วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

เบอร์โทรศัพท์ที่มีเลข 2 ทำไมเราจึงเรียกว่า "โท"

เบอร์โทรศัพท์ที่มีเลข 2 ทำไมเราจึงเรียกว่า "โท" ใครเป็นผู้กำหนด

การเรียกเลข 2 ว่า "โท" มาจากทหารเรือ
เพราะตามปกติเรือที่ปฏิบัติงานอยู่กลางทะลย่อมจะมีเสียงคลื่นลมและเครื่องจักรรบกวนการสั่งงานอยู่เสมอ ฉะนั้นการพูดจาโต้ตอบกันจึงต้องตะโกนหรือใช้เสียงดังกว่าปกติ

การขานจำนวนตัวเลข เช่น การสั่งศูนย์ปืน มุมหัน มุมกระดก ที่ลงท้ายด้วยหนึ่งนั้น
ตามธรรมดาจะออกเสียง "เอ็ด" ซึ่งคล้ายกับ "เจ็ด" มาก
เพื่อความถูกต้องและชัดเจน ทหารเรือจึงออกเสียง "หนึ่ง" แทน "เอ็ด" เสมอ

เลข 2 ก็เช่นกัน อาจฟังเป็นสาม หรือ สิบสอง หรือฟังไม่ชัดว่าเป็นเลขอะไรกันแน่
จึงกำหนดให้ออกเสียง 2 ว่า "โท" (ในภาษาไทย มีคำ เอก โท ตรี ซึ่งแทน 1, 2, 3 ได้)
ต่อมาศัพท์ทหารเรือได้เผยแพร่มายังข้างนอกด้วย เมื่อกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินทรงนำโทรศัพท์แบบต่อเอง (Automatic Telephone System) มาใช้ในประเทศไทย คนทั่วไปเลยพลอยเรียกหมายเลขโทรศัพท์ที่มีเลข 2 ว่า "โท" ไปด้วย เพื่อกันความเข้าใจผิดพลาดเวลาที่ต้องบอกหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งมีเลขหลายตัว

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

ท้องนี้...มีเนื้องอก

ท้องนี้...มีเนื้องอก

เมื่อตรวจพบว่ามีเนื้องอกเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ อย่าเพิ่งตกใจ
เนื้องอกไม่ใช่มะเร็ง แต่อันตรายหรือไม่ คุณหมอเท่านั้นที่บอกได้

"เนื้องอก" แค่ฟังก็ตกใจแล้วครับ ก็มีเนื้ออะไรก็ไม่รู้งอกเพิ่มขึ้นมาจากปกติ
เอ...แล้วจะใช่เรื่องเดียวกันกับมะเร็งหรือเปล่า แถมยังมาเป็นตอนตั้งครรภ์อีกด้วยหรือนี่ แล้วอย่างนี้จะท้องกันอย่างไร แล้วลูกจะอยู่ในท้องกับเนื้องอกได้อย่างไร ฯลฯ คำถามต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเนื้องอกที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า "เนื้องอก" นั้น เป็นคำรวมๆ ไม่ได้หมายถึงมะเร็งเสมอไปครับ เนื้องอกชนิดที่ไม่ร้ายแรงก็มี (เนื้องอกชนิดร้ายก็คือมะเร็ง) เนื้องอกนั้นเกิดขึ้นได้กับเกือบทุกอวัยวะ แต่ครั้งนี้เราจะพูดถึงที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์และการคลอด และพบได้บ่อยๆ นั่นก็คือ เนื้องอกของมดลูก และเนื้องอกของรังไข่ครับ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เริ่มเป็นช่วงตั้งครรภ์หรอกครับ เป็นมาก่อนนี้แล้ว แต่ไม่ทราบ หรือไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่พอตั้งครรภ์ขึ้นมาก็มาตรวจพบว่ามีเนื้องอก หรือเริ่มมีอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นมานั่นเอง

เมื่อมีเนื้องอกที่มดลูก
เป็นเนื้องอกของตัวมดลูกนั่นเองครับ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งที่บริเวณใต้เยื่อบุโพรงมดลูกและโตเข้าไปในโพรงมดลูกหรือเกิดขึ้นในกล้ามเนื้อของมดลูกเอง หรือเป็นก้อนเนื้องอกที่ผนังด้านนอกของมดลูก เนื้องอกมดลูกนี้พบได้บ่อยพอสมควรในระหว่างตั้งครรภ์

อย่างที่บอกว่าเนื้องอกมดลูกนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาเกิดเฉพาะตอนที่ตั้งครรภ์ แต่มาตรวจพบตอนตั้งครรภ์นั่นเองครับ ส่วนหนึ่งที่พบเนื้องอกมดลูกช่วงตั้งครรภ์บ่อย ก็เพราะอิทธิพลของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์นั่นเอง ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เนื้องอกมีการเจริญเติบโต มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นเหมือนกันหมดทุกคนครับ บางรายไม่โตขึ้นเลยก็มี

อันตรายอย่างไรนะ
แน่นอนครับว่าการมีเนื้องอกที่มดลูกนั้น มีโอกาสที่จะส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้หลายๆ อย่างทีเดียว ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งหลังคลอดทีเดียว โดยอันตรายต่างๆ นั้นมีดังนี้
- อาจทำให้เกิดการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือรกลอกตัวก่อนกำหนดได้
- ทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ก็ที่มันแคบลงกว่าปกตินี่ครับก็เลยโตได้จำกัด
- ทำให้ทารกในครรภ์อยู่ในท่าที่ผิดปกติ คือ ไม่ใช่ท่าศีรษะนั่นเอง เพราะมีก้อนเนื้องอกขวางอยู่และการที่รูปร่างของโพรงมดลูกผิดปกติไปนั่นเอง
- ทำให้การคลอดผิดปกติ สิ่งที่ตามมาก็คือ เพิ่มโอกาสที่จะผ่าท้องคลอดมากขึ้น นอกจากเพราะทารกอยู่ในท่าผิดปกติแล้ว อาจเป็นเพราะเนื้องอกไปขวางช่องทางคลอด หรือทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดีอีกด้วย
- มีโอกาสตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากก้อนเนื้องอกจะขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติในการหยุดเลือดออกจากการคลอดครับ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมากๆ ไม่สามารถห้ามเลือดได้จนเกิดอันตรายต่อคุณแม่ อาจจำเป็นต้องตัดมดลูกก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการคลอดธรรมดาหรือการผ่าท้องคลอดก็ตาม

รู้ได้อย่างไร
โดยทั่วไปคุณแม่ไม่ค่อยทราบว่า ก่อนตั้งครรภ์ตัวเองมีเนื้องอกมดลูกอยู่ ส่วนใหญ่มักจะมาพบระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะจากการตรวจร่างกาย พบขนาดของมดลูกโตมากกว่าที่ควรจะเป็นหรือคลำได้เป็นก้อนชัดเจน นอกจากนั้นปัจจุบันการตรวจด้วยอัลตร้าซาวนด์ ก็ช่วยให้สามารถวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะ ขนาดจำนวน หรือตำแหน่งของเนื้องอก นอกจากนั้นการอัลตร้าซาวนด์ ยังมีประโยชน์ในการติดตามทั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและทารกในครรภ์ด้วย

จะทำไงดีล่ะ
ถ้าตรวจพบว่ามีเนื้องอกมดลูกระหว่างตั้งครรภ์จะทำอย่างไร ตัดออกไปได้หรือเปล่า โดยทั่วไป เราไม่ทำอะไรหรอกครับ คอยเฝ้าติดตามการโตของเนื้องอกเป็นระยะๆ และเฝ้าระวังการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้นก็พอ

การผ่าตัดระหว่างตั้งครรภ์นั้นค่อนข้างอันตรายทีเดียวทั้งต่อคุณแม่และลูกในครรภ์ เรามักจะรอจนหลังคลอดจึงค่อยมาประเมินกันอีกทีว่าจะต้องผ่าตัดหรือไม่ อย่างไร

นอกจากนี้ อย่างที่บอกว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เนื้องอกโตขึ้นนั้น ก็คือฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ พอคลอดแล้วฮอร์โมนก็ลดต่ำลง ก้อนเนื้องอกก็จะลดขนาดลงด้วยครับ ซึ่งท้ายที่สุดอาจไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ครับ ในกรณีที่คุณแม่ผ่าท้องคลอด คุณหมอผู้ผ่าท้องอาจพิจารณาผ่าตัดก้อนเนื้องอกออกไปด้วยในคราวเดียวกัน ถ้าทำได้ไม่ยากนักและไม่มีอันตรายมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเนื้องอกที่ผนังด้านนอกของมดลูกครับ

เมื่อมีเนื้องอกที่รังไข่
เป็นเนื้องอกอีกชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ระหว่างตั้งครรภ์ เป็นเนื้องอกของรังไข่ไม่เกี่ยวกับมดลูกเลย แต่ก็สำคัญ และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแตกต่างกันไปกับเนื้องอกมดลูก โดยส่วนใหญ่เนื้องอกรังไข่มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการตั้งคคภ์และการคลอดเท่าใดนัก แต่มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนกับตัวเนื้องอกเอง ซึ่งจะมีผลต่อตัวคุณแม่เสียมากกว่า

เนื้องอกของรังไข่มักจะเป็นถุงน้ำเสียมากกว่าจะเป็นก้อนเนื้อ ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ รังไข่อาจมีขนาดโตขึ้นได้บ้าง แต่จะไม่โตมากนัก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการตั้งครรภ์อย่างหนึ่งนั่นเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็นพิเศษแต่อย่างไร หลังคลอดแล้วก็ยุบลงได้เป็นปกติ

อันตรายเมื่อเนื้องอกบิดขั้ว
อย่างที่บอกว่าภาวะแทรกซ้อนนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเนื้องอกหรือถุงน้ำเอง ไม่เกี่ยวกับมดลูกหรือทารกในครรภ์ ซึ่งก็คือ "การบิดตัว" หรือ "บิดขั้ว" นั่นเอง รังไข่นั้นห้อยติดอยู่กับปีกมดลูก เมื่อโตขึ้นเป็นเนื้องอกหรือถุงน้ำขึ้นมา ก็เหมือนกับเป็นผลไม้หรือลูกโป่งใส่น้ำ ซึ่งมีก้านหรือขั้วติดอยู่กับปีกมดลูก ดังนั้น ถ้าก้อนเนื้องอกโตพอสมควรก็จะมีโอกาสเกิดการบิดของขั้วเป็นเกลียวขึ้นมานั่นเอง

การบิดขั้วของเนื้องอกรังไข่นั้น ไม่ใช่ว่าจะเกิดในทุกๆ รายหรอกครับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยบางอย่าง คือขนาดของก้อน ถ้าขนาดเล็กมากก็จะไม่เกิดการบิด แต่ถ้าขนาดกำลังดี เช่น 5 - 10 เซนติเมตร ก็มีโอกาสบิดขั้วมากขึ้น

นอกจากนั้นยังขึ้นกับระยะของการตั้งครรภ์ด้วย ช่วงแรกๆ ของการตั้งครรภ์มดลูกยังไม่โตมากนัก ทั้งมดลูกและรังไข่จะยังอยู่ในบริเวณช่องเชิงกราน ทำให้มีที่ไม่มากนักจึงไม่ค่อยเกิดการบิดของเนื้องอก แต่ในช่วง 4 - 5 เดือนขึ้นไป ก้อนก็จะลอยขึ้นมาอยู่ในช่องท้อง ทำให้มีโอกาสบิดมากขึ้น

อีกระยะหนึ่งที่พบการบิดขั้วของเนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่ได้บ่อย ก็คือระยะหลังคลอดครับ พอคลอดเสร็จมดลูกจะลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสที่ก้อนจะบิดมากขึ้นครับ

หากเนื้องอกบิดตัว คุณแม่จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดจนตัวงอเลยครับ อาการมักเกิดค่อนข้างเฉียบพลัน ซึ่งถ้าเกิดอาการนี้ต้องรีบมาโรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที ถ้าปล่อยเนิ่นนานไปอาจเกิดการแทรกซ้อนอื่นที่รุนแรงมากขึ้นไปอีกได้ เช่น มีการติดเชื้อในก้อน หรือก้อนเนื้องอกแตก ฯลฯ ซึ่งอันตรายมากครับ

การตรวจและการรักษา
การวินิจฉัยเนื้องอกรังไข่หรือถุงน้ำรังไข่นั้น อาจตรวจพบจากการตรวจภรรภ์ตามปกติ โดยคลำพบก้อนแยกจากมดลูก โดยพบว่าลอยไปลอยมาได้ในท้อง แต่การตรวจให้ได้ผลแน่นอนนั้นมักได้จากการตรวจด้วยอัลตร้าซาวนด์ครับ ซึ่งจะบอกรายละเอียดของลักษณะ ขนาด และรูปร่างของเนื้องอกได้ รวมทั้งจะเห็นอีกด้วยว่าเป็นก้อนเนื้อหรือเป็นเพียงถุงน้ำเท่านั้น

การรักษานั้นก็ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ อย่างเช่นเดียวกันครับ อย่างแรกคือขนาดและลักษณะของก้อน ถ้าก้อนไม่โตมากนัก ก็คงไม่ต้องรีบทำอะไร คอยเฝ้าตรวจติดตามเป็นระยะๆ ก็เพียงพอ แต่ถ้าก้อนมีขนาดโตมาก หรือมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อไม่ใช่ถุงน้ำอย่างนี้ คงจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเอาก้อนออกมา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่บอกมา และเพื่อเอาก้อนออกมาตรวจทางพยาธิวิทยาว่าเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรงหรือไม่

การผ่าตัดนั้นมักจะทำในขณะที่ตั้งครรภ์ประมาณ 4 - 5 เดือน เพราะทำง่าย และโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดจะน้อย แต่ในกรณีที่ก้อนไม่โตมาก หรือมาตรวจพบตอนช่วงหลังของการตั้งครรภ์แล้ว อาจค่อยพิจารณาผ่าตัดหลังคลอดแล้วก็ได้ครับ แต่ถ้าระหว่างการตั้งครรภ์ ก้อนเนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่เกิดการบิดขั้วขึ้นมา ไม่ว่าจะอายุครรภ์เท่าไหร่ก็จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างรีบด่วน มิเช่นนั้นอาจเกิดอันตรายต่อทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์ได้ครับ

มะเร็งรังไข่
ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของเนื้องอกรังไข่ซึ่งต่างกับเนื้องอกมดลูกนั้น คือจะพบว่ามีบางส่วนอาจเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งรังไข่นั่นเอง ส่วนเนื้องอกมดลูกนั้นเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายครับ กรณีของมะเร็งรังไข่นั้นการตรวจพบต่างๆ คงไม่แตกต่างกับเนื้องอกชนิดไม่ร้าย แต่อาจมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ชวนสงสัยว่าจะเป็นเนื้อร้าย เช่น ก้อนมีขนาดใหญ่มาก หรือมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อล้วนๆ หรือปนกับถุงน้ำ ฯลฯ ซึ่งลักษณะต่างๆ นี้ การตรวจด้วยอัลตร้าซาวนด์จะช่วยบอกได้ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเนื้อร้ายทุกรายไป คงต้องตรวจยืนยันทางพยาธิวิทยาอีกครั้งหนึ่ง

