอกว่าเขาไม่ได้อาหารจากแม่
ตัวเล็ก ขายาวข้างสั้นข้าง เป็นผู้หญิง อยู่ตู้อบให้ออกซิเจนอยู่ 3 วัน
น้ำหนัก 1,900 กรัมค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่าคะ
คุณหมอตรวจเลือดให้ก็บอกว่าไม่เป็นไร
ตอนผ่าท้องคลอดคุณหมอบอกว่าน้ำคร่ำมากผิดปกติ
แบบนี้สามารถเจาะดูได้ตั้งแต่ยังไม่คลอดรึเปล่าคะ และถ้าจะมีลูกควรต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
คำตอบ -
ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียทั้งสองครั้งของคุณครับ แต่ปัญหาดังกล่าว
น่าจะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน
ครั้งแรกที่แท้งตั้งแต่ครรภ์เพียง 2 เดือนน่าจะเกิดจากความผิดปกติของ
การเจริญเติบโตของตัวอ่อน บางครั้งดูเหมือนไม่มีการเจริญเติบโตของตัวอ่อนเลย
เรียกว่าการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวเด็ก หรือ Blighted ovum

ส่วนครั้งที่สองที่ครรภ์ครบกำหนด น้ำคร่ำมากกว่าปกติ
ทารกมีรูปผิดปกติโดยกำเนิดและน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ น่าจะมีเหตุจาก
ความผิดปกติของทารกตั้งแต่ในครรภ์ที่อาจจะมีเหตุจากโครโมโซมผิดปกติก็ได้
หากคุณตั้งใจที่จะตั้งครรภ์ครั้งใหม่ ควรจะอยู่ในความดูแลของสูติแพทย์
ที่ชำนาญทางด้านปริกำเนิดซึ่งจะช่วยดูแลการตั้งครรภ์และตรวจสอบ
หาความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยการตรวจเลือดมารดา
ตรวจอัลตราซาวนด์ดูความผิดปกติของทารกในครรภ์
ตรวจน้ำคร่ำเพื่อวิเคราะห์โครโมโซมของทารกในครรภ์
รวมทั้งติดตามดูสุขภาพของทารกในครรภ์ตลอดการตั้งครรภ์
ปัจจุบันนี้สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปริกำเนิดมีอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกแห่ง
โรงพยาบาลของรัฐ เช่น รพ.จุฬาฯ รพ.รามาฯ รพ.ศิริราช เป็นต้น
******************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก - เด็กเอาแต่ใจ...แก้อย่างไรดี

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก - เด็กเอาแต่ใจ...แก้อย่างไรดี
คำถาม -
ดิฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กค่ะ มีเด็กคนหนึ่งที่เลี้ยงอยู่ เขาอายุ 3 ขวบ
เวลาโดนขัดใจเขาจะล้มทั้งยืนหัวฟาดพื้น
พอจับลุกก็จะทิ้งตัวลงไปใหม่ ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรคะ
คำตอบ -
การที่เด็กลงไปนอนดิ้น อาละวาดฟาดหางในลักษณะแบบนั้น
มีสาเหตุหลักอยู่ 2 ข้อ คือ
1. เกิดจากการเลี้ยงดูที่รักและตามใจเด็กมาก
ซึ่งเท่ากับฝึกเด็กให้อยากได้อะไรต้องได้
สุดท้ายเราก็จะได้เด็กคนหนึ่งที่เป็นเจ้าตัวร้าย อาละวาดเก่ง แผดเสียงได้ดังลั่นบ้าน
จนทำให้ทุกคนประสาทผวาไปหมด จนมีคนทนไม่ได้แล้ววิ่งมาเอาอกเอาใจหรือมายอมเด็ก

2. เรื่องการเรียนรู้นั้น เด็กเขาเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูกว่าทำแล้วได้ผล
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีร้องไห้ ร้องไห้ระดับหนึ่งแล้วได้ไหม
หรือลงไปนอนดิ้นได้ไหม หรืออย่างเด็กรายนี้แหละค่ะ
ทำให้พี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ทนไม่ได้จึงยอมเด็ก ถ้าบางครั้งทำได้ผลบ้าง
บางครั้งไม่ได้ผลบ้าง เด็กก็ต้องลองทำอีก เช่น เด็กพยายามทำกับพ่อทุกครั้ง ๆ
ไม่เคยได้ผลเลย เด็กจะไม่อาละวาดกับพ่อ แต่เด็กทำกับแม่บางครั้งได้
บางครั้งไม่ได้ ก็จะทำพฤติกรรมนั้นต่อ เผื่อว่าจะได้ผล

วิธีการแก้ไขคือ
1. คุณจะต้องแก้ที่รากฐาน ดูว่าในบ้านใครเป็นคนตามใจบ้าง
คุณจะมีโอกาสคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเด็กไหม เพราะถ้าไปคนละทิศละทาง
เช่น คุณย่าตามใจเยอะและมีอำนาจที่สุดในบ้าน แถมยังมีอิทธิพลด้วย
พ่อแม่ไม่กล้าขัดใจ สุดท้ายเด็กก็เสียค่ะ

