วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สวย - สุขภาพดีด้วยองุ่น

สวย - สุขภาพดีด้วยองุ่น

ใครๆ ก็รู้ว่ารับประทานผลไม้แล้วดีต่อสุขภาพ เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและการย่อยอาหารแล้ว ผลไม้ส่วนใหญ่ยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ช่วยเพิ่มความสดชื่น คืนความเปล่งปลั่งให้แก่ผิวพรรณ
วันนี้จึงขออาสาพาคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสาวๆ ที่รักความสวยงาม มารู้จัก "องุ่น" ผลไม้ที่เรารู้จักอย่างดี มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกสรร แถมสรรพคุณมากมาย

องุ่น
ผลไม้แสนอร่อยที่มากด้วยคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะที่เปลือกและเมล็ดสีแดงเข้มของผลองุ่น จะประกอบด้วยสารฟลาวยโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมุลอิสระ ทั้งยังมีวิตามิน ซี บี โปรตีน สารแอนโธไซยานิน แมงกานีส โพแทสเซียม และอื่นๆ อีกมากมาย องุ่นจัดเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ใยอาหารสูง ทั้งยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง เสริมสร้างร่างกายให้ต่อต้านเชื้อโรคและสมานแผลได้อีกด้วย

มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับผลของการบริโภคองุ่นแดงระบุว่า สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้แก่กระดูกและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ โดยทำการทดลองให้องุ่นแดงเสริมไปในอาหารแก่หนูที่ผ่านการทำหมัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับองุ่นแดง จะพบว่าหนูที่ได้รับอาหารปกติจะมีระดับแคลเซียมและแร่ธาตุในกระดูกลดลง ทั้งยังมีภาวะกระดูกเปราะมากกว่าหนูที่ได้รับองุ่นแดง อย่างไรก็ตามการบริโภคองุ่นแดงเพื่อเป้าหมายในการป้องกันโรคกระดูกพรุนนั้นก็ต้องคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน

สำหรับวิธีการนำองุ่นมาใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยงามนั้น สามารถทำได้หลายวิธี
ตั้งแต่การนำผลและน้ำองุ่นสดมาผสมน้ำแตงกวาสด 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันแล้วนำมาทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตา) ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้นและไม่แห้งกร้าน
หรือไม่ก็นำน้ำองุ่นแดงหรือองุ่นม่วงคั้นสด 1 - 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับแชมพูสระผม ทิ้งไว้หลังสระประมาณ 5 นาที แล้วจึงล้างฟองออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยให้เส้นผมนุ่มลื่นและเป็นเงางาม

นอกจากนี้เรายังสามารถนำองุ่นมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอีกมากมาย ที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้งก็คือ สารสกัดน้ำมันจากเมล็ดองุ่นนำมาทำเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ประโยชน์ของน้ำมันชนิดนี้นอกจากจะช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) ซึ่งช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้แล้วยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย

การรับประทานองุ่นให้ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้น หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าสามารถทำได้ด้วยการรับประทานผลองุ่นสดทั้งเปลือกและเมล็ด แต่แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงต่อสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เราจึงต้องล้างให้สะอาดก่อนบริโภค

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เบาหวานกับความผิดปกติของหลอดเลือด

เบาหวานกับความผิดปกติของหลอดเลือด

ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลได้ดี จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะเส้นเลือดตีบแข็งจนบางครั้งก็อุดตันไป ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้าขึ้นเองได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อขาดเลือดไปเลี้ยง (ischemic foot ulcer) ซึ่งจะพบมากที่ปลายนิ้วเท้าทั้งห้าหรือส้นเท้าในผู้ป่วยบางรายซึ่งเกิดแผลจากสาเหตุอื่น เช่น จากอุบัติเหตุ จากของมีคม เล็บขบ จากยุงกัดและเกา เป็นต้น การรักษาให้แผลหายก็เป็นไปได้ยากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากหลอดเลือดตีบไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อเพียงพอทำให้ไม่มีการสมานแผล การตีบตันของหลอดเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานไม่ได้เกิดเพียงเฉพาะที่เท้าเท่านั้น ยังเกิดกับหลอดเลือดอื่นๆ ด้วย เช่น หลอดเลือดหัวใจและสมอง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมที่ทำให้มีการตีบตันเร็วและมากขึ้นอีก คือ การสูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง เป็นต้น

ในกรณีที่เส้นเลือดตีบ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการฉีดสีดูเส้นเลือดว่ามีทางที่จะแก้ไขทำให้เลือดเดินได้ดีขึ้นอย่างไร หากเราเปรียบแผลเป็นสมรภูมิรบ เส้นเลือดเป็นทางลำเลียงเสบียงและอาวุธไปสู่สมรภูมิ ทางลำเลียงต้องปลอดโปร่งจึงส่งอาวุธหรือยาปฏิชีวนะไปกำจัดข้าศึกหรือฆ่าเชื้อโรคได้เต็มที่ เมื่อปราบข้าศึกหมดสิ้นแล้วก็ต้องซ่อมแซมบ้านเมือง ซึ่งก็ต้องอาศัยทางลำเลียงเดียวกันนี้ขนส่งวัสดุก่อสร้างเปรียบได้กับการสมานแผลที่ต้องการอาหารในปริมาณที่เพียงพอ

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ถั่วขาว ช่วยให้หุ่นเพรียวได้จริงหรือ