ในกรณีที่เป็นมะเร็งรังไข่นั้น การรักษานั้นคงต้องคำนึงถึงคุณแม่มากกว่าลูกในท้องนะครับ เพราะเป็นโรคที่รุนแรงและลุกลามได้รวดเร็ว การรักษาโดยทั่วไปคือการผ่าตัด ซึ่งรวมถึงต้องตัดมดลูกทิ้งไปด้วยครับ
อ้าว... แล้วลูกในท้องล่ะครับจะทำอย่างไร คงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไปครับ ถ้ายังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่อาจจำเป็นต้องตัดมดลูกไปเลยโดยไม่สนใจการตั้งครรภ์ ถ้าใกล้คลอดพอสมควรแล้ว อาจรอให้ทารกเจริญเติบโตพอสมควรที่จะออกมาเลี้ยงข้างนอกได้ จึงจะผ่าท้องคลอดและผ่าตัดรักษาไปพร้อมกันเลยทีเดียว ส่วนผลการรักษาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับชนิดของเนื้อร้ายนั้น ระยะของโรคและการลุกลามของโรค รวมทั้งการตอบสนองต่อการรักษานอกจากการผ่าตัด เช่น การใช้ยาเคมีบำบัดเป็นต้น แต่จริงๆ แล้ว มะเร็งรังไข่ระหว่างตั้งครรภ์นั้นพบน้อยมากๆ เลยครับ อย่าเพิ่งตกใจจนเกินไปนะครับ

เนื้องอกที่อวัยวะอื่น
เนื้องอกของอวัยวะอื่นในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานในระหว่างตั้งครรภ์นั้นพบได้น้อยมากๆ และมักจะแยกได้ยากจากเนื้องอกของมดลูกหรือรังไข่ ส่วนการตรวจวินิจฉัยและการให้การรักษานั้นก็คงแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของเนื้องอกนั้นครับ จะเห็นว่าระหว่างการตั้งครรภ์นั้น แม้จะไม่มีอาการอะไรผิดปกติปรากฏชัดๆ แต่ยังมีโอกาสที่จะมีความผิดปกติบางสิ่งบางอย่างแอบแฝงอยู่ได้ เนื้องอกที่พูดถึงนี้แม้จะพบไม่บ่อยนัก แต่ก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ การมาฝากครรภ์แต่เนิ่นๆ เป็นวิธีป้องกันดีที่สุดครับ

*************************************************
ผศ.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

Children's Health-ถูกดุแล้วโกรธแม่

Children's Health-ถูกดุแล้วโกรธแม่

คำถาม
ลูกอายุ 4 ขวบแล้วค่ะ ปกติจะร่าเริง มีน้ำใจและชอบแบ่งปัน รักและช่วยเหลือคนรอบข้างเสมอ แต่ถ้าเวลาถูกขัดใจ หรือถูกดุ เขาจะโกรธแม่ทันที และจะพูดว่าแม่ไม่รักหนูแล้ว ต่อไปนี้หนูจะไม่รักแม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังชวนน้อง (2 ขวบ) พากันโกรธแม่อีก (น้องจะรักและมีพฤติกรรมเลียนแบบพี่มากกว่าแม่เสียอีก) ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ถึงแม้แต่เป็นการดุหรือห้ามเพียงเล็กน้อย

กลัวว่าถ้ายิ่งโตเป็นสาว จะสอน จะดุไม่ได้เลย คุณครูและผู้ใหญ่หลายคนที่เห็นต่างพูดว่า เด็กคนนี้ฉลาดมาก แต่ต้องสอนดีๆ ซึ่งทำให้กังวลมากค่ะ เรื่องรักลูกและเลี้ยงลูกเรื่องสุขภาพร่างกายไม่ใช่ปัญหา แต่เรื่องสอนลูกให้ดี โดยไม่บังคับและเด็กเต็มใจนี้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยนะคะ

คำตอบ
การที่เด็กเป็นเช่นนี้ เพราะเด็กก่อนวัย 10 ขวบ ยังเข้าใจอะไรไม่ได้มากนัก เด็กยิ่งเล็กยิ่งจะรับรู้และเข้าใจและคิดในทางเดียวเท่านั้น แม้ว่าโตขึ้นเลย 8 ขวบ จะยังพอคิดเข้าใจมากขึ้นได้ก็ตาม เด็กจะแปลว่าการที่เราขัดใจก็ดี เราดุเขาก็ดีแปลว่าเราไม่รักเขา การที่เราให้เขาไปโรงเรียนแปลว่าเราไม่รักเขา เรารักน้องมากกว่า (เพราะน้องอยู่บ้าน) หรือการที่เราจากเขาไปธุระก็แปลว่าเราทอดทิ้งเขา เป็นต้น

เด็กต่อจะให้ฉลาดอย่างไร เขาก็ยังเป็นเด็กที่คิดและแสดงออกหรือมีการกระทำอย่างเด็กๆ เด็กฉลาดก็จะมีวิธีพูด วิธีประท้วง วิธีแสดงออกได้หลายอย่าง มีการทดสอบสูง เขาจะสังเกตและรู้ว่าทำอย่างไรผู้ใหญ่จึงยอม ทำอย่างไรเขาจะเอาชนะได้ เขาจะช่างสังเกต เขาจะช่างจดจำ ขอคุณอย่าไปคิดหรือกลัวว่าจะดุจะว่าลูกไม่ได้ ข้อสำคัญขอให้คุณมีเหตุผล มีความหนักแน่นและไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน หรือหลอกลูกเพียงเพื่อให้ผ่านพ้นๆ ไป

ถ้าคุณดุในสิ่งที่ควรดุ หรือต้องขัดใจในสิ่งที่เหมาะสม เช่น ออกไปเล่นกลางแดดจัดๆ ยามเที่ยงวันไม่ได้ หรือขณะนี้ถึงเวลาที่เข้านอนแล้ว คุณก็ต้องสื่อไปยังลูกตามความเป็นจริง และเอาจริงกับสิ่งที่เราพูด เด็กจะมีปฏิกิริยานั้นเป็นเรื่องปกติ เขาจะโกรธไม่พอใจ หรือ พูดอย่างไรนั้น ก็แสดงถึงอารมณ์ของเขา ซึ่งเราจะไม่ตอบโต้ เราเพียงพูดว่า แม่ก็เห็นใจที่ลูกกำลังสนุกแล้วจะต้องมาเลิกเล่น แต่เราก็ต้องปฏิบัติตามเวลาตามกติกา เพื่อจะได้มาเล่นหรือมาทำกันใหม่พรุ่งนี้ ขอคุณอย่าไปวิตกทุกข์ร้อน แก้ตัวหรือตอบตอบโต้เป็นอารมณ์ ทำเฉยเสีย ถ้าเขาชวนน้องโกรธ ก็ไม่ต้องไปสนใจ เพียงแต่เราบอกความรู้สึกของเราที่เราเข้าใจว่า "แม่รู้ว่าทำอย่างนี้หนูไม่ชอบ แม่ก็เสียใจเหมือนกัน" ในเวลาอื่นๆ ก็เป็นเวลาที่ดีต่อกันอย่างคุณแม่เล่ามา

เด็กๆ ต้องการพ่อแม่ เขาต้องการเห็นพ่อแม่เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ หรืออ่อนไหวง่ายตามอารมณ์และอาการของเขา เขาต้องการหลักที่พึ่ง ต้องการความมั่นคง มั่นใจ ไม่ว่าเขาจะฉลาดอย่างไร เขาก็ต้องการความรักความเข้าใจจากพ่อแม่ พ่อแม่หลายคนมีการศึกษาน้อยกว่าลูก ลูกจบปริญญาเอก แต่เขาก็เคารพพ่อแม่ ให้เกียรติพ่อแม่ ไม่ดูถูก ถ้าเราเลี้ยงเขามาดี ขอให้คุณเลี้ยงลูกด้วยความมั่นใจฝึกหัดเขา อบรมเขาให้เขาช่วยเหลือ ให้เขาฝึกงาน มีความเข้าใจชื่นชมกัน ที่ถูกต้อง อย่าไปห่วงกังวลเกินไปกับความฉลาดของลูก

หมอเคยพบพ่อแม่ที่หลงลูก เพราะลูกตนฉลาด ซึ่งก็ฉลาดจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ว่าเขาตามลูกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะพูดจะทำอะไร จะเถียงอะไร จะเห็นดีเห็นงามไปหมด จนเด็กใช้ความฉลาดผิดทาง เขาเรียนหนังสือเก่ง แต่กลายเป็นคนกะล่อน หาความจริงใจไม่ได้ หลอกล่อพ่อแม่ได้หมดเพื่อให้ได้มาที่เขาต้องการ พ่อแม่จะว่าครูและคนอื่นๆ สู้ลูกไม่ได้ เขาดุไม่เป็น ห้ามไม่เป็น ปล่อยตามใจลูกจนเหลิง ในที่สุดเด็กที่ฉลาดเลยกลายเป็นเด็กที่ใช้ความฉลาดไม่ถูกต้อง การเรียนก็เสีย ประพฤติเกเรไปเลยก็มี

การดุหรือห้ามในสิ่งที่ถูก ที่ควร ที่เป็นเหตุ เป็นผลนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ต้องหวั่นไหว คุณแม่ควรมั่นใจในการกระทำของคุณ ลูกจะค่อยๆ เรียนรู้ไป แล้วในที่สุดเขาจะแยกแยะได้ ระหว่างความรักที่ถูกต้องกับความรักที่ผิด พ่อแม่บางคนบอกลูกว่า เพราะเป็นลูกที่เรารักเราห่วงจึงต้องดุ ต้องสอน หนูเห็นไหมเด็กอื่นๆ ทำผิด แม่ไม่ได้ว่าเขา เพราะเขาไม่ใช่ลูก "เมื่อเป็นลูกแม่ก็ต้องได้รับการดูแลอบรมเพื่อให้เป็นคนดี" คุณแม่จะต้องยืนหยัดในความรักของคุณ ที่กอร์ปไปด้วยคุณธรรมและความเข้มแข็ง และสื่อไปให้เขารู้ ให้เวลาเขา ไม่ไปตอบโต้เป็นอารมณ์กัน วันหนึ่งลูกก็จะภาคภูมิใจในตัวแม่ เหมือนคุณแม่ก็จะชื่นชมภูมิใจในตัวเขา

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

เสียวฟัน..ทำอย่างไรดี

เสียวฟัน..ทำอย่างไรดี

อาการเสียวฟัน เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน จากหลายการวิจัยพบว่า ร้อยละ 8 - 57 ประสบปัญหาการเสียวฟัน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า เสียวฟันเป็นอาการที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้เกิดความรำคาญจนยิ้มไม่ออก และวันนี้เรามาทำความรู้จักกับอาการเสียวฟันกันเพื่อจะได้ทราบถึงสาเหตุ แนวทางป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี

อาการเสียวฟันเกิดจากการตอบสนองของเส้นประสาทในฟันต่อสิ่งกระตุ้นภายนอก อาทิ อาหารเครื่องดื่มร้อนหรือเย็น รวมไปถึงลม หรือแม้กระทั่งการแปรงฟันที่ไวกว่าปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อและฟันในช่องปาก โดยปกติฟันของเราจะถูกปกป้องด้วยเคลือบฟัน (enamel) และเหงือก เมื่อเคลือบฟันของเราสึก แตกออก หรือเหงือกร่นมากขึ้น เนื้อฟัน (dentine) จะถูกเปิดออกให้สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นภายนอกเหล่านี้ทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ง่าย

สาเหตุของอาการเสียวฟันนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากเกิดในวัยเด็กสาเหตุมาจากฟันผุ ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุนั้น อาการเสียวฟันอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น คอฟันสึก โรคปริทันต์ เหงือกร่น ฟันสึก ฟันร้าว ฟันแตก ฟันผุ ฟันผุซ้ำบริเวณฟันที่ได้รับการอุดแล้ว มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารรสเปรี้ยว เสียวฟันหลังจากได้รับการอุดฟันมาใหม่ๆ หรือเสียวฟันหลังจากขูดหินปูนมาใหม่ๆ เป็นต้น

การรักษาอาการเสียวฟัน สิ่งแรกที่ควรปฏิบัติคือ ปรึกษาทันตแพทย์ วินิจฉัยว่าอาการเสียวฟันนั้นเกิดจากสาเหตุใดเพื่อรักษาตามสาเหตุนั้นๆ

1. เสียวฟันเนื่องจากฟันผุ หรือฟันที่ได้รับการอุดแล้ว
จะรักษาด้วยการอุดฟันโดยเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับตำแหน่งและขนาดของรอยโรคนั้นๆ อาการเสียวฟันก็จะหมดไป เนื่องจากวัสดุอุดฟันนั้นสามารถปิดท่อเล็กๆ ภายในเนื้อฟันได้ทั้งหมด ถ้าเสียวฟันหลังจากอุดฟันไปใหม่ๆ อาจเกิดจากวัสดุอุดสูงเกินไป หรือเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของวัสดุอุดบางจุด หรือเป็นผลข้างเคียงจากวัสดุชนิดนั้นๆ หากอาการไม่ดีขึ้นควรกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการแก้ไข กรณีที่อาการเสียวฟันเกิดหลังจากอุดฟันไปนานสักระยะหนึ่งแล้ว สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากฟันผุเพิ่ม หรือวัสดุอุดฟันชำรุด ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่ออุดฟันใหม่

2. เสียวฟันเนื่องจากฟันสึก
มักเกิดกับผู้ป่วยที่แปรงฟันแรง นาน ใช้ขนแปรงแข็ง หรือแปรงฟันผิดวิธี หากฟันซี่นั้นๆ สึกมากทันตแพทย์จะทำการอุดฟันซี่นั้น ก็สามารถกำจัดอาการเสียวฟันได้ แต่หากฟันสึกไม่มาก ทันตแพทย์ก็จะใช้ฟลูออไรด์ หรือสารลดอาการเสียวฟันซึ่งมีหลายชนิด เช่น 0.4% Stannous Fluoride Gel (Gel-Kam) หรือ duraphat เป็นต้น ทาบริเวณนั้น ร่วมกับปรับพฤติกรรมในการแปรงฟันให้ถูกวิธี

3. เสียวฟันเนื่องจากโรคปริทันต์และเหงือกร่น
หากเป็นโรคปริทันต์ควรรับการตรวจรักษาจากทันตแพทย์ ส่วนอาการเสียวฟันที่เกิดจากเหงือกร่น ทันตแพทย์จะแก้ไขสาเหตุ อาจร่วมกับการใช้ฟลูออไรด์ หรือสารลดอาการเสียวฟันซึ่งมีหลายชนิด เช่น 0.4% Stannous Fluoride Gel (Gel-Kam) หรือ duraphat เป็นต้น ทาบริเวณนั้น ร่วมกับปรับพฤติกรรมในการแปรงฟันให้ถูกวิธี

4. เสียวฟันเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ
เช่น ฟันร้าว ฟันแตก ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

วิธีป้องกันอาการเสียวฟัน
1. แปรงฟันถูกวิธี ผู้ที่ชอบแปรงฟันแรงๆ มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอาการเสียวฟันมาก การแปรงฟันแรงมากเกินไปและแปรงฟันผิดวิธี วิธีทำความสะอาดฟันที่มีอาการเสียวฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้แปรงที่ขนอ่อนนุ่มแปรงรอบๆ และใต้แนวเหงือก ซึ่งเป็นบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างเหงือกและส่วนบนของซี่ฟัน และควรทำความสะอาดให้ทั่วทุกซอกฟัน ไม่ควรแปรงฟันแรงเกินไป

2. ควรลดการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเปรี้ยวจัด เพราะอาจมีผลให้เคลือบฟันค่อยๆ สึกออกจากผิวฟัน ทำให้เนื้อฟันถูกเปิดออก

3. พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน
**************************************************
อ.ทพญ.สุธารัตน์ ชัยเฉลิมศักดิ์ รพ.ทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ทำธุรกิจ-ห้ามเดินผิดทาง