เพราะฉะนั้นอยู่ที่ระดับผู้ใหญ่จะต้องคุยกันระหว่าง พ่อ แม่ คุณย่า พี่เลี้ยง
ว่าหากเลี้ยงไปในทิศทางของการตามใจจะยิ่งทำให้เด็กอารมณ์ร้อนและไม่ยั้งตัวเอง
ส่งผลให้เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นลำบากในอนาคต
จึงต้องค่อย ๆ ลดการตามใจลงจาก 100 เหลือ 80 หรือ 60 เป็นต้น
ถ้าจะไม่ให้ตามใจเลยคงทำได้ยาก ผู้ใหญ่ก็ทำใจยาก

2. ขณะที่เด็กกำลังอาละวาด แกก็หวังว่าจะได้รับความสนใจ
เพราะฉะนั้นวิธีการคือไม่ให้ความสนใจเลย เดินออกมา
ปล่อยให้อาละวาดไปสักระยะหนึ่ง ให้เด็กเรียนรู้ว่าทำแล้วไม่เกิดผล
พอแกเริ่มเหนื่อยแล้วคุณค่อยเข้าไปชี้ชวนเพื่อเบี่ยงเบนให้เด็กหันไปสนใจสิ่งอื่น
วิธีนี้มักใช้ได้ผล

แต่ถ้าเข้าไปแล้วเด็กยิ่งอาละวาดมากขึ้น คุณต้องถอยออกมาก่อนค่ะ
ไม่ควรพูดแดกดันหรือพูดด้วยความโกรธ ขู่ว่าจะทิ้ง
เพียงแต่พูดว่าหนูยังโกรธอยู่ แม่เข้าใจว่าหนูอยากได้ของสิ่งนั้น แต่ให้ไม่ได้จริง ๆ แล้วจึงเดินออกมา

3. หมอเชื่อว่าเด็กไม่ได้อาละวาดตลอดเวลา ฉะนั้นขณะที่เด็กทำพฤติกรรมดี
คุณสามารถฝึกให้ยั้งอารมณ์ หัดช่วยตัวเองและใจเย็น ๆ
การฝึกแบบนี้ต้องหมั่นชมเชย อาศัยที่เด็กบ้ายอและอยากทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบ
พฤติกรรมที่ดีของเด็กจะพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ๆ ไม่ใช่ทำดีทั้งวันไม่มีใครชม
แต่พออาละวาดทีหนึ่งทุกคนเข้ามาให้ความสนใจไปหมด
พฤติกรรมที่ไม่ดีก็จะเพิ่มขึ้นและไม่หายสักที

อยากให้พิจารณาด้วยว่าการที่เด็กทำพฤติกรรมอาละวาดฟาดหางแบบนี้
เป็นเพราะว่าคุณตามใจมากหรือเป็นเพราะว่าเด็กเกิดการเรียนรู้ว่าคุณมักจะใจอ่อนเวลาที่เขาทำพฤติกรรมไม่ดี
**********************************
พ.ญ.วินัดดา ปิยะศิลป์ จิตแพทย์เด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - อัลตราซาวนด์ 3 มิติ

รอบรู้เรื่องตั้งครรภ์ - อัลตราซาวนด์ 3 มิติ
คุณสมบัติเด่นของการอัลตราซาวนด์แบบ 3 มิตินี้ คือ จะทำให้แพทย์
และตัวมารดาเห็นภาพทารกในครรภ์เป็นภาพสี 3 มิติ
ซึ่งแต่เดิมจะเห็นเพียงเงาขาวดำเท่านั้น โดยสามารถเก็บภาพ
ขณะอัลตราซาวนด์ติดต่อกันนาน 5 วินาที
แล้วนำไปประเมินผลโดยคอมพิวเตอร์ สร้างเป็นภาพ 3 มิติ

แพทย์ส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่า
เครื่องมือนี้ควรจะถูกใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น
เพราะจะช่วยบอกความผิดปกติบนใบหน้าของเด็กในครรภ์ได้ละเอียดกว่า
เช่น มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ หรือมีก้อนเนื้องอกหรือไม่
และเมื่อรู้ความผิดปกติ
แพทย์ก็จะได้ส่งตัวมารดาผู้นั้นไปรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
รวมทั้งให้ความรู้และคำแนะนำ
ซึ่งเท่าที่ผ่านมาวิธีการนี้จะช่วยทำให้มารดายอมรับและเตรียมปฏิบัติตัวได้ตั้งแต่ก่อนคลอด
รวมทั้งได้รับคำแนะนำถึงการดูแลลูกที่จะเกิดมาอย่างถูกต้อง ทันท่วงที
ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก

ปรึกษาหมอเด็ก - ลิ้นเป็นแผล เป็นหวัดและหลอดลมอักเสบ

ปรึกษาหมอเด็ก - ลิ้นเป็นแผล เป็นหวัดและหลอดลมอักเสบ
คำถาม -
ปัจจุบันลูกสาวอายุ 3 ปี 8 เดือนที่ลิ้นเป็นแผล (หลุม ๆ นูน ๆ ) มาตั้งแต่ขวบกว่า
คิดว่าเป็นผลมาจากการทานนมแล้วไม่ได้เช็ดลิ้น (แต่ให้ทานน้ำตามทุกครั้ง)
คุณหมอที่ตรวจบอกว่า จะไม่หายขาดเพราะเกิดจากข้างใน
ลูกเป็นหลอดลมอักเสบและเป็นหวัดบ่อย แต่ก็ทานข้าวทานนมได้ปกติ (น้ำหนัก 15 กก.)
มีวิธีรักษาและแก้ไขอย่างไรลูกถึงจะหายขาดได้คะ (การที่ลูกเป็นหวัด
น้ำมูกไหลบ่อย เป็นผลมาจากพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศและฝุ่นทั้งคู่ด้วยหรือเปล่า)
คำตอบ - 
เด็กเป็นแผลที่ลิ้นเกิดได้หลายสาเหตุค่ะ บางคนเกิดจากการขาดวิตามิน
บางรายเกิดจากภูมิแพ้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามถ้าแพทย์ตรวจดูแล้วว่าไม่มีอะไรร้ายแรง
ลูกก็กินเก่งไม่มีอะไรผิดปกติ น้ำหนักขึ้นดี กินได้นอนหลับ
คิดว่าไม่มีอันตรายอะไรจากลิ้นที่เป็นลักษณะดังกล่าวค่ะ