ถั่วขาว ช่วยให้หุ่นเพรียวได้จริงหรือ

ถั่วขาว (White Kidney Beans) จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า ถั่วแขก และถั่วพู มีต้นกำเนิดในแถบประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา เป็นพืชที่อยู่ในอากาศหนาวเย็น ประเทศเราได้มีการทดลองปลูกถั่วขาวและพบว่าสามารถเพราะปลูกได้แต่ไม่ค่อยนิยมปลูกกันจึงไม่เป็นที่รู้จัก

ประโยชน์ของถั่วขาวมีหน้าที่ยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์อะไมเลส (L-amylase) ได้มากกว่า 50% ซึ่งส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมไว้ให้ออกมาใช้ได้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยลดระดับไตรกรีเซอไรด์ในร่างกาย

สารสกัดที่ได้จากถั่วขาวเรียกว่า "สารฟาซิโอลามีน" ทำหน้าที่ในการบล็อกแป้ง ทำให้แป้งไม่ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลจึงเป็นการลดปริมาณแคลอรี่ที่สะสมในร่างกายที่มาจากคาร์โบไฮเดรต และยังลดอัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก ทั้งนี้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย อธิบายง่ายๆ คือ อาหารจำพวกแป้งที่เรารับประทานเข้าไปจะไม่ถูกย่อยและไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแต่จะถูกขับออกในรูปแบบของกากอาหาร จากผลการวิจัยพบว่าสารฟาซิโอลามีนในถั่วขาว 500 มิลลิกรัม อาจจะช่วยยับยั้งแคลอรี่ได้ถึง 500 แคลอรี่ต่ออาหาร 1 มื้อ

ปัจจุบันจึงมีการนำสารสกัดฟาซิโอลามีน (Phaseolamin) ที่สกัดได้จากถั่วขาวมาเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมที่ช่วยในเรื่องของหุ่นสวยเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เป็นที่สนใจของสาวๆ และกลุ่มคนรักสุขภาพที่ต้องการลดหุ่นเพื่อรูปร่างที่ดีขึ้น

ถึงแม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสารฟาซิโอลามีนจะช่วยในเรื่องของการเผาผลาญแป้งและไขมันเป็นหลัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะรับประทานอาหารพวกแป้งและไขมันได้เต็มที่ เพราะคิดว่าค่อยกินอาหารเสริมจากถั่วขาวตามไปยับยั้งการทำงานของแป้งและไขมันทีหลังก็ได้

เพราะขึ้นชื่อว่าอาหารเสริม ก็หมายความว่าเป็นตัวช่วยเสริมให้คนที่ต้องการมีรูปร่างดี หุ่นสวย แต่ก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารด้วยการลดปริมาณอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล หรือเปลี่ยนจากการกินข้าวเจ้าเป็นข้าวซ้อมมือ เพราะใยอาหารจากข้าวซ้อมมือจะช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลให้ช้าลงโดยวิธีธรรมชาติได้เช่นกัน เรียกว่าร่วมด้วยช่วยกันเพื่อหุ่นสวยรูปร่างดี ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพราะนอกจากจะได้หุ่นสวยแล้ว ก็ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย

เลเซอร์เย็น ละลายไขมัน

เลเซอร์เย็น ละลายไขมัน

เรื่องที่พูดเท่าไหร่ ไม่มีวันจบ คือ เรื่องไขมันส่วนเกินหรือเซลลูไลต์ ที่เกิดจากการรับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินความจำเป็น และร่างกายเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกได้ไม่หมด พบมากในคุณผู้หญิงมากกว่าคุณผู้ชาย เหมือนดังสุภาษิตที่ว่า "เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก" จริงๆ
แต่ในคุณผู้ชายก็ไม่ได้น้อยหน้ากันหรอก เพราะเมื่อในผู้หญิงเกิดปัญหาเซลลูไลต์และไขมันสะสมเป็นจุดๆ ในคุณผู้ชายก็มีไขมันยื่นที่เรียกว่า "ลงพุง" ได้เช่นเดียวกัน

ธรรมชาติของร่างกายเมื่ออาหารถูกเปลี่ยนไปเก็บเป็นรูปไขมันสะสม (Storage fat) ก็จะปิดตายไม่นำเอาไขมันพวกนี้มาใช้อีก เมื่ออดอาหาร แทนที่จะกำจัดไขมัน กลายเป็นว่ากลับนำเอามวลกล้ามเนื้อออกไป กล้ามเนื้อเป็นตัวช่วยเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน เมื่อสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ การเผาผลาญก็ยิ่งแย่ลง ไขมันสะสมก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เราถึงต้องเรียกไขมันพวกนี้ว่า "ไขมันดื้อด้าน" มันมาง่ายแต่จากไปยากจริงๆ การจะเอาชนะไขมันพวกนี้ด้วยการออกกำลังกาย และอดอาหารจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สุดท้ายก็มักกลับมาอ้วนกว่าเดิม ในทางการแพทย์จึงมีความพยายามที่จะจัดการกับไขมันส่วนเกินเหล่านี้ ทำอย่างไรจึงจะทำลายและเอามันออกไปจากร่างกายได้

ในอดีตวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือ "การดูดไขมัน" แต่ก็ต้องมีการเจาะผิวหนังเข้าไป ซึ่งถ้าเลือกได้เราก็ไม่ต้องการที่จะไปเปิดผิวหนังแม้ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ตาม

ล่าสุดเราได้พูดถึงเทคโนโลยีใช้ความเย็นจุดเยือกแข็งทำลายเซลล์ไขมันที่ชื่อว่า Zeltiq ซึ่งใช้พลังงานคลื่นความเย็นในการทำลายเซลล์ไขมัน ไม่มีแผลเปิด ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้มีอีกนวัตกรรมในการกำจัดไขมันส่วนเกิน มีชื่อว่า Zero Slim ให้ได้เลือกใช้กันอีกแล้ว