ทำธุรกิจ-ห้ามเดินผิดทาง

มีคำกล่าวไว้ว่า "รวยแล้วจึงจะคิดถึงคุณธรรม" ซึ่งหมายความว่าคุณธรรมเป็นเรื่องที่จะคิดเมื่อท้องอิ่มแล้ว ก่อนหน้านี้จะใช้วิธีการอะไรก็ได้ ขอให้รวยเท่านั้น ดูอย่างมหาเศรษฐีที่สร้างตัวมาได้ด้วยมือเปล่า ในจำนวนนี้ 90% จะมีอดีตที่ไม่ค่อยสวยงามนัก แต่ในปัจจุบัน คนทั่วไป ไม่เพียงแต่ไม่ติดใจกับอดีตเหล่านั้น แต่ยังนำมาเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ ราวกับว่า ขอเพียงแต่ให้ประสบความสำเร็จเถิด จะด้วยวิธีการใดก็ไม่เกี่ยง

หากทรัพย์สินเงินทองเป็นสุดยอดปรารถนาเพียงประการเดียวของคนเรา และคุณก็ยึดมั่นในการที่จะไขว่คว้าหามาให้ได้ ก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว แต่ผู้ที่จะทำความชั่วได้ ก็ต้องมีคุณลักษณะพิเศษเหมือนกัน ใช่ว่าทุกคนจะทำได้หมด หลักการ "หน้าด้านใจดำ" ของลี่จงอู๋ ที่กล่าวว่าต้อง "หน้าด้านไร้ที่เปรียบ ใจดำบริสุทธิ์" จึงจะประสบผลสำเร็จ บางคนอาจเชื่อเช่นนั้น ส่วนจะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหลักการก็เป็นเพียงหลักการ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เพราะเหตุนี้ลี่จงอู๋เจ้าของทฤษฎีจึงไม่ประสบผลสำเร็จอะไรมากมายนัก เขาสอนให้ทำอะไร เขาสอนให้เดินทางชั่ว ซึ่งแน่นอน การเดินทางชั่ว ไม่สามารถทำการค้าที่ถูกต้องได้ แล้วคนเราก็ไม่สามารถลงมือลงไม้ฆ่าฟันกันอย่างในหนังได้

เราจะไม่พูดถึงคุณธรรม แต่จะดูจากความเป็นจริง กิจการใดเป็นลักษณะที่คู่ค้าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ หรือจะวกกลับมาหาก็ไม่พบ หรือหากพบก็ไม่มีหลักฐานทำอะไรได้ แบบนี้หลายคนจะขาดความยับยั้งชั่งใจกับผลประโยชน์ที่วางล่ออยู่ข้างหน้า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือพวกแท็กซี่ ที่ถือโอกาสฉกฉวยแย่งชิงเงินลูกค้า สิ่งที่เขากลัวมีอยู่อย่างเดียวก็คือจะถูกต่อย หรือไปขึ้นโรงพักเท่านั้น
ทว่า กิจการที่มีลักษณะแบบแท็กซี่มีน้อยมาก โดยทั่วไปมักจะต้องพบปะกัน หากคู่กรณีจะเอาเรื่องจริงๆ ก็หาตัวพบ พ่อค้าย่อยไม่ใหญ่พอที่จะเป็นความกับใครหรือสร้างศัตรูมากมายได้ เพราะศัตรูเหล่านี้ล้มพ่อค้าย่อยเอาได้ง่ายๆ วิธีที่ดีที่สุด พ่อค้าย่อยจะต้องผูกมิตร สร้างสัมพันธ์ จริงใจไว้ใจได้ นี่ไม่ใช่คุณธรรม แต่เป็นชีวิตจริงในสังคม หากเรามีแต่มิตร เมื่อล้มจากวงการหนึ่ง จะสามารถไปเข้าวงการอื่นได้ทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องสร้างแต่มิตรไว้ตลอดไป

หนทางที่ง่ายและดีที่สุดคือ เปิดเผยจริงใจ ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง เรื่องปวดหัวของพ่อค้าย่อยมีมากมายอยู่แล้วไม่ควรต้องหาเรื่องเช่นนี้มารกสมองอีก

ทำธุรกิจ-ห้ามแต่งตัวโทรมๆ

ทำธุรกิจ-ห้ามแต่งตัวโทรมๆ

ปัจจุบัน น้ำดื่มกระป๋องหนึ่งราคาเท่าไหร่ นั่นต้องดูว่า คุณซื้อที่ไหน โดยมากคงราวๆ ไม่ต่ำกว่า 7 บาท แท้จริงต้นทุน น้ำอัดลมอย่างเดียว ราคาเท่าไหร่ ผมว่าคงไม่เกิน 1.50 บาท แน่ ที่เหลือก็เป็นค่าโฆษณา ค่าบรรจุ - ขนส่ง และกำไร ถามเด็กเก็บขยะดูก็จะรู้ว่ากระป๋องน้ำอัดลมเก่าๆ ใบหนึ่งจะขายได้บาทหนึ่ง เราพอจะมองเห็นถึงต้นทุนของน้ำอัดลมกระป๋องได้แล้ว ซื้อมา 7.80 บาท เงินกว่าครึ่งเสียไปกับการบรรจุ
มีบางคนคิดว่า การบรรจุอย่างสวยงาม เป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่น่าคิดที่ว่า ทำไมน้ำอัดลมกระป๋องยังเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากกว่าน้ำอัดลมขวดมาก คำตอบก็คงจะรู้กันแล้ว คนสมัยนี้ชอบใช้เงินซื้อความสะดวกสบาย หากเห็นว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยก็ไม่ซื้อน้ำอัดลมกระป๋อง หรือน้ำอัดลมขวด แต่สำหรับพ่อค้าย่อยแล้ว ความต้องการของผู้บริโภคเป็นสิ่งที่ต้องตอบสนอง ถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดน้ำอัดลมขยายกว้างมาก เพราะความทันสมัยและสะดวกในการพกไป และการทิ้งนั่นเอง
นอกจากนั้น การบรรจุทำให้ง่ายต่อการพก เก็บและรักษาคุณภาพของสินค้า ผมไม่ชอบกล่องโฟมใส่อาหารมาก ทั้งที่เพิ่งจะมีเมื่อ 3 ปีมานี่เอง แต่ก็รู้สึกว่าในชีวิตประจำวันจะขาดมันไม่ได้เสียแล้ว
แท้จริงแล้ว พ่อค้าย่อยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการบรรจุเท่าไรนัก บ่อยครั้งที่จะชี้ว่าบริษัทนั้นจะใหญ่หรือเล็ก สินค้าจะราคาแพงหรือถูก ก็แบ่งแยกกันที่คำว่าบรรจุนี้เท่านั้น อย่าว่าแต่สินค้าเลย แม้แต่พนักงานบริษัทเล็กๆ ถ้าแต่งตัวไม่ดี ก็มีสิทธิ์ถูกเมินได้เช่นกัน

บริษัทจะใหญ่หรือเล็ก แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ และผู้บริโภคก็ไม่สนใจด้วย จึงไม่จำเป็นต้องตบแต่งออฟฟิศให้หรูหรา แต่สำหรับสิ่งที่จะออกสู่สายตาคนทั่วไป ต้องทำให้เรียบร้อย จะทำสินค้าตัวอย่าง ก็ต้องให้สวยสะดุดตา เขียนบอกราคาให้ชัดเจน ลูกค้ามาก็ต้องบริการอย่างเป็นมิตร ยินดีแก้ปัญหาให้ สินค้าที่ผลิตออกไป ต้องบรรจุให้สวยสะดุดตาคน เหมือนดังสาวที่สวยอยู่แล้ว ผัดหน้าทาลิปสติกอีกนิด ก็ดูดีขึ้นมาก แต่พ่อค้าย่อมมักจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เอาแต่แต่งตัวโทรมๆ

จะว่าไปแล้ว บริษัทใหญ่ๆ มีส่วนแบ่งตลาดมากอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องความสวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้ามากเท่าไร แต่บริษัทใหญ่ๆ กลับเป็นผู้ชำนาญในเรื่องนี้ บริษัทเล็กๆ ที่ต้องพยายามดึงดูดลูกค้า กลับไม่ใส่ใจในเรื่องความเรียบร้อยสวยงามเอาเสียเลย

ทำธุรกิจ-ห้ามละทิ้งกลางคัน

ทำธุรกิจ-ห้ามละทิ้งกลางคัน

ผมได้ย้ำหลายครั้งแล้วว่าพ่อค้าไม่ควรอนุรักษ์นิยม ล้มแล้วต้องเลิกเพื่อรักษากำลังวางแผนรุกใหม่ แต่กิจการใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จโดยมากในตอนแรกจะประสบปัญหา เมื่อผ่านไปหนทางก็ราบรื่น แต่หากพ่อค้าย่อยท้อถอยล้มเลิกเสียแต่ยังไม่ลงมือเริ่มทำ ก็ยากที่จะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่

เมื่อไหร่ควรจะเลิก เมื่อไรควรจำทำต่อ ตัวตัดสินที่สำคัญที่สุดคือปริมาณการค้า หากเป็นไปตามคาดหรือดีเกินคาด สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือความสำเร็จ แม้จะต้องจำนำกางเกงก็ต้องทำต่อไป แต่หากปริมาณการค้าผิดคาด จะเป็นเพราะความคิดเกี่ยวกับการค้าผิดไป หรือปฏิบัติผิดวิธี ก็ยังอาจแก้ไขได้ แต่ถ้าความคิดผิดก็เปลี่ยนความคิดเสีย แต่ไม่ใช่เปลี่ยนกิจการ

ตัวอย่างของการเปลี่ยนความคิด เช่น ร้านเคนตั๊กกี้ เมื่อเริ่มเปิดกิจการใหม่ๆ ก็เหมือนกับร้านอื่นๆ ที่มีรายการอาหารมากมาย ผสมปนเป คนอื่นมี เราก็มี แต่ไม่นานเจ้าของร้านก็รู้ว่า ลูกค้าชอบไก่รสชาติไหนมากที่สุด ก็เลยทำขายแต่รสชาตินั้น ก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

ผมเห็นกับตาว่า บริษัทที่ก้าวหน้าเร็วที่สุดแห่งหนึ่ง มีอัตราการขยายตัวของงาน 30% ต่อปี และคาดว่าความก้าวหน้าในอัตรานี้ จะรักษาไว้ได้ถึง 10 ปี ตอนก่อตั้งใหม่ๆ บริษัทนี้ก็เกือบล้มละลาย ไม่มีเครดิต แต่ก็ผ่านพ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้

อุปสรรคที่บริษัทดังกล่าวได้รับในตอนแรก บริษัทเล็กๆ ก็ประสบเช่นกัน กว่าจะอยู่รอดและประสบความสำเร็จมาได้ แต่ละบริษัทล้วนต้องตะเกียกตะกายผ่านด่านนี้มาแล้วทั้งนั้น บางบริษัทที่พื้นฐานไม่มั่นคงก็ไปไม่รอด ล้มเสียก่อนจะถึงเส้นชัยบ้างก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นไป แต่อย่างไรก็ต้องผ่านด่านนี้ไปโดยเร็วที่สุด กิจการที่ขยายตัวรวดเร็ว อาจมีปัญหาในเรื่องการหมุนเงิน ยามกิจการระยะสั้นอยู่ในภาวะซบเซา อันตรายก็เริ่มปรากฏ ทำอย่างไรจึงจะผ่านไปสู่ความสำเร็จได้ ต้องประคับประคองระมัดระวังให้ดี

การประคองกิจการให้อยู่รอด ต้องมีเงินสนับสนุน เรื่องนี้ธนาคารช่วยไม่ได้มาก ในช่วงระยะนี้ พ่อค้าจะต้องการเงินทุนระยะยาวมากกว่า ประจวบกับเป็นระยะที่พ่อค้าไม่มีอำนาจการต่อรอง ในอเมริกา รัฐบาลมีกองทุนพิเศษ สำหรับอุตสาหกรรมเล็ก เรียกว่า ผู้ลงทุนเสี่ยง (Venture Capitalists) ในเมืองไทยยังไม่มีเงินทุนประเภทนี้ ช่วงเวลาเช่นนี้จะหาวิธีการที่ดีที่สุดไปหาผู้สนับสนุนได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยโชคประคับประคองไว้จนถึงที่สุดเพราะหากล้มแล้ว แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้

รอบรู้เรื่อง "ยาแก้แพ้"

รอบรู้เรื่อง "ยาแก้แพ้"

ปัจจุบันอากาศในประเทศไทยมีความแปรปรวนมากขึ้น เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยมลพิษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เชื้อรา ที่ปะปนอยู่ในอากาศ สารเคมีที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาเอง ซึ่งอาจแอบแฝงอยู่ในรูปของอาหารการกิน สิ่งที่เราสัมผัสซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ทั้งสิ้น จากสาเหตุดังกล่าวทำให้เกิดอาการเป็นหวัด คัดจมูก แพ้อากาศได้

ด้วยเหตุนี้ยาแก้แพ้จึงเป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่มีอัตราการใช้สูงมากในประเทศไทย แม้ยาในกลุ่มนี้จะจัดอยู่ในกลุ่มยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ดังนั้นเราจึงมาเรียนรู้ถึงประโยชน์ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการใช้ยาแก้แพ้กัน

ประโยชน์ของยาแก้แพ้
1. ใช้บรรเทาอาการแพ้อากาศ บรรเทอาการจาม น้ำมูกไหล เช่น คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) บรอมเฟนิรามีน (Brompheniramine) กินในตอนเช้าและก่อนนอน หรือเวลาใดเวลาหนึ่ง จะช่วยบรรเทาอาการได้ และต้องกินไปเรื่อยๆ หากหยุดเมื่อใดก็จะเป็นอีก นอกจากเป็นเฉพาะฤดูใดก็กินเฉพาะช่วงฤดูนั้น
2. ใช้บรรเทาอาการแพ้ทางผิวหนัง ลมพิษ ผื่นคันต่างๆ ที่นิยมใช้ คือ ฮัยดร๊อกซิซีน (Hydroxyzine) ซัยโปรเฮ็ปตาดีน (Cyproheptadine) ยาซัยโปรเฮ็ปตาดีน ไม่ควรใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เนื่องจาก มีผลกดสมอง ทำให้เด็ก เตี้ย แคระแกร็นได้
3. การใช้ยาแก้แพ้ในโรคหวัด ความจริงแล้วยาจะมีฤทธิ์ลดน้ำมูก ทำให้น้ำมูกแห้ง ช่วยให้ผู้ป่วยสบายขึ้นเท่านั้น ยังไม่มียาใดที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสอันเป็นสาเหตุของหวัด และควรใช้กรณีที่มีน้ำมูกใสเท่านั้น เมื่อน้ำมูกข้นเหนียวควรหยุดใช้ยา มิฉะนั้นอาจทำให้น้ำมูกเหนียวข้นมากขึ้น และอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะเด็กเล็ก

ข้อแนะนำ-ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้แพ้
1. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้ก่อนสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้แพ้หรือใช้ทันทีที่แพ้แล้ว
2. ยาแก้แพ้ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียง คือ ทำให้ปากแห้ง จมูกแห้ง ปัสสาวะลำบาก และที่สำคัญคือ ทำให้ง่วงนอน ซึม เวลาใช้ยานี้จึงควรระวังการขับขี่ยานยนต์หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล อย่างไรก็ตาม หากกินยาชนิดนี้แล้วมีอาการง่วงนอนมาก และจำเป็นต้องทำงานอาจเลี่ยงไปใช้ยาแก้แพ้ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง เช่น เทอร์เฟนาดีน (Terfenadine) แอสทิมิโซล (Astemizole)
3. ห้ามกินยานี้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดสมอง เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากันชัก
4. ในกรณีหอบหืด ซึ่งแม้จะเป็นอาการแพ้อย่างหนึ่งก็ตาม สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ควรระวังในการใช้ยานี้ เนื่องจากเด็กมีความไวในการตอบสนองต่อยานี้มาก อาการข้างเคียงของยาอาจเกิดในทางกลับกัน คือ แทนที่เด็กจะง่วงนอน กลับนอนไม่หลับร้องไห้ กวนโยเย เด็กบางคนจะมีอาการใจสั่น ตื่นเต้นหรือถึงกับชัก ถ้าได้รับยาในขนาดสูงๆ
5. ในหญิงมีครรภ์ มักใช้ยาประเภทนี้ในรูปของยาแก้แพ้ท้อง ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรจะดีกว่า สำหรับหญิงให้นมบุตรการกินยาแก้แพ้อาจทำให้น้ำนมลดน้อยลง และยาจะขับออกทางน้ำนม จึงควรให้ลูกงดนมแม่ ดูดนมขวดชั่วคราวขณะใช้ยา