ส่วนการที่เป็นภูมิแพ้นั้น เป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
คือ พ่อแม่สามารถถ่ายทอด DNA และยีนที่ควบคุมระบบภูมิแพ้มาสู่ลูกได้
ถ้าพ่อแม่แพ้ฝุ่นก็พยายามอย่าให้ลูกได้รับฝุ่นละออง ทั้งนี้รวมถึงห้องพัก
อย่าสะสมฝุ่นละอองถ้าระมัดระวังดี ๆ เด็กก็ห่างไกลจากโรคนี้ได้แม้พ่อแม่จะเป็นอยู่แล้ว
********************************
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ท้องแรกผ่าคลอด ท้องที่สองจะคลอดเองได้มั้ย

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-ท้องแรกผ่าคลอด ท้องที่สองจะคลอดเองได้มั้ย
คำถาม -
ท้องแรกผ่าคลอดไม่ทราบว่าท้องที่สองจะคลอดเองได้มั้ยคะ
และควรห่างจากท้องแรกประมาณกี่ปี เพราะอะไร
คำตอบ -
ขึ้นกับว่าท้องแรกผ่าคลอดเพราะอะไร
เช่น ท้องแรกผ่าเพราะว่าทารกเป็นท่าขวาง หรือ ท่าก้น เป็นต้น
ท้องที่สองอาจคลอดเองได้ ถ้าเป็นท่าปกติ คือ เอาศีรษะลง
แต่ถ้าผ่าท้องคลอดเพราะเชิงกรานแคบ และทารกมีขนาดใหญ่
ก็ควรที่จะผ่าออกในครรภ์ต่อไป
อย่างไรก็ตามหากจะลองพยายามคลอดเองในครรภ์ที่สอง
จะต้องแน่ใจว่าในโรงพยาบาลนั้น มีความพร้อมสามารถที่จะ
เปลี่ยนจากการคลอดเองเป็นการผ่าตัดคลอดได้ในทันที
ในกรณีที่เกิดมีการแยกของแผลผ่าตัดที่ผ่าไว้ครั้งก่อน
หรือคลอดไม่ได้ด้วยเหตุอื่นใด

สำหรับระยะห่างของการผ่าตัดคลอดซ้ำ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้
เว้นระยะการมีบุตรประมาณ 1-1 ปีครึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้แผลผ่าตัดมีความแข็งแรง
และคุณแม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในขวบปีแรก
(การเลี้ยงลูกด้วยตนเองเป็นภาระที่หนักมาก แต่ผลที่ได้รับตอบแทนนั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ)
***************************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กินปลารักษาสมาธิสั้นจริงอ่ะ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - กินปลารักษาสมาธิสั้นจริงอ่ะ
โรคซึมเศร้า ออทิสซึม อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง สมาธิสั้น
เหล่านี้ล้วนเป็นโรคยอดฮิตกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในโลกตะวันตก
ซึ่งเชื่อได้ว่าส่วนหนี่งเป็นเพราะพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

นักวิจัยอาวุโสด้านประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกล่าวว่า
ไขมันปลามีคุณเอนกอนันต์เพราะนอกจากช่วยบำรุงสมองแล้ว
ยังสามารถช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้

ไขมันที่ช่วยพิชิตอาการซึมเศร้าได้คือ โอเมก้า-3
ซึ่งพบในปลาแซลมอลและปลาแม็กเคอเรล
ซึ่งไขมันชนิดนี้แทบจะไม่มีข้อเสียอะไรเลย และนอกจากข้อดีที่เพียบพร้อมแล้ว
ยังมีผลพลอยได้ทำให้เส้นผมเงางามและเล็บไม่เปราะหรือหักง่ายอีกด้วย

มีข้อน่าสังเกตอีกอย่างคือ ประชาชนในประเทศที่กินปลามาก เช่น ญี่ปุ่น
จะมีภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าประเทศทางตะวันตกเยอะมาก
เอ...ข้อมูลเชียร์อัพขนาดนี้แล้ว คนไทยจะหันมากินปลากันมากขึ้นหรือเปล่าน้า...???