Zero Slim เป็นเลเซอร์เย็น ด้วยการทำให้เซลล์ไขมันแตกตัว มีขนาดเล็กลง และถูกกำจัดออกทางระบบท่อน้ำเหลืองของร่างกายตามปกติ

วิธีการใหม่นี้ ไม่ต้องเจาะ แต่ใช้พลังงานเลเซอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะ ฉายผ่านผิวหนังลงไป ทำลายผนังเซลล์ไขมัน และทำให้ไขมันกลายสภาพเป็นของเหลว มันจะหลอมละลายเซลล์ไขมันนั่นเอง เมื่อเซลล์ไขมันกลายเป็นของเหลว ก็สามารถถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายในรูปของของเสียได้อย่างง่ายดาย
เครื่อง Zero Slim สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกายให้ผลการรักษาแบบทั้งตัว ไม่ใช่เฉพาะจุด ขั้นตอนการทำทั้งหมดใช้เวลาเพียง 40 นาทีต่อครั้ง หลังการทำแต่ละครั้ง สามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา ผู้ที่กลัวเจ็บ ไม่อยากเสี่ยงกับการผ่าตัด

ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกาถึงความสามารถในการกำจัดไขมันได้จริงทางการแพทย์ สามารถลดสัดส่วน 3-4 นิ้ว ใน 2 สัปดาห์แล้วด้วย นอกจากนั้นยังพบอีกว่า ผู้เข้ารับการรักษาด้วยวิธีการนี้ มีระดับไตรกรีเซอร์ไรด์ ลดลงถึง 60% คอเลสเตอรอลในกระแสเลือดลดลง 85% มีปริมาณไขมันดี คือ HDL เพิ่มขึ้น ขณะที่ไขมันเลว LDL ลดลง

จึงนับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจมากอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดการกับความอ้วน และไขมันดื้อด้านที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความอ้วนได้
--------------------------------------------------------------------------------------
พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์ผิวหนังและศัลยศาสตร์ผิวพรรณจากสหรัฐอเมริกา

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เลเซอร์โรคทางตา (ภาค 2)

เลเซอร์โรคทางตา (ภาค 2)

เลเซอร์ที่ใช้ในโรคทางตา ไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัยโรคยากๆ แล้ว ยังช่วยในการรักษาโรคทางตาจำนวนมากด้วย โดยในตอนที่แล้วได้พูดถึงการวินิจฉัยโรคทางตาด้วยเลเซอร์ ตอนนี้จะมาคุยต่อว่าโรคทางตาใช้เลเซอร์รักษาอะไรบ้างครับ

นอกเหนือจากคุณสมบัติการสะท้อนแสงของเลเซอร์แล้ว แสงเลเซอร์ยังให้พลังงานความร้อนแก่เนื้อเยื่อที่ดูดซับพลังงานจนเกิดการเผาไหม้เนื้อเยื่อนั้น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติการระเบิดจนเนื้อเยื่อฉีกขาด ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวจึงมีการนำมาใช้รักษาโรคทางตาจำนวนมากครับ

เลเซอร์สลายพังผืดหลังเลนส์แก้วตาเทียม
ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดต้อกระจกจะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง ที่จะเกิดพังผืดหลังเลนส์แก้วตาเทียม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีตามัวลง ผู้ป่วยเหล่านี้เมื่อได้รับการยิงเลเซอร์ ลำแสงของเลเซอร์จะไปตัดพังผืดออกโดยไม่มีบาดแผลผ่าตัดใดๆ เลย ใช้ระยะเวลาสั้น ปลอดภัยกับผู้ป่วยด้วย

เลเซอร์รักษาภาวะเบาหวานจอตา
เป็นเลเซอร์ที่ใช้ในการยิงจอประสาทตา เพื่อลดจำนวนเซลล์ประสาทตาลงช่วยป้องกันไม่ให้เบาหวานจอตาเข้าสู่ระยะสุดท้าย หรือสูญเสียสายตาไป การยิงเลเซอร์ดังกล่าวต้องยิงประมาณ 2000 นัดต่อตา 1 ข้าง แพทย์จะนัดผู้ป่วยมายิงเป็นระยะจนครบจำนวนที่ต้องการ การยิงเลเซอร์ดังกล่าว ผู้ป่วยอาจมีการสูญเสียช่วงกว้างของการมองเห็น รวมถึงการมองเห็นในที่มืดก็จะแย่ลง

เลเซอร์เจาะรูม่านตาเพื่อแก้ไขภาวะมุมตาแคบ
เป็นการยิงเลเซอร์เพื่อให้เกิดรูที่ม่านตา รูดังกล่าวจะช่วยเปิดมุมตาและป้องกันต้อหินชนิดมุมปิดได้ครับ

เลเซอร์มุมตา
เป็นการยิงเลเซอร์บริเวณมุมตา ใช้ในผู้ป่วยต้อหิน เพื่อช่วยลดความดันตา

เลเซอร์ปิดรูฉีกขาดที่จอตา
เลเซอร์นี้มี 2 ชนิดครับ ชนิดแรกเป็นเลเซอร์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด ใช้คู่กับการผ่าตัดจอประสาทตา อีกชนิดเป็นเลเซอร์ที่ใช้ยิงในห้องตรวจ ซึ่งไม่ต้องมีแผลผ่าตัด หลักการของเลเซอร์ชนิดนี้จะทำให้เกิดแผลเป็นที่จอประสาทตา ช่วยยึดตำแหน่งที่ฉีกขาดไม่ให้หลุดลอกมากขึ้นอีก นอกจากนี้เลเซอร์ชนิดนี้ยังนำมายิงแก้ไขภาวะจอตาบวมด้วย