นอกจากการใช้ยาแล้ว ก็ต้องพยายามสังเกตว่าสิ่งที่แพ้คืออะไร แล้วหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้ การออกกำลังกายที่เหมาะสม กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบาน เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ดีขึ้นได้

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำธุรกิจ-ห้ามขาดความทะเยอทะยาน

ทำธุรกิจ-ห้ามขาดความทะเยอทะยาน

"รวยน้อยเพราะประหยัด รวยมากเพราะสวรรค์โปรด" ควรเป็นหลักการข้อสุดท้ายที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กทุกคนจะคำนึงถึง ความปรารถนาพื้นฐานของพ่อค้าขนาดเล็กก็คือ ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง และไม่ต้องทนรองรับอารมณ์บูดของเจ้านาย ความปรารถนาในระดับนี้ โดยทั่วไปแล้ว ขอเพียงใช้ความมานะพยายามและไม่ทำผิดพลาดมากนัก พ่อค้าทั้งหลายก็สามารถทำได้แล้ว

ดูเหมือนว่า คนจีนถนัดจะเป็นพ่อค้าขนาดเล็กมาแต่กำเนิด กิจการแบบครอบครัวเป็นจำนวนมากที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่หาเงินได้เพียงพอค่าใช้จ่ายเท่านั้น ทั้งต้องทนต่ออารมณ์ลูกค้าทั้งต้องดูสีหน้าของลูกจ้าง พอถึงสิ้นเดือนต้องเตรียมเงินจ่ายค่าจ้างแบบนี้ สู้เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนธรรมดาไม่ได้
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างพ่อค้าย่อยกับลูกจ้าง ไม่ได้อยู่ที่ว่า สามารถหาเงินได้เท่าไหร่ในแต่ละวัน แต่อยู่ที่ว่าในที่สุด จะเหลือกำไรอยู่เท่าไหร่ "ลูกจ้างไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปาก นอกจากจะทำการทุจริตหรือคอรัปชั่น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีโอกาสเจริญรุ่งเรืองเท่าพ่อค้า จะหาเงินได้แค่ไหนก็รวยไม่เท่าไหร่ พ่อค้าย่อยมีโอกาสรวยได้มากกว่า

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า ในพันคนหมื่นคนอาจไม่มีเศรษฐีเลยสักคน แต่พ่อค้าจะมาท้อถอย ละความทะเยอทะยานที่จะเป็นเศรษฐีไม่ได้ มิฉะนั้นแล้ว จะมาทำการค้าเพื่ออะไรกันเล่า พ่อค้าไม่ควรย่ำอยู่กับที่ เพราะนอกจากจะซังกะตายแล้ว ความคิดก็ล้าสมัยด้วย พ่อค้าย่อยจะต้องก้าวหน้า จะต้องพยายามเป็นฝ่ายรุก แต่ถ้ายังเป็นมหาเศรษฐีไม่ได้ก็คงเป็นเพราะฟ้าลิขิต นี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า "แล้วแต่สวรรค์จะโปรด"

พ่อค้าที่มีความทะเยอทะยาน ประการแรกจะต้องไม่ดำเนินกิจการประเภทที่ไม่สามารถขยายต่อไปได้ และที่สำคัญไม่ควรผูกมัดกิจการให้แคระแกร็น หลายคนคิดว่าการเป็นช่างสระผมไม่มีอนาคต แต่ดูอย่างกิจการของวิดาล ซาซอง ที่ปัจจุบันมีสาขาอยู่ทั่วโลก นี่เป็นผลแห่งความทะเยอทะยาน ความทะเยอทะยานเป็นเงื่อนไขสำคัญในการก้าวไปสู่ความเป็นมหาเศรษฐี ส่วนโชคชะตานั้นเป็นเงื่อนไขรอง
บางคนเห็นว่าเงินมิใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง เหนื่อยยากไปเพื่ออะไรเล่า คุณคงเห็นว่าคนที่มีความคิดอย่างนี้คงมองโลกได้ทะลุปรุโปร่งและอยู่เหนือผู้อื่นดังที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "อนัตตา" แต่คนที่มีความคิดเช่นนี้ แม้ในสังคมธรรมดาก็ยากจะอยู่รอดแล้ว ชีวิตคนเราก็เหมือนกับการละเล่น ในเมื่อรู้ดีว่าเป็นการละเล่นก็จงตั้งใจเล่นให้ดี ชีวิตคนเหมือนความฝัน ขอฝันดีสักครั้งจะเป็นไรไป ขอเพียงไม่ลุ่มหลงบูชาในเงินทอง ไม่ละโมบในทรัพย์สิน ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย พ่อค้าย่อยเป็นผู้ที่สมัครใจทุ่มตัวลงเล่นเกมเงินเกมทองนี้เอง ไม่มีผู้ใดบังคับ ฉะนั้น จงเล่นให้ดีเถิด ชีวิตของพ่อค้าเป็นชีวิตของการต่อสู้ และการต่อสู้นั้นมีทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลินและมีเนื้อหาสาระ

ทำธุรกิจ-ห้ามดาษดื่น

ทำธุรกิจ-ห้ามดาษดื่น

คนเราโดยทั่วไปนิยมรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง บริษัทใดไม่ว่าใหญ่หรือเล็กจะประสบความสำเร็จ ก็เพราะมีเอกลักษณ์พิเศษเป็นของตนเอง ที่วิชาการตลาดเรียกว่า "จุดยืน (Positioning)" ในภาษาอังกฤษมีความหมายถึงตำแหน่ง บริษัทใหญ่ต้องการปริมาณการค้าที่แน่นอน ต้องการตลาดทั้งระดับบนและล่าง บ่อยครั้งทีเดียวที่ต้องพยายามสนองตามความต้องการของลูกค้าทุกระดับ สินค้าและบริการที่เสนอให้ลูกค้านั้นจึงพยายามให้หลากหลาย หรือให้เหมาะกับทุกคนต้องมีลักษณะครบถ้วน ครอบคลุมตลาดทุกระดับและทุกพื้นที่

กิจการเล็กๆ สามารถขยายให้เป็นวงกว้างได้หรือไม่ แม้จะทำได้ก็คงยากเอาการ และก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีเท่าบริษัทใหญ่ ภัตตาคารใหญ่มักจะมีเมนูอาหารเล่มหนาๆ ร้านอาหารเล็กๆ เพียงแต่มีอาหารรสเด็ดๆ ไม่กี่อย่างก็พอ ร้านอาหารแบบฟ้าสต์ฟู้ดยิ่งมีอาหารให้เลือกน้อยกว่าอีก เช่น "เคนตั๊กกี้" ที่ขายอาหารเพียงอย่างเดียว และรสชาติเดียว

ดังนั้น หนทางการอยู่รอดของบริษัทใหญ่ก็คือใหญ่และสมบูรณ์ ส่วนวิธีการของบริษัทเล็กนั้น คือ เล็กและมีลักษณะเฉพาะ เมื่อมีลักษณะเฉพาะแล้ว เอกลักษณ์จะโดดเด่นขึ้น ภาพพจน์จะชัดเจน หากไม่มีลักษณะเฉพาะ แม้จะทำได้ดี ก็จะเข้าลักษณะดาษดื่นเหมือนคนอื่น กลายเป็นของโหลไป

ในเมื่อบริษัทเล็กจะละทิ้งตลาดในวงกว้าง จะครองและขยายตลาดในส่วนที่ไม่ค่อยมีคนทำ ช่องว่างที่จะแทรกตัวเข้าไปทำจึงเล็กมาก "เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้" จึงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่รอด หากบริษัทเล็กอื่นๆ คิดจะแทรกเข้ามาแข่งขัน แต่ภาพพจน์และเอกลักษณ์ที่เด่นชัดนี้ จะเป็นเสมือนทุนที่มองไม่เห็น และเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ไร้ร่างที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้

อีกจุดหนึ่งที่ควรสนใจคือ ถ้าคิดจะเจาะเข้าตลาดใดหรือส่วนหนึ่งของตลาดใดจะต้องไม่เลียนแบบบริษัทใหญ่ หรือตามหลังบริษัทเล็กที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ควรฉกฉวยเอาสิ่งซึ่งบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กทั้งหลายมองข้ามไป สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นยังเข้าไปไม่ถึง สิ่งที่ทำให้พวกเขาล้มเหลวมาเป็นอาวุธจู่โจม สร้างเอกลักษณ์ และภาพพจน์ของตนเอง การรบกับบริษัทใหญ่นั้นยาก การจะชนกับบริษัทเล็กอื่นที่ประสบความสำเร็จแล้วซึ่งๆ หน้าก็ต้องถึงกับเลือดตกยางออก ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย ถ้าหากจุดอ่อนของบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กอื่นๆ ไม่ได้หรือหาช่องว่างเข้าตลาดไม่ได้ สู้ไม่เข้าตลาดเสียเลยจะดีกว่า

ทำธุรกิจ-ห้ามมองข้ามการโฆษณา

ทำธุรกิจ-ห้ามมองข้ามการโฆษณา

การโฆษณาเป็นวิธีของบริษัทใหญ่เท่านั้นหรอกหรือ ผิดแล้ว การโฆษณามิใช่เพียงการเสียเงินหลายหมื่นต่อวินาที แต่เป็นวิธีการที่ใครๆ ก็ทำได้ บริษัทเล็กๆ ก็ต้องโฆษณา บริษัทใหม่ๆ ยิ่งต้องโฆษณา ไม่เช่นนั้นก็จะถือกำเนิดอย่างไม่มีใครรู้เห็น ดำรงอยู่อย่างไม่มีใครรู้เห็น และเลือนหายไปอย่างไม่มีใครรู้เห็น ธุรกิจขนาดเล็กควรกล้าที่จะบุกเบิกทางมุ่งไปข้างหน้า การคิดหวังแต่ว่าบริการให้ดีให้ลูกค้าช่วยโฆษณาปากต่อปาก ช่วยดึงลูกค้าอื่นมาให้ เป็นเสมือนการหาสมบัติพระศุลีโดยไม่มีแผนที่ ธุรกิจขนาดเล็กเช่นนี้จึงอาจมีทางรอดได้เพียงทางเดียว คือ เมื่อคู่แข่งก็ไม่มีการโฆษณาสินค้าเช่นกัน

ในปัจจุบันนี้ที่การแข่งขันดุเดือดมาก ก็ยังมีบริษัทเล็กๆ บางบริษัทที่ไม่โฆษณาสินค้าตนเอง ไม่เป็นฝ่ายรุกเข้าหาลูกค้า ซ้ำยังกลับย้อนถามลูกค้าว่า  "ใครแนะนำมา" หากลูกค้าบอกไม่ถูกว่าใครแนะนำมา บางทีก็อาจไม่แจ้งราคาหรือไม่ก็โก่งราคาจนคนกลัว ในสังคมที่ข่าวสารแพร่หลายได้รวดเร็วเช่นนี้ สินค้าบางชนิดโดยเฉพาะพวกวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม อาจจำเป็นต้องถามผู้รู้ว่าจะหาซื้อได้ที่ไหน ในกรณีเช่นนี้จะมีก็แต่บริษัทที่มีดีอยู่แล้วจึงมีโอกาสอยู่รอดได้

หากสินค้าในวงการมีการโฆษณา แน่นอนเราก็ต้องโฆษณาด้วย ในขณะที่คนอื่นไม่โฆษณา แต่เรากลับโฆษณา ผลที่ได้นอกจากจะได้ลูกค้ากับการขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีผลเสียอย่างไร คนอื่นจะคิดจะว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา

พ่อค้าต้องเข้าใจถึงหลักการเลือกโฆษณา กิจการเล็กๆ ของพ่อค้ามีลักษณะพิเศษทางการตลาด คือ เป็นสินค้าที่ใช้เฉพาะพื้นที่ และเป็นการขายตรง หากคุณเปิดร้านอาหารสักร้าน แล้วโฆษณาทางโทรทัศน์ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเป็นการฟุ่มเฟือยและไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้าไปโฆษณาที่โรงหนังใกล้ร้าน เดือนหนึ่งเสียไม่กี่ร้อยบาทจะได้ผลโดยตรงกว่ามาก ในบางวงการการเสียค่าโฆษณาแบบแยกวันละไม่กี่สิบบาท นับว่าคุ้มมาก การแยกโฆษณาเป็นทางเลือกที่ถูกที่สุด ใบประกาศ ใบปลิว โบรชัวร์ทางไปรษณีย์ ล้วนเป็นสื่อราคาถูกที่ได้ผล

ในวงการหนังสือพิมพ์ปัจจุบัน มีทั้งการลงข่าวให้ฟรีและเสียเงิน หากสินค้าของคุณมีลักษณะพิเศษ คุณก็สามารถเป็นฝ่ายติดต่อหรือเขียนส่งไป คุณอาจได้ลงฟรี สำหรับคุณแล้วมันเป็นการโฆษณา แต่สำหรับหนังสือพิมพ์แล้วมันคือข่าว

ทำธุรกิจ-ห้ามละความสามัคคี

ทำธุรกิจ-ห้ามละความสามัคคี

บริษัทที่มีพนักงานหนึ่งร้อยคน การเสียคนไปคนหนึ่งคิดเป็นเพียง 1% เท่านั้น แต่บริษัทที่มีพนักงานเพียง 3 คน การเสียคนไปคนหนึ่ง คือการเสียถึง 33.33% ไม่ว่าบริษัทใดก็ล้วนหวังให้พนักงานอยู่กันนานๆ อัตราย้ายงานต่ำ บริษัทใหญ่อาจสามารถรับภาระที่พนักงานย้ายงานกันมากๆ ได้ แต่บริษัทเล็กนั้นมักต้องการพนักงานที่อยู่กันนานๆ ถ้าจะดูการดำเนินยุทธวิธีการค้า บริษัทจะยอมไม่ได้ที่จะขาดพนักงานคนใดคนหนึ่งไป ดังนั้น บริษัทควรวางแผนเผื่อไว้ ยามเจ้าของกิจการไม่อยู่ งานก็จะยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ หาพนักงานที่อยู่รองลงมาลาออกก็ต้องไม่กระทบกระเทือนถึงกับทำให้บริษัทล้ม พ่อค้าย่อยควรเอาใจใส่พนักงานที่ทำงานร่วมกันมา ให้ทำงานด้วยความสบายใจ เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ไม่ละทิ้งกันไป แต่ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก

พนักงานที่ทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง จะรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อคุยกับผู้อื่น จะหาคู่ครองก็ง่าย เพราะในสายตาของคนทั่วไป บริษัทใหญ่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงให้คนที่มีความสามารถ ในแง่ของพนักงานแล้ว สภาพการดำเนินงานของบริษัทใหญ่จะดีกว่า ระบบบุคลากรก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีความรู้สึกมั่นคง จุดดีดังกล่าวข้างต้น บริษัทเล็กๆ ไม่สามารถจะให้ได้