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-คลอดธรรมชาติกับการผ่าออก อย่างไหนแผลหายเร็วกว่ากัน

สารพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์-คลอดธรรมชาติกับการผ่าออก อย่างไหนแผลหายเร็วกว่ากัน
คำถาม -
ระหว่างคลอดธรรมชาติกับการผ่าออก อย่างไหนแผลหายเร็วกว่ากันคะ
(ส่วนตัวแล้วกลัวการคลอดธรรมชาติเพราะดูวิดีโอแล้วเสียวไส้ค่ะ)
และถ้าผลการตรวจเลือดของแม่เป็นเลือดจางแบบไม่รุนแรงจะมีผลต่อลูกในท้องมั้ยคะ
คำตอบ -
ระหว่างคลอดธรรมชาติ แผลที่เกิดขึ้นคือรอยฉีกขาดที่บริเวณปากมดลูก
อันเนื่องมาจากการขยายของปากมดลูกจากขนาดเล็กเท่าปลายนิ้ว
จนใหญ่ขนาดทารกผ่านออกมาได้ ซึ่งรอยฉีกขาดดังกล่าวจะหายเองตามธรรมชาติ
ยกเว้นว่ารอยฉีกนี้ทำให้เลือดออก แพทย์ก็จะเย็บซ่อมให้หลังคลอด

อีกแผลหนึ่งก็คือแผลฝีเย็บบริเวณปากช่องคลอดที่ทารกคลอดออกมา
กรณีตั้งครรภ์แรกแพทย์จะต้องตัดฝีเย็บเพื่อให้ทารกคลอดออกมาได้
และฝีเย็บไม่ฉีกขาด ทำให้แผลสวยและสามารถเย็บซ่อมได้เรียบร้อย

ส่วนการผ่าตัดคลอดลูกทางหน้าท้อง จะต้องผ่าผ่านผิวหนังหน้าท้องน้อย
บริเวณเหนือหัวเหน่า ยาวประมาณ 10 ซม. ผ่านชั้นใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ
เยื่อบุช่องท้อง และผ่านกล้ามเนื้อมดลูกส่วนล่าง
จากนั้นจึงสามารถนำทารกออกจากโพรงมดลูกผ่านออกทางหน้าท้องได้

จะเห็นว่าการคลอดตามธรรมชาติแผลจะหายเร็วกว่าอย่างแน่นอน
การฟื้นตัวหลังคลอดสำหรับการคลอดเองตามธรรมชาติก็มักจะฟื้นตัวเร็วกว่า
และระยะที่อยู่ในโรงพยาบาลก็น้อยกว่าด้วย
ดังนั้นการที่จะคลอดลูกด้วยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องควรที่จะต้องมีข้อบ่งชี้
เพราะส่วนใหญ่แล้วแม่ตั้งครรภ์สามารถคลอดลูกได้เองตามธรรมชาติ

สำหรับปัญหาเรื่องโรคโลหิตจางนั้น หากเป็นเพียงเล็กน้อย
ก็จะไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ แต่ควรที่จะทราบว่า
ภาวะโลหิตจางนั้นเกิดจากสาเหตุใด เช่น เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก
หรือเกิดจากการที่เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ
เช่น โรคทาลัสซีเมียชนิดต่าง ๆ ที่พบมากในประเทศไทย
เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
***************************************
นท.นพ.วิวัฒน์ ชินพิลาศ

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น-รักษาสิวด้วยยคุมกำเนิด ขนหน้าแข้งยาวอายสาว

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น-รักษาสิวด้วยยคุมกำเนิด ขนหน้าแข้งยาวอายสาว
คำถาม 
1. เพื่อนนักเรียนที่ห้องคนหนึ่ง เป็นผู้ชายนะครับมีสิวเยอะมาก
    แต่ช่วงหลัง ๆ นี้ กลับลดลงอย่างน่าอัศจรรย์
    ซึ่งผมก็มีปัญหาเรื่องสิวเหมือนกันจึงได้สอบถามไปว่า
    ไปหาหมอที่คลินิกไหนหรือเปล่า เค้าบอกว่าซื้อยาคุมกำเนิดมาทานเอง
    ซึ่งผมก็กลัว ๆ ไม่กล้าถามคุณพ่อคุณแม่ครับ กะว่าจะลองซื้อมาทานเอง
    ก็กลัวว่ามันจะมีผลข้างเคียง คุณหมอคิดว่า ควรจะทานดีไหมครับ
    แล้วยาตัวไหน หมายถึงว่าถ้าไปถามซื้อต้องซื้อแบบไหนถึงจะดีครับ
2. ผมมีขนหน้าแข้งเยอะมาก ๆ อายเพื่อนผู้หญิงครับ เค้าชอบแซวบ่อย ๆ
    จึงได้โกนทุกวัน แต่ปรากฏว่าขนที่โกนกลับขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นเส้นแข็ง
    ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีครับ มียาทานที่ลดขนหรือเปล่า เคยได้ยินว่า
    มีการให้กินยาลดฮอร์โมนควรซื้อมาทานดีไหมครับ แล้วยาตัวไหนที่มี
    ประสิทธิภาพดีที่สุดครับ เห็นรายการทีวีรายการหนึ่ง มีการแวกซ์ขน
    ไม่ทราบว่าทำอย่างไร แล้วพวกผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย เช่น ทีวีมีเดีย
    นำเสนอขายแบบเป็นเครื่องไฟฟ้ากำจัดขนทีละเส้นดีไหมครับ
คำตอบ
ปัญหาเรื่องสิว ดูเป็นเรื่องหนักอกหนักใจสำหรับวัยรุ่นส่วนใหญ่
และเดี๋ยวนี้เลยเถิดถึงขั้นที่หาซื้อยาคุมกำเนิดมากินเองเพื่อรักษาสิว
ถามว่าจะเกิดผลอย่างไร ตอบได้เลยครับว่า เกิดผลร้ายมากมายหลายอย่างทีเดียว