เลเซอร์เย็น หรือที่เรียกว่า PDT (Photodynamic therapy)
เป็นเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาภาวะจอตาเสื่อมชนิดเปียก (wet AMD) หลักการของเลเซอร์นี้น่าสนใจครับ เพราะเลเซอร์ชนิดนี้จะออกฤทธิ์ได้ต้องมีการฉีดสารกระตุ้นเข้าไปในเส้นเลือดก่อน สารตัวนี้จะวิ่งไปที่ตาและไปจับกับผนังหลอดเลือดที่ผิดปกติ เมื่อฉายเลเซอร์ชนิดนี้ไป สารตัวดังกล่าวจะถูกกระตุ้นด้วยเลเซอร์และปล่อยสารที่เป็นพิษเพื่อทำลายเส้นเลือดบริเวณดังกล่าวได้ หลักการทำงานนี้ช่วยให้เกิดการออกฤทธิ์ตรงเป้าหมายมากที่สุดและกระทบเซลล์ข้างเคียงน้อยที่สุดด้วยครับ

เลเซอร์แก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียง
เป็นการใช้เลเซอร์ในการตัด ฝานกระจกตาเพื่อให้เกิดการรวมแสงที่กระจกตาเปลี่ยนไปตามที่คำนวณไว้ เพื่อแก้ไขสายตาสั้น เอียง ยาว การแก้ไขดังกล่าวยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่สามารถแก้ไขสายตาเอียงมากๆ ได้ ในรายที่สายตาสั้นมากต้องวัดความหนาของกระจกตาว่าสามารถตัดฝานเนื้อได้เพียงพอหรือไม่ ในรายที่สายตายาวก็มีข้อจำกัดของค่ากำลังสายตาที่จะแก้ไขด้วย ดังนั้นใครที่สนใจจะแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องได้รับการตรวจละเอียด และต้องคุยกับจักษุแพทย์ว่าจะสามารถทำการรักษาด้วยวิธีนี้ได้หรือไม่ครับ

เลเซอร์ในการร่วมการผ่าตัดต้อกระจก
เป็นเทคโนโลยีใหม่ครับเพิ่งออกตัวปี 2011 นี้เองครับ เลเซอร์นี้ไม่ใช่ตัวรักษาหรือผ่าตัดต้อกระจกโดยตรงครับ แต่เป็นการร่วมรักษาในการผ่าตัดต้อกระจก หลักการคือใช้เลเซอร์ในการเปิดแผลผ่าตัด ตัดถุงหุ้มเลนส์ตา กรีดกระจกตาแก้ไขสายตาเอียง รวมถึงอาจแบ่งเนื้อต้อกระจกเป็นส่วนๆ ครับ หลังจากนั้นต้องใช้เครื่อง Ultrasound เข้าไปทำการสลายต้อกระจกอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะเห็นว่าการผ่าตัดดังกล่าว เลเซอร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการผ่าตัดเพื่อทดแทนการใช้มีดในการลงแผลผ่าตัดเท่านั้น แต่ส่วนที่สำคัญคือการสลายต้อกระจกนั้นยังคงใช้ Ultrasound ในการสลายต้อกระจกอยู่ดี ส่วนผลการผ่าตัดนั้นเนื่องจากการผ่าตัดหลักยังคงเป็น Ultrasound ในการสลายต้อกระจกเหมือนกัน จึงทำให้ผลการรักษาไม่แตกต่างกับวิธีปัจจุบัน โดยเฉพาะจักษุแพทย์ที่มีประสบการณ์ การใช้เลเซอร์นี้อาจไม่ช่วยให้การผ่าตัดแตกต่างขึ้นเลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าจะมีการพัฒนาการใช้เลเซอร์ให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ในอนาคต

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการใช้เลเซอร์ในการรักษาตาจำนวนมาก เลเซอร์ไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัย แต่ยังคงใช้ในการป้องกัน และรักษาโรคทางตาด้วย แต่ไม่ว่าเลเซอร์จะมีประโยชน์เพียงใด ก็ควรเลือกใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากเลเซอร์ด้วยเช่นกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ศูนย์จักษุและต้อกระจก รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)

เลเซอร์โรคทางตา (ภาค 1)

เลเซอร์โรคทางตา (ภาค 1)

เลเซอร์เป็นที่รู้จักกันมานาน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม การผลิตชิ้นส่วน ภาควิทยาศาสตร์ รวมถึงทางการแพทย์ที่มีการนำเลเซอร์มาใช้ในการรักษาโรคมากมายครับ และที่คนทั่วไปรู้จักมักเป็นเลเซอร์ทางผิวหนังและความงาม จนหลายคนไม่เคยรู้ว่าทางตาก็มีการใช้เลเซอร์ในการรักษาผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
ด้วยคุณสมบัติของเลเซอร์ที่สามารถทะลุผ่านวัตถุที่ใสไม่ว่าจะเป็นกระจกตา เลนส์ตา วุ้นตา รวมถึงคุณสมบัติการสะท้อนหักเหที่มีความแม่นยำและถูกต้องสูง จึงทำให้มีการใช้เลเซอร์ในการวินิจฉัยโรคต่างๆ อีกทั้งคุณสมบัติในการเผาไหม้ จึงมีการนำเลเซอร์มาใช้ในการรักษาโรคทางตาจำนวนมากด้วย

ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์ทางตาอยู่ 2 ประเภทครับ ประเภทแรกเป็นการใช้เลเซอร์สำหรับวินิจฉัยโรคทางตา และอีกประเภทเป็นการใช้เลเซอร์ในการรักษาครับ

เลเซอร์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรค มักเป็นเลเซอร์ชนิดอ่อนใช้คุณสมบัติความแม่นยำในการสะท้อน การหักเห มาทำการวัดหรือวิเคราะห์ และวินิจฉัยโรคทางตา เครื่องมือดังกล่าวได้แก่
เครื่องวัดและคำนวณเลนส์แก้วตาเทียมด้วยระบบแสงเลเซอร์ เดิมทีเครื่องวัดเลนส์ทั่วไปจะใช้หลักการของคลื่นเสียงยิงเข้าไปในลูกตาและวัดการสะท้อนของคลื่นเสียงมาคำนวณระยะทาง ซึ่งเสียงที่ผ่านตัวกลางแต่ละชั้นในตามีความเร็วของเสียงที่แตกต่างกัน ทำให้การคำนวณความยาวลูกตาเปลี่ยนแปลงไป แต่เครื่องนี้จะใช้หลักการยิงแสงเลเซอร์เข้าสู่ลูกตาไปกระทบกับจอประสาทตาและสะท้อนกลับมา นำมาคำนวณเป็นความยาวของกระบอกตา นำมาคำนวณหาค่ากำลังของเลนส์แก้วตาเทียมเพื่อใช้ในการเลือกเลนส์แก้วตาเทียมให้กับผู้ป่วยที่ผ่าตัดต้อกระจกได้ถูกต้อง ด้วยคุณสมบัติที่แม่นยำของเลเซอร์ช่วยให้การวัดถูกต้องและไม่ต้องสัมผัสดวงตาเหมือนเครื่องทั่วไปครับ เครื่องหรูขนาดนี้ราคาก็หรูด้วยครับ
เครื่องสแกนจอประสาทตาด้วยเลเซอร์ เป็นเครื่องมือที่หรูหราแต่ช่วยจักษุแพทย์ในการวิเคราะห์และติดตามโรคทางจอประสาทตาได้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น หลักการเครื่องนี้จะยิงแสงเลเซอร์เข้าไปกระทบที่จอประสาทตา จอประสาทตาแต่ละชั้นจะสะท้อนแสงนี้แตกต่างกัน เครื่องนี้จะบันทึกแสงเลเซอร์ที่สะท้อนแต่ละชั้นนำมาสร้างเป็นภาพจอประสาทตา และคำนวณหาความหนาของชั้นประสาทตาแต่ละชั้นในระดับที่เล็กมากที่เรียกว่าไมครอนกันเลยทีเดียว ด้วยความละเอียดของเครื่องนี้จึงช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคจอประสาทตาได้เร็วกว่าการตรวจทั่วไป ปัจจุบันมีการใช้เครื่องนี้ในการตรวจภาวะจอตาบวม เบาหวานจอตาและจอตาเสื่อม รวมถึงการติดตามและวางแผนการรักษาโรคทางจอประสาทตาอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากโรคทางจอประสาทตาแล้ว เจ้าเครื่องตัวนี้ยังสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของชั้นประสาทตา nerve fiber layer และ ganglion cell layer เพื่อช่วยในการวินิจฉัยต้อหินได้อีกด้วยครับ
เครื่องตัวสุดท้ายคือ เครื่องฉีดสีและถ่ายภาพจอตาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นเครื่องมือที่ช่วยวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อน เพื่อหาจุดรอยรั่วหรืออุดตันของเส้นเลือดในชั้นจอประสาทตา ช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนรักษาโรคจอตาเสื่อม จอประสาทตาบวม เบาหวานจอประสาทตา หลักการทำงานของเครื่องนี้เริ่มจากการฉีดสารที่มีสีเรืองแสงเมื่อโดนแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ สีตัวนี้จะถูกฉีดเข้าเส้นเลือดบริเวณแขน หลังจากนั้นก็จะฉายเลเซอร์เข้าลูกตาเพื่อกระตุ้นให้สารนี้เรืองแสงขึ้น แล้วจึงถ่ายภาพจอประสาทตาเป็นระยะ เราจะเห็นภาพที่มีสารเรืองแสงวิ่งเข้าเส้นเลือดบริเวณจอตา พอถึงจุดที่รั่วก็จะเห็นสารเรืองแสงรั่วออกมาให้เห็นในภาพถ่ายได้ ภาพที่ได้จากเลเซอร์นั้นจะมีความคมชัดสูงช่วยให้แพทย์ดูตำแหน่งรั่วได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคมีประโยชน์มากโดยเฉพาะโรคทางตาที่ซับซ้อน ในตอนหน้าจะมาเล่าถึงการใช้เลเซอร์ในการรักษา ซึ่งล่าสุดมีการนำมาช่วยในการผ่าตัดต้อกระจกด้วยครับ เป็นอย่างไร ได้เรื่องไหม คงต้องติดตามตอนหน้าครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ศูนย์จักษุและต้อกระจก รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เวาะดือแรแฮ

เวาะดือแรแฮ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Knema furfuracea (Hook.f. & Thomson) Warb.
ชื่อวงศ์ MYRISTICACEAE

เทือกเขาบูโดที่เป็นที่รู้จักกันดีในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของนกเงือกจำนวน 6 ชนิด ที่มีการสำรวจและวิจัยโดยมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือกมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นข้อมูลที่น่าดีใจเพราะนกเงือกนั้นเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจจากชาวบ้านเล่าว่า ผลไม้บางชนิดที่นกเงือกกินเป็นอาหารนั้น เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ใช้ในวิถีชุมชนมุสลิมรอบป่าเทือกเขาบูโดมานาน นั่นคือ ยาแก้คันจาก เวาะดือแรแฮ