แต่บริษัทใหญ่ก็มีจุดด้อยของตนเอง ระบบบุคลากรในบริษัทใหญ่ค่อนข้างจะตายตัว โอกาสเลื่อนขั้นมีน้อย งานก็ซ้ำซากจำเจเหมือนงานราชการยากที่จะแสดงความสามารถให้ปรากฎหรือทุ่มเทให้ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ระหว่างบริษัทกับพนักงาน เจ้านายกับลูกน้อง จะขาดความเป็นกันเอง แต่กับธุรกิจเล็ก เจ้าของหรือเถ้าแก่สามารถใช้ส่วนดีของตนเองกลบส่วนด้อยซึ่งก็คือ อาศัยความสัมพันธ์ฉันมิตรและคุณธรรม การมีมิตรสัมพันธ์ ทำให้สามารถร่วมทุกข์ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง การมีคุณธรรม ทำให้สามารถร่วมสุขกันได้ยามร่ำรวยก็จะไม่ลืมหรือทอดทิ้งกันและกัน พนักงานก็จะรู้สึกมีจุดหมาย มีการพัฒนาความสามารถทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ และมีผลประโยชน์ร่วมกัน (ที่จริงบริษัทใหญ่ๆ ก็ควรทำเช่นนี้ด้วย)

เงินทองไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม บริษัทเล็กไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนสูงกว่าบริษัทใหญ่ แต่จำเป็นที่จะต้องให้พนักงานเข้าใจว่า ขอเพียงให้พวกเขาทำงานอย่างเต็มที่และบริษัทสามารถแบกรับภาระได้ รายได้ของพวกเขาจะสูงกว่าบริษัทใหญ่ๆ อย่างแน่นอน บริษัทที่มีชีวิตชีวาและมีผลงาน พนักงานก็จะภาคภูมิใจไปด้วย โดยเฉพาะถ้าเจ้าของกิจการกล้าปล่อยมือให้พนักงานแสดงความสามารถเต็มที่ ทำให้พวกเขามีความรู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จในผลงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่บริษัทใหญ่ๆ ไม่สามารถให้ได้

พนักงานที่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จในงานมากเกินไป มักจะออกไปตั้งกิจการของตนเอง เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่รู้สึกว่ามีผลงาน คนที่ไม่พอใจกับสภาพการทำงานโอกาสที่จะออกจากงานจะยิ่งสูง สภาพเช่นนี้ควรช่วยเหลือพวกเขาจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด พนักงานที่จากไปจะซาบซึ้งในบุญคุณ พนักงานที่ยังอยู่ก็จะชื่นชมกับการกระทำเช่นนี้ด้วย

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำธุรกิจ-ห้ามกลัวการพูด "ไม่"

ทำธุรกิจ-ห้ามกลัวการพูด "ไม่"

เพื่อเป็นการดึงลูกค้า พ่อค้ามักมีคำพูดหวานๆ เช่น "ลูกค้าย่อมถูกเสมอ" นั่นคือ ความต้องการใดของลูกค้าจะได้รับการตอบสนอง ทว่าความสามารถและทุนของพ่อค้าย่อย ย่อมมีจำกัด ในขณะที่ความต้องการของลูกค้าไม่มีวันสิ้นสุด สักวันหนึ่งพ่อค้าย่อยจะเรียนรู้ว่า เขาได้ตั้งความหวังกับตนเองสูงเกินไป กิจการงานในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถแบกรับคนเดียวได้หมด และความต้องการของลูกค้าบางครั้งก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

บริษัทใหญ่ๆ ดูเหมือนจะเน้นบริการที่เป็นเลิศ แต่แท้จริงแล้ว บริษัทเหล่านั้นได้วางกฎระเบียบมากมายไว้ก่อนแล้ว เช่น ให้เครดิต 30 วัน จำกัดวงเงินเครดิตลูกค้าแต่ละราย ไม่รับเช็ค ไม่รับเซ็นบิล ลดได้มากสุด 10% ส่งสินค้าหลังวันสั่ง 60 วันขึ้นไป พนักงานบริษัทใหญ่ๆ ล้วนแต่ดูสุภาพคล่องแคล่วต่อคุณ นั่นเพราะคุณยังไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบของเขาเท่านั้นเอง วันใดที่คุณทำไม่ถูกกฎ คุณก็จะรู้ว่า บริษัทใหญ่ๆ แท้จริงแล้วไม่ได้ให้บริการที่เยี่ยมยอดแก่ลูกค้า และคำว่า "ไม่" ของพวกเขาก็พูดออกมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำเลยทีเดียว

ทำไมเขาถึงพูดคำว่า "ไม่" ได้เด็ดเดี่ยวนัก ก็เพราะคนพูดเป็นเพียงลูกจ้าง พนักงานระดับล่างถึงบนล้วนเป็นคนกินเงินเดือน การเสียลูกค้าไป มิใช่เรื่องเดือดร้อนของเขา อีกอย่างก็เพราะ "บริษัทใหญ่ไม่ง้อลูกค้า" บริษัทใหญ่ๆ เสียลูกค้าไปรายสองรายมิใช่เรื่องใหญ่ แต่ในสายตาของพ่อค้าขนาดเล็กแล้ว ลูกค้าเล็กๆ ไม่กี่คน กลับเป็นลูกค้าสำคัญ ซึ่งต้องเอาอกเอาใจ เพราะกลัวจะหนีไป

ที่เรียกว่าบริการนั้นคืออะไร การที่จะได้กำไรน้อยหน่อย ทำงานมากหน่อย หรือลูกค้าได้ผลประโยชน์มากขึ้น คือการบริหารหรือ ธุรกิจเล็กใช้เงินทุนน้อย การจะกำไรน้อยหน่อยก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่หากลูกค้าถึงกับทำให้พ่อค้าย่อยเสียผลประโยชน์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทนต่อไป ลูกค้าที่ชอบเอาเปรียบอยู่เรื่อย เอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะทำให้ขาดทุน ต้องทำให้ฟรีอยู่ร่ำไป

ผมขอแนะว่า หากจะเพิ่มความเชื่อมั่นและความรักศักดิ์ศรี พ่อค้าย่อยควรมีลูกค้ามากๆ เพราะการมีลูกค้ามาก จะไม่ทำให้เกิดการยึดติดกับลูกค้ารายใดรายหนึ่งมากเกินไป พ่อค้าที่ไม่ง้อลูกค้าที่สุดเลยคือ พวกหาบเร่แผงลอย ดูแล้ว ไม่ซื้อก็อาจถูกด่าฟรีได้ เพราะเขาถือว่า วันหนึ่งๆ มีลูกค้าหลายร้อยคน น้อยไปสักคนก็ไม่เห็นเป็นไร

"ลูกค้าถูกเสมอ" เป็นคำหลอกกันชัดๆ แต่หากเปลี่ยนเป็น "ลูกค้ารายใหญ่ถูกเสมอ" จึงจะเป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างแท้จริง พ่อค้าย่อยชาวกวางตุ้ง (ไม่รวมชาวแต้จิ๋วที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้งเหมือนกัน) มักไม่เข้าใจหลักการนี้ มักเป็นคนหัวแข็ง อารมณ์ร้าย บ่นว่าลูกค้าทั้งวัน การทำเช่นนี้เป็นการเคารพตัวเองหรือ เรื่องนี้ต้องยกให้ชาวเซี่ยงไฮ้ที่ทำการค้าเก่งมาก หาเงินแต่ไม่หาเรื่อง รอให้กิจการของคุณใหญ่โตขึ้นมาเสียก่อนเถอะ คุณเองก็อาจจะพูดคำว่า "ไม่" เป็นเองโดยอัตโนมัติ

ทำธุรกิจ-ห้ามฝืนกาละ

ทำธุรกิจ-ห้ามฝืนกาละ

ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา บริษัทใหญ่อาจสามารถหันไปทำการค้าอย่างอื่นได้
แต่สำหรับกิจการเล็กๆ แล้ว ทำได้เพียงอดทนและหลบหลีกกระแสคลื่นชั่วคราว
ความแตกต่างของทั้งสองอยู่ที่ ในขณะที่ตลาดซบเซา
พ่อค้าใหญ่ยังมีทุนเก่าพอที่จะใช้จ่ายไปก่อน ในขณะที่หลายคนทนอยู่ไม่ไหว ต้องรีบปล่อยสินค้าในสต็อคแลกเป็นเงินสด พ่อค้าใหญ่เหล่านี้ก็ยังพอมีเงินสดที่จะสั่งสินค้าเข้าร้านได้ แต่พ่อค้าย่อยนั้นเล่า แค่จะประทังชีวิตให้อยู่ต่อไปก็เป็นปัญหาเสียแล้ว เรื่องจะบากบั่นเดินหน้าต่อไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เนื่องจากไม่มีทุนสำรอง และความเสี่ยงที่ต้องเป็นห่วง พ่อค้าย่อยต้องยอมรับกฎที่ว่า "สถานการณ์อยู่เหนือคน" คำว่าสถานการณ์ก็คือโอกาสนั่นเอง

นักธุรกิจใหญ่สามารถเดินสวนทางกับสถานการณ์ หรือควบคุมสถานการณ์ได้ แต่พ่อค้าย่อยต้องรู้จักประมาณตน และเอนลู่ไปกับสถานการณ์แต่โดยดี

ที่ว่าสถานการณ์และโอกาสนั้น ในภาษาการค้าก็คือ ด้านดีหรือร้ายของตลาด ซึ่งต้องพิจารณาทั้งสองด้าน คือจากภาวะเศรษฐกิจทั้งระบบ และจากภาวะแวดล้อมของการค้าชนิดนั้นๆ

มีทัศนคติแบบหนึ่งที่คิดแต่ได้ เห็นว่าถ้าดำเนินการโดยสวนกับภาวะเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น อนาคตก็จะรุ่งโรจน์ นี่คือความมักใหญ่ใฝ่สูงของธุรกิจเล็กที่เลียนแบบธุรกิจใหญ่อย่างผิดๆ ในขณะที่โอกาสไม่อำนวย แต่มีความมั่นใจที่จะทำ ควรจะพักไว้สักระยะหนึ่งก่อน รอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น จึงค่อยลงมือจะง่ายกว่า แผนการส่วนใหญ่สามารถจะรอกันได้ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพระอาทิตย์ก็จะขึ้น แล้วไยต้องลำบากคลำทางในความมืดเล่า

ก่อนแสงสว่างมาถึงมักมืดที่สุดเสมอ ภาวะที่เศรษฐกิจเลวร้ายที่สุดมักเป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกผันเข้าสู่ภาวะที่ดี การฉกฉวยสถานการณ์ที่เกิดการแปรเปลี่ยน ไม่ใช่การฝืนหรือเดินสวนทางกับสถานการณ์ เนื่องจากภาระของพ่อค้าย่อยค่อนข้างเบา ความคล่องตัวสูง หากปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ได้เร็วมากเท่าใด ความสำเร็จก็มีมากเท่านั้น เรื่องที่ว่าจะทำได้หรือไม่นั้น เป็นสิ่งทดสอบการมองการณ์ไกล และความสามารถของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ดีที่สุด

ทำธุรกิจ-ห้ามละเลยทำเล

ทำธุรกิจ-ห้ามละเลยทำเล

ทำเลคือสภาพแวดล้อมของบริษัท สภาพแวดล้อมกับสถานที่ตั้งของบริษัทมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก

สำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง ย้ายจากใจกลางเมืองไปที่ใหม่ที่ไกลออกไป เพราะค่าเช่าถูกกว่า
ปรากฎว่ากิจการตกต่ำถึงขีดสุด
ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งมีสำนักงานใหญ่โตในเมือง ภายหลังได้ย้ายไปแถบชานเมือง ซึ่งกว้างขวางกว่าเดิม แต่ไม่ถึง 3 เดือน ก็ต้องย้ายกลับมาที่เดิม

ทำเลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของกิจการฟาสต์ฟู้ด และนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แมคโดแนลประสบผลสำเร็จ ดูเหมือนว่าแมคโดแนลสามารถหาทำเลที่ดีที่สุดได้เสมอ เช่นเดียวกับในวงการซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่นับได้ว่าห้างเวลคัม (WELCOME) ประสบผลสำเร็จมากที่สุด

หลายคนว่าทำเลคือฮวงจุ้ย แท้จริงฮวงจุ้ยเป็นเพียงการเอาสิ่งงมงายมาแปลงโฉมให้ดูเป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น หรือในโลกนี้อาจจะมีเรื่องฮวงจุ้ยจริงๆ ก็ได้ แต่ทำเลที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง เป็นแค่ส่วนหนึ่งของฮวงจุ้ยเท่านั้น เหตุผลง่ายนิดเดียวที่ตั้งของบริษัทจะต้องสะดวกแก่ผู้คนที่มาติดต่อเป็นประจำ ซึ่งรวมทั้งลูกค้า การส่งสินค้า และพนักงาน สิ่งเหล่านี้จะต้องสอดคล้องกับลักษณะกิจการของบริษัท

หลักการนี้จะว่าไปแล้วก็คือ กิจการใดๆ ที่จะเจริญรุ่งเรือง ในทำเลใดๆ ล้วนแต่มีเหตุผลในตัวเองทั้งสิ้น ธุรกิจขนาดเล็กอย่าได้อุตริไปบุกเบิกทำเลแหล่งใหม่ๆ น่าจะยอมชำระค่าเช่าที่แพงหน่อย ยอมเสียเงินตกแต่งร้านให้ดูดีหน่อย และกล้าที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แข่งขันกันมาก ไม่ควรได้เห็นแก่ค่าเช่าถูกๆ แล้วย้ายไปสถานที่ที่ผู้คนสัญจรไปมาไม่สะดวกหรือเป็นที่ที่ไม่มีใครรู้จัก

แหล่งช้อปปิ้งสำคัญๆ เช่น ราชดำริ เป็นผลพลอยได้จากการสร้างห้างสรรพสินค้าไดมารู พ่อค้าใหญ่มาบุกเบิกทำเลไว้ก่อน ทำให้กิจการเล็กๆ ในละแวกนั้นผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แม้ค่าเช่าจะแพงแต่ก็คุ้ม ผู้ที่มีอายุราว 40 - 50 ปี คงจะจำสภาพเงียบเหงาของราชดำริก่อนมีไดมารูได้

สรุปแล้ว การไม่เสียทำเล ซึ่งอาศัยหลักที่ว่า "สถานการณ์อยู่เหนือคน" นักธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถสร้างสถานการณ์ได้ ทำได้แต่เพียงโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจในแหล่งชุมชน ย่อมเป็นการลงทุนที่ได้ผลดี

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำธุรกิจ-ห้ามหลับหูหลับตามองโลกในแง่ดี

ทำธุรกิจ-ห้ามหลับหูหลับตามองโลกในแง่ดี

ผู้เริ่มทำธุรกิจเกือบทุกคนมักมีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มองโลกในแง่ดีแบบสุดขั้ว แน่ละ หากไม่คิดว่าตนเองมีความสามารถเลอเลิศเป็นหนึ่งในตองอู และมีแผนการที่คิดว่าน่าจะทำเงินแล้ว ก็คงจะเต็มใจเป็นลูกจ้างเขาตลอดไป ไม่คิดมาเป็นพ่อค้าแน่

แต่ความมั่นใจที่มีมากเกินไป ย่อมเกิดภาวะคิดเอาเอง ว่าตัวเองรู้ดี ตัวเองทำถูกแล้ว แต่ถืงอย่างไรลูกจ้างก็ไม่สามารถกลายเป็นพ่อค้าได้ทันที ความเชื่อมั่นตัวเองที่สุดขั้วเช่นนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างฐานะของตัวเอง