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า ระยะวัยรุ่น ร่างกายของเด็กทั้งชายและหญิง
จะเปลี่ยนแปลงตามฤทธิ์การทำงานของฮอร์โมนเพศ
ฮอร์โมนชายหรือเทสโตสเตอโรน และฮอร์โมนเพศหญิงโปรเจสเตอโรนและอีสโตรเจน
ความจริงฮอร์โมนทั้งสองเพศมีแหล่งกำเนิดอันเดียวกัน คือสารสตีรอยด์
แล้วไปแตกกิ่งก้านสาขาของโมเลกุลข้างเคียง ตามเพศของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
เหตุฉะนี้ฤทธิ์บางอย่างของทั้งฮอร์โมนชายและหญิงก็มีเหมือน ๆ กันบางกรณี
เช่น ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังในบางบริเวณสร้างไขมันเพิ่มขึ้น
ไขมันที่สร้างเพิ่มขึ้นนี้เอง ทำให้เป็นอาหารอันโอชะของแบคทีเรีย
ยิ่งถ้ารักษาผิวหนังไม่สะอาด ก็จะเป็นเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง
ดังนั้นทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเมื่อเข้าวัยรุ่นก็มีสิวได้ทั้งสองเพศ
แต่ว่าเพศชายจะมีสิวมากกว่า เพราะฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย

นอกจากนี้ ต่อมไขมันในบางที่ยังสร้างกลิ่นเฉพาะออกมาด้วย
เช่น บริเวณรักแร้ รอบหัวนม และบริเวณอวัยวะเพศ
ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะขึ้นมาโดยธรรมชาติ เพื่อดึงดูดเพศตรงกันข้าม
นี่เป็นที่มาของกลิ่นตัว แต่ถ้าใครรักษาความสะอาดพื้นที่เหล่านี้ไม่ดีพอ
เชื้อแบคทีเรียก็ทำให้เกิดการหมักหมม เกิดกลิ่นตัวแรง

ฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิงยังทำให้ขนตามร่างกายบางแห่งงอกขึ้นมาด้วย
เช่น ขนรักแร้ ขนที่หัวเหน่า และขนหน้าแข้ง เป็นต้น
อีกนั่นแหละที่ฮอร์โมนเพศชายจะทำให้ขนเหล่านี้งอกมากกว่าฮอร์โมนเพศหญิง
แต่เพศหญิงก็มีขนเหล่านี้ขึ้นได้เหมือนกัน

ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้แล้ว จะเห็นว่า นี่คือความเปลี่ยนแปลง
ตามธรรมชาติของคนที่เข้าสู่วัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย รังเกียจหรือต้องดิ้นรน
จนเกินขนาดที่จะขจัดมัน และถ้าขืนไปแตะต้องแก้ไขมันด้วยการกินฮอร์โมนเข้าไป
อาจทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
เกิดปัญหาอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมาอีกมากมายโดยเราไม่ทันคิด

การกินยาคุมกำเนิด ก็คือการรับเอาฮอร์โมนเพศหญิงเข้าสู่ร่างกาย
ด้านหนึ่งอาจออกฤทธิ์ต่ออวัยวะเป้าหมาย แข่งขันกับฮอร์โมนเพศชาย
เป็นผลให้อวัยวะเหล่านั้น ไม่สนองต่อฮอร์โมนเพศชายมากนัก
ผลก็คือ การกินยาคุมกำเนิดทำให้สิวลดน้อยถอยลงไปได้ระดับหนึ่ง
กระทั่งอาจทำให้ขนหน้าแข้งลดจำนวนลง
แต่น้อง ๆ ลองคิดดูซิครับว่า อวัยวะที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายของเรา
จะมีเฉพาะต่อมไขมันและขนหน้าแข้งเท่านั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน
เจ้าอวัยวะอื่น ๆ ล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรารับเอาฮอร์โมนเพศตรงข้ามเข้าไป
หรือถึงแม้จะเป็นน้อง ๆ ผู้หญิงก็เถอะ ในร่างกายเรามีฮอร์โมนในระดับหนึ่ง
แต่นี่เราเติมเข้าไปให้มากกว่าเดิมจะเกิดอะไรขึ้น

ก่อนอื่นสำหรับวัยรุ่นผู้ชาย ถ้าขืนกินยาคุมเข้าไปก็จะเกิดเรื่องราวต่อไปนี้
1. ความสูงที่กำลังเพิ่มขึ้นจะหยุดชะงัก
    เพราะฮอร์โมนเพศชายช่วยทำให้กระดูกท่อนยาวยืดตัวออกไป
    เมื่อถูกรบกวนด้วยฮอร์โมนเพศหญิง ความสูงก็หยุด
2. เสียงจะไม่เปลี่ยน ฮอร์โมนเพศชายทำให้กล่องเสียงโตขึ้น
    กล่องเสียงคือลูกกระเดือกนั่นเอง ผู้ชายจึงมีลูกกระเดือก ทำให้มีเสียงห้าว
    ถ้ากินยาคุม เสียงก็จะแหลมเล็กอย่างพวกคนเพศที่สามนั่นเอง
3. กล้ามเนื้อไม่เจริญเติบโต เพราะฮอร์โมนเพศชายทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น
    กินยาคุมไปเรื่อยเจ้าตัวก็จะกร้องแกร้ง เหมือนไม้เสียบผี
4. เต้านมโตขึ้น ด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิง
5. ร้ายแรงกว่านั้นคือทำให้อัณฑะฝ่อเหี่ยว
    อวัยวะเพศซึ่งจะเพิ่มขนาดในวัยรุ่นด้วย ก็จะไม่เพิ่มขนาด