"เวาะดือแรแฮ"
คือ ผลของเลือดควายใบใหญ่ เป็นพืชในตระกูล MYRISTICACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ Knema furfuracea (Hook.f. & Thomson) Warb. แต่ในความรู้ของชาวบ้านเป็นที่รู้กันดีว่า "เวาะดือแรแฮ" คือ อาหารเฉพาะของนกเงือกและเป็นผลไม้ที่นกทั่วไปไม่กิน เนื่องจากผลมีขนาดใหญ่ ชาวบ้านยังบอกอีกว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเบื่อเมา หรือเป็นพิษสำหรับนกทั่วไปนั่นเอง แต่นกเงือกกินได้เพราะมีกระบวนการดูดซึมอาหารที่แตกต่างจากนกชนิดอื่น

ภูมิปัญญาชาวบ้านเรียนรู้โดยนำผลของ "เวาะดือแรแฮ" เคี่ยวในน้ำมันเป็นยาแก้คันตามผิวหนัง ซึ่งจากการไปเก็บข้อมูลกับหมอตำแยเมาะมีเนาะ หมู่บ้านสูกา ตำบลโละจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ก็บอกตรงกันว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านของคนโบราณที่นำมาใช้แก้คัน กลากเกลื้อน เช่นเดียวกับข้อมูลของ "แมะ" หรือนางมือลอ มะแซ หมู่บ้านกำปงบือแน ตำบลเก๊ะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ก็ใช้ลักษณะเดียวกัน ส่วนหมอยายูนุ๊ มูซอ หมอยาพื้นบ้านที่จำหน่ายยาพืชสมุนไพรในอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี บอกว่าเป็นตำรับยาที่ขายดีที่สุดเรื่องแก้คันตามผิวหนัง ส่วนวิธีการทำยาแก้คันจากเวาะดือแรแฮ จากภูมิปัญญาของผืนป่าบูโด คงต้องติดตามกันต่อไป
----------------------------------------------------------------------
สาปีนะห์ แมสาโมง

กุ้งแหลง ยาดีสำหรับสตรีคลอดบุตร


กุ้งแหลง ยาดีสำหรับสตรีคลอดบุตร

ชื่อวิทยาศาสตร์ Ricinus communis L.
ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE

"กุ้งแหลง"

ชื่อนี้เมื่อได้ยินครั้งแรกทำให้นึกถึงต้นไม้ที่มีสีแดงเหมือนกุ้ง
ยิ่งเมื่อได้ฟังสรรพคุณแล้วทำให้อยากรู้จักมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากกุ้งแหลงมีสรรพคุณทำให้ กระดูกติดกันเร็วขึ้น
โดยใช้เมล็ดข้างในตำให้ละเอียด ใส่ไข่ขาว ตักใส่กระเพาะไก่นำไปตุ๋น รับประทานติดต่อกัน 7 วัน จะทำให้กระดูกติดได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ยังเป็นสมุนไพรสำหรับสตรีคลอดบุตร คือเมื่อเจ็บท้องคลอดจะนำเมล็ดกุ้งแหลงมาบดแล้วแปะที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง เพื่อให้สามารถคลอดลูกได้ง่าย และหลังคลอดบุตรแล้วให้นำมาแปะที่กระหม่อมจะทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น

ต้องขอบอกก่อนว่าต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามทำเองเพราะอาจเกิดอันตรายได้

นอกจากนี้ชาวไทใหญ่ยังใช้รักษาแผลจากสะเก็ดระเบิด หรือแผลที่ถูกกระจกทิ่มฝังอยู่ ให้นำเมล็ดละหุ่งตำพอกแผลทิ้งไว้ประมาณ 10 ชั่วโมง เศษกระจกจะออกมาจนสามารถคีบออกได้ซึ่งเมื่อได้เห็นต้นจริงแล้วก็ทำให้รู้ว่าเป็นต้นละหุ่งแดงนี่เอง ทางภาคกลางจะใช้ใบ ต้มรับประทาน แก้ช้ำรั่ว ปัสสาวะไหลหยดย้อย ขับน้ำนม แก้เลือดลมพิการ แก้ปวดท้อง ระบายอุจจาระ น้ำมันจากเมล็ดที่ผ่านการบีบเย็นจะใช้เป็นยาระบาย สำหรับเด็กและผู้สูงอายุ แต่น้ำมันที่ผ่านการบีบร้อน จะไม่นิยมนำมารับประทาน เพราะจะมีสารพิษ ricin ออกมาอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

สมุนไพรทุกชนิดเมื่อใช้ถูกวิธี และขนาดที่เหมาะสมก็ย่อมให้คุณอนันต์ แต่หากใช้ในทางที่ผิดก็ย่อมให้โทษมหันต์

------------------------------------------------------------------------
วรดี วารีผล แพทย์แผนไทยประยุกต์

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้

ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้

ในยุคปลายศตวรรษที่ 20 เช่นนี้ ใครไม่รู้จักยาเม็ดคุมกำเนิดที่ผู้หญิงใช้กินประจำทุกวัน วันละ 1 เม็ดเพื่อใช้ป้องกันการท้อง คงนับได้ว่าเชย