การมองโลกในแง่ดี ทำให้ประเมินตลาดสูงเกินไป โดยลืมคิดไปว่าสินค้าที่นิยมกันมากนั้น แข่งขันกันเอาเป็นเอาตาย ผู้มาใหม่ยากที่จะได้ส่วนแบ่งตลาด ผลิตภัณฑ์ใหม่มีอัตราความเสี่ยงสูงมาก บ่อยครั้งที่พ่อค้าย่อยต้องทนลำบากฝ่าความลำเค็ญในการนำสินค้าใหม่ออกไปตีตลาดจนประสบผลสำเร็จ แต่บริษัทใหญ่กลับชุบมือเปิบทุ่มเงินแย่งตลาดไป พ่อค้าย่อยก็หมดหนทางต่อสู้ ต้องชูมือยอมแพ้ ยกตลาดให้กับผู้แย่งชิงไป ผลแห่งความเหนื่อยยากกลายเป็นศูนย์ เมื่อก่อนในสหรัฐอเมริกามีบริษัทผลิตหุ่นยนต์แห่งหนึ่ง ขาดทุนตลอดมา พยายามกัดฟันต่อสู้ ตราบถึงวันนี้หุ่นยนต์จึงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป พอบริษัทเริ่มจะมีกำไร ก็มีบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัททุ่มเงินมหาศาลแย่งตลาดอย่างสายฟ้าแลบ นี่แหละคือโศกนาฏกรรมของพ่อค้าเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก

หากนำเหตุผลดังกล่าวข้างต้นมาวิเคราะห์ คนที่เริ่มทำธุรกิจมักไม่ค่อยฟัง เช่น ถ้ายกสถิติของสหรัฐอเมริกาที่ว่า 95% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ประสบกับความล้มเหลว และ 90% ของบริษัทใหม่จะปิดกิจการใน 5 ปีแรก พวกที่มองโลกในแง่ดีก็จะตอบว่า นั่นเป็นในสหรัฐอเมริกา สภาพแวดล้อมของเมืองไทยดีกว่ามาก แต่แม้สภาพเมืองไทยจะเป็นแบบสหรัฐฯ ก็ตาม พวกเขาก็ยังมั่นใจว่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จใน 5 - 10 % นั้น นี่คือธาตุแท้ของผู้มองโลกในแง่ดี

จะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นผู้ประสบความสำเร็จใน 5 - 10% ที่ว่าดังกล่าวข้างต้นมีปัจจัย 2 ประการคือ จุดเด่นของผลิตภัณฑ์และข้อดีของตนเอง ตำราว่าด้วยการตลาดหลายเล่ม พอกล่าวถึงเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ มักจะแนะนำให้ทำแบบฟอร์มประเมินความเป็นไปได้ของสินค้า แต่พ่อค้าย่อยส่วนใหญ่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ในสมองของพวกเขามีเพียงความคิดยึดติดแต่ว่าสินค้านั้นๆ จะต้องติดตลาดหรือเพราะฉันถนัดในตัวสินค้านั้นๆ ปัญหาคือสินค้าจะติดตลาดหรือไม่เป็นเพียงการคาดการณ์แบบเข้าข้างตนเอง ความเข้าใจในเรื่องตัวสินค้าก็ไม่เกี่ยวกับการตลาดเลย ความคิดทั้งสองอย่างนี้ล้วนไม่ใช่หลักการค้า
แล้วอะไรคือหลักการค้า ถ้าหากมีการวางแผนการดำเนินงานประเมินความเป็นไปได้ให้รอบคอบเสียก่อนแล้วจึงลงมือ เป็นการประกันความสำเร็จได้แน่หรือ คำถาม 2 ข้อนี้ ล้วนหาคำตอบไม่ได้ การเป็นพ่อค้าย่อยก็เหมือนกับการเล่นพนัน ความคิดที่หลายคนบอกว่าใช้ไม่ได้อาจทำเงินมหาศาล เราไม่สามารถชี้ชัดได้ถึงความแตกต่างของการมองโลกในแง่ดีกับการมองโลกในแง่ดีแบบหลับหูหลับตาได้ แต่มันก็ยังต่างกันอยู่ดี รู้สถานการณ์ รู้เขารู้เรา และพยายามสุดกำลัง หากล้มเหลวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำอย่างหลับหูหลับตา ยังไม่ทันลงมือทำ ก็เห็นแววล้มเหลวรออยู่ข้างหน้าแล้ว

ทำธุรกิจ-ห้ามมีลูกค้าน้อย

ทำธุรกิจ-ห้ามมีลูกค้าน้อย

กิจการค้าขนาดเล็กโดยมาก มักเริ่มจากการมีลูกค้าเพียงรายเดียว ดำเนินงานไปสักพัก รู้จักลูกค้าพอสมควร ก็มีหนทางขยายกิจการของตนเองได้ ในฮ่องกงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็เป็นเพราะญาติมิตร เจ้านายในบริษัท หรือคนรู้จักกันในวงการ ต้องการสินค้าหรือบริการบางอย่าง เมื่อพอมองเห็นลู่ทาง เลยถือโอกาสเปิดกิจการของตนเองจากนี้จึงเกิดพ่อค้าย่อยขึ้นอีกรายหนึ่ง
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ลูกค้ารายแรกมิใช่หาได้ง่ายๆ หากเริ่มเปิดกิจการก็มีลูกค้าบ้างแล้ว นับว่าเป็นโชคที่หาไม่ได้ง่ายๆ แท้จริงแล้ว บริษัทโดยมาก แม้กระทั่งบริษัทใหญ่ก็ทำการค้ากับลูกค้าเพียง 1 ถึง 2 รายเท่านั้น

ทว่าการมีลูกค้าเพียงรายเดียว นับเป็นเรื่องอันตรายมาก หากลูกค้ารายนี้เกิดมีอันเป็นไปหรือความสัมพันธ์ระหว่างกันแปรเปลี่ยนไป กิจการของพ่อค้าย่อยก็จะทรุดไปในพริบตา ก็ลูกค้าเพียงรายเดียวนี่แหละที่จะทำให้คุณเจริญรุ่งเรืองก็ได้ แล้วทำไมจะทำให้คุณย่อยยับเป็นเถ้าถ่านไม่ได้เล่า
จากไม่มีกลายเป็นมี แล้วกลับไม่มี เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกล็อคครั้งใหญ่ ทว่า กิจการค้าใดๆ ล้วนแต่มีวัฏจักรของความรุ่งเรืองและตกต่ำทั้งสิ้น ฉะนั้น หากมีเพียงลูกค้ารายเดียวละก็ ชะตาของคุณจึงหนีไม่พ้นผลกระทบจากบริษัทลูกค้าได้ และตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ เป็นภาวะที่ยากจะขยายกิจการ หรือแม้แต่จะเลิกกิจการก็ยังไม่ได้

วันใดที่ลูกค้าหลักนี้กลายเป็นหม้อข้าวของพ่อค้าย่อย พ่อค้าย่อยย่อมจะเกรงอกเกรงใจ กังวลแต่ว่าจะบริการไม่ถูกใจ เกรงใจยิ่งกว่าลูกจ้างเกรงใจนายจ้างเสียอีก เวลาบริษัทจะปลดคนงาน ก็ยังต้องหาเหตุผลที่เข้าท่าให้คนยอมรับได้ แต่ถ้าลูกค้าไม่ติดต่อซื้อขายด้วย แม้แต่เหตุผลเขาก็ไม่เห็นต้องอธิบายเลย ถึงจะเซ็นสัญญากันก็ยังมีทางจะหาช่องโหว่หรือข้ออ้างเพื่อยกเลิกสัญญาได้ แม้แต่กฎหมายก็ยังให้สิทธิคุ้มครองลูกจ้างมากกว่าสิทธิด้านการค้าเสียอีก

การมีลูกค้ารายเดียวนับว่าอันตราย แต่การมีลูกค้า 2 รายก็ใช่ว่าจะปลอดภัย หากจะต้องเสี่ยงถึง 50% เสียงไม่ดังไม่มีใครยอมรับได้ง่ายๆ 20% ก็นับว่ามากแล้ว นั่นหมายความว่าต้องมีลูกค้าอย่างน้อย 5 รายขึ้นไปจึงจะเรียกได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย

การเพิ่มลูกค้าจากหนึ่งเป็นห้า แน่นอนมิใช่เรื่องง่าย ขวากหนามระหว่างทางจะกำจัดอย่างไร จะก้าวไปได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ยิ่งก้าวหน้าก็ยิ่งยาก กำลังคน กำลังสมอง ล้วนทุ่มเทเต็มที่ แต่หากสภาพคล่องหยุดชะงักเพียงนิดเดียว งานที่ลงทุนลงแรงมาทั้งหมดจะกลายเป็นการสูญเปล่า ยิ่งลูกค้าน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งอันตรายมาก แต่ถึงอย่างไร พ่อค้าย่อยก็จำต้องเดินบนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคมนี้

ทำธุรกิจ-ห้ามยึดถือแต่ทฤษฎี

ทำธุรกิจ-ห้ามยึดถือแต่ทฤษฎี

ผู้ที่ได้จบการศึกษามาเฉพาะทาง มักไม่ค่อยเหมาะที่จะเป็นพ่อค้าทำธุรกิจที่มีขนาดเล็ก เคยคุยกับเพื่อนๆ ร่วมมหาวิทยาลัยที่ได้ออกมาต่อสู้กับโลกภายนอกถึงความรู้สึกของการเป็นพ่อค้า ต่างก็เห็นว่าตัวเองยึดทฤษฎีมากเกินไป ยึดถือคุณธรรมแบบชนชั้นกลางมากเกินไป ทำใจให้ยอมรับกับการประพฤติมิชอบไม่ได้ ทั้งที่รู้ดีว่าการใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นวิธีการค้าที่ได้ผลดี ซ้ำคู่แข่งก็ใช้ด้วย แต่ตนเองกลับละอาย ไม่อยากร่วมวงกับคนเหล่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะได้เรียนหนังสือมาบ้าง จึงยังมีความนับถือตนเองและมีคุณธรรมขนาดนั้น แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้ที่ได้รับการศึกษาจะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง เพียงแต่ว่าหน้าบาง กลัวภาพพจน์ส่วนตัวเสียไปเท่านั้นเอง "แต่ละคนมีคุณค่าของตนเอง" ผู้ที่ได้รับการศึกษาก็มีคุณค่าของเขา แต่โดยทั่วไปมักถือว่าสูงส่ง ทั้งๆ ที่การเป็นพ่อค้าย่อยก็ไม่ใช่การค้าอะไรใหญ่โต ดังนั้น คู่ค้าจึงมักไม่ค่อยเข้าใจพวกเขานัก

พ่อค้าย่อยที่ได้รับการศึกษามาบ้างมักจะเป็นพวกที่มีความตั้งใจจริงแต่ภูมิน้อย สิ่งที่พวกเขาได้เรียนหรือถูกฝึกอบรมมานั้น โดยทั่วไปจะเป็นด้านบริหาร หากจะว่ากันตรงๆ แบบไม่ค่อยเสนาะหูนักก็คือ สิบนิ้วของพวกปัญญาชนไม่เคยแตะต้องงานหนัก ไม่รู้อะไรนอกจากการเข้าประชุม เซ็นชื่อและเขียนรายงาน สภาพจิตใจและความเคยชินแบบนี้ เหมาะที่จะอยู่แต่ในบริษัทใหญ่เท่านั้น เพราะคุณสมบัติเหล่านี้ไม่เพียงพอต่อการออกมาทำธุรกิจขนาดเล็ก กลับจะทำให้ธุรกิจพังไปได้

ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยๆ อย่างเช่น ลูกชายพ่อค้าคนหนึ่ง ไปเรียนธุรกิจการค้าจากต่างประเทศ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วก็กลับมารับช่วงทำการค้าต่อจากบิดา พอขึ้นแท่นบริหารก็ไล่ลูกน้องเก่าที่มีประสบการณ์ของบิดาออกหมด แล้วใช้วิธีการบริหารแบบใหม่ที่เรียนมาแทน ปรากฏว่าทำให้บริษัทขาดทุนย่อยยับ ร้อนถึงบิดาต้องกลับมาบริหารงานใหม่ ใช้พนักงานเก่าและวิธีการเก่าแก้ไขปัญหา เรื่องที่เล่ามานี้ออกจะเกินจริงไปหน่อย แต่ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยที่ปัญญาชนบริหารธุรกิจเล็กๆ ตามทฤษฎีมากเกินไปจนพัง

เมื่อเร็วๆ นี้ได้คุยกับเพื่อนนักเรียนเก่าผู้หนึ่ง เขาบอกว่าบริษัทของเขากำลังทำวิจัยว่าควรบุกเบิกการค้าประเภทไหนดี ซึ่งก็ได้ข้อมูลวิจัยมามากพอสมควรแล้ว แต่คนที่ทำธุรกิจขนาดเล็กจะเริ่มต้นเช่นนั้นคงไม่ได้ พวกเขามักจับที่ตลาดลูกค้าก่อน ลูกค้าจะเป็นตัวกำหนด วิธีการเช่นนี้ออกจะไม่เป็นระบบนัก ซ้ำตกอยู่ในฐานะฝ่ายรับ แต่ธุรกิจเล็กก็อยู่ได้ด้วยวิธีนี้ ส่วนวิธีการที่ต้องมีการวิจัย พัฒนาตัวสินค้าหรือการบริการก่อนแล้วจึงค่อยบุกขยายตลาดอย่างที่สอนกันในตำรานั้น เหมาะสำหรับธุรกิจใหญ่ๆ เท่านั้น พ่อค้าย่อยทำอย่างนั้นไม่ได้แน่

ทำธุรกิจ-ห้ามถือตนว่ารู้ดีแล้ว

ทำธุรกิจ-ห้ามถือตนว่ารู้ดีแล้ว

ยังไงก็ขอเริ่มพูดตั้งแต่ต้นดีกว่า

พ่อค้าย่อยหรือผู้ที่มีธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่มักก้าวขึ้นมาจากการเป็นลูกจ้าง จากลูกจ้างกลายมาเป็นพ่อค้าย่อย ถือว่าเป็นการก้าวขึ้นสู่ที่สูง เพราะการเป็นลูกจ้างกับการเป็นพ่อค้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลูกจ้างมีรายได้เป็นเดือนๆ แต่รายได้ของพ่อค้าไม่อาจคำนวณได้ตามปี บางทีต้องรอจนถึงเวลาที่จะอำลาจากเวทีการค้าแล้ว ถึงจะรู้ว่าได้กำไรหรือขาดทุน จุดหนึ่งที่ลูกจ้างไม่มีวันเข้าใจเลยคือ ไม่ว่าลูกจ้างจะฉลาดหรือประสบความสำเร็จเพียงใด ก็ยังไม่อาจรู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อค้าได้ จึงจำเป็นต้องศึกษาเสียตั้งแต่ต้น

ขอยกตัวอย่าง นายฉิน อี้ เฟย จากคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ "ซิ่นเป้า" ซึ่งเป็นผู้ที่เขียนบทความได้ดี และคลุกคลีอยู่ในวงการนิตยสาร โดยเป็นบรรณาธิการหนังสือ "พันกู่" และ "หนังสือพิมพ์กรรมกรรายสัปดาห์" ด้วย ตอนนี้เขากำลังเตรียมออกนิตยสารใหม่อยู่ พอเริ่มจะทำธุรกิจ มีกิจการของตนเองแล้ว ถึงได้รู้ว่าตนเองยังไม่สันทัดในหลายๆ เรื่อง ซึ่งก่อนนี้ไม่เคยสังเกตหรือสนใจมาก่อนเลย ดีว่ายังมีเวลาอีกนานกว่านิตยสารจะออก เขาไม่เพียงกล้าซักถามผู้รู้ทั้งยังเรียนรู้ได้เร็ว เชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่นอน ขนาดคนที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการทำนิตยสารถึงระดับนี้ ยังไม่ทราบว่าจะออกนิตยสารฉบับหนึ่งอย่างไรดี ฉะนั้น สำหรับคนอื่นแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ความแตกต่างระหว่างลูกจ้างกับพ่อค้าย่อย คือ ผู้ที่เป็นลูกจ้างไม่ว่าจะตั้งใจทำงานหรือรับผิดชอบงานได้ดีแค่ไหน เป้าหมายก็เพียงทำงานให้ดีเท่านั้น การมองปัญหาย่อมมองได้ไม่ทั่วถึงเท่า เพราะถูกจำกัดให้มองเพียงด้านเดียว ฝ่ายผลิตก็มุ่งแต่ผลิต ฝ่ายบัญชีก็มุ่งแต่ทำบัญชี ไม่สนใจส่วนได้ส่วนเสียเท่าใดนัก แน่นอน คนเราเมื่อนั่งเรือย่อมไม่อยากให้เรือล่ม ซ้ำหวังให้น้ำพยุงเรือไปได้ไกล แต่ไม่ว่าเรือจะขึ้นหรือลงตามน้ำ ลูกจ้างก็ไม่รู้สึกอะไร ขอยกตัวอย่างโรงงานผลิตของเล่นเด็กของต่างชาติ เฉพาะใบสั่งซื้อจากสถานที่เดียวก็มีผลกำไรมากมาย แต่เพราะผู้บริหารชั้นสูงโกงกินกัน ทำให้บริษัทแม่ในต่างประเทศล้มละลาย แม้ลูกจ้างจะทุ่มเททำงานขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถกู้โรงานนั้นได้

แต่การเป็นพ่อค้าที่มีกิจการขนาดเล็กไม่เป็นเช่นนั้น ทุกเรื่องในบริษัทไม่ว่าใหญ่เล็กล้วนตกอยู่ที่เขา บริษัทจะเจริญหรือล้ม จะกำไรหรือขาดทุนก็เป็นเรื่องของเขาทั้งสิ้น การเป็นพ่อค้าย่อยนั้น ไม่เพียงไม่มีเลขาเก่งๆ ช่วยเหลือดูแลงานในบริษัท ทั้งยังไม่มีเด็กเดินหนังสือที่จะเรียกใช้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยตัวเองทั้งสิ้น สภาพการทำงานเช่นนี้เป็นสิ่งที่ลูกจ้างไม่เคยชิน ดังนั้น เมื่อลูกจ้างกลายมาเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ แล้ว จำเป็นต้องมีเวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อศึกษาและปรับตัวใหม่ คนที่คิดว่าคนเองรู้ดี ตนเองทำธุรกิจเล็กๆ นี้ได้ ไม่ต้องศึกษาเรียนรู้อีกนั้น ผลมักจะปรากฏว่า พอก้าวไปแค่ก้าวแรกก็พังลงมา ซ้ำต้องเริ่มเรียนรู้จากความเจ็บปวดใหม่

อาหารเบาหวาน และ การออกกำลังกาย

อาหารเบาหวาน และ การออกกำลังกาย

อาหารเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบทั่วไปทุกประเทศ มักพบในผู้ที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานมาก และใช้แรงงานน้อย ถึงแม้เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถควบคุมได้โดยการรักษาด้วยยา การควบคุมอาหาร การออกกำลังกายอย่างถูกต้องและเหมาะสม สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือใกล้เคียงปกติ ตลอดจนช่วยลดอาการแทรกซ้อนต่างๆ

ถ้าท่านเป็นเบาหวาน ท่านต้องรู้จักบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ กะปริมาณ หรือจำนวนของอาหารต่างๆ ให้พอเหมาะกับภาวะของร่างกาย ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารประจำวันของท่านและปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ จากแพทย์พยาบาลและนักโภชนาการอย่างเคร่งครัด

อาหารเบาหวาน แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. อาหารที่ไม่ควรรับประทาน
2. อาหารที่รับประทานได้ในปริมาณจำกัด
3. อาหารที่รับประทานได้โดยไม่จำกัด

1. อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่
1.1 น้ำตาลทุกชนิด เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลที่อัดเป็นก้อน น้ำตาลปีบ น้ำตาลกรวด น้ำตาลผลไม้ น้ำผึ้ง นมข้นหวาน
1.2 อาหารที่มีน้ำตาลมาก เช่น ทอฟฟี่ ลูกอม ช็อกโกแลต น้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม
ควรดื่ม น้ำเปล่า น้ำชาไม่ใส่น้ำตาล ถ้าเป็นกาแฟ ควรใส่นมจืดพร่องไขมันแทนคอฟฟี่เมท
1.3 เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ไวน์ ทุกชนิด ยาดองเหล้า
1.4 ขนมหวานต่างๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา ขนมหม้อแกง อะลัว ไอศกรีม
1.5 ขนมเชื่อมหรือผลไม้กวน เช่น ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ลูกหยีกวน
1.6 ผลไม้ตากแห้ง เช่น กล้วยตาก ลูกเกด ลูกพรุน มะขามหวาน ลำไยแห้ง อินทผลัม
1.7 ผลไม้บรรจุกระป๋อง ได้แก่ เงาะ ลิ้นจี่ ขนุน ลำไย
1.8 ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน น้อยหน่า ละมุด องุ่น ลิ้นจี่
ควรรับประทาน ผลไม้ที่ไม่หวานมาก เช่น
ส้มเขียวหวาน มื้อละ 1 ผล เงาะ มื้อละ 3 ผล ฝรั่ง มื้อละ 1/2 ผลเล็ก ชมพู่ มื้อละ 2 ผล แอปเปิ้ล มื้อละ 1/2 ผลใหญ่ มะละกอ มื้อละ 6 คำ พุทรา มื้อละ 4 - 5 ผล แตงโม มื้อละ 10 คำ สับปะรด มื้อละ 6 คำ กล้วยน้ำว้า มื้อละ 1 ลูกเล็ก

2. อาหารที่รับประทานได้ในปริมาณจำกัด
2.1 เนื้อสัตว์ไม่ติดมันต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก รวมทั้งเต้าหู้ และโปรตีนเกษตร รับประทานวันละ 12 ช้อนโต๊ะ หรือมื้อละ 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำนม ดื่มวันละ 1 กล่อง ควรเป็นน้ำนมจืดชนิดพร่องมันเนย ไข่ รับประทานได้ 2 ฟองต่อสัปดาห์ ถั่วเป็นอาหารรวมไขมัน แป้ง และโปรตีนประเภทให้แป้งมาก เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถ้ารับประทานจะต้องลดอาหารแป้งอื่นลง เช่น ข้าวประเภทให้ไขมัน เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถ้ารับประทานถั่วลิสงต้ม 10 เม็ด ต้องงดให้กระเทียมเจียวใส่ในอาหารมื้อนั้น
2.2 ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น ข้าวสวย ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปัง วุ้นเส้น ข้าวโพด ผู้เป็นโรคเบาหวานที่อ้วนควรรับประทานน้อยลงกว่าที่เคยครึ่งหนึ่ง แ ต่ถ้าไม่อ้วนก็รับประทานได้ตามปกติ
2.3 ไขมัน น้ำมันทุกชนิด ทำให้อ้วนง่าย สำหรับน้ำมันจากไขมันสัตว์ ทำให้อ้วนและเพิ่มระดับไขมันในเลือดให้สูง แต่น้ำมันสกัดจากพืชประเภทถั่ว รำข้าว ข้าวโพด สามารถลดไขมันในเลือดได้ ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว กะทิ น้ำมันปาล์ม ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารทอดทุกชนิด ใช้การนึ่ง ต้มแทน ถ้าจำเป็นจะใช้ผัดควรใช้น้ำมันพืชปริมาณจำกัด

3. อาหารที่รับประทานได้โดยไม่จำกัด
3.1 ผักต่างๆ ได้แก่ ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักตำลึง บวบ แตงกว่า มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ฯลฯ
3.2 เครื่องปรุงที่ไม่มีพลังงาน เช่น น้ำส้มสายชู พริกไทย มะนาว เครื่องเทศต่างๆ นอกจากนี้ได้แก่ ชา กาแฟ ขัณทสกร วุ้นมัสตาดที่ไม่เติมน้ำตาล

การออกกำลังกาย
เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ทำให้สุขภาพแข็งแรงคลายเครียด สนุกสนานเพลิดเพลิน กล้ามเนื้อยืดหยุ่นลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดทำให้น้ำหนักลด

การออกกำลังกายให้เริ่มออกกำลังกายแต่น้อยก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 15 - 30 นาที ในเวลาเดียวกันของทุกวัน และควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 1 ชั่วโมง ขณะดูโทรทัศน์ก็ได้ โดยลุกขึ้นยืนตรง ฝึกปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้
1. ก้มศีรษะไปข้างหน้า กลับมาทางตรง และหงายศีรษะไปข้างหลัง กลับมาท่าตรงสลับไปมา 2 นาที
2. พลิกศีรษะไปข้างซ้ายกลับมาท่าตรง และพลิกศีรษะไปข้างขวา กลับมาท่าตรง สลับไปมา 2 นาที
3. แกว่งแขนขวา เหยียดตรงไปข้างหน้า กลับไปข้างหลัง สลับไปมา 2 นาที
4. แกว่งแขนซ้ายเหยียดตรงไปข้างหน้า กลับไปข้างหลัง สลับไปมา 2 นาที
5. แกว่งแขนทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงไปข้างหน้า กลับไปข้างหลัง พร้อมๆ กัน สลับไปมา 2 นาที
6. ยกแขนทั้ง 2 ข้างเสมอไหล่ งอข้อศอก เอามือทั้งสองข้างซ้อนกัน แล้วดึงแขนเหยียดตรงไปข้างลำตัวสลับไปมา 2 นาที
7. ชูแขนขวาตรงขึ้น ส่วนแขนซ้ายเหยียดตรงลงข้างล่าง ตวัดไปด้านหน้า สลับกันโดยเปลี่ยนเป็นชูแขนซ้ายตรงขึ้น ส่วนแขนขวาเหยียดตรงลงข้างล่าง ตวัดไปด้านหน้า สลับไปมา 2 นาที
8. ชูแขนขวาตรงขึ้น ส่วนแขนซ้ายเหยียดตรงลงข้างล่าง ตวัดไปด้านหลัง สลับกันโดยเปลี่ยนเป็นชูแขนซ้ายตรงขึ้น ส่วนแขนขวาเหยียดตรงลงข้างล่าง ตวัดไปด้านหลัง สลับไปมา 2 นาที
9. ก้มหน้าลงเสมอเอว แล้วแหงนหน้าขึ้นตั้งตรงทำสลับกันไปมา 2 นาที
10. ยืนให้น้ำหนักตัวลงบนขาข้างหนึ่ง ใช้มือเกาะเก้าอี้หรือโต๊ะ แกว่งเท้าอีกข้างไปมาประมาณ 3 นาที แล้วเปลี่ยนสลับข้างทำเหมือนกันอีก 3 นาที
11. ยืนเอามือเกาะเก้าอี้หรือโต๊ะ ย่อตัวลงนั่งและยืนตัวตรง สลับไปมา 2 นาที
12. ยืนเอามือเกาะเก้าอี้หรือโต๊ะ เดินย่ำอยู่กับที่โดยยกส้นเท้า ขึ้น-ลง สลับกัน 3 นาที
ผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถเลือกออกกำลังกายได้ดังต่อไปนี้
การบริหารต่างๆ เดิน ถีบจักรยาน รำมวยจีน กรรเชียงบก ว่ายน้ำ เล่นกอล์ฟ ตีเทนนิส วิ่ง แบดมินตัน กระโดดเชือก ขึ้นลงบันได

หยุดออกกำลังกายทันทีเมื่อมีอาการ
--->>> ตื่นเต้นกระสับกระส่าย
--->>> มือสั่น ใจสั่น
--->>> เหงื่อออกมากผิดปกติ อ่อนเพลีย
--->>> ปวดศีรษะ ตาพร่า หิว
--->>> เจ็บแน่นหน้าอก
--->>> เจ็บหน้าอกร้าวไปที่แขน คอ ขากรรไกร
--->>> หายใจหอบมากผิดปกติ

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

พลู สมุนไพรแก้อักเสบแต่โบราณ

พลู สมุนไพรแก้อักเสบแต่โบราณ
ในอดีต การกินหมากกินพลู ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทย แทบทุกบ้านจะมีสำหรับใช้และสำหรับรับแขก เป็นเอกลักษณ์ที่เมื่อไปถึงไหนก็ต้องมีเชี่ยนหมากไว้ใส่หมาก ใส่พลูไปกินให้รู้สึกสดชื่นก่อนค่อยทำงานอื่นต่อไปได้ ในการกินหมากและพลูนั้น นอกจากจะใส่พืชสองชนิดนี้แล้วยังนิยมใส่ปูนขาว เปลือกสีเสียด เปลือกโมก หรือยาเส้น ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่ได้รับการคัดสรรแล้วว่า มีฤทธิ์ในการสมานแผล และยับยั้งเชื้อโรคได้ดี จนแทบไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคนอายุมากแล้วที่เคี้ยวหมาก เคี้ยวพลูยังมีฟันที่แข็งแรง อยู่ครบแทบทุกซี่ ผิดกับคนสมัยใหม่ที่ยังไม่ทันไร ฟันก็หายไปแทบไม่มีเหลือ

สรรพคุณในทางยาของพลูนั้น ใช้ในการแก้อักเสบได้ดีทั้งแผลสดแผลหนอง แก้ปวดฟัน บาดแผลฟกช้ำดำเขียว การถูกทิ่มแทง หรือแม้แต่เล็บขบที่บวมจนถอดก็สามารถช่วยได้ ซึ่งวิธีการใช้ก็สามารถทำได้ไม่ยาก อาจใช้ใบพลูเพียงอย่างเดียว หรือใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น

ให้นำใบพลู 1 - 2 ใบ ต่อเกลือ 1 - 2 หยิบมือ โดยใช้มากหรือน้อยแล้วแต่ความกว้างของแผล และบริเวณที่ปวดบวม แล้วตำใบพลูกับเกลือ ใส่น้ำเล็กน้อยพอชุ่มแผล (ถ้าแผลปิดปาก ตกสะเก็ด มีหนองข้างใน ต้องล้างหรือขูดหนองออกก่อน) หรือจะใช้พอกเล็บขบเล็บฉีกประตูหนีบหนามตำเข้าเนื้อ ท่านว่าใช้ได้ผลดีนัก หากต้องการใช้ใบพลูในสรรพคุณรักษาอาการบวม ก็ให้นำใบพลูไปอังไฟแล้วนำมาประคบก็จะทำให้อาการบวมลดลงอย่างรวดเร็ว

ในทางวิทยาศาสตร์ พลูสามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้เนื่องจากมีสารชาวิคอล (Chavicol) ที่ทำให้เกิดอาการชา และมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวไม่เกร็ง และมีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลเวียนดีจึงช่วยลดอาการปวดเคล็ดขัดยอก ลดการอักเสบช้ำบวมได้ดี

นอกจากนี้สารสกัดจากใบพลูยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้หลายชนิด ใบพลูจึงสามารถรักษาแผลต่างๆ ได้ดี และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราได้อีกด้วย

ถึงแม้ในปัจจุบัน การกินหมากเคี้ยวพลูจะไม่ได้รับความนิยมเช่นในอดีตแล้ว แต่อย่างไรก็ดีพลู ยังเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณดีในด้านการสมานแผล ที่ควรปลูกไว้ประจำครัวเรือน

********************************
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
********************************

กินเห็ดดี มีประโยชน์

กินเห็ดดี มีประโยชน์
เดี๋ยวนี้กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง ทำให้อาหารเจ อาหารมังสวิรัติ รวมถึงอาหารประเภท raw food ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งนอกจากกรรมวิธีในการปรุงที่ต้องหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ลดปริมาณไขมัน และเน้นการใช้ผัก-ผลไม้เป็นหลักแล้ว เราจะพบว่า "เห็ด" ถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่สำคัญในการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพทุกประเภท

เห็ดเป็นแหล่งโปรตีนจากธรรมชาติ ที่มีวิวัฒนาการมาจากการประสานเส้นใยจำนวนมากของเชื้อราชั้นสูง และถึงแม้เห็ดจะขาดกรดอะมิโนบางตัว แต่รสชาติและเนื้อสัมผัสของเห็ดนั้นไม่เป็นรองเนื้อสัตว์อย่างแน่นอน ที่สำคัญเห็ดยังให้คุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตันและความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย

เห็ดเป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมันมีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ ทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น กรดอะมิโนกลูตามิคที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้รสอาหารของลิ้นให้ไวกว่าปกติ และทำให้เห็ดมีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์ วิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร เกลือแร่ เช่น ซิลิเนียม ทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โพแทสเซียมทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ และอัมพาต รวมถึง ทองแดง ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของธาตุเหล็ก

นอกจากนี้เห็ดยังมีองค์ประกอบของพฤกษเคมีที่สำคัญชื่อว่า "โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide)" ที่จะทำงานร่วมกับแมคโครฟากจ์ (macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์คุ้มกันขนาดใหญ่ที่ออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อ เมื่อไปรวมกับโพลีแซคคาไรด์ที่บริเวณกระเพาะอาหารและนำส่งไปยังเซลล์คุ้มกันตัวอื่นๆ จะช่วยกระตุ้นวงจรการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพิ่มปริมาณและประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันธรรมชาติให้ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเห็ดที่มีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์สูงก็ได้แก่ เห็ดหอมหรือเห็ดชิตาเกะ เห็ดนางรม เห็ดหูช้าง และเห็ดกระดุม เป็นต้น

นอกจากคุณค่าทางสารอาหารแล้วเห็ดยังมีสรรพคุณทางยาใช้รักษาโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ตับ และระบบไหลเวียนของโลหิต ชาวจีนถึงขั้นจัดเห็ดเป็นยาเย็น เพราะมีสรรพคุณครอบจักรวาลที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าเห็ดสามารถช่วยลดไข้ เพิ่มพลังชีวิต ดับร้อนใน แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย ลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ลดความดัน ขับปัสสาวะคลายหงุดหงิด บำรุงเซลล์ประสาท รักษาอาการอัลไซเมอร์ และที่สำคัญยังยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้จัก ต่อมไทรอยด์

รู้จัก ต่อมไทรอยด์
ไทรอยด์ (Thyroid) มาจากภาษากรีก ประกอบด้วยคำว่า thyreos แปลว่า โล่ และ eidos แปลว่ารูปร่าง ต่อไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อ มีรูปร่างคล้ายโล่หรือปีกผีเสื้อ มีกลีบสองข้าง มีขนาด 12 - 20 กรัม อยู่ที่คอด้านหน้าหลอดลมใหญ่

ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ประกอบด้วย ไทรอกซีน (T4) และตรัยไอโอโดไทโรนิน (T3) ไทรอยด์ฮอร์โมนทำหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิสมหรือระบบการเผาผลาญของเซลล์ในร่างกาย ถ้าระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดสูงเกินไป เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ทำงานเร็วกว่าปกติ มีการเผาผลาญมากตลอดเวลา ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด และถ้าไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายก็จะทำงานช้า เฉื่อยชา น้ำหนักเพิ่มได้

การทำงานของต่อมไทรอยด์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนไทรอยด์สติมิวเลติ้งฮอร์โมน (Thyroid stimulating hormone, TSH) จากต่อมใต้สมอง โดยถ้าระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดน้อยเกินไป ต่อมใต้สมองจะหลั่ง TSH มากระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนมากขึ้น ถ้าไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดเพียงพอแล้ว ต่อมใต้สมองก็จะหยุดหลั่ง TSH ออกมา

โรคของต่อมไทรอยด์จึงอาจแบ่งได้เป็นโรคที่มีความผิดปกติของต่อม เช่น มีการเจริญผิดที่ มีเนื้องอก หรืออาจเป็นโรคที่มีความผิดปกติของการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน หรืออาจพบร่วมกันทั้งสองอย่าง
ภาวะไทรอยด์เป็นพิษคือภาวะที่ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดสูงผิดปกติ ส่วนภาวะไทรอยด์ต่ำหรือไฮโปไทรอยด์คือภาวะที่มีระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ คอพอกคือภาวะที่ต่อมไทรอยด์โตร่วมกับมีไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดสูงร่วมด้วย และคอพอกไม่เป็นพิษคือมีต่อมไทรอยด์โตโดยไทรอยด์ฮอร์โมนไม่สูง อาจมีระดับปกติหรือต่ำกว่าปกติก็ได้
***********************************************************
ลิลลี่ ปฐมหยก อายุรแพทย์ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
***********************************************************

การรับประทานยาลดความดันโลหิตสูง

การรับประทานยาลดความดันโลหิตสูง

***   ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตสูงไปถึงเมื่อไหร่
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ การรับประทานยาเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรับประทานยาไปตลอด เพราะถ้าหากหยุดยาความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนทางสมอง หัวใจ ไต และหลอดเลือด

*** ถ้าลืมรับประทานยาลดความดันโลหิตสูงจะต้องทำอย่างไร
ข้อสำคัญในการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงให้ได้ผลดี ก็คือ จะต้องรับประทานยาต่อเนื่องทุกวันและตรงเวลา หากลืมรับประทานยาและนึกขึ้นได้เมื่อใกล้จะรับประทานยามื้อต่อไป ให้รับประทานยามื้อนั้นก็พอ ห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่า มิฉะนั้นความดันโลหิตสูงจะลดต่ำลงอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้หน้ามืด หมดสติเป็นอันตรายได้

*** ทำไมต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตสูงหลายชนิด
การเลือกรับประทานยาลดความดันโลหิตสูงสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยขณะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง โรคอื่นๆ ที่เป็นร่วมด้วย ความทนได้ต่อยา สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้ป่วย โดยการรักษาจะเริ่มให้ยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมได้ 24 ชั่วโมงในขนาดต่ำเพียง 1 ชนิดก่อน ถ้าผู้ป่วยสามารถทนต่อยาได้ดี ก็จะเพิ่มขนาดยาเป็นขนาดกลาง และให้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะปรับขนาดยาขึ้น เพื่อรอให้ผลของยาลดความดันโลหิตจากยาแต่ละขนาดเกิดขึ้นอย่างเต็มที่

กรณีที่ความดันโลหิตของผู้ป่วยยังไม่ลดลงตามความต้องการ อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนกลุ่มยา หรือเสริมยาตัวที่สอง ตัวที่สามในขนาดต่ำเข้าไปอีก เพื่อลดอาการข้างเคียงจากการรับประทานยาเพียงตัวเดียวในขนาดที่สูงขึ้น

*** ทำไมถึงต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตสูงในตอนเช้า
ยารักษาโรคความดันโลหิตมีหลายกลุ่ม เช่น ยาขับปัสสาวะ โดยยาจะไปขับน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรเลือดในหลอดเลือดลดลง ความดันโลหิตจึงลดลง ซึ่งผู้ป่วยที่รับประทานยาจะเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ โดยทั่วไปจึงให้ผู้ป่วยรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายอาจจะจำเป็นต้องรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ก็ให้รับประทานหลังอาหารเช้าและกลางวัน ห้ามรับประทานหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะตอนกลางคืน

เบาหวานกับภาวะผิดปกติด้านระบบทางเดินอาหาร

เบาหวานกับภาวะผิดปกติด้านระบบทางเดินอาหาร

ผู้ป่วยเบาหวานนอกจากจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะอาหาร โรคตับอักเสบ เนื้องอกในลำไส้ ฯลฯ เหมือนผู้ป่วยทั่วๆ ไปแล้ว ยังจะมีอาการเกี่ยวกับทางด้านระบบทางเดินอาหารที่พบได้เฉพาะหรือค่อนข้างบ่อยเป็นพิเศษ แตกต่างจากผู้ป่วยอื่นๆ ทั่วไป ซึ่งหากแพทย์ผู้ดูแลรักษามีความรู้ความเข้าใจก็จะสามารถให้การวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
ปัญหาด้านทางเดินอาหารที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่จะเป็นความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือบีบตัวของทางเดินอาหารตั้งแต่หลอดอาหารจนถึงลำไส้ใหญ่และจะพบมากขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานและควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผลแทรกซ้อนของโรคเบาหวานต่อระบบประสาทอัตโนมัติ

หลอดอาหาร
หลอดอาหารมีการบีบตัวทำให้อาหารผ่านไปสู่กระเพาะอาหารลดลงหรือมีลักษณะการบีบตัวที่ผิดปกติ ไม่สัมพันธ์กันเป็นจังหวะ ทำให้มีอาการกลืนอาหารแล้วรู้สึกติดขัดหรือมีอาการเจ็บคล้ายเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ บางครั้งมีผลแทรกซ้อนตามมาทำให้เกิดเป็นแผลอักเสบบริเวณหลอดอาหารหรือมีการติดเชื้อราในหลอดอาหารได้

กระเพาะอาหาร
พบบ่อยที่กระเพาะอาหารมีการบีบตัวน้อยลง ทำให้มีอาหารเหลือคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดอาการผิดปกติหลายอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ปวดท้องด้านบน เบื่ออาหาร และเนื่องจากการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารผิดปกติมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งได้มากๆ ทั้งต่ำหรือสูงเกินไป ทำให้ควบคุมเบาหวานได้ยาก

ท้องเสีย
ผู้ป่วยเบาหวานมักมีอาการท้องเสียหรือถ่ายเหลวได้บ่อย ส่วนใหญ่มีอุจจาระเหลวเป็นน้ำ อาจเป็นตลอดเวลาหรือเป็นครั้งคราว บางครั้งอาจสลับกับการมีท้องผูก บางรายอุจจาระราดขณะนอนหลับโดยไม่รู้สึกตัว

กลั้นอุจจาระไม่ได้
หูรูดที่ทวารหนักของผู้ป่วยเบาหวานอาจทำงานได้น้อยลง เนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมเสื่อม ทำให้ไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ มีอาการคล้ายท้องเสีย อุจจาระราดหรือถ่ายอุจจาระบ่อย

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

อร่อยกับสมุนไพรจีน - เต้าทึง

เต้าทึง 
นอกจากจะอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมสมุนไพรจีนหลายชนิด
เต้าทึงร้อนๆ สักถ้วย ประกอบไปด้วยเม็ดบัว ลูกเดือย แปะก๊วย พุทราจีน ถั่วแดง ราดด้วยน้ำลำไยแห้ง หอมหวาน อร่อยและมีประโยชน์มากมาย
แต่ผู้อ่านรู้ไหมว่า ส่วนประกอบที่ว่ามานี้ดีอย่างไร วันนี้เรามาแนะนำให้ท่านรู้จักกันครับ

เม็ดบัว
มีรสหวานและฝาด ฤทธิ์เป็นกลาง ไม่ร้อน ไม่เย็นเกินไป ออกฤทธิ์ที่ม้าม ไต และหัวใจ มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต บำรุงม้ามและหัวใจ ใช้รักษาอาการน้ำอสุจิเคลื่อน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เนื่องจากไตพร่อง หรือม้ามพร่องทำให้รับประทานอาหารได้น้อย ท้องเสียเรื้อรัง หรือมีอาการตกขาว ระดูขาวมามาก ใส ไม่มีกลิ่น หรือหงุดหงิด ใจสั่น นอนไม่หลับ

ลูกเดือย
มีรสหวาน ฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ที่ม้าม กระเพาะอาหาร ปอด มีสรรพคุณช่วยขับน้ำและความชื้นในร่างกาย บำรุงม้าม คล้ายอาการปวด ดับร้อน ขับหนอง ใช้รักษาอาการม้ามพร่อง ความชื้นสะสมอยู่ภายใน ทำให้บวมน้ำ ปัสสาวะติดขัด ท้องอืด หรือ ท้องเสีย หรืออาการปวดตามตัว แขนขาเป็นตะคริว ลูกเดือยช่วยขับความร้อน ขับหนองที่ปอดและลำไส้ใหญ่ รักษาอาการไอ เสมหะเป็นหนอง หรือไส้ติ่งอักเสบเป็นหนอง จากงานวิจัยพบว่าลูกเดือยช่วยขับปัสสาวะ สาร coixol ในลูกเดือยมีฤทธิ์คลายอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อและป้องกันการชัก ลดน้ำตาลในเลือด สาร coixenolide มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก

แปะก๊วย
มีรสหวาน ขม ฝาด ฤทธิ์เป็นกลาง มีพิษ ออกฤทธิ์ที่ปอด มีสรรพคุณแก้ไอ แก้หอบ รักษาอาการตกขาว ปัสสาวะบ่อยครั้งหรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ พิษของแปะก๊วยสามารถละลายในน้ำ และเมื่อเจอความร้อนจะถูกทำลาย พิษแปะก๊วยจะอยู่ในเปลือกหุ้มสีน้ำตาล และไส้กลางสีเขียวๆ ในเมล็ด ดังนั้นเมื่อรับประทานควรเอาเปลือกและไส้กลางออก และต้มสุก หนึ่งในงานวิจัยพบว่า แปะก๊วยสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อวัณโรคได้

พุทราจีน (ต้าเจ่า)
มีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น ตัวยาออกฤทธิ์ที่ม้ามและกระเพาะอาหาร มีสรรพคุณช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร บำรุงพลังลมปราณ (ชี่) และเลือด ทำให้จิตสงบ ใช้รักษาอาการรับประทานอาหารได้น้อย อุจจาระเหลว อ่อนเพลียง่ายเนื่องจากม้ามพร่อง หรือเป็นเพราะเลือดน้อย ทำให้ตัวซีดเหลือง หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนในสตรี นอกจากนี้ พุทราจีนยังช่วยปรับฤทธิ์ของยาในตำรับยาที่มีฤทธิ์รุนแรง และลดอาการไม่พึงประสงค์ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาได้ดีขึ้น จากงานวิจัยพบว่า พุทราจีนช่วยให้ตับแข็งแรง ระงับไอ ขับเสมหะ ยับยั้งเซลล์มะเร็งกระเพาะอาหาร สารเพกทินในพุทราจีนช่วยจับโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกายและช่วยลดคอเลสเตอรอล

ลำไยแห้ง
มีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น ออกฤทธิ์ที่หัวใจ ม้าม มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงม้าม บำรุงเลือด ทำให้จิตสงบ ใช้รักษาอาการม้ามและหัวใจพร่อง เนื่องจากคิดมาก ทำให้ชี่และเลือดน้อย มีอาการใจสั่น ตกใจง่าย นอนไม่หลับ หลงลืมง่าย

ถั่วแดง
มีเม็ดใหญ่และเม็ดเล็ก มีรสหวาน ฤทธิ์เป็นกลาง ถั่วแดงเม็ดใหญ่มีสรรพคุณช่วยย่อย บำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร บำรุงไต เสริมกระดูกให้แข็งแรง ลดอาการอักเสบ ปวดตามข้อกระดูก สำหรับถั่วแดงเม็ดเล็กมีสรรพคุณช่วยบำรุงม้าม แก้บวมน้ำ ขับปัสสาวะ ถอนพิษ ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมหลังคลอด มีรายงานว่าถั่วแดงช่วยลดการดูดซึมไขมันในร่างกาย และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

**************************************************************************
แพทย์จีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
**************************************************************************