ทีนี้ล่ะ เรื่องยุ่งคงตามมาอีกเยอะ เพราะฉะนั้นจงอย่าใช้เป็นอันขาด
และรีบบอกเพื่อนให้เลิกใช้เสียโดยด่วน
แม้จะรู้กันว่าแพทย์โรคผิวหนังจำนวนหนึ่งอาจเลือกใช้ในการรักษาสิวกับคนไข้
บางคนบางกรณี ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของแพทย์ไปละกัน อย่าเที่ยวซื้อกินเองส่งเดช

สำหรับเรื่องขนหน้าแข้งก็เหมือนกัน เด็กวัยรุ่นจงรู้ไว้ว่าขนหน้าแข้งนั้น
คือสัญลักษณ์ของความเป็นชาย เป็นการประกาศกร้าวแก่ชาวโลกว่า
"ข้าเนี่ยนะ หนุ่มแล้วนะเว้ย !" และพึงรู้อีกเหมือนกันว่าที่เพื่อนผู้หญิงพากันล้อนั้น
แท้ที่จริงอาจเป็นเพราะว่า พวกเธอชักจะสนใจมาดชายชาตรีที่เริ่มจะ
หรอมแหรมโผล่ขึ้นมาในตัวของเราบ้างแล้ว
เด็กผู้หญิงเหล่านั้น บางทีก็รู้สึกแปลก ๆ กับความในใจของตนเอง
พวกเธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
เพียงแต่รู้สึกว่า เจ้าเพื่อนคนนี้มีอะไรสะดุดตา สะดุดใจอยู่ไม่น้อย
พวกเธอไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองดีแหละครับ
ก็เลยเสแสร้งออกมาเป็นเรื่องของการแอ่วการแซวกัน...กรี๊ดกร๊าด

ด้วยเหตุฉะนี้ เด็กวัยรุ่นจงเริ่มภูมิใจน้อย ๆ ในขนหน้าแข้งของตัวเองได้แล้วละ
ปล่อยมันไว้อย่างนั้น ให้ขึ้นมารกครึ้มเท่าไหร่ก็ช่างมัน จะไปอาย ไปโกนมันทิ้งทำไมกัน
ต้องรู้ไว้ว่า เจ้าเครื่องถอนขนนั่นน่ะ เขาไม่ได้มีไว้ถอนขนหน้าแข้งผู้ชายหรอกนะน้อง
เพราะการถอนแต่ละทีก็เจ็บหยอกอยู่ซะเมื่อไหร่
ผู้ชายนั้นยังไงเสียก็ต้องมีขนหน้าแข้งอยู่แล้ว เพราะฮอร์โมนเพศมันพาไป จะคอยถอนคงไม่ไหว

เจ้าเครื่องถอนขนนั้น มีไว้ให้พวกผู้หญิงเขาใช้กัน
เพราะฮอร์โมนในตัวพวกเธอก็มีฤทธิ์ทำให้ขนขึ้นเหมือนกัน
และค่านิยมในสังคมเรา ไม่ค่อยนิยมที่จะเห็นผู้หญิงคนไหน
โหนรถเมล์ด้วยขนรักแร้แพลมออกมามากมาย
พวกเธอก็เลยต้องทนทรมานถอนขนเหล่านี้ ยิ่งบางคนมีขนหน้าแข้งด้วย
เพราะสัดส่วนฮอร์โมนในตัวเธอออกจะมีความเป็นชายมากกว่าคนธรรมดาอื่น ๆ
พวกเธอไม่อยากให้โลกเขามองว่า "น่อง ๆ นี้อาจเตะช้างล้มได้"
ก็เลยจำต้องถอนขนหน้าแข้งด้วย

จงปล่อยให้พวกเธอทำกันไปเถอะครับ
แต่พึงรู้ว่า รสนิยมการถอนขนนั้นเป็นเรื่องของจริตจะก้านที่สังคมเมือง
เสแสร้งแต่งปั้นเข้าครอบงำกันซะเปล่า ๆ คนไทยรุ่นแม่รุ่นย่ายาย
เขาไม่ได้มาเกี่ยงงอนเรื่องมีขน ไม่มีขน กันสักหน่อย ขอให้เป็นคนนิสัยดี
ทำการบ้านการเรือนได้ การไร่การนาไม่ครั่นคร้าม แถมมีเสน่ห์ปลายจวัก
เท่านี้ก็เป็นผู้หญิงที่ทรงคุณค่าแล้ว ไม่ได้วัดกันด้วยขนรักแร้ หรือน่องมีขนกี่เส้นกันเ..ล้..ย  !

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องกินของแม่ตั้งครรภ์ - B6 แก้แพ้ท้องจริงหรือ

เรื่องกินของแม่ตั้งครรภ์ - B6 แก้แพ้ท้องจริงหรือ

บี 6 ที่ว่านี้ไม่ได้เป็นญาติกับบี 1 บี 2 ในกล้วยหอมจอมซนหรอก
แต่เขาคือ วิตามินบี 6 นั่นเอง ซึ่งคุณแม่หลายท่านอาจเคยได้ยินต่อ ๆ กันมาว่า
"กินวิตามินบี 6 ช่วยแก้อาการแพ้ท้องได้"
และถ้าคุณเกิดอาการโอ้กอ้ากตอนท้องขึ้นมา
และกำลังคิดที่จะไปซื้อหามากินเองตามคำบอกเล่า
ลองพิจารณาข้อเท็จจริงก่อนตัดสินใจนะคะ

บี 6 แก้แพ้ท้อง...จริงอะ
ตอบให้หายข้องใจตรงนี้เลยว่า เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่พิสูจน์ชัดเจนแน่นอน
อาจใช้ได้ผลกับคุณแม่บางคนเท่านั้น แต่บางคนก็ใช้ไม่ได้ผล
และที่ว่าแก้แพ้ท้องนี้ ก็เฉพาะอาการคลื่นเหียนอาเจียน
หรือ ที่ฝรั่งเรียกว่า "morning sickness" เท่านั้นแหละ
ส่วนอาการแพ้ท้องประเภทเบื่อสามี
อันนี้ต้องอาศัยความน่ารักส่วนตัวของคุณสามีเป็นตัวช่วยแล้วล่ะ

ในวงการแพทย์เขามีการใช้วิตามินบี 6 เพื่อช่วยลดอาการแพ้ท้อง
มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 โน่น เพราะเชื่อกันว่าอาการแพ้ท้อง
แบบคลื่นไส้อาเจียนนั้น เกิดจากกระบวนการเมตาบอลิซึมที่ผิดปกติ
ของกรดอะมิโนตัวหนึ่ง (กรดอะมิโนมีอยู่หลายชนิด และเป็นสาร
อาหารจำพวกโปรตีน) และเจ้าบี 6 เขาก็มีหน้าที่ช่วยในการเมตาบอลิซึม
ของร่างกายอยู่แล้วจึงทำให้อาการคลื่นไส้ทุเลาลง

บี 6 กับแม่ท้องจำเป็นแค่ไหน
ถึงวิตามินบี 6 จะไม่ได้ช่วยให้คุณแม่หายแพ้ท้องได้ทุกคน
แต่มีความสำคัญกับแม่ท้องอย่างแน่นอน
เพราะคุณพี่บี 6 เขามีประโยชน์เยอะจริง ๆ นะ
***** ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้คุณและลูกในท้อง
***** ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาทของเจ้าตัวน้อยในท้อง
***** ช่วยให้คุณแม่เผาผลาญอาหารได้ดี
***** ช่วยในการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง
***** ป้องกันตะคริว
***** ป้องกันโรคลมบ้าหมูในเด็กเล็ก
***** ลดอาการภูมิแพ้ ชนิดที่เกิดจากการขาดวิตามิน

กินแค่ไหนดีน้า...
ความต้องการวิตามินบี 6 ของคนเราจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับปริมาณโปรตีนที่เรากินเข้าไปด้วย
สำหรับปริมาณที่แนะนำให้แม่ท้องกินในแต่ละวันหรือ
RDA (recommended daily allowance) คือ 2.2 มิลลิกรัม
ถ้าเป็นคุณแม่ที่ให้นมลูกอยู่ก็ให้ลดลงมานิดหนึ่งเหลือ 2.1 มิลลิกรัม
แต่คนปกติทั่วไป 1.6 มิลลิกรัม ก็เพียงพอ

ถ้าร่างกายเกิดขาดวิตามินบี 6 ขึ้นมา จะมีอาการเป็นตะคริวบริเวณผิวหนังอักเสบ
โลหิตจาง และปลายเส้นประสาทอักเสบซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ค่อยเจอใคร
ที่ขาดวิตามินนี้กันหรอก เพราะมีอยู่ในอาหารหมู่ต่าง ๆ ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ

ถึงร่างกายจะต้องการวิตามินบี 6 แค่นิดหน่อย แต่ขาดไม่ได้เชียวนะ
ฉะนั้นการได้อาหารหลากหลายชนิดจะช่วยคุณแม่ได้แน่นอน
เพราะคุณบี 6 เขาจะคอยแทรกตัวอยู่ตามอาหารเมนูต่าง ๆ รอให้คุณแม่เลือกหม่ำอยู่แล้ว

แหล่งซ่อนตัวของคุณบี 6
ข้าวสาลี ข้าวโพด ตับ เนื้อไก่ เนื้อหมู ปลา นม ถั่วเหลือง ไข่ กล้วย มันฝรั่ง น้ำลูกพรุน อะโวคาโด

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-ดูโทรทัศน์มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่

ปัญหาน่าปวดหัวเจ้าตัวเล็ก-ดูโทรทัศน์มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่
คำถาม -
การดูโทรทัศน์มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่ ผู้ใหญ่ควรดูแลเรื่องนี้อย่างไรครับ
คำตอบ - 
ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ดูเป็นสำคัญครับ ถ้าเรื่องที่ไม่เป็นตัวอย่างของการก้าวร้าว
ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ที่ทุกคนเป็นห่วงก็คือการที่เด็กได้ดูตัวอย่างความก้าวร้าวจากทีวี

ที่ทุกคนเป็นห่วงก็เพราะกลัวการเลียนแบบ ทั้งการเลียนแบบอย่างตั้งใจ
และการซึมซับไปโดยไม่ตั้งใจ ก็คล้าย ๆ กับความเคยชินนั่นแหละครับ
คือเห็นบ่อย ดูบ่อย จนเคยตัว เวลาเกิดเหตุทำนองเดียวกับในทีวี เด็กก็จะเลือกทำ
สิ่งที่เคยเห็นก่อนสิ่งอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีและอันตรายมากนะครับ
ถ้าเด็กได้ดูแต่เรื่องที่ก้าวร้าวในทีวี

วิธีแก้ที่เด็ดขาดเห็นจะไม่มี นอกจากทำให้ทีวีหมดไปจากโลกซึ่งก็ทำไม่ได้
และถ้าขาดทีวีไปเราก็จะขาดอะไร ๆ ที่ดี ๆ อีกหลายอย่างไป ทางออกอย่างเป็นกลาง ๆ
คือทำอย่างไรให้เด็กมีแต่เรื่องที่ดี ๆ ดู หรือทีวีทำแต่เรื่องประเทืองปัญญาสำหรับเด็ก
เช่น รายการดวงใจพ่อแม่อย่างเนี้ยะ

คุณพ่อลองดูทีวีอีกทีนะครับ มีรายการดี ๆ สำหรับเด็กอีกมาก
แต่จะอยู่คนละเวลาที่ผู้ใหญ่ดูกัน และอยู่ที่ช่องที่ไม่ฮิตนัก
เช่น ช่อง 11 ช่วงบ่ายแก่ ๆ ถ้ายังไม่กลับบ้านใช้เครื่องเล่นวิดีโอตั้งเวลาอัดไว้
เปิดให้เด็กดูทีหลังก็ได้ เทคโนโลนีนี้ผมเคยลองนะครับ ไม่เลวทีเดียว
ผมอัดรายการมวย เวลาเอาเทปมาดู สนุกมาก เรากรอข้ามโฆษณาไปเลย
12 ยกชกกันไม่มีพักเลยครับ ดูแล้วเหนื่อยจริง ๆ

อีกวิธีคือการดูทีวีกับลูกจะช่วยได้มาก โดยเราจะช่วยชี้แนะให้เด็กเห็นว่า
สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี ถ้าทำได้แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับ
ความก้าวร้าวรุนแรงมีให้เด็กเห็นทุกวัน ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี คนข้างบ้าน
บางทีคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นตัวอย่างเสียเอง การชี้แนะจะช่วยลดความเคยชินให้เด็กได้
และจะให้ดีก็ต้องลดความรุนแรงในตัวเราเองด้วย

เวลาขับรถแล้วมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า เราทำอะไรต่อหน้าลูก
นั่นแหละความก้าวร้าวต้นฉบับของจริงเลยครับ
**************************************
น.พ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล
**************************************

รอบรู้สุขภาพเด็ก - ทำไมถึงเรียก...ตาขี้เกียจ

รอบรู้สุขภาพเด็ก - ทำไมถึงเรียก...ตาขี้เกียจ

ตาขี้เกียจ (Lazy eye) เป็นอาการผิดปกติทางสายตาอย่างหนึ่ง
ซึ่งเกิดได้จากดวงตาข้างที่ดีกว่าทำงานแทนดวงตาข้างที่ผิดปกติ
ทั้งนี้โดยการสั่งงานของสมองจะใช้ดวงตาข้างที่ดีกว่า
เพราะสามารถทำงานได้สมบูรณ์ และในที่สุดดวงตาที่ผิดปกติก็จะหยุดการใช้งาน
หยุดการพัฒนา และกลายเป็นดวงตาที่ใช้การไม่ได้ ซึ่งเรียกว่าตาขี้เกียจไง

โดยปกติแล้วทารกแรกคลอดจะสามารถมองเห็นได้ลาง ๆ เท่านั้น
แต่เมื่อมีแสงมากระทบที่จอประสาทตาก็จะเกิดแรงกระตุ้น
ทำให้เด็กสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดยิ่งขึ้น
และจะเห็นเหมือนผู้ใหญ่เมื่ออายุ 2 ปี
ปัญหาที่ก่อให้เกิดอาการตาขี้เกียจก็คือ
ตาเหล่ สายตาสั้น ยาว หรือโรคตาอื่น ๆ ที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด
เราจะสามารถรู้ได้ยากว่าลูกเรามีอาการตาขี้เกียจหรือไม่
และเด็กจะไม่ค่อยบอกว่าดวงตาข้างไหนมองไม่ชัด
เพราะดวงตาข้างที่สมบูรณ์ก็สามารถมองเห็นทดแทนได้เหมือนกัน

แต่ความผิดปกติที่ว่านี้เราอาจสังเกตได้จากการอ่านหนังสือของเจ้าตัวน้อย
ว่ามีพัฒนาการช้าไปหรือเปล่า
เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่อ่านหนังสือไม่ได้มักจะมีปัญหาทางสายตา

การรักษาโรคตาขี้เกียจไม่ยากเลย โดยส่วนใหญ่จักษุแพทย์จะปิดตาข้างที่ดีไว้
และเปิดตาข้างที่ขี้เกียจ เพื่อให้ตาได้ใช้งานฟื้นฟูตัวเอง
และกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแพทย์
ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพาเจ้าตัวน้อยไปตรวจสายตาบ้างนะ
เพราะการรักษาตาขี้เกียจนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายได้เมื่ออายุเกิน 9 ปีไปแล้ว