แต่มียาคุมกำเนิดอีกแบบหนึ่งที่คนยังรู้จักกันไม่มาก ยาประเภทหลังนี้ไม่ต้องกินทุกวัน แต่ใช้กินเฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น ร้านขายยาบ้านเรามักเรียกยาคุมนี้ว่า "ยาคุมกำเนิดชั่วคราว" หรือ "ยากินหลังร่วมเพศ" (post-coital pill) วิธีเรียกอย่างนี้ทำให้ผู้ซื้อใช้ส่วนใหญ่คิดว่า ยาคุมกำเนิดนี้จะใช้เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ ซึ่งมีคนขี้สงสัยเดาว่า อาจมาจากแผนการตลาดของผู้ที่ขายยาและผู้ที่ผลิตยา เพราะมีส่วนช่วยขยายความต้องการทางตลาดได้มากขึ้น

คำเรียกขานที่ถูกต้องกว่าของยาคุมกำเนิดชนิดนี้ก็คือ "ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (emergency contraceptive pill) ซึ่งหมายความตามชื่อตรงไปตรงมาว่าให้ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉินจริงๆ เช่น
ใช้ถุงยางแล้วแต่ไม่แน่ใจว่ารั่วหรือแตก
กินยาคุมกำเนิดแบบประจำแต่ลืมกินไปวันหรือ 2 วัน
ใส่ห่วงแล้วหลุด
เผลอมีอะไรกันในช่วงไม่ปลอดภัย
จนถึงการถูกข่มขืน เป็นต้น

เจ้ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ จึงมิได้ผลิตเพื่อให้ใช้พร่ำเพรื่อ ถ้าใครใช้ยานี้แทนยาคุมกำเนิดชนิดกินประจำเพราะไม่อยากกินยาทุกวัน ให้รู้ตัวไว้เถิดว่า กำลังกินยาอย่างผิดๆ

ในตลาดยาบ้านเรา มียาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ว่านี้ขายอยู่ 2 ยี่ห้อคือ โพสตินอร์ (Postinor) และ มาดอนนา (Madonna) ซึ่งขายเป็นแผลโดยมียาบรรจุไว้ 2 เม็ด ทั้ง 2 ยี่ห้อให้ข้อมูลในใบกำกับยาภาษาไทยไว้เหมือนกันคือ
- ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังร่วมเพศในกรณีไม่ได้ใช้การป้องกันวิธีอื่นมาก่อน
- ให้กิน 1 เม็ดทันที หรือภายใน 1 ชั่วโมงหลังร่วมเพศ
- หากใช้ยาหลัง 1 ชั่วโมงอาจไม่เกิดผลในการป้องกันการตั้งครรภ์ และแม้ใช้ถูกต้องก็อาจเกิดการตั้งครรภ์ได้
- ไม่ควรกินยานี้มากกว่า 4 เม็ด/เดือน
ข้อมูลในใบกำกับยานี้ขัดแย้งกับข้อค้นพบทางวิชาการที่มาจากผลการวิจัยมากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก (เช่น Emergency Contraception : A Review of Available Methods โดย Batya Elul ปี 1998 และ Emergency Contraceptive Services : A Review of the Literature โดย Charlotte Ellertson และคณะ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1999) ที่พบว่า
ยานี้ต้องกินชุดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังการร่วมเพศที่ไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ และหลังจากที่กินครั้งแรก 12 ชั่วโมงแล้ว ต้องกินชุดที่ 2 ตาม หมายความว่าต้องกินยานี้ 2 ครั้ง จึงจะได้ผลและประสิทธิภาพของการกินยาตามนี้จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียงร้อยละ 75-85 เท่านั้น

จากการวิจัยเช่นกันพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้กินยาจะมีอาการคลื่นไส้ และ 1 ใน 5 หรือร้อยละ 20 ของผู้ที่กินยาแล้วจะอาเจียน

ข้อมูลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้ใช้ควรทราบก็คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น กามโรค หรือการติดเชื้อโรคเอดส์ได้ ไม่เหมือนการใช้ถุงยางอนามัยเพราะถุงยางอนามัยสามารถใช้ป้องกันทั้งการติดโรค และการตั้งครรภ์ได้ดีกว่า

ที่สำคัญที่สุดคือ ยานี้ไม่ใช่ยาทำแท้ง ใครที่จะซื้อใช้เพื่อเหตุผลนี้ให้เลิกคิดไปได้เลย เพราะประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดนี้คือ การไปขัดขวางการตกไข่ หรือทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิมและอาจมีผลทำให้เนื้อเยื่อของผนังมดลูกที่กำลังก่อตัวหนาขึ้นเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่นั้นอ่อนแอลง รวมถึงอาจมีผลอื่นๆ ที่ขัดขวางการผสมระหว่างไข่กับอสุจิโดยตรง

พูดง่ายๆ ว่า ตัวยาจะทำงานเมื่อตัวอ่อนยังไม่เกิด ถ้าตัวอ่อนเกิดแล้ว มันจะไม่ขัดขวางการพัฒนาของตัวอ่อนเลย

แต่ในเรื่องผลข้างเคียงระยะยาวในกรณีการใช้บ่อยหรือต่อเนื่องนาน ยังไม่มีการศึกษาไว้สักแห่งในโลก เพราะพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในประเทศอื่นๆ เขาจะใช้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ ผู้หญิงหลายคนที่ใช้กล่าวว่า เคยกินแค่ครั้งหรือ 2 ครั้งเท่านั้นในชีวิต

แต่มีข้อสันนิษฐานจากแพทย์บางท่านว่า การใช้ยานี้บ่อยๆ อาจทำให้ต้องขูดมดลูกโดยไม่จำเป็นหรืออาจก่อให้เกิดมะเร็งในมดลูกได้

ในประเทศไทยยังไม่เคยมีการวิจัยจริงจังถึงพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ทั้งๆ ที่ยาขนานนี้ได้ถูกนำมาขายแพร่หลายมากกว่า 15 ปีแล้ว แต่ผลการวิจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของคนไทยพบว่า มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น อายุการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกทั้งของผู้ชายและผู้หญิงลดลง การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนมากกว่า 1 คนเป็นเรื่องธรรมดาในกลุ่มวัยรุ่นชายและหญิงจำนวนมาก นอกจากนี้อัตราส่วนของชายหญิงที่ใช้ชีวิตคู่กันอย่างไม่เป็นทางการ (หรือไม่แต่งงาน) มีเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อนหลายเท่าตัว
ในขณะที่วิธีการคุมกำเนิดที่มีการส่งเสริมโดยหน่วยงานรัฐจะมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ข้อมูลเรื่องวิธีคุมกำเนิดแบบต่างๆ ไม่แพร่กระจายในกลุ่มวัยรุ่น และรวมถึงหญิงชายที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่แต่งงาน การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่เผยแพร่แบบปากต่อปาก และผ่านร้านขายยา  จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ต้องกินประจำ และก็หาซื้อได้ง่ายอย่างเสรีตามร้านขายยาทั่วไป

จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อยานี้ใช้ในบ้านเราคือ กลุ่มวัยรุ่น ชายหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กันประจำ โดยยังไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน สามีภรรยาที่แยกกันอยู่ และผู้หญิงบริการ ในกลุ่มวัยรุ่นนั้น คนซื้อจะเป็นวัยรุ่นชายมากกว่าวัยรุ่นหญิง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า วัยรุ่นชายซื้อยานี้ในลักษณะ "เตรียมพร้อม" เมื่อคาดว่าจะมีอะไรกับเพื่อนหญิง วัยรุ่นชายที่ว่านี้เป็นทั้งกำลังเรียนหนังสือและทำงาน และตลาดการซื้อขายยานี้คึกคักทั้งในเมืองและในชนบท

กลุ่มแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาหารือในเรื่องการคุมกำเนิด หรือเรื่องเพศในบ้านเรา มักให้คำปรึกษาในเรื่องวิธีการกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้แตกต่างกัน บางคนกล่าวว่าต้องกิน 2 เม็ดภายใน 6 ชั่วโมง อีกรายบอกว่าต้องกินภายใน 24 ชั่วโมง บ้างว่าอย่ากินเกิน 2 ครั้ง/เดือน บ้างก็ว่าไม่น่าจะเกิน 5-6 เม็ด/เดือน
ข้อที่น่ากังวลของพฤติกรรมการกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินของผู้หญิงไทยก็คือ การที่ผู้หญิงจำนวนหนึ่งไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา แต่หันมาใช้วิธีฉุกเฉินจนกลายเป็นการใช้ประจำ หรือใช้ทุกครั้งหลังการร่วมเพศ เหตุที่ต้องกังวลก็เพราะเราไม่อาจคาดเดาถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้หญิงกลุ่มนี้ในอนาคตได้

สิ่งที่ผู้หญิงในฐานะผู้บริโภค (ในที่นี้คือผู้กินยาเข้าไปจริงๆ ไม่ใช่ผู้ซื้อยา) ต้องรู้และระลึกก็คือ ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์แต่ยังไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ "การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมิใช่ทางเลือกที่ดี" เพราะยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ได้ต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ มาก ไม่ว่าจะเป็นการกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบธรรมดา การใช้ถุงยางอนามัย การใส่ห่วง การใช้ยาฉีด และการใช้ยาฝัง เป็นต้น

การให้ข้อมูลอย่างรอบด้านในเรื่องยาคุมกำเนิดฉุกเฉินต่อผู้หญิง และต่อประชาชนทั่วไป จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมยุคนี้

ถ้าเช่นนั้น ใครล่ะ ควรเป็นผู้ให้ข้อมูลนี้

สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ต่อสาธารณะอย่างน้อยน่าจะหมายรวมถึง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นักวิชาการ ผู้ผลิตยา คนขายยา องค์การที่ทำงานเกี่ยวกับสุขภาพผู้หญิง และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคทั้งของรัฐและเอกชน

สำหรับใครที่มีข้อกังวลว่า ถ้าเผยแพร่ข้อมูลไปอย่างกว้างขวางแล้วจะทำให้วัยรุ่นใจแตกมากขึ้น หรือจะเกิดพฤติกรรมทางเพศมั่วเซ็กส์มากขึ้น ก็ขอให้ลองคิดถึงเรื่องถุงลมนิรภัย หรือการใส่หมวกกันน็อก ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชนบนถนนเพิ่มขึ้น แต่กลับช่วยลดความเสียหายที่อาจร้ายแรงจากอุบัติเหตุ ฉันใดยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ไม่ได้ส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ฉันนั้น

ทั้ง 2 มาตรการเป็นเพียงทางออกสำรอง ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และ/หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ขึ้นเท่านั้น ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจึงเป็นเครื่องมือช่วยแก้ปัญหา เป็นทางเลือกหรือทางออกให้กับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน

ในสถานการณ์ดั่งว่านี้ต่างหาก ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะเป็นวิธีที่คุ้มค่าอย่างยิ่งในการใช้ เพราะจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ที่ผู้หญิงไม่ต้องการ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่อาจต้องสูญเสียไปกับปัญหาการทำแท้งและความเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการทำแท้งนานับประการ ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียไม่เพียงแต่ความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------
กฤตยา อาชวนิจกุล กศ.ม. , M.A., Ph.D., รองศาสตราจารย์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล