วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

สงสัยเรื่อง "ลูกดิ้น"

คำถาม

สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันท้องลูกคนแรกได้เกือบ 6 เดือนแล้วค่ะ ดิฉันมีข้อสงสัยที่อยากจะเรียนปรึกษากับคุณหมอค่ะ เรื่องการดิ้นของลูก ดิฉันสังเกตว่าลูกจะดิ้นเป็นเวลาเดียวกันในแต่ละวันคือ ตอนหัวรุ่ง (ซึ่งจะทำให้ดิฉันตื่นแต่เช้ากว่าตอนที่ลูกยังไม่ดิ้น) ในช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหาร และตอนก่อนนอน ดิฉันอยากทราบว่าช่วงเวลาที่ลูกดิ้นเป็นปกติหรือเปล่าคะ

คำตอบ

คุณศิริจรรยาสงสัยว่าทำไมลูกถึงดิ้นเป็นเวลา ความจริงลูกดิ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนแหละครับโดยเฉพาะตอนหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ ลูกจะคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะได้รับน้ำตาลที่ดูดซึมจากอาหารทำให้รู้สึกสดชื่น ถ้าคุณเฝ้าสังเกตลูกดิ้นก็จะรู้สึกได้เลยว่าลูกดิ้นเป็นระยะๆ เรื่อยมาจนคุณง่วงนอนผลอยหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าลูกยังดิ้นอยู่เช่นเดิม เพราะฉะนั้นคุณก็จะรู้สึกว่าลูกดิ้นในช่วงก่อนนอนและตื่นนอนเช้า ส่วนในเวลาที่คุณหลับลูกก็ยังดิ้นอยู่ แต่คุณคงนอนหลับสนิทจนไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นต่างหาก

คำถาม

การที่ลูกดิ้นมากดิ้นน้อยมีผลอะไรบ้างคะ ดีหรือไม่ดีอย่างไรคะ

คำตอบ

ลูกจะดิ้นมากหรือดิ้นน้อยก็ไม่สำคัญเท่ากับลูกดิ้นสม่ำเสมอ ลูกแต่ละคนก็จะมีการดิ้นแตกต่างกัน บางคนอาจจะดิ้นเพียงวันละไม่กี่สิบครั้ง ในขณะที่บางคนอาจจะดิ้นวันละหลายร้อยครั้งก็ได้ การที่ลูกดิ้นบ่อยๆ ย่อมเป็นสัญญาณที่แสดงถึงสุขภาพที่แข็งแรงของลูก คุณลองคิดดูว่าคนที่ไม่สบายมากๆ จะดิ้นไหวมั้ยเล่าครับ ลูกก็เช่นกัน ถ้าลูกมีสุขภาพแข็งแรงดี ก็ควรดิ้นสม่ำเสมออย่างน้อยชั่วโมงละ 3 ครั้งขึ้นไปครับ

คำถาม

การดิ้นของลูกมีผลกระทบเกี่ยวกับอารมณ์ของเขาเมื่อเขาโตขึ้นหรือเปล่าคะ

คำตอบ

การดิ้นของลูกเกี่ยวข้องกับสุขภาพทางกายของลูกเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เลยครับ

คำถาม

เวลาดิฉันอ่านนิทานให้ลูกฟัง ลูกจะไม่ค่อยดิ้น แต่เวลาที่สามีอ่านนิทานให้ลูกฟัง ลูกจะดิ้นมากกว่าไม่ทราบว่าลูกชอบเสียงใครมากกว่ากันคะ

คำตอบ

คุณชักจะอิจฉากลัวว่าลูกจะชอบเสียงคุณพ่อมากกว่าใช่มั้ยครับ ไม่ต้องห่วง ยังไงๆ ลูกก็ชอบเสียงคุณแม่มากกว่าอยู่ดี เพราะคุ้นเคยกับเสียงคุณแม่มาตลอด 9 เดือน ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ดังหรือค่อยแค่ไหน แม้แต่ความนึกคิดของคุณ ลูกก็จะสัมผัสได้หมด ไม่ว่าจะจากการได้ยินหรือจากความรู้สึกรับรู้ผ่านสารเคมีต่างๆ ที่หลั่งออกมาในกระแสเลือดของคุณเอง ลูกจะจดจำเสียงคุณแม่ได้ดีกว่าเสียงคุณพ่อมาก
นอกจากเสียงพูดแล้ว เสียงหัวใจของคุณแม่ก็เป็นอีกเสียงที่ลูกจะได้ยินและคุ้นเคยตลอดเวลา พอคลอดออกมาแล้วคุณแม่ก็ยังย้ำสัมพันธ์อันแนบแน่นด้วยการให้ลูกได้ดูดนมแม่ไปด้วยฟังเสียงเต้นของหัวใจแม่ไปด้วย แล้วอย่างนี้คุณว่าลูกจะชอบเสียงใครมากกว่ากันครับ

คำถาม

มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกหยุดดิ้นไประยะหนึ่ง ดิฉันตกใจมากเลยค่ะ ไม่ทราบว่าถ้าลูกหยุดดิ้นเป็นเวลาเท่าไหร่ถึงจะควรไปหาหมอคะ และเป็นอันตรายหรือเปล่าคะ

คำตอบ

ทารกที่แข็งแรงจะมีการดิ้นอย่างสม่ำเสมอ แต่สุดท้ายก็ต้องมีง่วงเหงาหาวนอนบ้างเป็นของธรรมดา เวลาที่ลูกง่วงนอนก็จะหลับสนิทได้ถึงครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วเวลาที่ลูกนอนหลับก็จะนอนขี้เซาอย่างที่สุด ชนิดที่ไม่ว่าคุณแม่หรือคุณหมอจะปลุกอย่างไร จะเอาเสียงอะไรไปกระตุ้นก็จะไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น นอนหลับเป็นตายจริงๆ แม้แต่คุณหมอจะใช้เครื่องอิเล็กโทรนิคมาทดสอบสุขภาพของลูกก็ทำไม่ได้ ต้องรอให้ลูกตื่นก่อนจึงค่อยทำการทดสอบต่อไป คุณศิริจรรยาเจอลูกในสภาพนี้ ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา แต่พอลูกตื่นก็จะกลับมาดิ้นตามปกติเช่นเดิม

การสังเกตการดิ้นของลูกเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่เชื่อถือได้ว่าลูกยังแข็งแรง และคุณแม่สามารถทำได้ด้วยตนเองไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่เจ็บตัวครับ

ปกติทารกจะดิ้นน้อยลงในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนเสียชีวิต ดังนั้นถ้าสามารถตรวจพบว่าลูกดิ้นน้อยลงก็ยังมีเวลาพอที่จะช่วยชีวิตลูกได้ทัน คุณศิริจรรยาอย่ารอจนลูกหยุดดิ้นนานๆ เลยครับ เพราะอาจสายเกินไป แค่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงก็ควรรีบไปพบแพทย์ได้แล้ว

วิธีการนับลูกดิ้น ก็อาจทำได้โดยการนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้นให้ครบ 10 ครั้งในเวลา 4 ชั่วโมงถ้าครบ 10 ครั้งเมื่อไหร่ก็เลิกนับได้ แสดงว่าลูกยังดิ้นดีอยู่ แต่ถ้าครบ 4 ชั่วโมงแล้วยังนับได้ไม่ถึง 10 ครั้งก็แสดงว่าลูกดิ้นน้อยลง

อีกวิธีที่ประหยัดเวลาหน่อยก็คือ คอยนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้นใน 1 ชั่วโมง ปกติไม่ควรน้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมง คุณแม่สามารถดูแลสุขภาพลูกด้วยตัวเองได้โดยการนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้นทุกวัน เสียเวลาเพียงวันละชั่วโมงเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกนะครับ

ศิริจรรยา แซ่โง้ว - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
น้ำนมไหลน้อยจัง

คำถาม

สวัสดีค่ะคุณหมอวิชัย ดิฉันมีเรื่องอยากจะขอถามคุณหมอค่ะ ดิฉันคลอดลูกมา 2 เดือนแล้วดิฉันก็ไปฉีดยาคุม ปรากฏว่าน้ำนมไหลน้อยมาก จากเดือนแรกน้ำนมไหลแรงมาก ดิฉันเคยได้ยินแต่ว่าถ้ากินยาคุมน้ำนมจะแรง ดิฉันก็เลยไปฉีดยาคุมแทน ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวกันไหมคะ ตอนนี้ดิฉันเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองสลับกับนมผงอยู่ อยากถามคุณหมอว่าน้ำนมจะกลับมาเหมือนเดิมไหมคะ ตอนนี้ลูกดิฉันน้ำหนัก 5,500 กรัม น้ำหนักแรกคลอด 3,700 กรัม ถ้านมยังไหลไม่พอแล้วดิฉันจะเปลี่ยนนมผงเป็นนมผงที่มีนิวคลีโอไทด์ได้หรือไม่คะ ปัจจุบันนมผงที่ใช้อยู่ไม่มีนิวคลีโอไทด์ค่ะ

คำตอบ

นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกโดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต คุณอรุณีสามารถพิสูจน์ได้โดยดูจากสุขภาพของลูกที่อ้วนจ้ำม่ำ อายุ 2 เดือนหนักตั้ง 5,500 กรัม แสดงว่าได้สารอาหารจากนมแม่อย่างครบถ้วนและพอเพียง น่าเสียดายที่คุณอรุณีกำลังจะเปลี่ยนไปเลี้ยงลูกด้วยนมผลซะแล้วทั้งๆ ที่มีของดีอยู่ติดตัวแท้ๆ กลับไม่ยอมใช้

การที่น้ำนมไหลน้อยลงมากก็เพราะคุณเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สลับกับนมผงนั่นเอง ทำให้จำนวนครั้งของการดูดน้อยลง น้ำนมก็ไหลน้อยลงตามไปด้วย เวลาที่ลูกดูดนมแม่แต่ละครั้งจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินออกมาเพื่อช่วยในการสร้างน้ำนมต่อไป ยิ่งดูดบ่อยเท่าใดน้ำนมก็ยิ่งออกมากขึ้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้นวิธีทำให้น้ำนมไหลแรงเหมือนเดิมง่ายนิดเดียวคุณอรุณีก็เลิกนมผงซะ ไม่ต้องไปสนใจ หรอกครับว่ายี่ห้อไหน จะโฆษณาว่ามีสารอะไรผสมมาบ้าง เพราะยังไงๆ ก็สู้น้ำนมแม่ไม่ได้อยู่แล้ว พยายามให้ลูกดูดนมแม่เพียงอย่างเดียว รับรองว่าน้ำนมจะกลับมามีอย่างเหลือเฟือภายใน 1 สัปดาห์
สำหรับยาคุมกำเนิดชนิดฉีดไม่มีผลต่อการสร้างน้ำนม จึงไม่ทำให้น้ำนมลดลง แต่ถ้าเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวมจะทำให้ปริมาณน้ำนมลดลงได้เพราะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนผสมอยู่ ซึ่งจะออกฤทธิ์ไปกดการสร้างน้ำนม ถ้าต้องการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดในระหว่างที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเหมือนในยาฉีดคุมกำเนิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น น้ำนมแม่จึงจะมีตามปกติไม่ลดลง

ผมขอให้คุณอรุณีกลับมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไปเถอะครับนมแม่ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา ไม่ต้องชงไม่ต้องอุ่น มีให้ลูกดูดได้ตลอดเวลา และมีสารอาหารครบถ้วนเหนือนมผงทุกยี่ห้อ แล้วคุณยังจะไปไขว่คว้าหานมผงอยู่ทำไมเล่าครับ

อรุณี สมศักดิ์ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ถ้าจะให้ลูกเป็นหนูน้อย 2 ภาษา

สมัยนี้ถ้าคนเรามีความรู้ทางภาษามากกว่าหนึ่งถือว่าได้เปรียบ มีโอกาสทางสังคมมากกว่าใช่ไหมคะ
คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ ก็เลยพยายามสรรหาโอกาสการเรียนรู้ภาษาอื่นให้แก่ลูกตัวเอง เริ่มกันตั้งแต่วัยเริ่มเรียนเลยล่ะ แต่ดีหรือไม่ดี เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร เราจะไปหาคำตอบชัดๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก 2 ท่านค่ะ คือ ดร.วรนาท รักษ์สกุลไทย ผู้อำนวยการโรงเรียนเกษมพิทยา (แผนกอนุบาล) นักการศึกษาคนเก่งอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย และจิตแพทย์เด็ก พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น

ก่อนที่เราจะไปถกกันว่าเจ้าตัวน้อยๆ ของเราจะเริ่มเรียนรู้ภาษาที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ... ได้หรือไม่ในช่วงวัย 1 - 3 ขวบ  เรามารู้จักกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กวัยนี้กันก่อนดีไหมคะ
คำว่า "ภาษา" ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน และหมายถึงการส่งสารและรับสารด้วยคำที่มีความหมาย มีสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ถ่ายทอดออกไปให้ผู้อื่นได้รู้ด้วยค่ะ

โดยพ่อแม่จะต้องเข้าใจถึงเงื่อนไขในการเรียนภาษาของเด็กไว้ก่อนว่า
1. ในการเรียนภาษาพร้อมๆ กันทั้ง 2 ภาษานั้นลูกเราจะต้องมีความเข้าใจและสามารถใช้ภาษาทั้งสองได้อย่างเท่าเทียมกัน
2. การเรียนภาษาที่ 2 ของลูกนั้นต้องเรียนภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นคนในครอบครัวของเราก็ควรที่จะใช้ได้ทั้ง 2 ภาษา เพื่อจะได้พูดจาโต้ตอบกับเจ้าตัวน้อยได้ด้วยค่ะ
และ
3. ทั้งภาษาแม่และภาษาที่ 2 ที่เราสอนลูกนั้นจะต้องพัฒนาไปในเวลาเดียวกันค่ะ

ดังนั้นก่อนที่จะส่งลูกวัย 1 - 3 ปีเรียนรู้ภาษามากกว่าหนึ่งภาษาเพิ่มขึ้น คุณพ่อคุณแม่ต้องตอบตัวเองก่อนว่าจำเป็นแค่ไหนที่ลูกจะต้องเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติม และครอบครัวสังคมรอบๆ ตัวลูกเรามีโอกาสที่จะได้ใช้ภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยหรือไม่

เพราะการใช้ภาษาอื่นนี้ ไม่ใช่แค่การพูดทักทายคุณพ่อคุณแม่ในตอนเช้าว่า Good morning แต่เป็นการใช้ภาษาในลักษณะที่มีปฏิสัมพันธ์ มีการโต้ตอบกัน ไม่ใช่เรียนภาษาแบบนกแก้วนกขุนทองท่องจำ และหากลูกไม่มีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียนภาษาก็ไม่มีโอกาสได้พัฒนา ก็จะเป็นการเรียนแบบท่องจำไป และถ้าเป็นอย่างนี้จะทำให้ลูกเราไม่รู้จักคิด คิดไม่ได้ คิดไม่เป็น เกิดความล้มเหลวทางระบบการคิด อาจส่งผลกระทบถึงการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ได้

ซึ่งการเรียนรู้ภาษาอื่นเพิ่มขึ้นของลูกเล็กจะต่างจากการเรียนภาษาของคนโตๆ อย่างเรา ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขหลายอย่าง เนื่องจาก...

- เด็กมีพัฒนาการหรือวุฒิภาวะเป็นของตัวเอง และในช่วงวัย 1 - 3 ปีนี้ ลูกจะมีลักษณะของการยืดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นลูกก็จะคิดอะไรแต่ที่ปัจจุบัน ไม่มองถึงอนาคต การใช้ภาษาจึงสะท้อนตัวตนแบบนั้นออกมา
- การเรียนภาษาของเด็กนั้นไม่ใช่แค่จับลูกมานั่งให้ท่องให้คัด ก ไก่ ข ไข่ หรือ A B C แต่เป็นการเรียนเพื่อเอาไว้ใช้สื่อสารทำความเข้าใจ ต้องมีอรรถรสของการใช้ภาษา ไม่ใช่แค่พูดเป็นเพราะอาศัยการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่ไม่มีความคิดอยู่ในนั้น
- การเรียนภาษาเป็นกระบวนการของวุฒิภาวะ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีการเจริญเติบโต การเรียนรู้ใหม่อาศัยประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนภาษาต่อไป
- เด็กในช่วงวัย 0 - 6 ปีนี้เรียนรู้ทุกอย่างผ่านการเล่น ถ้าหากจับลูกวัย 3 ขวบมานั่งเรียนภาษา โดยที่เขาไม่ชอบ หรือไม่รู้ซึ้งเห็นความสำคัญในตรงนี้ก็จะเป็นการบังคับ ยัดเยียดกันไป

ดังนั้นในเรื่องการสอนอีกภาษาหนึ่งให้ลูก ประเด็นเรื่อง "วิธีการ" จึงสำคัญอย่างมาก ว่าลูกสนุกกับการเรียนรู้หรือไม่ พ่อแม่เข้าไปมีส่วนกับการเรียนรู้ตรงนี้ด้วยหรือเปล่า ถ้ามีการนำภาษาอื่นเข้ามาพูดคุยกันในครอบครัว (โดยไม่บังคับลูก) ตรงนี้อาจจะมีส่วนช่วยให้ลูกเราเรียนรู้ทั้ง 2 ภาษา (คือภาษาแม่กับภาษาอื่น) ได้ไปพร้อมๆ กันค่ะ

ส่วนวิธีการเปิดโทรทัศน์หรือวิดีโอการ์ตูนที่เป็นภาษาอังกฤษ (หรือภาษาอื่น) ให้ลูก หวังจะให้ลูกเรียนรู้ภาษาอื่นผ่านการดู การได้ยินเสียงหรือสำเนียงจากโทรทัศน์นั้น ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีและถูกต้อง เพราะการดูโทรทัศน์ของเด็กเป็นการสื่อสารทางเดียว ลูกไม่มีโอกาสได้โต้ตอบหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเลย และอาจมีผลทำให้ลูกเรามีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าไปได้อีกด้วย

เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องพัฒนาการล่าช้า อ.วรนาทจึงเล่าเสริมถึงงานวิจัยของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2542 ระบุว่า...
"พัฒนาการรวมทุกด้านของเด็กปฐมวัยร้อยละ 71.69 สงสัยว่าล่าช้า และร้อยละ 28.31 มีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้า เนื่องจากว่าเราใช้วิธีสอนภาษาผิด ใช้การคัดเขียน อ่านบทเรียนที่ยาก ไม่สนุกกับภาษา เรียนแบบท่องจำ และใส่ภาษาให้เด็กเร็วเกินไปในแง่ของคัดเขียนให้เด็กจำกฏเกณฑ์เร็วเกินไป"

ดังนั้นการให้ลูกเรียนภาษาที่ 2 เร็วเกินไป และด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะกับการเรียนรู้ของเด็ก อาจทำให้กลายเป็นเรื่องได้ไม่คุ้มเสีย แต่หากเรามีความพร้อมที่จะสอนให้ลูกอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้ในชีวิตประจำวันกันทั้งบ้านเลยก็เริ่มกันได้ไม่ผิดอะไร แต่ถ้ายังไม่พร้อมรอถึง 6 ขวบ หรือ ป.1 ไปแล้วก็ไม่สายเกินไปหรอกค่ะ ให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ (learn how to learn) ด้วยภาษาแม่ของตัวเองภายใต้ความพร้อมของเขาจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงกว่า

และเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ สิ่งที่มาด้วยกันกับภาษา คือ การรู้จักใช้ภาษา ใช้ให้ถูกกาลเทศะด้วยค่ะ ที่สำคัญที่ อ.วรนาท ฝากไว้ก็คือ อาจารย์มองว่า Bilingual เป็นแค่กระแสที่ตามมากับเทคโนโลยีและโลกาภิวัฒน์ ในขณะที่เรารู้ว่าวัยในช่วง 0 - 6 ปี เป็นช่วงวิกฤติ ที่ต้องการการดูแลเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด พ่อแม่อย่างเราๆ จึงน่าจะคำนึงถึงพัฒนาการที่เป็นพื้นฐานจริงๆ ในเรื่องของ อีคิว และการรู้คิดของลูกมากกว่าค่ะ

เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ภาษาของเด็กคุณหมออัมพรเล่าว่า ประมาณ 8 ปีแรกของชีวิต จะเป็นช่วงเวลาทองของพัฒนาการด้านนี้เลยค่ะ ในช่วง 3 ขวบปีแรกลูกเราอาจจะยังมีการพูดที่ไม่สมบูรณ์แบบใกล้เคียงกับผู้ใหญ่นัก แต่ในช่วงนี้หากลูกได้รับการส่งเสริมหรือคุณพ่อคุณแม่เอื้อในการเรียนรู้ภาษาของลูกแล้ว ก็จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้เจ้าตัวน้อยมีความเข้าใจในภาษา ใช้ภาษาสื่อสารได้ดี รับรู้และสามารถถ่ายทอดออกไปได้

แต่การเรียนภาษาที่ 2 ตั้งแต่เล็กๆ ข้อดีอยู่ที่ถ้าเด็กได้เรียนรู้ ซึมซาบกับสำเนียงของภาษาใดตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เขาก็จะสามารถใช้ภาษานั้นได้อย่างไพเราะ และมีสำเนียงถูกต้องมากเท่านั้น เช่น เด็กเติบโตมากับพี่เลี้ยงที่พูดจาสำเนียงไม่ไพเราะถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะมีภาษาที่ไพเราะก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองแล้ว ลูกก็จะติดสำเนียงจังหวะจะโคนในการพูดจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขาได้ค่ะ

ทั้งนี้เป็นเพราะหน้าต่างการเรียนรู้ภาษาของเด็กจะปิดเมื่ออายุ 8 ปี สำเนียงต่างๆ จะถูกตั้งไว้แล้ว รวมถึงความเข้าใจ และการคิดอย่างเป็นระบบด้วยภาษานั้นๆ ถ้าเด็กที่ถูกสอนด้วยภาษาอังกฤษ หรือ จีน เขาก็มีโอกาสคิดเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และโต้ตอบเป็นภาษานั้นได้ ถ้าอายุ 8 ขวบ ไปแล้วความคิดในเชิงนั้นจะช้าลงมาก อย่างเวลาที่เราคิดว่า เสื้อสีแดง ถ้าเวลาที่คิดเป็นภาษาอังกฤษเราต้องบอกว่า red shirt แต่ถ้าเด็กเรียนแบบเสื้อสีแดงมาตลอดจนพ้น 8 ขวบไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่งต้องมาพูดว่า red shirt เด็กจะคิดนานกว่าธรรมดา จะไม่เป็นอัตโนมัติเหมือนคนที่เรียนรู้ก่อน 8 ขวบ

เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าควรจะเรียนรู้จนอยู่ในความรู้สึกสามารถคิดเป็นอังกฤษได้ต้องเริ่มเรียนรู้ก่อน 8 ขวบ หลังจากนั้นก็เป็นไปได้ค่ะ แต่จะช้า ไม่ดีเลิศเท่ากับเด็กกลุ่มที่เรียนรู้ตั้งแต่ต้นๆ ของชีวิต
อย่างมีการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ความล่าช้าทางภาษาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กคนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหานี้อยู่แล้ว เช่น เด็กที่มีความผิดปกติบางด้านทางพัฒนาการทางภาษา เป็นโรคบางอย่างที่รบกวนการเรียนรู้ทางภาษา การสื่อสารของลูก แต่สำหรับในเด็กทั่วๆ ไปที่มีศักยภาพตามปกติแล้ว การเรียนรู้ภาษามากกว่าหนึ่งภาษาในช่วงวัยเล็กๆ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์ในแง่ของการส่งเสริมให้สำเนียงหรือว่าการสื่อภาษาทั้ง 2 ถูกต้องและมีความชัดเจน

แม้ในช่วงแรกๆ ลูกอาจจะยังขลุกขลักอยู่บ้าง อาจจะพูดไทยปนอังกฤษ (หรือภาษาอื่น) แต่จะไม่กระทบกระเทือนในระยะยาวถ้าภาษาของลูกถูกสร้างให้สมบูรณ์แล้ว

ตรงกันข้ามพบว่า เด็กที่เรียนรู้มากกว่าหนึ่งภาษาเมื่อโตไปจะมีความคิดในเชิงบริหารจัดการ-บูรณาการมากกว่าคนที่เรียนรู้ภาษาเดียว อาจเพราะเด็กได้ถูกฝึกฝนระบบความคิดของตัวเองในการแยกแยะ 2 ภาษาให้ออกจากกันก็เป็นได้

แต่ทั้งนี้การสอนภาษาที่ 2 ให้กับลูก ก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน นั่นคือต้องเป็นการสอนที่เป็นธรรมชาติใช้ในชีวิตประจำวันอยู่บนพื้นฐานของความสุข ลูกสนุกกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ มีบรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้ และคุณพ่อคุณแม่ต้องพร้อมที่จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ภาษาของลูกตรงนี้ด้วยตนเอง มีสำเนียงทีดี พูดได้ถูกต้อง คุณพ่อคุณแม่เป็นต้นแบบที่ถูกต้องเพราะว่าในช่วงเล็กๆ นี้ถ้าพูดสำเนียงที่ผิดกับลูกๆ หวังแต่จะให้ลูกรู้ศัพท์ภาษาอื่น จะทำให้ลูกจดจำและเติบโตขึ้นไปพร้อมกับสำเนียงที่ผิด ซึ่งเรื่องนี้จะแก้ไขให้เขาเรียนรู้สำเนียงที่ถูกต้องได้ยาก แม้จะยังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้ที่ดีก็ตาม

สิ่งที่สำคัญก็คือบรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้ของลูก นั่นก็เพราะว่า "เด็กเป็นสิ่งมีชีวิตที่พร้อมจะเรียนรู้ถ้ามีโอกาสเอื้อให้กับเขา ไม่ใช่การยัดเยียด"

การสอนภาษาที่ไม่ถูกวิธี ยัดเยียดความรู้ให้แก่ลูกจะทำให้เกิดปัญหาลูกมีความกดดัน และถ้าถูกกดดันมากๆ ลูกก็จะมีการแสดงออกมา 2 แบบโดยจะเป็นแบบใดขึ้นอยู่กับพื้นฐานของเด็กแต่ละคนด้วยค่ะ คือ

- ยอมรับที่จะถูกกดดันต่อไป คล้อยตาม
ทำให้เป็นเด็กที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ถึงแม้จุดเริ่มต้นจะเริ่มมาจากการสอนภาษาให้ลูกก็ตาม แต่เรื่องนี้มีผลกระทบถึงเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก จิตวิญญาณ มีผลต่อบุคลิกภาพของเด็กด้วย จะทำให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่สมยอมไปเรื่อยๆ ได้ค่ะ
- ต่อต้าน
ลูกจะกลายเป็นคนที่ปฏิเสธภาษาที่เราพยายามจะสอนไปเลย ไม่อยากที่จะรับรู้หรือเกี่ยวข้องกับภาษานี้อีกต่อไปค่ะ

และเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกเกิดปัญหาทางอารมณ์แล้วละก็ ปัญหานี้ก็สามารถที่จะกระทบกระเทือนพัฒนาการด้านอื่นๆ ของลูกได้แน่นอน

"อยากให้เด็กมีทั้งภาษาที่ดี และภาษาที่ดีนั้นส่งเสริมสติปัญญาที่ดีให้แก่เด็ก ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาสนุกกับชีวิต มีอารมณ์ที่มีความสุขด้วย การที่จะมุ่งเน้นพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งมีโอกาสทำให้พ่อแม่ละเลยจิตใจความรู้สึกของลูกได้และสิ่งนั้นจะส่งผลกลับมา สะท้อนที่พัฒนาการด้านอื่นทำให้เสียไปหมดรวมทั้งพัฒนาการทางภาษาที่ในที่สุดก็จะแย่ไปด้วย เด็กพูดชัด พูดไพเราะมาก แต่ไม่ยอมพูดกับใคร จะมีประโยชน์อะไร"

แม้มุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างนี้จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านเห็นต่างๆ กันในเรื่องช่วงเวลาเริ่มต้นการให้ลูกรักเรียนภาษาที่ 2 แต่ทั้งอาจารย์และคุณหมอต่างก็ให้ความสำคัญกับวิธีการที่จะสอนภาษาให้กับลูกและบรรยากาศในการเรียนรู้อย่างมาก เพราะถ้าทั้งเราและลูกต่างก็ไม่พร้อมกับการเรียนรู้ตรงนี้ ก็ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ๆ เลยค่ะ

ดังนั้นในการสอนภาษาให้กับลูกควรจะดูที่ตัวลูกเราเป็นสำคัญ และเมื่อพัฒนาลูกด้านภาษาแล้วก็อย่าลืมพัฒนาในด้านอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันด้วยนะคะ
กลัวคลอดก่อนกำหนด

คำถาม

สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันมีปัญหาอยากจะเรียนถามคุณหมอค่ะ คือตอนนี้ดิฉันอายุ 24 ปี มีบุตรชาย 2 คน คนโต 5 ปี คนเล็ก 1 ปี 8 เดือน และขณะนี้ดิฉันกำลังตั้งท้องอีกได้ประมาณ 31 สัปดาห์ และท้องนี้เป็นท้องแฝด (ประจำเดือนครั้งสุดท้าย 7 ก.ย.2544) ตอนนี้น้ำหนัก 68 กก. จากน้ำหนักเดิม 49 กก. ส่วนสูง 156 ซม. ดิฉันน้ำหนักขึ้นมากไปหรือเปล่าคะ

เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ดิฉันมีอาการปวดท้องเลยไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าโชคดีที่ปากมดลูกยังไม่เปิด ดิฉันนอนให้น้ำเกลือ 2 กระปุกและจะมีอาการใจสั่น พอน้ำเกลือหมดก็ฉีดยาอีก 6 เข็ม ทุก 4 ชั่วโมง ก็ยังมีอาการใจสั่นอยู่เวลาฉีดยา คุณหมอบอกว่ากระตุ้นให้ปอดเด็กทำงานได้ดีขึ้น คุณหมอเอาปัสสาวะและเลือดของดิฉันไปตรวจ พบว่ามีการติดเชื้อ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เลยฉีดยาฆ่าเชื้อให้ทางสายน้ำเกลือ

พอฉีดยาปุ๊บ ดิฉันก็มีอาการหายใจไม่ออก และก็อาเจียนออกมา ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ดิฉันกลัวจะคลอดก่อนกำหนด เพราะลูกคนเล็กของดิฉันคลอดก่อนกำหนดที่ประมาณ 35 สัปดาห์และน้ำหนักตัวก็แค่ 2,400 กรัม แต่ท้องนี้ดิฉันอัลตราซาวนด์บ่อยมาก และคุณหมอคำนวณน้ำหนักได้ประมาณคนละ 1,800 กรัม (อัลตราซาวนด์ 12 เม.ย.) ดิฉันมีคำถามอยากจะถามดังนี้ค่ะ

ยาที่ดิฉันได้รับทั้งน้ำเกลือและยาฉีดจะมีผลกับเด็กหรือเปล่าคะ

คำตอบ

การตั้งครรภ์แฝดถือว่าเป็นการตั้งครรภ์ผิดปกติ ทำให้เกิดโรคแทรกหรือปัญหากับคุณและทารกมากกว่าปกติ และต้องการการดูแลการตั้งครรภ์ใกล้ชิดและพิเศษมากขึ้น

โรคแทรกที่มักเกิดกับมารดา ได้แก่ การคลอดก่อนกำหนดครรภ์ แฝดน้ำ ความดันสูงระหว่างตั้งครรภ์ โลหิตจาง การรู้สึกอึดอัดแน่นท้องทำให้การหายใจลำบาก ส่วนปัญหาทางลูก ได้แก่ ทารกคลอดน้ำหนักน้อย ความผิดปกติของร่างกายและอวัยวะบางอย่างสายสะดือพันกันทำให้ทารกถึงแก่กรรมในครรภ์ ทารกตัวหนึ่งดึงดูดเลือดจากอีกตัวหนึ่ง

จากประวัติที่คุณกล่าวมาแสดงว่าคุณเริ่มมีอาการของการคลอดก่อนกำหนดและมีการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ แพทย์ได้ให้ยาลดการบีบตัวของมดลูกเพื่อไม่ให้คลอดก่อนกำหนด และยังให้ยาฉีดเพื่อเร่งให้ปอดเจริญเติบโตเร็วขึ้น ซึ่งก็เป็นการรักษาดูแลที่ดีแล้ว

ยาทั้ง 3 ชนิดที่คุณได้รับไม่มีผลเสียอะไรต่อเด็ก แต่กลับได้ประโยชน์ เช่น ไม่ให้คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักเด็กจะได้มากขึ้นโอกาสจะเกิดโรคแทรกจากเด็กน้ำหนักน้อยจะลดลง ทำให้ลดอันตรายต่างๆ จากการที่เด็กน้ำหนักน้อย ที่สำคัญคือ ปอดถ้าปอดทำงานไม่ได้ทารกอาจถึงแก่ชีวิตได้

คำถาม

ดิฉันควรจะคลอดตอนไหนดี ลูกถึงจะออกมาแข็งแรงและน้ำหนักดีทั้งคู่

คำตอบ

เวลาที่ดีที่ควรจะคลอดก็คือ ให้ใกล้หรือครบกำหนดเป็นดีที่สุด นั่นคือประมาณ 37 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของครรภ์แฝดมักจะคลอดเมื่ออายุครรภ์ 36 สัปดาห์

คำถาม

การฉีดยาเพื่อกระตุ้นปอดจะมีผลเสียอะไรหรือเปล่า (และกระตุ้นได้จริงไหม)

คำตอบ

การฉีดยาเพื่อกระตุ้นปอดไม่มีผลเสียอะไร แต่ผลกระตุ้นจะดีจริงอย่างไรก็ยังไม่ 100 เปอร์เซนต์ แต่เชื่อว่าน่าจะช่วยได้บ้าง

คำถาม

ดิฉันมีโอกาสจะคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่าคะ

คำตอบ

คุณมีประวัติคลอดก่อนกำหนด รวมทั้งครรภ์แฝดก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด เพราะฉะนั้นสรุปแล้วคุณน่าจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ดังนั้นคุณควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์พักผ่อนให้มากๆ

คำถาม

ดิฉันจะมีโอกาสคลอดเองหรือเปล่าคะ

คำตอบ

การจะคลอดเองหรือไม่อยู่ที่ปัจจัยต่างๆ หลายอย่าง โดยปกติถ้าไม่มีโรคแทรกอะไรทั้งทางมารดาและทารก เช่น ทารกคนแรกเอาศีรษะลงเข้าเชิงกรานขณะเจ็บครรภ์ และการเจ็บครรภ์เป็นไปตามปกติก็น่าจะคลอดได้เองโดยไม่ยาก

คำถาม

น้ำหนักตัวดิฉันขึ้นมากไปหรือเปล่าคะ

คำตอบ

อายุครรภ์ 31 สัปดาห์ น้ำหนักเพิ่ม 19 กก. อาจจะเพิ่มมากไปหน่อย แต่ถ้าไม่บวม ความดันไม่สูง ไม่มีครรภ์แฝดน้ำ ก็ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง ขอให้อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดแล้วกันครับ

วิมลรัตน์ คงชาวนา - ถาม
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. จิรศักดิ์ มนัสสากร - ตอบ
อยากรู้วิธีดมยาสลบ

คำถาม

สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันมีปัญหาใคร่ขอเรียนปรึกษาดังนี้ค่ะ ดิฉันคลอดบุตรสาวคนแรกโดยการผ่าตัดคลอด ด้วยวิธีดมยาสลบ ดิฉันสงสัยว่า "ดมยาสลบ" คือวิธีการให้ดมยาหรือเปล่า เพราะเท่าที่ดิฉันจำได้ในห้องผ่าตัด พยาบาลจะฉีดยาชนิดหนึ่งลงไปในขวดน้ำเกลือ และพอตัวยาเดินผ่านตามเส้นเลือดที่บริเวณแขนจะรู้สึกแสบสักครู่ก็หมดสติไม่รู้สึกตัว หลังจากนั้นฟื้นขึ้นมาก็ผ่าตัดคลอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงใคร่ขอเรียนถามคุณหมอว่านี่คือ การดมยาสลบหรือเปล่าคะ

คำตอบ

การดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์หรือพยาบาลเขาจะเริ่มโดยให้น้ำเกลือ แล้วหลังจากนั้นจะให้ยาทางสายน้ำเกลือชักนำให้หลับ และถ้ารายที่ต้องใส่ท่อลมเข้าหลอดลม แพทย์ก็จะให้ยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วยเพื่อสะดวกต่อการใส่ท่อลมเข้าหลอดลม เพื่อกันการสำลักน้ำหรือเศษอาหารเข้าปอด ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้งดอาหารก่อน

เมื่อผู้ป่วยหลับแล้วแพทย์ก็จะให้ดมยาสลบต่อไป โดยมียาสลบและออกซิเจน ซึ่งถ้ารายที่ไม่ได้ใส่ท่อลมก็ใช้หน้ากากครอบที่จมูกหลังหลับแล้ว แต่ถ้ารายที่ใส่ท่อลม ยาสลบและออกซิเจนก็จะผ่านเข้าท่อลมนี้ไปสู่ปอด ทั้งหมดนี้คือวิธีดมยาสลบ

คำถาม

วิธีการที่ดิฉันผ่าคลอดนี้จะมีผลกระทบอะไรกับลูกภายหลังหรือเปล่าคะ

คำตอบ

การผ่าคลอดไม่มีผลอะไรต่อลูกเลยในภายหลัง ถ้าระหว่างทำผ่าตัดไม่มีปัญหาอะไร เช่น การคลอดศีรษะออกยาก ทำให้เด็กขาดออกซิเจนนาน เป็นต้น

คุณนุชร - ถาม
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. จิรศักดิ์ มนัสสากร - ตอบ
ตกเลือดหลังคลอด

คำถาม

สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันมีปัญหาอยากจะรบกวนคุณหมอช่วยตอบด้วยค่ะ คือ ดิฉันมีลูก 2 คน คนโตอายุ 2 ขวบกว่า วันคลอดไม่มีอาการเจ็บท้อง อายุครรภ์ 40 สัปดาห์คุณหมอนัดคลอดเพราะว่าน้ำหนักขึ้นเยอะมาก (25 กก.) ไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 8 โมงเช้า คุณหมอให้ยาเร่งคลอด เริ่มเจ็บท้องประมาณ 11 โมง ฉีดยาแก้ปวดตอนเที่ยง คลอดตอน 4 โมงเย็น คลอดง่ายค่ะ ใช้เวลาเบ่งไม่นาน ได้ลูกสาวหนัก 3,400 กรัม

พอกลับบ้านดิฉันเลี้ยงลูกเอง งานบ้านทำบ้างเล็กๆ น้อยๆ  ผ้าของลูกจะซักด้วยมือ อาทิตย์แรกนอนชั้นล่าง พออาทิตย์ที่ 2 ขึ้นนอนชั้นบน ตอนกลางวันพอลูกหลับดิฉันก็จะเอากระเป๋าน้ำร้อนวางหน้าท้องบ้างเป็นบางวัน คนนี้ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

แต่...พอคนที่ 2 ตอนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 22 สัปดาห์มีเลือดออกที่ช่องคลอดนิดหน่อย คุณหมอตรวจดูบอกว่าปกติ พอย่างเข้าเดือนที่ 9 ก็มีอาการเจ็บท้องเตือนบ้างเป็นบางวันถึงวันคลอด (อายุครรภ์ได้ 40 สัปดาห์) มีอาการเจ็บท้องเตือนตอนตี 2 เจ็บเป็นพักๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นการเจ็บเตือนเหมือนทุกครั้งจึงไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเจ็บถี่ขึ้นจึงไปโรงพยาบาล พอไปถึง (ประมาณตี 5) คุณหมอตรวจดูบอกว่าปากมดลูกเปิดแล้ว 4 ซม. คุณหมอจึงให้น้ำเกลือ โดยที่คุณหมอบอกว่าเป็นน้ำเกลือธรรมดา ไม่ใช่ยาเร่งคลอด

พอ 8 โมงเช้าคุณหมอมาตรวจอีกครั้งแล้วบอกว่า ปากมดลูกเปิดเท่าเดิม จึงเจาะถุงน้ำคร่ำแล้วบอกว่า น้ำคร่ำมีสีเขียวขุ่นลูกถ่ายขี้เทาในท้อง จึงสั่งให้ออกซิเจนและยาเร่งคลอด ประมาณ 10 โมงเช้าฉีดยาแก้ปวด คลอดตอนเที่ยงครึ่ง คนนี้ก็คลอดง่ายเหมือนคนโตค่ะ ได้ลูกชายหนัก 3,100 กรัม พอตอนเช้าก็ทำหมัน

ส่วนลูกคลอดได้ 2 วัน คุณหมอก็มาบอกว่า ลูกตัวเหลืองต้องเจาะเลือดไปตรวจ (ดิฉันมองดูว่าไม่เหลือง) เจาะวันแรกคุณหมอบอกว่าให้รอดูอาการอีกวัน พอวันรุ่งขึ้นลูกตัวเหลืองมากจนสังเกตเห็นได้ชัด คุณหมอเองยังบอกเลยว่าคงต้องส่องไฟ แต่พอผลเลือดออกมาคุณหมอบอกว่าปกติ ความเหลืองแค่ 9 อนุญาตให้กลับบ้านได้

พอกลับบ้านก็ทำงานบ้านเหมือนคนแรกค่ะ ต่างกันตรงที่ว่าขึ้นนอนชั้นบน และเลี้ยงลูกเองทั้ง 2 คน ดิฉันจึงไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน หลังจากคลอดได้ 2 อาทิตย์ น้ำคาวปลามาน้อยลง แต่...อยู่ๆ ก็มาวันเว้นวันและมามากขึ้น จึงได้โทร.ถามคุณหมอ คุณหมอบอกว่าให้สังเกตสีของเลือด ถ้าสีไม่แดงสด ไม่มีก้อนเลือดปน ไม่มีอาการปวดท้อง และไม่มีกลิ่นเหม็นก็ไม่เป็นไร

แต่วันรุ่งขึ้นเลือดที่มาเริ่มแดงขึ้น มีก้อนเลือดปน และมามากขึ้นกว่าเดิม (ใช้ผ้าอนามัยอย่างหนาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าเต็มแผ่นแบบไม่มีที่ว่างเลย) แต่ไม่มีอาการปวดท้อง ไม่มีกลิ่นเหม็น ตอนเย็นจึงได้โทร.หาคุณหมออีกครั้ง คุณหมอจึงนัดให้มาตรวจในวันถัดไป

พอวันตรวจเลือดออกเยอะมากกว่าทุกวัน (ไม่ถึง 2 ชั่วโมงเต็มแผ่น แถมยังเปื้อนออกมาข้างนอกอีกใครเห็นก็คิดว่าดิฉันแท้งลูก ก็ท้องนี้ขึ้นมาตั้ง 26 กก. ถึงคลอดได้ 2 อาทิตย์ก็ยังเหมือนคนท้อง 5 เดือนอยู่เลยค่ะ) คุณหมอตรวจดูแล้วบอกว่าโพรงมดลูกอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อระหว่างคลอด แต่โอกาสติดเชื้อมีน้อยมาก เพราะคลอดง่ายและไม่ได้ใช้เครื่องมือช่วยคลอดเลย จึงเอาตัวไว้ที่โรงพยาบาล ให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้อักเสบให้ 2 วัน กินยา 1 วัน แล้วให้ยากลับมากินต่ออีก 1 อาทิตย์ ระหว่างกินยาได้งดให้นมลูก

ตอนอยู่โรงพยาบาลเลือดออกน้อยลง (ก็นอนอย่างเดียวนี่คะ) แต่พอกลับบ้าน เลือดที่ออกบางวันเป็นสีแดง บางวันก็เป็นสีน้ำตาลเหมือนน้ำคาวปลาปกติ บางวันมีมาก บางวันมีน้อย พอเลือดหมดก็มาตรวจหลังคลอด ผลออกมาคุณหมอบอกว่าพบเซลล์ผิดปกติ อีก 3 เดือนให้มาตรวจใหม่ หลังจากที่มาตรวจหลังคลอดได้ประมาณ 2 - 3 วัน มีมูกสีเหลืองไหลออกมาไม่มาก แต่ก่อนท้องไม่เคยมี ปัญหามีอยู่ว่า...
ยาแก้ปวดที่ให้ตอนคลอดเป็นยาอะไรคะ มีความรู้สึกว่ายาแรงมาก เพราะระหว่างฉีดจะมีอาการมึนหัว และหลับในทันที แล้วเด็กในท้องจะไม่หลับไปด้วยหรือคะ

คำตอบ

ยาแก้ปวดที่ให้ตอนคลอดมีหลายอย่าง แต่ที่นิยมกันส่วนมากเป็นประเภทมอร์ฟีน ฉีดแล้วจะมึนงง คลื่นไส้ หลับ เด็กในท้องก็มีผลหลับบ้างแต่ไม่อันตรายอะไร เพราะกว่าจะคลอดฤทธิ์ยาก็หมดแล้ว

คำถาม

สาเหตุการตกเลือดมาจากอะไรคะ ในเมื่อคุณหมอเองก็ยังบอกว่าโอกาสติดเชื้อมีน้อยมาก จะใช่อาการของมดลูกล้าหรือเปล่าคะ (เพราะตั้งแต่ตี 5 ถึง 8 โมงเช้าปากมดลูกไม่เปิดเพิ่มเลย)

คำตอบ

หมอคิดว่าอาจจะมีสาเหตุจากการติดเชื้อ ถึงแม้โอกาสน้อยก็เกิดได้ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าถ้าผู้นั้นมีเชื้ออักเสบอยู่ในช่องคลอดอยู่ก่อน แล้วเชื้อโรคก็อาจขึ้นไปยังโพรงมดลูกได้ขณะหลังคลอด ซึ่งปากมดลูกจะเปิดกว้าง

คำถาม

หลังจากตกเลือดแล้วจะมีผลอย่างไรต่อไปคะ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก - น้อย แค่ไหนคะ

คำตอบ

การตกเลือดหลังคลอดนี้ไม่มีผลหรือเกี่ยวข้องอะไรกับการเป็นมะเร็งปากมดลูกแต่อย่างไร

คำถาม

เคยได้ยินมาว่าลูกตัวเหลืองอาจเกิดจากเลือดแม่และลูกไม่เข้ากันมีอาการอย่างไรคะ เพราะตอนที่ลูกตัวเหลืองคุณหมอถามกรุ๊ปเลือด ดิฉันเลือดกรุ๊ป O ส่วนสามีกรุ๊ป A คุณหมอบอกว่าโอกาสที่ลูกจะตัวเหลืองมีมากกว่าปกติ แล้วมีอันตรายไหมคะ ลูกตัวเหลืองมากจนสังเกตเห็นได้ชัด แต่ทำไมผลเลือดออกมาบอกว่าปกติ มีวิธีการตรวจอย่างไรคะ

คำตอบ

การเกิดเลือดของแม่และลูกไม่เข้ากันจนทำให้ลูกตัวเหลืองหลังคลอดมักเกิดกับมารดาเป็นเลือดกรุ๊ป O และทารกอาจจะเป็นกรุ๊ป A หรือ B โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 เท่านั้นที่จะปรากฏอาการชัดเจน การบอกว่าเป็นมากเป็นน้อยขึ้นอยู่กับการเจาะเลือดลูกตรวจดู ถ้าความเหลืองไม่มากก็อาจไม่ต้องรักษา แต่ถ้ามากปานกลางอาจใช้ฉายแสงก็ช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าสูงมากคือเกินระดับ 20 ก็ต้องใช้วิธีถ่ายเลือดกัน เนื่องจากถ้าเหลืองเกิน 20 อาจมีผลต่อสมองเด็กได้ เราต้องเชื่อที่เขาตรวจ แต่ถ้าไม่แน่ใจแพทย์ก็จะตรวจซ้ำใหม่

ส่วนเรื่องพบเซลล์ผิดปกติของปากมดลูกคงจะเป็นชนิดน้อย แพทย์จึงนัดมาตรวจซ้ำ เพราะเซลล์นี้ระยะหลังคลอดนานๆ อาจเปลี่ยนเป็นปกติก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามคุณควรไปตรวจตามแพทย์นัด 3 เดือนจะดีที่สุด

จุฑามาศ แสงศิริ - ถาม
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. จิรศักดิ์ มนัสสากร - ตอบ
ความเชื่อ - การไว้ผมยาวขณะตั้งครรภ์ของคุณแม่ จะเป็นการแย่งสารอาหารที่จะไปเลี้ยงลูกในครรภ์มาบำรุงผมแทน


ความจริง - ไม่เป็นความจริง เพราะผมเป็นเพียงผลผลิตของเซลล์รากผม และคนที่มีสุขภาพดีมักจะมีรากผมแข็งแรง ผมเป็นเงางาม ไม่ขาดง่าย ซึ่งฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์จะช่วยให้ผมร่วงน้อยลง แต่จะเริ่มร่วงมากขึ้นเมื่อหลังคลอด แต่ข้อดีของการไว้ผมสั้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ก็มีนะคะ เพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มักจะขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย ถ้าไว้ผมสั้นจะดูแลง่าย สบายหัวมากกว่าไว้ผมยาวค่ะ

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

กรดโฟลิก สารสำคัญช่วงครรภ์อ่อน

กรดโฟลิก หน้าตาเป็นยังไง และสำคัญต่อการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรกแค่ไหน เรื่องนี้แม่ตั้งครรภ์ไม่รู้ไม่ได้แน่ เพราะลูกในท้องจะสมบูรณ์แค่ไหน สารตัวนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งเจ้าค่ะ

กรดโฟลิก...ที่สุดความสำคัญ

เพราะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์เป็นระยะที่สร้างอวัยวะของลูกในท้อง ช่วงนี้เซลล์จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วมาก และเนื่องจากกรดโฟลิกมีบทบาทสำคัญในการแบ่งตัวของเซลล์ สร้างสมอง ไขสันหลัง รวมทั้งกระดูกสันหลังด้วย ดังนั้นถ้าช่วงนี้ร่างกายของแม่ขาดกรดโฟลิกแล้วล่ะก็ อาจมีผลทำให้การแบ่งเซลล์ผิดปกติได้ มีการศึกษาพบว่าแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดสารโฟลิกจะคลอดลูกพิการทางระบบสมองมากกว่ากลุ่มที่ไม่ขาดสารโฟลิกหลายเท่า

กรดโฟลิก ต้องการแค่ไหนใน 1 วัน

จริงๆ แล้วหลังสมรส หากมีการวางแผนครอบครัวว่าจะมีเจ้าตัวน้อยล่ะก็ คุณแม่ควรจะเตรียมความพร้อมร่างกายด้วยการกินอาหารที่มีกรดโฟลิกวันละประมาณ 400 ไมโครกรัม 3 เดือน ( 1 ไมโครกรัม = 1 ส่วนล้านของ 1 กรัม ) เป็นอย่างต่ำก่อนการตั้งครรภ์ และประมาณ 600 ไมโครกรัม/วัน ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่การสร้างอวัยวะส่วนต่างๆ ของลูกได้ผ่านระยะวิกฤติไปแล้ว

แหล่งอาหาร...โฟลิก

กรดโฟลิกพบมากในผักใบเขียวต่างๆ เช่น บร็อกโคลี ผักขม นอกจากนั้นยังมีมากในถั่ว ธัญพืช ส้ม ตับหมู ขนมปังโฮลวีต ฯลฯ
ปกติแต่ละวันถ้าคุณแม่กินผักและผลไม้เป็นประจำ ร่างกายก็จะได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอแล้วค่ะ ยกเว้นในกรณีที่คุณแม่ไม่ทานผักหรือเนื้อสัตว์ที่เป็นแหล่งของสารอาหารนี้ ก็อาจต้องกินโฟลิกวันละ 1 เม็ด (เม็ดละ 5 มิลลิกรัม) แทน แต่ทั้งนี้เวลาไปฝากครรภ์ควรแจ้งข้อจำกัดในการทานอาหารของเราให้คุณหมอทราบด้วยนะคะ เพื่อจะได้วางแผนการดูแลได้อย่างถูกต้อง

ตัวอย่างแหล่งอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง

ถั่วแดงหลวง (1/2 ถ้วยตวง) 179 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
ธัญพืชต่างๆ (1/2 ถ้วยตวง) 146 - 179 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
กระเจี๊ยบ (1/2 ถ้วยตวง) 134 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
ผักขม (1/2 ถ้วยตวง)  131 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
ถั่วลิสง (1/2 ถ้วยตวง)  106 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
อะโวคาโด (1/2 ถ้วยตวง) 75 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
ขนมปังโฮลวีต (2 แผ่น) 60 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
ส้ม (1 ผล)   60 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
บร็อกโคลี (1/2 ถ้วยตวง) 52 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
ข้าวโพด (1/2 ถ้วยตวง) 38 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)
โยเกิร์ต (1 ถ้วย) 24 โฟลิก (หน่วยไมโครกรัม)

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

0 - 1 ปี โตแล้วจ้า ลูกจ๋า "ไม่"

พ่อแม่หลายคนอาจรู้สึกว่าการจะออกคำสั่ง "ไม่" เพื่อห้ามลูกน้อยวัยทารกนั้นเป็นเรื่องยากเรื่องเย็นถึงออกจะเหลือเชื่อด้วยซ้ำ เพราะลูกยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรๆ ได้ แต่ในความจริงเราสามารถค่ะ

ว่ากันว่าช่วงที่เป็นทารกนี่แหละมีความสุขที่ซู้ดเลย แค่ร้องแอะเดียวทุกอย่างก็ถึงพร้อมใครๆ ก็ตามใจ แหม...ขืนไม่ตามใจน้องหนูตัวน้อยก็แย่สิ เพราะหนูยังดูและตัวเองไม่ได้เลย

ตรงนี้ล่ะค่ะที่สำคัญ เพราะมันอาจทำให้ลูกติดอาการ "ร้องปุ๊บต้องได้รับการตอบสนองปั๊บ" หรือ "จะทำอะไรก็ได้ เพราะหนูยังเล็กอยู่" แล้วเลยโตมากลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้จักรอคอย ฯลฯ ได้ อย่างไรก็ตาม หนทางป้องกันนั้นมีอยู่ โดยการเริ่มต้นสอนลูกน้อยให้รู้จักอะไรควรอะไรไม่ควรกันตั้งแต่ขวบแรกเลย แต่ต้องอย่างค่อยเป็นค่อยไปนะคะ

เริ่มต้นบทเรียน

ในช่วง 3 เดือนแรกของชีวิตลูก ถ้าลูกร้องแล้วคุณรีบเข้าหาน่ะถูกต้องแล้วค่ะ แต่หลังจากนั้นพอลูกโตมากขึ้นคุณสามารถให้ลูกรอสัก 2 - 3 นาทีได้ถ้าคุณยังทำงานค้างอยู่ แต่ต้องส่งเสียงให้ลูกได้ยินนะคะว่าเดี๋ยวคุณจะมาหาเขาแล้ว ลูกจะได้คลายความรู้สึกกลัวนั้นลง และนี่ก็คือบทเรียนเริ่มแรกของการรู้จักคำว่า "ไม่" ของลูกค่ะ

ที่สำคัญวิธีนี้ยังช่วยสอนให้ลูกเรียนรู้จักที่จะดูแลตัวเองปลอบโยนตัวเองในระหว่างที่รอแม่ด้วย ซึ่งเด็กแต่ละคนก็จะมีวิธีแตกต่างกันไป บางคนก็ดูดนิ้วตัวเอง ขณะที่เด็กบางคนใช้วิธีหันไปมองสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น โมบายล์ที่แขวนอยู่ ลำแสงของแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา หรือม่านที่ปลิวเพราะแรงลม
ซึ่งบทเรียนที่ลูกได้รู้จักดูแลตนเองนี้ จะช่วยให้ลูกสามารถผ่านช่วงเวลาของความรู้สึกสับสน วิตกกังวล ที่เป็นพัฒนาการและมักเกิดขึ้นในวัย 9 เดือนไปได้อย่างง่ายดายค่ะ

ถึงเวลา "ไม่" แล้วจ๊ะ

ทารกอายุต่ำกว่า 7 เดือนลงมา ระบบความจำในประสาทของลูกยังทำงานได้จำกัดอยู่ แต่พออายุได้ 7 เดือนครึ่งถึง 8 เดือน ลูกก็พร้อมสำหรับคำห้าม "ไม่" แล้วค่ะ เพราะแกสามารถปะติดปะต่อระหว่างสิ่งที่แกกระทำกับคำว่า "ไม่" ที่แม่พูดออกมาได้ โดยลูกจะเรียนรู้และจดจำจากโทนเสียงที่แม่พูด พร้อมกับดูท่าทางของแม่ที่แสดงออกมาขณะใช้คำพูดนี้ประกอบกัน ซึ่งโดยทั่วไปลูกจะไม่ชอบทั้งท่าทีและโทนเสียงที่ไม่ให้ความสุขอย่างนี้หรอกค่ะ

"ไม่" ครั้งแรกที่คุณจะใช้ ควรใช้อย่างมีเหตุมีผล ทั้งเหมาะสมด้วย เพราะคุณคงไม่อยากให้ลูกเรียนรู้ เข้าใจ และจดจำคำๆ นี้ในเชิงลบไปเสียหมด ดังนั้น ถ้าจะใช้ก็ใช้ในกรณีสำคัญเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อลูกทำอะไรที่ดูแล้วอาจเกิดอันตรายได้ เช่น ใช้เมื่อลูกดึงสายไฟ ซึ่งโดยทั่วไปลูกอาจจะหันมามอง แล้วสักพักก็ดึงใหม่ คุณจึงต้องใช้คำว่า "ไม่" เพื่อห้ามย้ำเมื่อลูกกระทำสิ่งนั้นๆ อีก

แล้วสำหรับพ่อหนูแม่หนูวัย 9 เดือนที่ตีเด็กอื่นล่ะ คุณก็ต้องทำเสียงเข้มห้ามว่า "ไม่" ทันทีเลยล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณแค่เข้าไปอุ้มเจ้าตัวน้อยออกมา แล้วเบี่ยงเบนความสนใจโดยหาตุ๊กตาตัวใหม่ให้ลูกเล่นแทน นี่เท่ากับคุณได้ยืดเวลาการสอนไม่ให้ลูกใช้ความรุนแรงออกไปเท่านั้น ดังนั้น ถ้าลูกใช้ความรุนแรงแล้วส่งผลกับคนอื่นก็ต้องห้ามอย่างเด็ดขาดค่ะ

อย่าใช้ "ไม่" บ่อยๆ หรือในเรื่องทั่วๆ ไป เพราะจะทำให้ลูกไม่รู้สึกว่าคุณห้ามอย่างจริงจัง เช่น ลูกหยิบเสื้อผ้าของแกออกจากตะกร้าผ้า ซึ่งคุณอาจจะเบื่อหน่ายกับการตามเก็บตามพับ แต่สำหรับลูกแล้วนี่เป็นเรื่องสนุกเหมือนกำลังเล่นเกมเชียวล่ะ

แม่เองก็ต้องใจเย็นๆ

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะออกอาการประสาทเสียทันทีที่เจ้าตัวน้อยคว่ำจานอาหารจนทำให้พื้นเลอะเทอะ จากนั้นก็จะโยนคำพูดดุว่าใส่ลูกแบบไม่ยั้ง แถมบางคนอาจเผลอ "เผี่ยะ" เข้าที่ก้นลูกด้วย การกระทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง ทั้งลูกก็อาจจะจำวิธีการที่คุณแสดงออกมาไปใช้ต่อได้ วิธีที่ดีที่สุดคือคุณต้องใจเย็นๆ และพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง (แต่ไม่ใช่โวยวายนะคะ) ว่า "เราไม่คว่ำจานนะลูก" ซึ่งคุณอาจต้องบอกหลายครั้ง เพราะลูกอาจทำอย่างนี้ซ้ำอีก ก็เด็กวัยขวบนี่ค่ะ การเรียนรู้ของแกจะเกิดจากการทำซ้ำค่ะ

และโปรดตระหนักอยู่เสมอว่าการห้าม หรือใช้คำว่า "ไม่" กับลูกนั้นต้องเป็นไปด้วยความรัก ดังนั้น ถ้าลูกปฏิบัติตามที่คุณห้ามแล้ว อย่าลืมชมลูกด้วยนะคะ เช่น "หนูทำถูกต้องแล้ว เราไม่เอาแจกันมาเล่นกันหรอก" เป็นต้น รวมทั้งการแสดงออกของคุณก็ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะบางครั้งลูกน้อยอาจไม่เข้าใจคำพูดที่คุณพูดบอกแก แต่แกจะเข้าใจท่าทีที่คุณแสดงออกมากกว่า ซึ่งอย่างที่บอกล่ะค่ะว่าลูกชอบจะทำอะไรแล้วคุณพอใจมากกว่า

อีกจุดหนึ่งที่สำคัญ คือในบางสถานการณ์ถ้ามันเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ลูกน้อยทำถ้วยน้ำตกจากมือ โดยที่แกไม่ตั้งใจ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาห้าม หรือใช้คำว่า "ไม่" กับลูก แต่ควรปลอบลูกและสอนให้ลูกถืออย่างมั่นคงแทน ทั้งฝึกให้ลูกได้ทำบ่อยๆ ก็จะช่วยให้ลูกมีทักษะด้านนี้เพิ่มขึ้น

ดังนั้น การจะสอนลูกวัยขวบแรกนี้ให้เข้าใจคำห้าม พ่อแม่สามารถทำได้ค่ะ แต่ต้องเหมาะสมกับสถานการณ์นะคะ
เรื่องกินของหนู - ทำอย่างไร ลูกกินแต่นม ไม่กินอาหารเสริม

คำถาม

ลูกสาวอายุ 10 เดือน พอให้ทานอาหารเสริมจะอ้วกและท้องเสียเป็นประจำ ปัจจุบันจึงให้ทานนมอย่างเดียว แบบนี้ลูกจะขาดสารอาหารมั้ยคะ

คำตอบ

คุณแม่คงต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอาหาร น้ำที่สะอาดปราศจากเชื้อโรค หรือเด็กมีความผิดปกติของการย่อยและการดูดซึมอาหารต่างๆ ซึ่งในกรณีหลังนี้เด็กมักจะมีอาการถ่ายอุจจาระเละๆ หรือเหลวร่วมด้วย ลูกอาจแพ้อาหารชนิดนั้นๆ หรือลูกมีโรคบางอย่างเช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ เพดานสูงเกินไป มีความผิดปกติที่หูรูดของหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ กรณีเช่นนี้ควรพาลูกไปปรึกษากุมารแพทย์

ลูกอายุ 10 เดือนแล้วให้ทานนมอย่างเดียวไม่เหมาะสมครับ เพราะนมอย่างเดียวจะไม่พอเพียงแก่ความต้องการในแต่ละวันของเด็ก เด็กควรได้รับประทานอาหารชนิดปกติทั่วไปให้ครบ 5 หมู่

เด็กอายุ 10 เดือนสามารถรับประทานอาหารเด็กอ่อนได้วันละ 2 มื้อ รับประทานไข่ไก่ได้วันละ 1 ฟอง และยังเป็นการฝึกนิสัยการบริโภคอาหารของเด็กเมื่อเติบโตขึ้นอีกด้วย

ไข่ไก่ 1 ฟองจะให้พลังงานประมาณ 80 - 90 กิโลแคลอรี่ ให้โปรตีนประมาณ 7 กรัม (โปรตีนอยู่ในไข่ขาวประมาณ 4 กรัมและอยู่ในไข่แดงประมาณ 3 กรัม) ให้ไขมันประมาณ 7 กรัม (ไขมันจะอยู่แต่ในไข่แดงทั้งหมด) ให้คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 1 กรัม สำหรับวิตามินและแร่ธาตุจะอยู่ในไข่แดงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนมต่างๆ นั้นควรให้เป็นอาหารเสริมจากอาหารที่รับประทานปกติ

นอกจากนั้นการเลือกชนิดของนมต่างๆ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดควรเลือกให้เหมาะสมกับอายุ 10 เดือนของเด็กด้วย ซึ่งอาจใช้วิธีง่ายๆ โดยดูจากข้างกระป๋องนมหรือดูจากปริมาณของโปรตีนซึ่งควรมีโปรตีนใกล้เคียงประมาณ 18 - 22 กรัมเปอร์เซ็นต์ต่อนมผง 100 กรัม และควรชงนมให้ถูกวิธีอีกด้วย อย่าให้เจือจางเกินไป ส่วนนมกล่องต่างๆ เช่น นมยูเอชทีนั้นไม่ควรให้รับประทานในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี นอกจากนั้นถ้าลูกยังรับประทานอาหารได้ไม่ค่อยดีนัก ลูกควรได้รับการเสริมวิตามินและแร่ธาตุร่วมด้วย เวลาเลือกซื้อวิตามินแร่ธาตุให้ดูที่ข้างขวดว่าควรมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วยกัน

ถาม - ชนิดา
ตอบ - ดร.นพ.ประสงค์ เทียนบุญ MD, FRCPedT, MCN, FICN, PhD.
หัวหน้าหน่วยโภชนศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เรื่องกินของหนู - น้ำต้มสุก น้ำอัดลม น้ำเย็น...กินดีไหม

คำถาม

ลูกอายุ 1 ขวบ 4 เดือน ยังดื่มน้ำต้มสุกอยู่ แต่บางครั้งก็แช่ให้เย็นเพราะอากาศร้อน บางครั้งก็ให้กินน้ำอัดลม อยากทราบว่ากินน้ำต้มสุก น้ำเย็นหรือน้ำอัดลมบ่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อลูกมั้ยคะ

คำตอบ

การให้ลูกดื่มน้ำต้มสุกเป็นการดีแล้ว เพราะประหยัดดีกว่าไปซื้อน้ำที่ทำเป็นขวดๆ ขาย ซึ่งมีราคาแพงจนเกินควร และบางยี่ห้อยังมีคุณสมบัติไม่ได้มาตรฐานอีกด้วย ทั้งนี้ต้องอย่าลืมว่าน้ำที่นำมาต้มให้สุกเพื่อให้ลูกดื่มนั้นควรเป็นน้ำที่สะอาด เช่น น้ำประปา ไม่ใช่น้ำตามแม่น้ำหรือตามลำคลอง เป็นต้น

เครื่องกรองน้ำในปัจจุบันมีคุณสมบัติแตกต่างกันมาก บางชนิดสามารถกรองเชื้อโรคออกไปได้ บางชนิดสามารถกรองเอาแร่ธาตุและกลิ่นที่ไม่ดีออกไป ดังนั้น คงต้องพิจารณาว่าน้ำประปาที่บ้านนั้นมีตะกอนขุ่นมากน้อยแค่ไหน ถ้าใสสะอาดดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำที่มาจากเครื่องกรองน้ำ แต่จะดีกว่าถ้าต้มให้สุกเสียก่อน

การให้เด็กได้ดื่มน้ำเย็นบ้างในบางโอกาสขณะที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ไม่ได้เสียหาย แต่กลับทำให้เด็กรู้สึกสดชื่นขึ้นและไม่งอแงเกินไป ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศร้อน ร่างกายระเหยน้ำออกไปมากทางผิวหนัง

ส่วนน้ำอัดลมนั้น ถ้าสามารถไม่ให้ดื่มได้เลยจะเป็นการดี เนื่องจากในน้ำอัดลมมีน้ำตาลและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทางโรงงานอัดไว้เพื่อให้รู้สึกซ่าๆ เวลาดื่ม ดังนั้น ถ้าดื่มมากเกินไปจะทำให้เด็กท้องอืดและปวดท้อง เมื่อเด็กไอดาจทำให้เด็กอาเจียนได้ และถ้ากินจนติดเป็นนิสัย ยังทำให้เด็กรู้สึกอิ่ม กินอาหารได้น้อยลง โอกาสขาดสารอาหารต่างๆ ก็เป็นได้ง่าย น้ำอัดลมมีคุณค่าทางอาหารน้อยมากนอกจากน้ำตาลซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น แทบจะไม่มีสารอาหารตัวอื่นๆ อยู่เลย นอกจากนั้นในน้ำอัดลมบางชนิดยังมีสารคาเฟอีนซึ่งกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ระบบประสาท ทำให้เด็กตื่นตัวและยังทำให้เด็กปัสสาวะบ่อยขึ้นและนอนหลับยากขึ้นอีกด้วย

ถาม - แม่เนียม
ตอบ - ดร.นพ.ประสงค์ เทียนบุญ MD, FRCPedT, MCN, FICN, PhD.
หัวหน้าหน่วยโภชนศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
108 เรื่องกินของลูก - อาหารเสริมต้องเริ่มที่ 4 เดือน

เข้าใจกันมาซะนานว่า 3 เดือน คือ วัยที่ถึงพร้อมแล้วซึ่งการเริ่มต้นเมนูอาหารเสริมที่นอกเหนือจากนมแม่ 108 เรื่องกินของลูกครั้งนี้ได้รวบรวมผลงานวิจัยจากต่างประเทศรวมทั้งการได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเด็กของบ้านเราที่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าวัยที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเริ่มที่ 4 - 6 เดือน...ด้วยเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ

1. เพราะร่างกายของทารกตัวน้อยในช่วงเดือนแรกๆ ถูกพัฒนามาเพื่อการย่อยนมแม่หรืออาหารที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น นมผงสำหรับเด็กทารกทั่วไป นอกจากนั้นพัฒนาการในการรับอาหารของลูกยังมีลักษณะ "ดูด" ได้ดีกว่าการรับอาหารด้วยวิธีอื่น...

2. เอนไซม์อะไมเลส ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยย่อยอาหารที่เป็นลักษณะของแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตรวมไปถึงระบบการย่อยไขมันจะทำหน้าที่เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 6 ของชีวิตลูก

3. อาหารบางอย่าง เช่น ไข่ เนื้อ แม้กระทั่งนมวัวบางชนิด ถ้าให้เร็วเกินไปก็จะมีผลกับการทำงานของไต

4. อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการกิน การย่อยของลูกในช่วง 1 - 3 เดือนนี้ไม่ได้พัฒนามาเพื่อกินอาหารแข็ง ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากที่ยังไม่พร้อมจะทำความคุ้นเคยกับช้อน ลิ้นที่ไม่สามารถควบคุมอาหารในปากได้ หรือกล้ามเนื้อช่วงลำคอที่ยังมีปัญหาในการกลืนอาหารแข็งอยู่ กลไกตามธรรมชาติเหล่านี้จะค่อยๆ ทำงานได้สอดคล้องกลมกลืนกันเป็นลำดับ และจะทำได้ดีเมื่อย่างเข้าเดือนที่ 6

5. ขั้นตอนการเตรียมอาหารมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคได้ เพราะจะต้องมีอุปกรณ์ในการปรุงมากขึ้น เช่น กระชอน หม้อ ผ้าขาวบาง มีด เขียง ฯลฯ ซึ่งถ้าเตรียมไม่ดีก็จะทำให้ลูกท้องเสียหรือปวดท้องได้เพราะภูมิต้านทานของลูกยังไม่ดีพอ ต่างจากนมแม่หรือนมขวดที่ขั้นตอนหรืออุปกรณ์น้อยชิ้น โอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคก็มีน้อยกว่า

6. ในช่วงแรกเกิด การไม่สามารถปฏิเสธเมื่อรู้สึกอิ่มหรือไม่อยากกินอาหารแข็งของลูกเป็นปัญหาสำคัญที่จะทำให้พ่อแม่ไม่ทราบว่าควรให้อาหารแก่ลูกแค่ไหน ลูกพอใจหรือไม่ ต่างกับการให้นมเพราะลูกสามารถส่งสัญญาณแสดงให้รู้ว่าอิ่มด้วยการหยุดดูดหรือแสดงให้รู้ว่ารู้สึกสบายเมื่อแกนอนหลับตาพริ้ม

7. สืบเนื่องจากข้อ 6. การให้อาหารเสริมแก่ลูกเร็วไปยังส่งผลต่อนิสัยการกินของลูกเมื่อโตขึ้น นอกจากนั้นถ้าให้อาหารเสริมในปริมาณมากๆ ก็จะไปทดแทนส่วนที่เป็นนม ซึ่งควรเป็นอาหารหลักของลูกวัยนี้ แทนที่แกจะได้รับสารอาหารที่เหมาะสมก็ได้น้อยลงเพราะอิ่มเกินไป กรณีนี้นอกจากลูกจะได้รับสารอาหารไม่เหมาะสมแล้ว ก็จะทำให้อ้วนเกินไปด้วย

8. การให้อาหารเสริมเร็วไปไม่สอดคล้องกับระบบการทำงานของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะระบบย่อย จะทำให้ลูกหลับไม่สบายรู้สึกอึดอัด ทั้งๆ ที่ในวัย 1 - 3 เดือน เป็นวัยที่การนอนสำคัญมาก

9. สำหรับเด็กที่กินนมแม่ การให้อาหารเสริมเร็วจะทำให้ลูกกินนมแม่ได้น้อยลง นั่นย่อมหมายถึงคุณค่าสารอาหารที่ควรได้จากนมแม่ก็น้อยลงไปด้วย ซึ่งในวัยแบเบาะนี้นมแม่คือแหล่งคุณค่าอาหารที่วิเศษที่สุดสำหรับลูกแล้วค่ะ

และถ้าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจแบบนี้แล้ว เด็กๆ คงไม่ต้องถูกบังคับหรือคาดหวังให้หม่ำอาหารเสริมตั้งแต่แรกเกิดเป็นแน่ ที่สำคัญยังเป็นการเปิดโอกาสให้น้ำนม (แม่) ได้ทำหน้าที่อย่างคุ้มค่าที่สุดอีกด้วย

เรียบเรียงจาก - บทสัมภาษณ์ ผศ.จงจิตร อังคทะวานิช และหนังสือ Super Baby Food by Ruth Yaron

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

กินเป็นมงคล

ทำอาหารมงคลของคนจีนมาเสนอทั้งที ไม่เอ่ยปากทักว่า "เจี๊ยะปึ่งบ่วย" (กินข้าวยัง) ด้วย เดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้จริง หากจะถามต่อว่า อาหารมงคลที่ว่านี้น่ะ ทำให้ชีวิต "เฮง" ได้ด้วยหรือเปล่า เรื่องนี้น้าอิ่มขอยกคำยืนยันจากซินแสจีนมาตอบว่า...ได้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้รุ่งเรืองทันตาเห็น แต่เหมือนว่าร่างกายได้รับความเป็นมงคลจากความหมายของอาหารนั้นๆ ดังคำกล่าวที่ว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ของคนจีนนั่นแหละ พูดไปยืดยาวจะมองไม่เห็นภาพ จึงขอหยิบความดีงามมาฝากกัน 3 จาน เป็นตำรับของคนจีนแต้จิ๋วเขาจ้ะ

ผัดหมี่ซั่ว

ให้อายุมั่นขวัญยืน อายุยืนยาวเหมือนดั่งความยาวของเส้นหมี่นั่นเอง
เครื่องปรุง
หมี่ฮ่องกง กุ้ง เนื้อปู กุยช่ายขาว ถั่วงอก
วิธีทำ
นำหมี่ฮ่องกงต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 นาที เทใส่ตะแกรง นำไปล้างน้ำเย็นหลายๆ ครั้งจนกว่าเส้นหมี่จะเย็น ตักพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ใส่กุ้ง เนื้อปู และเส้นหมี่ ผัดคลุกให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย จึงค่อยใส่กุยช่ายขาวและถั่วงอก

ผัดสี่สหาย

การร่วมแรงร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กลมเกลียว อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
เครื่องปรุง
หน่อไม้ฝรั่ง เห็ดหอม ผักกาดขาว สาหร่ายเส้นผม
วิธีทำ
ต้มน้ำให้เดือด ใส่น้ำมัน เกลือ ลงไปในน้ำ ผักที่เตรียมไว้ลงไปลวกให้สุก เสร็จแล้วนำผักตัดแต่งมาเรียงใส่จาน
น้ำราด
น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว แป้งฮ่องกง น้ำซุป
วิธีทำ
ละลายแป้งฮ่องกง ตั้งกระทะใส่น้ำซุปปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำมันหอย ใส่แป้งฮ่องกงที่ละลายน้ำไว้ให้ดูข้น ชิมดูว่ารสกลมกล่อม จึงตักราดหน้าผักที่เตรียมไว้

ขนมเล่งอี๋ (หรือขนมอี๋)

ความกลมกลืน สามัคคี รักใคร่ปรองดองและชีวิตมีแต่ความหวานชื่น หอมหวานเหมือนดั่งน้ำเชื่อม
เครื่องปรุง แป้งข้าวเหนียว น้ำตาล
วิธีทำ
เอาแป้งนวดกับน้ำให้พอปั้นเป็นลูกกลมได้แล้วต้มน้ำให้เดือด เอาแป้งที่ปั้นใส่ลงไปในน้ำเดือด ค่อยๆ ผ่อนไฟให้อ่อน ต้มจนแป้งสุก
นำน้ำตาลมาต้มให้เป็นน้ำเชื่อม
ตักขนมใส่ลงไปในน้ำเชื่อม รับประทานอุ่นๆ

เก็บมาเล่า

เสน่ห์ของอาหารจีน อยู่ที่ความเลิศรส ความสดใหม่ และรูปลักษณ์จัดแต่งที่สวยงาม และอาหารจีนยังบ่งบอกถึงความพิถีพิถันเรื่องการกินอยู่ของคนจีนได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะเขาถือกันว่า อาหารคือปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิต หากเลือกกินดื่มอย่างเหมาะสม ถูกหลัก ร่างกายจะแข็งแรง โรคภัยก็จะไม่มาเบียดเบียน ชีวิตก็จะยืนยาว

ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจไปเลย ที่อาหารจีนจะมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคและบำรุงร่างกายได้ไปในตัว (ประมาณเป็นยาอายุวัฒนะนั้นแล) และที่สำคัญยังซ่อนความหมายอันเป็นสิริมงคล ให้ความดีความงามทั้งหลายทั้งปวงแก่ชีวิตผู้กินอีกต่างหาก ข้าน้อยล่ะนับถือ-นับถือ

น้าอิ่มขอยกตัวอย่างผักที่มีความหมายมงคลที่คนจีนนิยมนำมาปรุงประกอบอาหารดังนี้จ้ะ

ถั่วงอก
มีความหมายว่าเจริญงอกงาม รุ่งเรือง

สาหร่ายเส้นผม
ชีวิตยืนยาว มั่งคั่งร่ำรวย

กุยช่าย
ถือเป็นอาหารชั้นสูง ใช้ปรุงเป็นอาหารบวงสรวงเทวดา มีความหมายว่า เจริญๆ ขึ้น

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ชอบเอาของเข้าปากซะจริงๆ

คำถาม

ลูกอายุ 3 ขวบ ชอบเอาของเข้าปาก ดิฉันใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้ทำอย่างอื่น และบอกเหตุผลว่าเอาของเข้าปากไม่ดีอย่างไร แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ซ้ำเป็นมากขึ้นด้วย อยากทราบวิธีแก้ไขค่ะ

คำตอบ

ในเด็กเล็ก การได้ดูด ได้อมสิ่งของนั้น นับเป็นความเพลิดเพลินแบบหนึ่งของเขา การที่เด็กชอบเอาของเข้าปาก จะอยู่ในกลุ่มเดียวกับเด็กที่ชอบดูดนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งมักเป็นอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยๆ น้อยลงไปตามลำดับ และสามารถเลิกไปเองได้เมื่อเด็กอายุมากขึ้น มีจำนวนน้อยที่ยังจะมีลักษณะนี้อยู่หลังจากอายุ 4 ขวบไปแล้ว

การที่คณแม่ใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้ทำอย่างอื่น และบอกเหตุผลว่าเอาของเข้าปากไม่ดีอย่างไร เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และผมเชื่อว่าแม้ขณะนี้จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในระยะยาวแล้วลูกจะค่อยๆ ดีขึ้น และก็เลิกพฤติกรรมนี้ได้

แต่มีบางอย่างที่คุณแม่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะทำให้เด็กเลิกพฤติกรรมนี้ช้าคือ คุณแม่อย่าเพ่งเล็ง ให้ความสนใจกับพฤติกรรมนี้ของเขามากเกินไป เช่น อธิบายเหตุผลซ้ำแล้วซ้ำอีก วันหนึ่งเป็นสิบๆ เที่ยว ไม่คอยจ้องแต่จะจับผิดว่าเขาจะเอาของเข้าปากเมื่อไหร่ และไม่ใช้อารมณ์หรือดุว่ารุนแรงเมื่อเขามีพฤติกรรมนี้ เพราะจะยิ่งเป็นการย้ำ เป็นการให้ความสนใจกับพฤติกรรมไมดี ทำให้ลูกเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ช้าลงไป

คุณแม่จึงไม่ควรจะเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มากเกินไป เพียงแต่ตักเตือนและบอกเขาเป็นครั้งคราวด้วยท่าทีที่สงบเท่านั้นก็พอแล้ว ระวังอย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ต้องลงโทษดุว่า เกิดความขัดแย้งและต่อต้านกันระหว่างแม่กับลูก

อีกกรณีหนึ่งคือสังเกตดูว่าช่วงเวลาไหนที่ลูกจะทำพฤติกรรมนี้มากขึ้น เช่น ช่วงที่เขาดูทีวีนานๆ หรือช่วงที่เด็กรู้สึกเหงา ว้าเหว่ ก็ควรจะแก้ไขและหากิจกรรมอื่นเข้าทดแทนในช่วงนั้น
ลูกจำไม่เก่งเหมือนเพื่อน

คำถาม

โดยทั่วๆ ไปเด็กอายุ 3 ขวบ มีความสามาถจดจำสิ่งต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน เช่น จำ ก - ฮ , A - Z , เลข , สี , สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ยี่ห้อรถ เพราะลูกชายจำสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยได เมื่อเทียบกับลูกเพื่อนวัยเดียวกัน และควรทำอย่างไรดีถึงจะให้แกจดจำได้ดี

คำตอบ

ความจำนั้นเป็นเพียงส่วนย่อยๆ ส่วนหนึ่งของสติปัญญาการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งยังมีส่วนประกอบที่สำคัญอื่นๆ อีกมาก เช่น ความเข้าใจ ความคิดสร้างสรรค์ การสังเกตวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ซึ่งสติปัญญาการเรียนรู้นั้น ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของพัฒนาการของเด็ก ซึ่งประกอบด้วยด้านอื่นๆ อีกหลายด้านที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันเลย เช่น พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดย่อย พัฒนาการด้านสังคม พัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสาร พัฒนาการด้านจริยธรรม ฯลฯ

ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้คุณแม่ไปเน้นให้ความสำคัญในเรื่องความจำมากจนเกินไป ต้องให้ความสำคัญกับพัฒนาการด้านอื่นๆ ด้วย ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็มีความสำคัญมากกว่าพัฒนาการด้านความจำมากมายนัก

อีกทั้งการเปรียบเทียบเด็กวัย 3 ขวบกับเด็กอื่นๆ นั้น ผมคิดว่าคงไม่ช่วยบอกอะไรมาก เพราะเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างหลากหลายในด้านของพัฒนาการเป็นอย่างมาก ยิ่งวัยเพียงแค่ 3 ขวบ ยิ่งบอกอะไรไม่ได้เลย คุณแม่เพียงแต่ติดตามดูพัฒนาการของลูกว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติของเด็กทั่วไปในวัย 3 ขวบเท่านั้นก็คงพอแล้ว จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นคงไม่ได้บอกอะไร นอกจากจะทำให้เราเกิดความวิตกกังวลไปโดยใช่เหตุแล้ว การพยายามสอนให้เด็กวัยนี้ท่องจำตัวอักษร ตัวเลขนั้น ยังไม่มีความจำเป็น ควรจะเน้นการส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นๆ จะเกิดประโยชน์มากกว่า

สำหรับพัฒนาการของเด็กวัย 3 ปีนั้น กล้ามเนื้อมัดใหญ่เด็กจะสามารถวิ่งและกระโดดได้ ขึ้นลงบันไดได้ ถีบรถจักรยานสามล้อได้ สำหรับกล้ามเนื้อมัดเล็ก เด็กจะใช้มือในการหยิบจับของเล็กๆ ได้ดี สามารถวาดรูปวงกลมตามแบบได้ ต่อแท่นบล็อกได้ 8 - 10 ชั้น

พัฒนาการทางภาษา เด็กจะพูดเป็นประโยคได้แล้ว เป็นประโยค 4- 5 พยางค์ได้ สามารถที่จะบอกเพศของตัวเองได้ บอกชื่อ - นามสกุล ตัวเองได้ เด็กจะสามารถนับ 1 - 10 ได้ และก็จะเริ่มรู้จักสีบางสีอาจจะ 1 - 4 สี ประมาณนั้น

ส่วนพัฒนาการทางสังคมนั้น เด็กจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น รู้จักเก็บของเล่นได้ รับประทานอาหารด้วยตัวเองได้ ดื่มน้ำจากแก้วได้เอง สามารถถอดเสื้อผ้าถุงเท้า รองเท้าได้ ผมคิดว่าแทนที่คุณแม่จะไปสอนลูกให้ท่องจำสิ่งต่างๆ นั้น ควรส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างที่บอกมา เช่น กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดย่อย โดยการให้เด็กได้มีโอกาสเล่นในสิ่งที่เหมาะสมกับวัยของเขา มีเวลา มีโอกาส และก็มีผู้ที่จะคอยดูและหรือเล่นด้วยกับเขา

พัฒนาการทางภาษาก็โดยการให้มีคนที่จะคอยพูดคุยกับเขา อ่านหนังสือให้เขาฟัง ร้องเพลงด้วยกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนการส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม ก็โดยการแนะนำ และเปิดโอกาสให้เขาได้ฝึกทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เหมาะสมกับวัยของเขาด้วยตัวเอง การส่งเสริมพัฒนาการเหล่านี้แหละครับที่จะส่งผลทางอ้อมไปถึงสติปัญญา และความจำของเขาในอนาคต 
กลัวลูกเป็นสมาธิสั้น

คำถาม

ลูกชายเรียนอยู่อนุบาล 3 คุณครูประจำชั้นจะบ่นเรื่องการไม่สนเรียน (ชอบเล่นและคุยในเวลาเรียน) คุณครูต้องเรียกอยู่บ่อยครั้งเวลาทำงานไม่เรียบร้อยและไม่สะอาด ผมกังวลใจว่าจะเป็นโรคสมาธิสั้นครับ (แต่ว่าเวลาอยู่บ้านดูทีวีหรือ VDO จะสนใจดูได้เป็นเวลานานๆ) ควรจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เป็นอยู่ดี เพราะผมกังวลใจมากครับ

คำตอบ

จากลักษณะที่คุณพ่อเล่ามา ยังไม่สามารถจะบอกได้ว่าลูกชายเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ ในเด็กชั้นอนุบาลการจะวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นบางครั้งทำได้ลำบากมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้ยังมีธรรมชาติที่จะชอบเล่น พูดคุย อยากรู้อยากเห็น และควบคุมตัวเองได้น้อย  จึงทำให้ยากที่จะแยกเด็กปกติที่อยากรู้อยากเห็นกับเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น ยกเว้นในรายที่มีอาการของโรคสมาธิสั้นอย่างมากๆ ก็อาจจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่ในวัยอนุบาล

การวินิจฉัยจะบอกได้ชัดเจนแน่นอนมากขึ้นในช่วงเด็กขึ้น ป.1 ซึ่งเด็กจะต้องนั่งอยู่กับที่มากขึ้นและเด็กปกติจะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น รวมทั้งการเรียนในช่วง ป.1 เริ่มจะต้องมีกฏเกณฑ์และขอบเขตมากขึ้น เด็กที่มีปัญหาเรื่องสมาธิสั้นก็จะแสดงออกให้เห็นชัดเจนแตกต่างจากเด็กทั่วไปได้

เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะต้องมีอาการหลายอย่าง

อาการที่สำคัญ 3 ด้านคือ มีสมาธิความสนใจสั้นจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นาน และว่อกแว่กได้ง่าย
อาการที่ 2 คืออยู่ไม่นิ่ง นั่งไม่ค่อยติด จะยุกยิกตลอดเวลา
อาการที่ 3 คือมีความหุนหันพลันแล่นสูง จะยั้งตัวเองไม่ค่อยอยู่ ซึ่งบางครั้งจะทำให้ดูเหมือนกับเป็นคนที่ก้าวร้าว รุนแรง

สำหรับอาการที่เด็กแสดงออกนั้น จากอาการข้อที่ 1 ที่มีสมาธิสั้นและจดจ่อได้น้อยและว่อกแว่กนั้น ก็จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องการเรียน มักจะทำงานไม่เสร็จ ผลการเรียนไม่ดีเท่าที่ควร ดูเหมือนไม่ตั้งใจเรียน เพราะว่อกแว่กเก่ง เวลาเล่นมักจะเล่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นานและเปลี่ยนบ่อยๆ

ส่วนลักษณะในข้อที่ 2 คืออยู่ไม่นิ่ง ยุกยิกนั้น ก็จะทำให้เด็กมีลักษณะที่นั่งไม่ค่อยติดที่ ขยับยุกยิกตลอดเวลา รบกวนผู้อื่น ซน ชอบแหย่คนโน้นคนนี้ ทำข้างของเสียหายบ่อยๆ และก็ช่างพูดช่างคุย

ส่วนปัญหาลักษณะอาการข้อที่ 3 ที่หุนหันพลันแล่นนั้นก็ทำให้เด็กมีอุบัติเหตุบ่อย ดูเหมือนจะรอคอยไม่เป็น มักจะพูดแทรก รอคิวไม่ค่อยเป็น และบางครั้งยั้งตัวเองไม่อยู่ ทำให้เหมือนกับเล่นแรง และก็มีปัญหาทะเลาะกับคนอื่นได้ง่าย

เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะมีลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้ในแทบทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน ห้องเรียน หรือในโรงพยาบาล ในห้องตรวจของแพทย์ ในกรณีที่คุณพ่อกังวลใจมากก็ควรจะพาลูกไปพบกุมารแพทย์หรือจิดแพทย์เด็ก ซึ่งจะให้การวินิจฉัยที่แน่นอนขึ้น

ตอนที่ไปพบแพทย์ควรจะขอรายงานความคิดเห็นจากคุณครูประจำชั้นไปให้แพทย์ดูด้วยจะเป็นประโยชน์อย่างมาก รวมทั้งนำสมุดพก สมุดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ที่เด็กใช้เรียนในชั้นเรียนไปให้แพทย์ดูด้วย จะมีประโยชน์ในการช่วยการวินิจฉัยให้ชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เริ่มอาหารเสริมได้หรือยัง

คำถาม

ลูกชายวัย 3 เดือนครึ่ง ดิฉันเริ่มให้กินข้าวกับกล้วยแล้ว แต่ยังกินได้น้อย ไม่ทราบว่าให้เร็วไปหรือเปล่า

คำตอบ
อาหารเสริมในวัยนี้ แม้ว่ายังไม่จำเป็น แต่ก็ควรให้เริ่มได้ เพราะเมื่อเด็กอายุมากขึ้นและติดการดูดนมแม่ถ้าแกกินอาหารเสริมไม่เก่ง ข้อเสียตามมาก็คือช่วงใกล้ขวบหนึ่ง น้ำหนักแกจะขึ้นน้อย ไม่เหมือนในช่วง 6 เดือนแรก ดังนั้นเราคงต้องเริ่มอาหารอื่นๆ ที่มีรสชาติแปลกๆ ให้ลูก เพื่อแกจะได้ชิน และยอมรับอาหารในเวลาที่ต้องการได้ ซึ่งคุณแม่ก็ได้เริ่มไปแล้วควรทำต่อไป และปรับอาหารเสริมให้มีรสอื่นบ้าง ไม่ใช่มีแต่ข้าวกับกล้วยเท่านั้นนะคะ

โดยทั่วๆ ไป แล้วจากประสบการณ์ของหมอ ถ้าคุณแม่ปรับพฤติกรรมของลูกโดยวิธีนี้ อาจใช้เวลานิดนึง แต่จะให้ผลดีทั้งกับลูกและคุณแม่นะคะ ดีแล้วค่ะที่ไม่ทำให้ลูกโกรธและร้องไห้นานๆ เพราะเราพบว่าเด็กๆ ที่ร้องไห้นานๆ อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์หลายๆ อย่างในช่วงต่อไป

คุณกาญจนา ก้องไตรภพ - ถาม
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร - ตอบ
อยากให้ลูกกินนมจากขวด

คำถาม

ลูกชายวัย 3 เดือนครึ่ง กินนมแม่อยู่ และเริ่มให้กินข้าวกับกล้วยแล้ว แต่ยังกินได้น้อย ดิฉันอยากให้ลูกได้กินนมขวดควบคู่ไปด้วย แต่ลูกไม่ยอมดูดจุกนมยางเลยค่ะ ขวดน้ำก็ไม่ยอมดูดเหมือนกัน ดิฉันกลุ้มใจมากค่ะ ไปไหนมาไหนไม่ได้เลย ต้องกระเตงกันไปด้วย ฝากใครเลี้ยงก็ไม่ได้ ดิฉันเคยปล่อยให้ลูกหิว โดยไม่ยอมให้กินนมแม่ เพราะคิดว่าลูกหิวมากๆ ลูกอาจจะยอมกินนมขวดบ้าง แต่ไม่เลยค่ะ แกร้องไห้มาก (หิวมาก) จนดิฉันเห็นแล้วทนไม่ไหวสงสารลูกมาก เลยต้องยกเลิกความคิดไป มีคนแนะนำว่าให้ใจแข็ง แต่คิดว่าตัวเองคงทนเห็นลูกร้องนานๆ ไม่ได้แน่ๆ เลยอยากขอวิธีที่ถูกต้องและนิ่มนวลกว่านี้หน่อยค่ะ

คำตอบ

หมอเห็นด้วยกับคุณแม่นะคะว่าเวลาที่เราจะจัดการปรับพฤติกรรมของลูก ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เราคงต้องใช้วิธีที่นุ่มนวลและก็ให้ความรักมากๆ นะคะ อย่างไรก็ตามทีถ้าเผื่อเราปล่อยให้ปัญหาต่างๆ มันเรื้อรังไปแล้วต้องยอมรับว่าเป็นเพราะเราเนี่ยมีส่วนในการที่ทำให้ลูกมีปัญหาต่างๆ เหล่านั้น

ในเรื่องของการให้นมขวดกับนมแม่ ก็เป็นปัญหาที่พบได้ไม่น้อยเลยในปัจจุบัน ที่เรากำลังส่งเสริมให้ลูกดื่มนมแม่อยู่ คุณแม่แต่ละคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนอยู่บ้านตลอดไม่ได้ไปไหน สามารถจะให้นมลูกจนกระทั่งโตเลยได้ แต่บางคนก็มีภารกิจที่ต้องออกไปนอกบ้าน จะต้องไปทำงานที่ไม่สามารถจะเอาลูกไปด้วยได้ ทำให้ต้องวางแผนการใช้นมสลับกัน หรือนมแม่อย่างเดียวในรูปแบบอื่นๆ ให้เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น

หมอคิดว่าคุณแม่เองทำได้ดีมาก คือให้ดื่มนมแม่ และได้เริ่มอาหารเสริมไปบ้างแล้วด้วย ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ทีเดียวนะคะ และก็เป็นธรรมดาที่ลูกจะติดหัวนมแม่ ไม่ยอมดื่มนมจากขวดเลย รวมทั้งไม่ยอมดื่มน้ำด้วย ซึ่งหมอคิดว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ที่จะเป็นเช่นนี้ และขอชื่นชมคุณแม่ที่ยังให้นมลูกมาเต็มที่จนกระทั่งวันนี้

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหานี้คงต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ เริ่มต้นเราคงต้องสังเกตดูว่าที่ลูกไม่ดื่มนมจากขวด เป็นเพราะแกไม่ชอบดูดจากขวด หรือเป็นเพราะแกไม่ชอบรสชาติของอาหารอื่นที่ไม่ใช่นมแม่
คุณแม่อาจต้องลองวิธีนี้ดูนะคะ คือคุณแม่บีบนมแม่ออกมาก่อน แล้วลองให้ลูกกินนมแม่วิธีอื่นที่ไม่ใช่การดูด เช่น การใช้ช้อนป้อน หรือให้ดื่มจากแก้วเล็กๆ แล้วดูว่าลูกมีปฏิกิริยาอย่างไร การให้นมลูกทางอื่นที่ไม่ใช่การดูดนี้ จะใช้ได้สำหรับการให้น้ำเช่นเดียวกันนะคะ ลองให้น้ำทางแก้วหรือจากช้อน ดูว่าลูกสามารถรับอาหารอื่นๆ ที่ไม่ใช่การดูดจากหัวนมแม่อย่างเดียวได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ คุณแม่ก็ต้องค่อยๆ ฝึกตรงจุดนี้ เพราะหมอคิดว่าการฝึกปรับพฤติกรรมลูกให้รับประทานอาหารจากช้อนหรือจากแก้วนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งหมอคิดว่าคุณแม่น่าจะเริ่มมาบ้างแล้ว เพราะว่าคุณแม่เล่าว่าให้ลูกกินข้าวกับกล้วยแล้ว ซึ่งคงจะไม่ใช่ใส่ขวดแล้วให้ดูด คงจะเป็นการใช้ช้อน เช่นเดียวกัน ถ้าลูกไม่ชอบ คุณแม่ก็ต้องทำซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง ในที่สุด ลูกจะยอมรับการดื่มนมแม่ (รวมทั้งการดื่มน้ำ) ที่ไม่ใช่การดูดจากอกแม่อีกต่อไป
พอทำสำเร็จแล้ว คุณแม่ก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง คือการใช้นมผสมมาให้แทนนมแม่ ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้อาจจะใช้เวลาสั้นมากสำหรับเด็กบางคน บางคนก็นาน ซึ่งคุณแม่คงต้องสังเกตพฤติกรรมลูกว่าสามารถปรับจากขั้นตอนแรกไปขั้นตอนต่อๆ ไปนั้นเร็วมากน้อยขนาดไหน

ถ้าถึงจุดที่เราให้นมอื่น คุณแม่คงต้องหานมที่มีรสชาติคล้ายๆ นมแม่ ดังนั้นคงต้องเป็นนมที่อยู่ในกลุ่มของนมสำหรับเด็กทารกนะคะ ช่วงอายุ 6 เดือนแรกนั้นคงจะให้อย่างอื่นมากไม่ได้ ไม่ต้องไปใช้นมที่เติมน้ำตาลหรือปรุงแต่งอะไรนะคะ เพราะนมจะรสชาติต่างจากนมแม่ไปและเริ่มให้แต่น้อย ดูว่าลูกพอใจมากน้อยขนาดไหน ถ้าทำได้ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นทีละน้อย คุณแม่ก็สามารถให้นมลูกได้โดยไม่ต้องใส่ขวดมาให้ลูกดูด ซึ่งโดยภาพรวมแล้วอาจจะเป็นการให้นมที่ถูกต้องที่สุดในยุคปัจจุบันที่เราอยากจะส่งเสริมลูกให้ดื่มนมแม่มากๆ เราจึงไม่อยากให้ลูกไปดูดขวดนม ขวดน้ำต่างๆ เพราะแกจะสับสนได้
ดึกๆ ลูกหายใจครืดคราด เสียงแหบ

คำถาม

กลางดึกประมาณตี 3 ตี 4 ลูกจะมีอาการเหมือนมีเสลดติดคอ หายใจครืดคราด และตื่นมาร้อง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ส่วนมากก็ไม่มีน้ำมูก ปกตินอนเปิดพัดลมเปลี่ยนเป็นห้องแอร์ก็ยังเป็นค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นอาการของโรคหวัดหรือภูมิแพ้หรือเปล่า เพราะแกชอบจามวันละ 7 - 8 ครั้ง และเสียงแหบเวลานอนแล้วตื่นขี้นมาร้อง จะแก้ไขได้อย่างไรคะ เพราะแกจะนอนได้ไม่นานก็ตื่นมาร้อง

คำตอบ

ช่วงเช้ามืด อากาศคงจะเย็นที่สุดนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าเราปรับอากาศ (ไม่ว่าจะเป็นห้องแอร์หรือพัดลม) ในช่วงหัวค่ำ พอถึงตอนเช้าคงต้องปรับอุณหภูมิไปอีกแบบหนึ่ง นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกมีอาการหายใจครืดคราดขึ้นมาได้ ลองปรับอุณไภูมิใหม่ในช่วงกลางคืน อย่าให้เย็นจนเกินไป ขณะเดียวกัน ถ้ามีพวกฝุ่นละอองต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ตัวลูกก็ต้องทำความสะอาดเสียคงจะทำให้ดีขึ้น

เด็กอายุเดือนแรกๆ รูจมูกแกค่อนข้างเล็กมาก และถ้ามีอะไรไปกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือผงต่างๆ หรือสิ่งแปลกปลอมทั้งหลายจะทำให้จมูกบวมขึ้นมาคล้ายๆ จะเป็นหวัดได้ง่าย และจะเหมือนกับหายใจไม่ค่อยออก ถ้าเป็นอยู่สม่ำเสมอ หมอคิดว่าน่าจะปรึกษาแพทย์เช่นเดียวกัน ดูซิว่ามีอาการผิดปกติ เช่น เป็นหวัดหรือเปล่า แต่โดยทั่วไปในเด็กเล็กๆ จะมีอาการอย่างนี้ให้เห็นได้พอสมควร พออายุมากขึ้นสักประมาณ 3 - 4 เดือนรูจมูกใหญ่ขึ้น เวลาหายใจก็จะสบายขึ้นกว่าเดิมค่ะ

นอกจากนั้น เวลาเด็กๆ นอนถ้ามีอะไรมากระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียง แสงต่างๆ แกก็จะนอนไม่สนิท ตื่นขึ้นมาได้บ่อยๆ คุณแม่คงต้องสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ที่แกนอนอีกครั้งนึงนะคะว่ามีสิ่งกระตุ้นต่างๆ ที่หมดพูดหรือไม่ แล้วพยายามจัดที่นอนของแกให้สะอาด และปลอดจากเสียงรบกวนต่างๆ จะช่วยให้ลูกรักของเรานั้นนอนได้นาน

ขอให้คุณแม่โชคดีในการเลี้ยงลูกค่ะ ช่วงเดือนแรกๆ นั้นเป็นมีปัญหาจุกจิกเข้ามาให้กังวลอยู่เรื่อยๆ ขอให้อดทนและค่อยๆ แก้ไขปัญหากันไปนะคะ หมอเชื่อว่าไม่มีอะไรเกินฝีมือคุณแม่หรอกค่ะ

คุณอารีย์ พฤกษ์หอม - ถาม
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร - ตอบ
กินนมตามใจลูกหรือตามตาราง

คำถาม

ลูกกินนมไปแล้วแต่ยังไม่ถึงมื้อต่อไป ก็ร้องจะกินอีก ควรให้กินหรือว่าปล่อยให้ร้องจนกว่าจะถึงเวลามื้อนมต่อไปคะ รู้สึกว่าลูกกินเก่งมาก หรือเป็นเพราะอาเจียนออกมามากก็เลยหิวบ่อย

คำตอบ

เวลาที่ลูกกินนมแล้วหิวเร็ว ก็คงจะเป็นอย่างที่คุณแม่คาดไว้นะคะ ถ้าอาเจียนออกมามาก ปริมาณที่ลูกจะได้นมก็น้อยลงไปอีก ทำให้แกหิวแล้วหิวอีก เพราะฉะนั้นเราคงจะต้องจัดวิธีการดื่มนมให้ดี คุณแม่ไม่พูดถึงเรื่องลูกเรอว่าแกเรอเก่งหรือไม่ เด็กหลายๆ คนเรอไม่เก่ง เพราะฉะนั้นแกจะมาเรอ หรือหาวิธีที่ทำให้ลมออกหลังจากที่ดื่มนมไปแล้ว และเวลาที่แกทำแบบนี้ก็จะมีนมไหลออกมาด้วย ทำให้เราคิดว่าเป็นการอาเจียน

ดังนั้น ลองสังเกตดูว่าเวลาที่ดื่มนมแล้ว ลูกมีความสุขหลังดื่มนมอิ่มมากน้อยขนาดไหน คุณแม่ให้แกเรอแล้ว แกเรอดีหรือเปล่า และหลังจากดื่มนมแล้ว คุณแม่อย่าลืมอุ้มให้แกนอนในท่าที่เอนๆ หน่อย คืออย่านอนราบลงไป ซึ่งจะทำให้โอกาสที่นมจะค้างอยู่ในกระเพาะมีนานกว่าธรรมดาได้

เวลาที่เด็กร้องไห้ บางครั้งไม่ได้เกิดจากการที่แกหิวนมเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่ชอบอาเจียน หมอไม่อยากจะให้แกร้องไห้อยู่นาน แต่คุณแม่คงต้องสังเกตดูว่าครั้งใดลูกร้องโดยไม่ได้เกิดจากการหิวนม เช่น อ้อนให้แม่อุ้ม หรือว่าร้อน หรือมีปัสสาวะอุจจาระแฉะ ดังนั้น การแก้ปัญหาลูกร้องไห้ในอายุ 1 เดือนคงจะมีหลายๆ รูปแบบทีเดียว คงต้องเป็นคนช่างสังเกตสาเหตุของการร้องไห้ของลูกหน่อยนะคะ และก็แก้ไขปัญหาให้เหมาะสม
อาเจียนพุ่งบ่อย

คำถาม

ลูกสาวอายุ 23 วัน น้ำหนักแรกเกิด 3,480 กรัม น้ำหนักปัจจุบัน 4,600 กรัม คลอดโดยวิธีผ่าท้องคลอดก่อนกำหนด 1 สัปดาห์ ตัวเหลือง แต่ไม่ได้เข้าตู้อบ อยู่โรงพยาบาลได้ 3 วัน ก็กลับบ้านได้ ช่วงอยู่โรงพยาบาลกินนมขวด กลับมาบ้านประมาณ 10 วันก็กินนมแม่กับนมขวด

ลูกอาเจียนเกือบทุกครั้งหลังกินนม 1 - 2 ชม. และมักเป็นช่วงที่ลูกตื่นแล้ว เขาจะบิดตัวไปมา หรือช่วงที่ลูกเบ่งอุจจาระ ก็จะมีอาเจียนพุ่งออกมาทั้งทางปากและจมูก ปกติกินนมวันละ 8 มื้อ มื้อละ 3 ออนซ์ พยายามจะเปลี่ยนเป็นมื้อละ 4 ออนซ์ แต่ไม่สำเร็จค่ะ เพราะลูกจะร้องหิวภายใน 2 ชม. หลังกินไปแล้ว อุจจาระมีสีเหลืองแห้งเหมือนยาสีฟัน บางครั้งมีเลือดติดมาด้วย ถ่ายอุจจาระวันละ 1 - 2 ครั้ง แต่จะเบ่งมาก หน้าแดง บางครั้งก็มีอาเจียนพุ่งออกมา

การที่ลูกอาเจียนบ่อยวันละ 3 - 4 ครั้ง บางครั้งพุ่งออกทางจมูก มีลักษณะเป็นก้อนนิ่มๆ เหมือนกะทิบูด ไม่ทราบว่ามีอันตรายหรือไม่ สาเหตุเกิดจากอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง เคยไปปรึกษาคุณหมอ ก็ให้เอาลูกยางแดงคอยดูดออก ไม่ได้ให้กินยาอะไร สงสารลูกมาก กลัวสำลักเข้าปอด

คำตอบ

การอาเจียนรวมทั้งการถ่ายอุจจาระลำบากในเวลาเดียวกัน และน้ำหนักในปัจจุบันที่อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่น่าจะเกิดจากสาเหตุของระบบทางเดินอาหาร (ซึ่งมักสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวที่ไม่ขึ้นในช่วงแรกด้วย) น่าจะเป็นเทคนิคของการให้นมลูก ซึ่งอาจต้องปรับให้เหมาะสมมากกว่า

การที่ลูกอาเจียนออกมาทั้งทางจมูกและปากบ่อยๆ นั้น บางครั้งอาจจะมีปัญหาได้ ถ้าแกอยู่ในท่าที่ไม่ดี ก็อาจสำลักและมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณแม่สังเกตลูกให้ดีๆ คุณแม่ก็พอจะเห็นได้ว่าอาการอะไรที่นำมาก่อนที่ลูก่จะเริ่มอาเจียน และก็จัดท่าลูกให้เหมาะสม คือเป็นท่านอนแล้วก็ตะแคงคว่ำหน้าลงนิดนึง จะช่วยให้การอาเจียนนั้นไม่สำลักได้ อย่าอุ้มลูกขึ้นหรือพยายามเขย่า หรือพยายามหยุดไม่ให้ลูกอาเจียนนั้น อาจจะทำให้แกสำลักมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ

สำหรับสาเหตุของการอาเจียนนั้น ไม่น่าจะเกิดจากการอุดตันหรือมีปัญหาของระบบทางเดินอาหารนะคะ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะมีการอาเจียนเร็วกว่านี้

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่จะเป็นไปได้ น่าจะเกิดจากการแพ้นมวัวที่ลูกกินอยู่ หรืออาจมีสาเหตุทางกายอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง รวมทั้งปริมาณนมที่ดื่มในแต่ละครั้งว่ามากเกินความต้องการของร่างกายหรือเปล่า ถ้าดื่มไปถึง 4 ออนซ์ หมอว่ามากไปในบางครั้งค่ะ

เด็กอายุช่วงเดือนแรกจะมีปัญหาหูรูดของกระเพาะอาหารปิดไม่ค่อยดี ดังนั้นโอกาสที่จะแหวะนม อาเจียนนมก็มีพอสมควร มีนมบางสูตรที่ใช้สำหรับเด็กๆ ที่แหวะง่าย เพราะจะใส่แป้งเข้าไปนิดนึงเพื่อให้หนักท้องและอยู่ท้องมากขึ้น หรือนมบางสูตรจะย่อยโปรตีนไปครึ่งหนึ่ง ทำให้เด็กดื่มนมได้ดีขึ้น เราจะเปลี่ยนไปเป็นนมประเภทใด คุณแม่ลองปรึกษากุมารแพทย์ดีกว่านะคะ

อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้คุณแม่เป็นกังวล เพราะการเจริญเติบโตของลูกยังเป็นปกติ การแก้ไขปัญหาคงไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
หกล้ม 2 เดือนแล้ว หัวยังปูดอยู่

คำถาม

ขณะนี้ลูกชายอายุ 12 เดือน ช่วงเขาอายุ 10 - 11 เดือนหกล้มบ่อย มีอยู่ 2 ครั้งที่แรงและโดนที่เดียวกัน คือกลางหน้าผาก (ล้มหน้าฟาดพื้นกระเบื้องและโต๊ะวางทีวี) ดิฉันเอาน้ำอุ่นมาประคบ ปรากฏว่าหน้าผากลูกช้ำมาก ผ่านไปเกือบ 2 เดือน รอยปูดจากเดิมที่เกือบเท่าลูกมะนาว ก็เล็กลงเหลือประมาณปลายก้อย และมีรอยช้ำเหลือนิดหน่อยจับดูรอยปูดแข็งเหมือนกระดูกเล็กๆ ไม่ทราบว่ารอยปูดนี้กับรอยช้ำที่เหลืออยู่จะจางหายไปหรือไม่ ขณะนี้ลูกร่าเริงแข็งแรงดีค่ะ

คำตอบ

เป็นธรรมดาของเด็กๆ ที่กำลังหัดเดิน จะล้มลุกคลุกคลานอยู่บ่อยๆ และบริเวณสำคัญที่สุดที่ล้มแล้วอาจถูกกระแทกได้ง่าย คือ บริเวณหน้าผากและท้ายทอยซึ่งอาจจะมีบาดแผลเป็นลูกกลมโนขึ้นมาบ้าง อาจจะมีแตกถึงกับมีเลือดออก ต้องเย็บแผลบ้าง

การปฐมพยาบาลที่ต้องทำทันทีที่ลูกล้มลง คือ สังเกตดูก่อนว่า เวลาที่ล้มนั้นลูกร้องไห้ทันทีหรือไม่ ถ้าร้องไห้ทันทีเราก็สบายใจได้หน่อยว่าแกไม่ได้หัวฟาดพื้นรุนแรงถึงหมดสติ จากนั้นก็อาจมีรอยโนเหมือนลูกมะกรูดบริเวณที่ล้มกระแทกพื้นขึ้นมา วิธีแก้ไขก็ให้ใช้น้ำเย็นประคบ ซึ่งคุณแม่คงจะทราบวิธีจัดการแล้วใน 24 ชม.แรก แต่พอพ้นวันแรกไปแล้ว คุณแม่ค่อยไปใช้น้ำอุ่นประคบนะคะ

ขณะเดียวกัน หัวโนที่เกิดขึ้น ถ้ามีรอยฟกช้ำเท่านั้นและมีเพียงน้ำมาคั่งอยู่บริเวณดังกล่าว หัวโนนั้นก็จะยุบไปได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าการกระแทกนั้นรุนแรง มีเลือดออกมาใต้หนังศีรษะ การคั่งของโลหิตนี้ก็ใช้เวลานานกว่าธรรมดาจึงจะหายค่ะ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วเราก็จะไม่ทำอะไรมาก หลังจากที่ประคบเรียบร้อยแล้ว ก็คอยให้เวลาผ่านไป น้ำหรือเลือดที่อยู่ข้างใต้นั้นจะค่อยๆ ซึมหายไปในที่สุด เราจึงพบว่าขนาดจะเล็กลงไปเรื่อยๆ และจะเหลือเป็นก้อนเล็กๆ แข็งๆ ซึ่งเป็นผลสุดท้ายของการมีเลือดออกใต้ผิวหนังบริเวณนั้นนั่นเอง คุณแม่ไม่ต้องกลุ้มใจนะคะ ปล่อยไปเฉยๆ ในที่สุดคุณแม่ก็อาจจะลืมและคลำไม่เจออีกต่อไป เพราะเมื่อลูกเจริญเติบโตขึ้นมา ศีรษะก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก้อนที่เราคลำได้ก็จะเล็กลงไปแล้วก็แบน ในที่สุดก็จะคลำไม่ได้ไปในที่สุดค่ะ

สิ่งสำคัญที่หมออยากฝากไว้ คือ เวลาที่เด็กๆ กำลังหัดเดิน แกจะมีพลังที่จะหาประสบการณ์ใหม่ๆ มากพอดู เพราะฉะนั้น เราน่าจะจัดสถานที่ที่ปลอดภัยให้แกได้ค้นคว้าหาประสบการณ์เหล่านี้ นั่นคือ ต้องดูแลไม่ให้มีเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นขอบเป็นมุมที่กระแทกไปแล้วทำให้เกิดบาดแผล หากมีก็หุ้มเสีย หรือถ้าเลือกเป็นขอบมนได้ก็จะดี พื้นก็ไม่ควรเป็นพื้นแข็ง เวลาลูกล้มลงไปแล้วศีรษะจะไม่โดนกระแทกรุนแรง รวมทั้งไม่ลื่นด้วย

สุดท้าย สิ่งที่หมอคิดว่าสำคัญที่สุดในการดูแลเด็กในช่วงขวบแรก ซึ่งกำลังซน ก็คือเราต้องมองเห็นพฤติกรรมของลูกอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไม่ว่าแกจะเล่นอะไร อยู่ตรงไหน ขอให้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ แต่ถ้าคุณแม่จะต้องแวบออกไปสักแป๊บหนึ่ง ต้องแน่ใจว่าห้องนั้นหรือบริเวณนั้นจะไม่มีอันตรายกับลูกค่ะ

รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร - ตอบ
หกล้มแค่ไหนอันตราย

คำถาม

เด็กวัยนี้ถ้าล้มหัวฟาดพื้น (ไม่แรงมาก) หรือตกจากที่สูงหัวสมองจะกระทบกระเทือนหรือเปล่าคะ และล้มกี่ครั้งถึงอันตรายขนาดนั้นคะ แต่ลูกดิฉันไม่บ่อยค่ะ นานๆ ครั้ง

คำตอบ

เด็กซนๆ มักจะมีล้มหัวฟาดบ้าง แต่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะอาจจะมีอันตรายต่อสมองได้ ไม่มีใครบอกได้ว่าฟาดเบา - หนัก แค่ไหนจะมีอันตราย เพราะขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้น เด็กที่เคยล้มฟาดเมื่อโตขึ้นบางรายก็เรียนดี บางรายก็ปัญญาอ่อน ไม่มีใครบอกได้ ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ
สะดือไม่สวย

คำถาม

สะดือของเด็กจะสวยหรือจุ่นขึ้นอยู่กับการตัดเย็บของหมอหรือเป็นไปตามกรรมพันธุ์คะ

คำตอบ

สะดือของเด็กเป็นไปตามตัวเด็ก ไม่เกี่ยวกับการผูกสายสะดือที่คุณหมอหรือพยาบาลทำให้ค่ะ
ลูกขวบกว่ากินนมเปรี้ยวได้มั้ย

คำถาม

เด็กวัย 1 ขวบกินนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตได้ไหมคะ ถ้าไม่ได้อายุเท่าไรถึงจะเหมาะ เพราะมีคนบอกว่าไม่ดี

คำตอบ

นมเปรี้ยวช่วยระบาย คุณค่าทางอาหารไม่ได้ดีกว่านมปกติอะไร เด็กอายุเกินขวบอาจจะกินนมเปรี้ยวได้ ในปริมาณเท่าๆ กับนมปกติ ราคาจะแพงกว่านมธรรมดา แต่คุณค่าอาหารไม่แตกต่างค่ะ
ช่างเอาแต่ใจตัวเอง

คำถาม

เด็กซนฉลาดจริงรึเปล่า อีกอย่างลูกเอาแต่ใจตัวเองมาก เป็นมาตั้งแต่อายุ 1 ขวบแล้วค่ะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยตามใจลูกเลย เอาอะไรไม่ได้ก็ร้อง อยากได้อะไรก็จะเอาทันทีทันใดเลย ไม่พอใจอะไรก็ร้องไห้ แล้วนอนลงกองกับพื้น บางครั้งก็ซอยขายิกๆ ด้วยค่ะ ดิฉันก็จะไม่โอ๋ไม่อุ้มเขาเลยถ้าเขาเป็นอย่างนี้ จนกว่าเขาจะหยุดแล้วเดินมาหาเอง ทำอย่างนี้ถูกมั้ยคะ เขาจะเป็นเฉพาะวัยนี้เท่านั้นหรือเปล่า เขาได้รับการสอนที่ถูกต้องและเราไม่ตามใจเขาจนเกินไป จะหายไหมคะ มีวิธีการสอนลูกอย่างไรให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล ไม่เอาแต่ใจตัวเอง เข้าใจ และเชื่อฟังพ่อแม่

คำตอบ

เด็กซนไม่ได้หมายความว่าเด็กฉลาด แต่ถ้าการเล่นของเด็กเป็นการสร้างสรรค์ และผู้ใหญ่มีส่วนช่วยแนะนำอาจจะพัฒนาเป็นความฉลาดได้

เด็กวัยนี้จะเอาแต่ใจตัวมาก อย่าตามใจเพราะอาจจะแก้ไขยากภายหลัง วัยนี้เขาพูดจากับเราไม่เข้าใจ เพราะเขาเพิ่งจะหัดพูดได้บางคำ ไม่สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ เช่น อยากได้ของเล่นชิ้นนี้มากที่สุด แม่บอกว่า "มีตั้งหลายชิ้นที่บ้านเรา เปลืองเงินเปล่าๆ สู้เอาเงินไปซื้ออาหารหรือเสื้อผ้าให้ลูกจะดีกว่า" แม่พยายามอธิบาย แต่อายุแค่ขวบครึ่ง เขาไม่เข้าใจว่า เงินหมายถึงอะไร เปลืองแปลว่าอะไร อาหารคืออะไร เสื้อผ้าได้มาอย่างไร เขาไม่รู้ เท่าที่อายุเขาจะทำได้ เขารู้แต่ว่า ของเล่นนี้สีสวย น่าสนใจ อยากเล่นจังเลยนะ แต่เขาก็พูดอธิบายไม่เป็น มีทางเดียวที่แสดงความต้องการคือ แสดงท่าทาง ขัดข้อง ไม่พอใจ ตั้งแต่ส่งเสียงท่าทางอึดอัด บางคนก็ทำมากถึงร้อง บางคนร้องไม่พอฟาดแข้ง ฟาดขา ลงไปดิ้นปัดๆ กริยาจะมากหรือน้อยไม่เหมือนกัน ขึ้นกับการเลี้ยงดูด้วย ขึ้นกับตัวเด็กด้วย

ถ้าพ่อแม่ตามใจทุกครั้ง ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าไม่เหมาะสม เด็กจะทำอีกเรื่อยๆ เพราะทำแล้วสำเร็จ เอาชนะพ่อแม่ได้ทุกครั้ง ต่อไปความต้องการจะมากขึ้นๆ และในอนาคตพ่อแม่อาจจะควบคุมไม่ได้เลย
ดังนั้น เราแก้ไขได้ดวยวิธีละมุนละม่อมไม่ต้องดุด่าเฆี่ยนตี เพียงแต่อธิบายหรือเบนความสนใจไปเรื่องอื่นเสียชั่วขณะ เด็กก็ลืมได้ค่ะ เลิกงอแง จะเอาชนะพ่อแม่ให้ได้
กินข้าวน้อย มื้อละไม่กี่คำ

คำถาม

ลูกก็ไม่ค่อยกินข้าวเหมือนเดิมค่ะ มื้อหนึ่งก็แค่ 5 - 6 คำ (คำเล็กๆ) แม้จะกินนมน้อยลง และก่อนมื้อข้าวจะไม่ให้กินอะไรทั้งนั้น บางทีกินได้คำ 2 คำ ก็บอกว่าอิ่ม ถามหมอเขาบอกว่าไม่เป็นไร เด็กกินนมก็เพียงพอแล้ว โตมาเขาก็กินเอง เพราะเขาก็ร่าเริงไม่งอแง อาหารดิฉันก็ทำทุกอย่างทุกรูปแบบ เขาก็กินน้อยเหมือนเดิม อยากให้คุณหมอแนะนำวิธีด้วยค่ะ

คำตอบ

การกินของลูกก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แต่อายุขวบกว่าอยากให้กินอาหารหลัก เป็นข้าวและกับ 3 มื้อ มีของว่างตอน 10 น. และตอนบ่ายหลังตื่นนอน ส่วนนมควรจะคงไว้ แต่จำนวนขวดอาจจะลดลงบ้าง และควรให้หัดดื่มจากถ้วยบ้าง

ถ้าลดจำนวนนมลง อาจจะทำให้เขากินข้าวได้มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงค่อยทำค่อยเป็นไปค่ะ ไม่มีอะไรซีเรียสกับเรื่องอาหาร
อายุขวบกว่าชอบดูทีวี

คำถาม

ลูกสาวอายุ 1 ขวบ 5 เดือนค่ะ น้ำหนักประมาณ 10.5 กก. ถือว่าน้อยไหมคะ พัฒนาการปกติ คุยเก่ง ร่าเริงแจ่มใส ซนมาก ชอบดูทีวี โดยเฉพาะโฆษณาจะจำได้หมด

คำตอบ

เด็กอายุขวบ 5 เดือน น้ำหนักขนาดนี้ถือว่ากลางๆ ค่ะ ไม่อ้วนไม่ผอม ที่ไม่อ้วนก็อธิบายได้ เพราะคุณแม่บอกว่าไม่อยู่นิ่ง ซน เด็กไทยยุคนี้ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ซนกันจังเลย ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร เห็นจะเป็นเพราะวิถีชีวิตคนไทยรีบเร่งกันจัง ทำอะไรเนิบๆ นาบๆ แบบรำไทยหรือฟ้อนรำไม่เป็น แต่จะทำอะไรเร็วๆ กันเสมอ จังหวะเพลงที่ปรากฏทางทีวี วิทยุ วิดีโอล้วนแต่จังหวะเร็วๆ ทั้งนั้น แม้คำพูดประโยคจะสั้นลง ห้วนๆ ไม่ค่อยมีคำลงท้าย ทุกอย่างเป็นแม่แบบเด็กรุ่นใหม่ที่เขาจะเลียนแบบ นอกเหนือจากพ่อแม่ พี่เลี้ยง ทีวี และสื่อต่างๆ

ชีวิตความเป็นอยู่ ก็ขาดซึ่งธรรมชาติ และสีเขียวจากแมกไม้ สนาม ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ นก ผีเสื้อที่คู่มากับชีวิตเด็กไทยๆ เดี๋ยวนี้เด็กจะเห็นแต่ฝาบ้าน คอนกรีต เครื่องไฟฟ้าต่างๆ อารมณ์อ่อนโยนตามธรรมชาติจะมีน้อยลง แต่เด็กจะคุ้นกับวัตถุมากขึ้น เพราะฉะนั้น คศ.2000 นี้ เด็กรุ่นใหม่คงจะแตกต่างกว่ารุ่นเดิม ดูเหมือนเขาฉลาดมากขึ้น เรียนรู้เร็ว ตัดสินใจเร็ว แต่ความละเอียดอ่อนและการรักธรรมชาตินั้นอาจจะผันแปรไป

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

แผลผ่าคลอดอักเสบ

คำถาม

ดิฉันคลอดลูกสาวโดยการผ่าทางหน้าท้อง หลังผ่าตัดได้ประมาณเกือบ 1 เดือน ดิฉันมีอาการปวดท้องน้อยบริเวณมดลูกมาก พอสัก 1 สัปดาห์ต่อมาก็บวมแดงแบบมีหนองข้างใน ไปหาหมอสูติฯ แถวบ้าน (ไม่ได้ไปหาหมอคนที่ผ่าตัดให้เพราะไปคลอดไกล) เขาก็กรีดเอาหนองออก แล้วมาให้ยาทำแผลทุกวัน
หมอสูติฯ แถวบ้านเขาบอกว่าเย็บไม่ดี เหลื่อมชั้นผิวหนังบริเวณไขมันหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ดิฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ พักหลังพอแผลหายสนิทผ่านไป 9 - 10 เดือน แล้วเวลากดดูก็ยังเจ็บอยู่ วันดีคืนดีก็ปวดจี๊ดๆ บริเวณล่างๆ ของแผล (แต่ไม่ใช่บริเวณแผล) ดิฉันจะทำอย่างไรดี เพราะกลัวต้องกรีดใหม่หมด แล้วเย็บใหม่

คำตอบ

คุณแม่น้องแก้วใหญ่โชคไม่ดีที่หลังคลอดโดยการผ่าตัดได้ประมาณ 1 เดือน แผลเกิดอักเสบขึ้นมา คงเป็นการอักเสบในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง อาจจะเกิดจากการติดเชื้อมีเศษเลือดหรือเนื้อเยื่อที่ตายค้างอยู่ในแผลทำให้เกิดการย่อยสลายกลายเป็นหนองขังอยู่ในแผล ร่างกายพยายามขับหนองเหล่านี้ออกจากแผล จึงได้เกิดอาการปวดบวม แดงร้อน บริเวณแผล การรักษาทำได้ง่ายมากโดยการกรีดปากแผลระบายหนองออกให้หมด ล้างแผลให้สะอาดทุกวัน พอหนองหมอแผลก็จะติดกันเอง

หลังแผลหายไป 9 - 10 เดือนแล้วกดดูยังเจ็บอยู่ แต่คงเจ็บไม่มาก น่าจะเป็นอาการตึงๆ ของแผลเป็นมากกว่า เพราะเนื้อแผลเป็นจะมีลักษณะแข็งเป็นไตไม่ยืดหยุ่นหรือนิ่มเหมือนผิวหนังปกติ เส้นประสาทที่เชื่อมกันบริเวณรอยผ่าตัดอาจจะยังไม่มีผิวหนังปกคลุมดีพอ เมื่อคุณไปกดแรงๆ ก็อาจรู้สึกเจ็บได้

สำหรับอาการเจ็บจี๊ดๆ บริเวณส่วนล่างของแผล อาจเป็นอาการปวดเนื่องจากมีพังผืดเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดบริเวณอุ้งเชิงกราน ที่พบบ่อยในรายที่มีการผ่าตัดทำคลอดมักจะเป็นพังผืดบริเวณกระเพาะปัสสาวะยึดติดกับมดลูก ทำให้บางครั้งเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย มดลูกจะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย อาจไปดึงรั้งพังผืดที่ยึดติดกับกระเพาะปัสสาวะหรือเยื่อบุผนังช่องท้องทำให้รู้สึกปวดจี๊ดๆ ได้ ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่เคยผ่าตัดช่องท้อง คงไม่ใช่มีอาการอักเสบจนต้องมากรีดแผลกันใหม่หรอกครับ นี่ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของการผ่าตัดทำคลอด อาการจี๊ดๆ ที่เกิดขึ้นอาจเกิดเป็นครั้งคราวตลอดชีวิต ถึงไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่ก็ทำให้รู้สึกรำคาญและกังวลใจพอสมควร ในขณะที่การคลอดเองทางช่องคลอดจะไม่เกิดอาการเหล่านี้เลยครับ

แม่น้องแก้วใหญ่ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
ปวดนิ้วหัวแม่มือ

คำถาม

ดิฉันตั้งครรภ์ได้ประมาณ 7 เดือน จะมีอาการผิดปกติของนิ้วหัวแม่มือขวาและบริเวณข้อมือด้านหัวแม่มือ มีอาการเจ็บมาก ปวดร้าว และนิ้วหัวแม่มือจะงอไม่ได้ และตอนนี้ถึงแม้จะคลอดแล้วอาการเจ็บนั้นยังคงอยู่ เคยถามแพทย์ที่ฝากท้องก็บอกว่าจะเกิดได้กับคนท้องบางคน แต่จะหายเองหลังคลอด ดิฉันก็รอมานานจะครบเดือนหลังคลอดอีก 4 - 5 วันนี้แล้ว อาการก็ยังไม่หายเลยค่ะ ดิฉันต้องพยายามเขียนหนังสือฉบับนี้นานมากประมาณ 2 วันค่ะ เพราะถ้าปวดจะหยุดเขียนทันที
สิ่งที่ต้องการทราบคือ เกิดจากอะไรถึงทำให้เป็นเฉพาะมือขวาและต้องทำอย่างไร มียาหรือการบริหารข้อมืออย่างไรให้หาย และเมื่อไรจะหายเป็นปกติ เพราะกลัวต้องผ่าตัดข้อมือเหมือนพี่ข้างบ้านที่คุณหมอบอกว่ามีแคลเซียมเกาะ ตอนนี้ดิฉันต้องเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเอง บางครั้งทรมานมากค่ะ

คำตอบ

น่าเห็นใจมากนะครับที่คุณมีอาการปวดมือขวา ซึ่งบังเอิญเป็นมือข้างที่ถนัดซะด้วย หลังคลอดคุณแม่มีภารกิจมากมายในการเลี้ยงดูลูกอ่อน ไม่ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ อุ้มลูก สารพัดงานจิปาถะ รวมทั้งงานแม่บ้านที่ต้องทำเป็นประจำ ทำให้มือขวาต้องใช้งานมากขึ้นกว่าตอนท้องซะอีก

ปกติเนื้อเยื่อของร่างกายจะมีการสะสมน้ำและไขมันเพิ่มขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ บริเวณข้อมือและฝ่ามือทั้งสองข้างจะได้รับผลกระทบจากเนื้อเยื่อที่บวมขึ้นได้ง่ายกว่าที่อื่น เพราะเส้นประสาทที่มาจากแขนจะลอดผ่านช่องเล็กๆ บริเวณข้อมือก่อนมาเลี้ยงฝ่ามือ เมื่อเนื้อเยื่อบวมขึ้นจะไปเบียดช่องเหล่านี้ให้เล็กลง ทำให้เส้นประสาทที่ลอดผ่านมาถูกเบียดไปด้วยทำให้เกิดอาการชาบริเวณฝ่ามือและข้อมือ โดยเฉพาะทางด้านนิ้วหัวแม่มือจะชามากกว่าทางด้านนิ้วก้อย บางครั้งอาจเกิดอาการปวดข้อมือหรือฝ่ามือได้ อาจเป็นเพียงมือเดียวหรือทั้งสองมือก็ได้

ของคุณบังเอิญเป็นมือขวาทำให้รู้สึกทรมาน เนื่องจากเป็นมือข้างที่ต้องใช้งานเป็นประจำ ปกติหลังคลอดแล้วเมื่อเนื้อเยื่อยุบบวมกลับเข้าสู่ปกติ อาการซึ่งเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับเหล่านี้ก็จะหายไปได้เอง ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาถึง 3 - 4 เดือนทีเดียว คุณลองชั่งน้ำหนักตัวดูก็แล้วกัน ถ้าน้ำหนักตัวเริ่มลดลงมาใกล้เคียงกับตอนก่อนตั้งครรภ์ อาการปวดข้อมือก็คงจะหายครับ ระหว่างนี้ก็ควรที่จะไปพบแพทย์ทางด้านศัลยกรรมกระดูก เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดและขอยาระงับปวด หรือยานวดให้กล้ามเนื้อคลายตัวลงก็ได้ เรื่องการบริหารคงไม่จำเป็น

ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามลดการใช้งานมือข้างที่ปวดลง โดยใช้อีกมือช่วยทำงาน พยายามใจเย็นๆ รออีกนิดก็คงหายปวดแน่นอน ในรายเพื่อนของคุณที่ต้องผ่าตัด คงเนื่องจากได้รับบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบของข้อมากกว่า ในกรณีของคุณคงไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรอกครับ

คุณแม่อยากทราบและกังวลอยู่ค่ะ - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ - ตอบ
ทำแท้งเกิน 2 ครั้ง

คำถาม

การทำแท้งถ้าเกิน 2 ครั้ง จะเป็นอันตรายไหมและมีผลอย่างไร
ป.ล.ไม่ทราบว่าสมควรหรือเปล่าที่ถามแบบนี้ เพราะมันไม่ดีสำหรับคุณแม่เพิ่งจะตั้งครรภ์

คำตอบ

การทำแท้งไม่ว่าจะทำเพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็เสี่ยงต่ออันตรายทั้งนั้นแหละครับ ถึงแม้จะทำโดยแพทย์ปริญญา หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชก็ตาม ทุกวันนี้ยังมีสตรีที่ทำแท้งแล้วติดเชื้อหรือตกเลือดเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกวัน คุณอรชุมาลองคิดดูก็แล้วกันว่าในคลินิกทำแท้งมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ในฐานะที่คุณเคยมีประสบการณ์ในการทำแท้งมาแล้ว คุณจะหวังให้แพทย์ที่ประกอบอาชีพในทางนี้คอยห่วงใยสุขภาพและความปลอดภัยของคุณคงจะยากสักหน่อย เพราะมันกลายเป็นเรื่องของธุรกิจไปซะแล้ว

ถ้าคุณอรชุมาต้องการทำแท้งแบบไม่เจ็บ แพทย์ที่จะทำแท้งให้คุณนั่นแหละครับที่จะสวมวิญญาณของวิสัญญีแพทย์ฉีดยาสลบให้คุณโดยที่ไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งทางด้านการดมยาสลบแม้แต่น้อย เครื่องมือดมยาสลบก็ไม่มี ถ้าเกิดโชคไม่ดีคุณเกิดอาเจียน หรือสำลักเศษอาหารเข้าหลอดลม ผมก็นึกไม่ออกว่าในสถานที่เช่นนั้นจะช่วยเหลือกันอย่างไร

ก่อนการทำแท้งคุณอรชุมาก็คงทราบแล้วนะครับว่าไม่มีการเจาะเลือดตรวจใดๆ ทั้งสิ้นว่ามีเลือดจางหรือไม่ มีโรคติดเชื้ออะไรหรือเปล่า ไม่ว่าจะโรคซิฟิลิส โรคตับอักเสบหรือแม้แต่โรคเอดส์ กี่คนๆ ก็ทำแท้งกันที่บนเตียงนี้และด้วยเครื่องมือเท่าที่มี ซึ่งไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าผ่านการฆ่าเชื้อโรคที่ได้มาตรฐานหรือไม่ คลินิกทำแท้งจะเป็นแหล่งแพร่โรคเอดส์อีกแหล่งหนึ่งหรือไม่ก็ยังไม่มีผู้ใดทำวิจัยไว้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวละครับ ถ้าทำแท้งแล้วเกิดภาวะแทรำซ้อนขึ้นมา ไม่ว่าจะตกเลือดหรือติดเชื้อก็เป็นหน้าที่ของแพทย์ตัวจริงที่อยู่ในโรงพยาบาลละครับ ที่จะคอยรักษาภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ต่อไป

ที่กล่าวมานี้คงพอจะเป็นคำตอบนะครับว่าการทำแท้งจะมีอันตรายหรือไม่ อย่างไรก็ตามสำหรับสังคมบ้านเราที่ยังมีการมั่วสุมทางเพศ และขาดเพศศึกษาที่ถูกต้อง คลินิกทำแท้งก็ยังเป็นทางออกอีกทาง สำหรับสตรีที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร เพียงแต่เป็นทางออกที่เสี่ยงต่ออันตรายและเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ทางที่ดีควรป้องกันการตั้งครรภ์ในเมื่อยังไม่พร้อมจะดีกว่า

ปล. ปัญหาของคุณอรชุมาเป็นคำถามที่มีประโยชน์มากครับ และผมเชื่อว่ามีสตรีอีกเป็นจำนวนมากที่อาจประสบปัญหาเช่นเดียวกับคุณ คำตอบที่ได้รับอาจช่วยในการตัดสินใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะสำหรับคุณแม่ที่ยังลังเลว่าจะจัดการปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นอย่างไรดี

อรชุมา - ถาม
นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ ตอบ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ท้องนอกมดลูก

คำถาม

ตอนนี้ดิฉันเพิ่งคลอดลูกชายได้ 4 เดือนกว่าแล้ว ก่อนที่จะมีลูกคนนี้ ช่วงมกราคม 2540 ดิฉันท้องนอกมดลูก ตอนนั้นไม่ทราบค่ะ พอประมาณ 2 เดือนเริ่มปวด แล้วก็เกือบเสียชีวิต ไปไม่ทันให้คุณหมอรักษา พอถึงคุณหมอก็ผ่าตัดทันทีเลย ดิฉันเสียใจมากเพราะอยากมีลูกมาก อยากทราบว่าการที่ท้องนอกมดลูกเกิดจากสาเหตุอะไร สืบเนื่องจากเคยทำแท้งมาก่อนหรือไม่ (ดิฉันเคยทำแท้งก่อนแต่งงาน)

คำตอบ

คุณอรชุมาโชคดีมากที่รอดพ้นจากการเสียชีวิตจากท้องนอกมดลูกแล้วยังสามารถตั้งครรภ์ปกติจนมีบุตรชายอายุ 4 เดือนแล้ว คนอื่นๆ อีกหลายคนที่ไปทำแท้งมาอาจจะไม่โชคดีแบบนี้เสมอไปก็ได้นะครับ
สาเหตุของท้องนอกมดลูกมีมากมายหลายสาเหตุ โดยปกติเมื่อมีการตกไข่เกิดขึ้นในแต่ละรอบเดือน ฟองไข่ที่ตกออกมาจะถูกดูดเข้าไปในท่อนำไข่ ขณะเดียวกันตัวอสุจิก็จะเดินทางผ่านปากมดลูกเข้ามาในโพรงมดลูกและเข้ามาในท่อนำไข่ จนเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ที่ท่อนำไข่นั่นเอง

ตอนก่อนปฏิสนธิยังไม่มีปัญหา เพราะตัวอสุจิมีทางสามารถแหวกว่ายฟันฝ่าอุปสรรคเข้ามาที่ท่อนำไข่ได้ แต่หลังจากปฏิสนธิแล้วหางของตัวอสุจิก็หลุดไป ส่วนหัวของอสุจิก็เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ซึ่งเป็นฟองกลมๆ เคลื่อนไหวเองไม่ได้ การตั้งครรภ์ที่ปกติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อไข่ที่ถูกผสมแล้ว ถูกพัดโบกโดยเซลล์ที่มีลักษณะคล้ายๆ เส้นขนที่บุอยู่ภายในท่อนำไข่ช่วยกันพัดให้ไข่ค่อยๆ กลิ้งจนเข้ามาในโพรงมดลูก ไข่ก็จะพยายามเกาะติดผนังมดลูกเพื่อเจริญเติบโตเกิดการตั้งครรภ์ต่อไป

แต่บังเอิญท่อนำไข่มีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เคยมีการอักเสบมาก่อนจากการติดเชื้อหรือจากการทำแท้งก็อาจทำให้เซลล์ที่คอยทำหน้าที่พัดโบกไข่ชำรุดเสียหาย ทำให้ไข่ไม่ถูกพัดโบกเข้าไปในโพรงมดลูก ยังคงค้างอยู่ที่ท่อนำไข่ ไข่ก็เลยจำเป็นต้องฝังตัวที่ท่อนำไข่ เกิดท้องนอกมดลูกขึ้นมา

ภาวะท้องนอกมดลูกเกิดได้หลายที่ บางครั้งไข่ที่ถูกผสมแล้วอาจจะหล่นไปในช่องท้อง ก็อาจจะไปฝังตัวตามที่ต่างๆ เกิดเป็นการตั้งครรภ์ที่รังไข่ ในช่องท้อง หรือเกาะติดกับลำไส้ก็ได้ นอกจากนี้ในรายที่ผ่าตัดแก้หมัน การผสมเทียมหรือการทำเด็กหลอดแล้วชนิดต่างๆ รวมทั้งในรายที่คุมกำเนิดแล้วพลาดก็มีโอกาสเกิดท้องนอกมดลูกได้ทั้งสิ้น

สำหรับคุณอรชุมาน่าจะพอสันนิษฐานได้ว่าการเกิดท้องนอกมดลูกอาจเป็นผลจากที่เคยทำแท้งมาก่อนก็ได้ครับ

คำถาม

ตอนนี้ลูกชายก็ 4 เดือนกว่าแล้ว เมนส์ยังไม่มาเลยจะมีสิทธิ์ท้องไหมคะ เพราะไม่ได้กินยาคุมค่ะ เพราะไม่รู้จะเริ่มกินอย่างไรดี

คำตอบ

หลังจากคลอดบุตรประมาณ 1 เดือน ก็สามารถมีไข่ตกได้ตามปกติและสามารถตั้งครรภ์ได้อีก ดังนั้นก็ควรเริ่มรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดได้เลย โดยเฉพาะถ้าคุณอรชุมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็จะสามารถคุมกำเนิดโดยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงประมาณ 6 เดือน เพราะฮอร์โมนที่สร้างน้ำนมจะไปกดการทำงานของรังไข่ไม่ให้มีไข่ตกตามปกติ ทำให้ไม่ตั้งครรภ์และไม่มีประจำเดือนในระหว่างที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณอรชุมาไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โอกาสตั้งครรภ์ก็มีสูงทีเดียว คงต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ต่อไปครับ

คำถาม

ถ้าคุณหมอตรวจทราบก่อนว่าท้องนอกมดลูกคุณหมอจะช่วยเราได้อย่างไร โดยไม่ต้องผ่าตัดในกรณีที่ยังไม่ปวดเพราะมีเลือดออกในช่องท้องน่ะค่ะ เพราะถ้าไม่ไปหาหมอให้คุณหมออัลตร้าซาวนด์ดูส่วนมากจะไม่ทราบท้องนอกมดลูก

คำตอบ

การท้องนอกมดลูกถือว่ามีอันตรายสูง และเป็นเรื่องที่แพทย์จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างรีบด่วน เพราะตัวเด็กที่อยู่นอกมดลูกจะโตขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ท่อนำไข่ซึ่งธรรมชาติไม่ได้สร้างมาให้ขยายตัวได้มากเหมือนมดลูกเกิดการฉีกขาด ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและมีการตกเลือดในช่องท้องจนเสียชีวิตได้ การรักษามีวิธีเดียวละครับคือการผ่าตัด แต่ละเป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้องหรือผ่าตัดผ่านกล้อง โดยเจาะรูเล็กๆ ที่บริเวณหน้าท้องประมาณ 3 รู ก็ขึ้นกับอาการและปริมาณเลือดที่อยู่ในช่องท้อง รวมทั้งความชำนาญหรือความถนัดของแพทย์ที่ให้การรักษา

ปัจจุบันได้มีการรักษาโดยวิธีฉีดยาบางชนิดเข้าไปเพื่อให้เนื้อรกตายและถูกดูดซึมไปในที่สุดโดยไม่ต้องผ่าตัดปีกมดลูกทิ้งไป แต่ผลการรักษายังไม่เป็นที่น่าพอใจ และยาที่ฉีดเป็นสารเคมีบำบัดชนิดหนึ่งซึ่งมีอันตรายสูง จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม

คุณอรชุมาไม่ต้องเสียดายปีกมดลูกที่ถูกตัดทิ้งไปหรอกครับ เพราะถึงถูกตัดทิ้งไปก็ยังเหลืออีกข้างหนึ่งซึ่งยังสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ยกเว้นถ้าเกิดเป็นซ้ำอีกข้าง แพทย์ก็อาจพิจารณาผ่าตัดท่อนำไข่ทิ้งไปเพียงบางส่วนและพยายามซ่อมแซมต่อส่วนที่เหลือเข้าด้วยกัน แต่ด้วยเทคโนโลยีทางด้านการเจริญพันธุ์ในสมัยปัจจุบัน ถึงคุณอรชุมาจะถูกตัดปีกมดลูกหมดทั้ง 2 ข้าง ก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้โดยวิธีทำเด็กหลอดแก้วซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยท่อนำไข่เลย แต่ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูงหน่อยครับ
กินนมแม่ตอนท้องอีก

คำถาม

ดิฉันมีลูกชายอายุขวบกว่า กินนมแม่มาตลอด ตอนนี้ดิฉันเพิ่งเริ่มตั้งท้องคนที่สอง ลูกคนโตยังกินนมแม่อยู่ จะเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ไหมคะ ควรให้ลูกคนโตหย่านมไหมคะ

คำตอบ

การให้นมแม่เป็นสิ่งที่ดีแล้ว คือมีประโยชน์ต่อคุณและบุตร แต่ไม่ควรให้ทานต่อไปโดยเฉพาะเมื่อเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นอีก เนื่องจากการดูดนมของทารกแต่ละครั้งจะมีการกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารออกซีโตซิน เพื่อให้มีการบีบตัวของท่อน้ำนมหลั่งนมให้เด็กดูดทุกครั้ง สารออกซีโตซินนี้จะทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวด้วย ซึ่งอาจมีผลให้มดลูกบีบตัวบ่อยและอาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ เพราะฉะนั้นน่าจะงดการให้นมของคุณได้จะเป็นการดี เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดก่อนกำหนด
สัญญาณคลอดก่อนกำหนด

คำถาม

อยากทราบว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์กี่เดือนถึงจะเป็นอันตราย และน้ำหนักเด็กคลอดก่อนกำหนดที่น้อยที่สุดที่อยู่รอดปลอดภัยเท่าไรคะ
อาการอย่างไรคะ ที่เป็นสัญญาณว่าจะคลอดก่อนกำหนด

คำตอบ

คำว่าคลอดก่อนกำหนด หมายถึง การคลอดก่อนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ หรืออีกนัยหนึ่งคือคลอดระหว่างอายุครรภ์ 20 - 34 สัปดาห์ น้ำหนักเด็กก็จะน้อยลงตามอายุครรภ์ที่น้อยลงไป อันตรายที่จะเกิดกับเด็กก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเด็ก คือถ้ายิ่งน้อยอันตรายก็ยิ่งมากขึ้น โดยปกติถ้าคลอดหลังอายุครรภ์ 34 สัปดาห์โอกาสทารกรอดและปลอดภัยจะสูง แต่ถ้าต่ำกว่า 34 สัปดาห์ โอกาสรอดและความปลอดภัยจะลดลงตามลำดับ ส่วนเรื่องน้ำหนักถ้าหนักระหว่าง 2,000 - 2,500 กรัม โอกาสปลอดภัยค่อนข้างสูง คือเกือบเท่าเด็กคลอดครบกำหนด

แต่อย่างไรก็ตามสมัยนี้แพทย์มียาบางอย่างช่วยให้ทารกน้ำหนักน้อยหรือคลอดก่อนกำหนดมากๆ ให้รอดและปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุการตายของทารกจากการคลอดก่อนกำหนดมักเนื่องจากปอดไม่เจริญเติบโตเต็มที่  ยาที่ให้จะไปเร่งให้ปอดเจริญเติบโตเร็วขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ช่วยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นถ้าป้องกันไม่ให้คลอดก่อนกำหนดได้จะเป็นการดี

การทราบอาการและอาการแสดงหรือสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนดย่อมเป็นวิธีหนึ่งของการป้องกันไม่ให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด นับว่าเป็นคำถามที่ดีมาก อาการต่างๆ มีดังนี้ คือรู้สึกถ่วงๆ ในท้องน้อย ปวดหลังบริเวณกระเบนเหน็บ รู้สึกคล้ายปวดประจำเดือนหรือมดลูกบีบตัวหรือเกร็งบ่อย บางครั้งอาจมีเลือดหรือมูกเลือดออกทางช่องคลอด ถ้ามีอาการดังกล่าวนี้ควรปรึกษาแพทย์จะได้ช่วยได้ทัน ถ้าช้าโอกาสที่จะห้ามการคลอดยิ่งน้อยลง
น้ำหนักขึ้นเท่าไรดี

คำถาม

ตอนนี้ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว ทานอาหารได้น้อยเมื่อเทียบกับก่อนตั้งครรภ์ แต่น้ำหนักขึ้นมากเดือนนี้ขึ้นรวดเดียว 3.5 กก. ผิดปกติไหมคะ แล้วจริงๆ น้ำหนักแม่ตั้งครรภ์ควรขึ้นเท่าไรตลอดช่วงตั้งครรภ์ ควรจะขึ้นมากเดือนไหนคะ

คำตอบ

เป็นคำถามที่น่าสนใจและสำคัญเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ไม่ค่อยมีคนถามปัญหานี้มานานแล้ว จะขออธิบายก่อนว่าการที่น้ำหนักขึ้นระหว่างตั้งครรภ์นั้น น้ำหนักจะเพิ่มจากอะไรบ้าง น้ำหนักส่วนที่เพิ่มได้จากการเพิ่มขนาดของมดลูก เต้านม ปริมาณเลือด ปริมาณน้ำในร่างกาย รก น้ำคร่ำ ตัวเด็ก เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการเพิ่มของน้ำหนักมีความสำคัญแค่ไหน ถือว่าเป็นการบอกถึงการเพิ่มหรือเจริญของส่วนต่างๆ ดังกล่าว เช่น ถ้าน้ำหนักเพิ่มน้อยไป ก็อาจแสดงถึงว่าเด็กเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ ถ้ามากไปอาจแสดงว่าเด็กตัวโตไป หรือครรภ์แฝดน้ำ หรือครรภ์แฝด หรือมีการคั่งของน้ำในร่างกายมากไป ก็เป็นการแสดงที่ผิดปกติคืออาจจะเป็นโรคที่เรียกว่าพิษแห่งครรภ์ได้

การเพิ่มของน้ำหนักที่เหมาะสมได้มีการศึกษาพบว่า ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์จนครบกำหนด โดยทั่วไปเฉลี่ยควรเพิ่มประมาณ 12.5 กิโลกรัม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักมารดาก่อนตั้งครรภ์ว่าหนักไป พอดี หรือน้อยไป คือถ้าน้ำหนักมาก การเพิ่มก็อาจต้องน้อยกว่า 12.5 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักน้อยก็อาจเพิ่มมากกว่านี้ จึงจะได้เด็กที่เจริญปกติมารดาปราศจากโรคแทรก

การเพิ่มของน้ำหนักในห้าเดือนแรกส่วนมากจะยังเพิ่มน้อย โดยเฉลี่ยประมาณ 300 กรัมต่อสัปดาห์ แต่ในสามเดือนแรกอาจน้อยกว่านี้เนื่องจากมีการแพ้ท้อง บางรายอาจไม่เพิ่มหรือลดก็ได้ แต่หลังห้าเดือนแล้วน้ำหนักควรเพิ่มประมาณ 400 - 450 กรัมต่อสัปดาห์และเมื่อใกล้คลอดจะค่อยๆ เพิ่มน้อยลง หรืออาจไม่เพิ่มเมื่อครรภ์ครบกำหนด โดยเฉพาะถ้าเกินกำหนดน้ำหนักอาจลดลงได้

เพราะฉะนั้นจากที่กล่าวมานี้ น้ำหนักของคุณเพิ่ม 3.5 กก. ต่อเดือนนับว่ามากไป ถือว่าผิดปกติ ควรปรึกษาสูติแพทย์

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

8 วิธีเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อย

ทักทาย...
การที่คุณพ่อคุณแม่มุ่งหวังที่จะส่งเสริมลูกน้อยวัยขวบปีแรกให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดได้นั้น ก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ และไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมแต่อย่างใด เพราะจากผลงานวิจัยหลายต่อหลายชิ้นของนักวิชาการก็ได้พิสูจน์แล้วว่า พันธุกรรมไม่ได้มีผลต่อความฉลาดของมนุษย์เราแต่เพียงอย่างเดียว ทว่าปัจจัยทางด้านอาหาร ดนตรี และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เหมาะสมก็จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่เติบโตไปเป็นเด็กที่มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ได้ด้วยเช่นกัน

หากคุณพ่อคุณแม่คิดว่าการที่เราจะกระตุ้นสมองของลูกรักตามตำราแล้วจะเหนื่อยเปล่านั้น อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งกลุ่มทำงานที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสติปัญญาพบว่า ทั้งสองปัจจัยมีความสำคัญต่อความฉลาดของเด็กเท่าๆ กัน

นั่นหมายความว่า แม้พันธุกรรมจะเป็นสิ่งสำคัญต่อความฉลาดของเด็ก ทว่าวิธีการเลี้ยงดูลูกของคุณพ่อคุณแม่ที่เหมาะสม ก็จะสามารถพัฒนาสติปัญญาของลูกน้อย ให้ชาญฉลาดได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลูกน้อยอยู่ในวัยแรกเกิดจนถึง 3 ปี สมองของลูกในช่วงวัยนี้ กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เส้นใยประสาทอันซับซ้อนที่อยู่ภายในสมองของลูกรักจะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่เริ่มโตวันโตคืน และหากคุณพ่อคุณแม่กระตุ้นการเรียนรู้ของลูกอย่างถูกวิธีแล้ว เซลล์สมองของลูกน้อยก็จะสานต่อกันจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งอย่างไม่หยุดยั้ง และการเชื่อมต่อของเซลล์สมองที่เป็นร่างแหเครือข่ายอันแน่นหนานี้ จะส่งผลดีต่อการพัฒนาความคิดและสติปัญญาของลูกน้อยต่อไปในอนาคต

ดังนั้น ทุกบททุกตอนของการเลี้ยงดูลูกในวัยนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาอาหาร ดนตรี และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จึงล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นได้ด้วยกันทั้งสิ้น

อาหารช่วยพัฒนาสมอง

การรับประทานอาหารของเด็กทารกที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโตนั้น เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรพิถีพิถันให้ความเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะถ้าลูกน้อยขาดสารอาหาร หรือได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนนั้น นอกจากจะมีผลต่อพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้ลูกมีร่างกายแคระแกรน ไม่เจริญเติบโตสมวัยเท่าที่ควรแล้ว การขาดสารอาหารยังมีผลต่อการเรียนรู้ของลูกน้อยด้วย จากงานวิจัยพบว่า เด็กทารกที่ขาดสารอาหารจะทำให้กระบวนการคิด และการเรียนรู้ของเด็กบกพร่องไป

เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกน้อยได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางด้านโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ทุกวันเป็นประจำ เพื่อลูกน้อยจะได้เติบโตเป็นเด็กที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งนี้สารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายและสมองของลูกน้อยนั้นมีมากมาย อาทิ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม สังกะสี และทอรีน

ในส่วนของทอรีนนั้น จัดเป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาระบบการทำงานของสมอง และสายตาของลูกน้อยให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นถ้าเด็กในวัยเจริญเติบโตขาดสารอาหารประเภททอรีนแล้ว จะทำให้เด็กเกิดภาวะบกพร่องทางด้านสมอง เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ช้า และสายตาของเด็กยังจะไม่ดีอีกด้วย

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกน้อยที่อยู่ในวัยที่สามารถรับประทานอาหารเสริมได้แล้ว มีโอกาสได้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารประเภททอรีนในปริมาณที่เพียงพอต่อการพัฒนาสมอง และสายตาให้เกิดความสมบูรณ์ ซึ่งอาหารที่มีทอรีนมากนั้นสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จาก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล หรือปลาประเภทต่างๆ

ทั้งนี้ ในส่วนของน้ำนมแม่นั้น ปกติแล้วก็มีทอรีนที่ช่วยพัฒนาสมองและสายตาของทารกในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว ทว่าในกรณีที่มีคุณแม่บางท่านมีน้ำนมน้อย หรือไม่สามารถให้น้ำนมแม่กับลูกได้ ก็อาจให้ลูกน้อยรับประทานนมผสมที่มีทอรีนเป็นส่วนผสมเป็นการทดแทน ทว่าการเลือกผลิตภัณฑ์นมผสมชนิดใดก็ตาม คุณแม่ควรพิจารณาเลือกชนิดและขนาดของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับอายุ ตลอดจนน้ำหนักตัวของลูกน้อยด้วย

เคล็ดลับเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อย

นอกจากสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาสมองของลูกรักแล้ว การจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของลูกน้อยก็เป็นสิ่งจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยเหมือนกัน และเคล็ดลับทั้ง 8 วิธีเหล่านี้จะเป็นกลวิธีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้พัฒนาศักยภาพทางสติปัญญาของลูกน้อยให้มีประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่

1.โอกาสแห่งการเรียนรู้

จากการศึกษาของนักประสาทวิทยา พบว่าในช่วงที่เด็กทารกอยู่ในวัย 6 เดือนแรกของชีวิต เซลล์ประสาทตาและการรับภาพของเด็กทารกจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการเรียนรู้ภาษา และการหัดพูดของเด็กก็จะมีการพัฒนามาตั้งแต่ทารกอยู่ในวัยแรกเกิดแล้ว

ดร.แพทริเซีย คูล ผู้เชี่ยวชาญประสาทวิทยาด้านการเรียนรู้ ได้ศึกษาถึงพัฒนาการทางภาษาในเด็กที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่า จริงๆ แล้วเด็กทารกแรกเกิดทุกรายสามารถแยกความแตกต่างของเสียงในทุกภาษาได้ นั่นหมายความว่า ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับลูกน้อยวัยแรกเกิดจนถึงขวบปีแรกนั้น ลูกน้อยจะเรียนรู้ภาษาที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับเขา และทำความเข้าใจความหมายของคำหรือประโยคนั้นๆ รวมทั้งยังทำการแยกแยะความแตกต่างของเสียงได้ทุกภาษาอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องการจะพูดคุยกับลูกเป็นภาษาไทย ในขณะเดียวกันก็พูดภาษาต่างประเทศกับลูกด้วยนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าลูกจะสับสนหรือไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด

ทั้งนี้ อย่างกรณีที่เราสอนภาษาต่างประเทศให้กับเด็กวัย 2 - 3 ขวบนั้นจะเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้จะสามารถจดจำสำเนียงภาษาได้ง่ายและเรียนรู้ได้ดีกว่าเด็กที่อายุ 8 ขวบ ในทำนองเดียวกันเด็กวัย 8 ขวบ ก็จะสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้เร็วและออกสำเนียงได้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่เพิ่งจะเรียนภาษาต่างประเทศนั้นเป็นครั้งแรกเช่นกัน

2.หมั่นสบตากับเจ้าตัวน้อย

ในขณะที่ลูกน้อยอายุ 6 สัปดาห์เขาจะสามารถมองเห็นภาพที่อยู่ห่างประมาณ 7 นิ้ว เพราะฉะนั้นในช่วงเวลานี้ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นอุ้มลูกน้อยไว้ในวงแขน และสบตากับเจ้าตัวน้อยให้มากเข้าไว้ เพราะภาพใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกน้อยเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่บ่อยๆ นั้นจะค่อยๆ ถูกบันทึกเก็บไว้ในวงจรสมองของลูกน้อย เพื่อแยกแยะความแตกต่างของใบหน้า และภาพอื่นๆ ที่เขาได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งสิ่งนี้จะมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของลูกน้อยต่อไปในอนาคต

3."การพูดคุย" ช่วยพัฒนาสมองของลูกรัก

จากการศึกษาของนักจิตวิทยาพบว่า ภาษามีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสติปัญญาของลูกน้อยมาก เพราะการเรียนรู้ภาษาของเด็กเล็กไม่ใช่เพียงแค่เป็นการจดจำคำและพูดออกมาได้เท่านั้น ทว่าการเรียนรู้ภาษาของเด็กจัดเป็นกระบวนการพัฒนาสมองที่ทำงานอย่างมีระบบ และยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่หมั่นพูดคุยกับลูกน้อยที่อยู่ในวัยแรกเกิดจนถึง 2 ขวบบ่อยๆ ด้วยแล้ว ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ก็จะเรียนรู้ศัพท์ และสามารถแยกแยะความแตกต่างของคำแต่ละคำได้มากขึ้น

4.ดนตรีสื่อชีวิต

คุณพ่อคุณแม่ที่รักเสียงดนตรีนั้น อาจจะปลูกฝังให้ลูกน้อยเป็นเด็กที่รักเสียงดนตรีมาตั้งแต่ยังแบเบาะ ทั้งนี้ อาจจะเป็นรูปแบบของการเปิดดนตรีประเภทต่างๆ ให้ลูกน้อยฟังอยู่เป็นประจำหรือการร้องเพลงกล่อมลูกนอนก็ตาม ซึ่งวิธีที่คุณพ่อคุณแม่ให้ลูกน้อยได้มีโอกาสสัมผัสกับเสียงดนตรีตั้งแต่ที่อยู่ในวัยแรกเกิดนั้น นอกจากจะก่อให้เกิดผลดีทางด้านอารมณ์ของลูกน้อยแล้ว ยังเป็นการช่วยทำให้ลูกรู้จักและคุ้นเคยกับจังหวะ ตลอดจนท่วงทำนองของดนตรีด้วย

นอกจากนี้ ได้มีงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าเด็กกลุ่มที่เรียนเปียโน และฝึกร้องประสานเสียงนั้น จะมีความสามารถทางด้านการเรียนรู้มิติและการใช้เหตุผลได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนเปียโน อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมให้ลูกน้อยเรียนรู้ดนตรีนั้น คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะเพียงแค่ปรารถนาให้ลูกน้อยเป็นเด็กที่รักดนตรี และมีจิตใจสุนทรีย์เท่านั้น ไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้ลูกเป็นเลิศหรืออัจฉริยะแต่อย่างใด ซึ่งก็นับว่าดนตรีมีความสำคัญทั้งทางด้านสติปัญญา และจิตใจของลูกน้อยเป็นอย่างยิ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงควรส่งเสริมให้ลูกน้อยรักเสียงดนตรีตั้งแต่อยู่ในวัยเยาว์

5.ส่งเสริมนักสำรวจตัวน้อย

นักสำรวจตัวน้อยจะเริ่มทำการสำรวจสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายตั้งแต่วัยแบเบาะ คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ว่าลูกน้อยที่นอนอยู่ในเปลนั้น มักจะมองและจดจ้องสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทารกจะไม่มีขอบเขตจำกัด จึงทำให้เจ้าตัวน้อยพยายามเรียนรู้โลกกว้างด้วยตัวของเขาเองอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ของเด็กทารกนั้น จะช่วยให้เด็กมีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น เพราะเขาจะมีประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรส่งเสริมให้ลูกน้อยได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น การมองเห็น การฟัง การดมกลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัสอย่างเต็มที่

ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่อาจจะใช้วิธีการร่วมสำรวจโลกกว้างกับลูกน้อย ไปด้วยกันทั้งสามคนพ่อแม่ลูก โดยผ่านรูปแบบการเล่น เพราะวิธีนี้จะช่วยทำให้ลูกน้อยเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ลูกน้อยรู้สึกอบอุ่นใจ เมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ

6."คุณแม่ขา ช่วยอธิบายให้หนูฟังหน่อยค่ะ"

แม้ลูกน้อยวัยแบเบาะยังพูดกับคุณพ่อคุณแม่เป็นคำไม่ได้ ทว่าเจ้าตัวน้อยที่ได้แต่นอนตาแป๋วอยู่นั้น ก็มักจะแสดงท่าทีสนอกสนใจ อยากรู้อยากเห็นโลกกว้างอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับว่าถ้าลูกพูดได้เขาคงขอให้คุณพ่อคุณแม่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ผ่านสู่สายตาของเขาว่า สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนี้คืออะไร?

อย่างในเรื่องของความแตกต่างระหว่างสี เด็กทารกที่วัยไม่ถึงขวบจะยังไม่สามารถเรียกชื่อของสีที่แตกต่างกันได้ เช่น สีแดงหรือสีเขียว ฯลฯ หากแต่เด็กจะมีความเข้าใจในเรื่องความแตกต่างของสีแต่ละสีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้จักชื่อที่จะเรียกจำแนกเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ก็คืออธิบายให้ลูกน้อยเข้าใจในเรื่องของสี ขนาด รูปร่าง และรูปทรงของสิ่งต่างๆ อยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการตอกย้ำให้ลูกน้อยมีความเข้าใจ ในรายละเอียดต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

7.สำคัญที่กำลังใจ

ในขณะที่ลูกน้อยทำสิ่งใดก็ตามสำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของผู้ใหญ่ก็ตาม ทว่าในจิตใจของลูกแล้ว สิ่งที่เขาทำสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่หมั่นพูดชมลูกน้อยในความสำเร็จเล็กๆ ของเขาอยู่เสมอ ก็จะทำให้ลูกน้อยมีกำลังใจที่จะใช้ความพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

นอกจากนี้ เมื่อลูกเกิดความอิ่มเอมใจกับความสำเร็จก้าวเล็กๆ ของเขาแล้วยังได้รับคำชมเชยจากคุณพ่อคุณแม่เป็นแรงใจอีก ภายในร่างกายของลูกน้อยก็จะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน หรือสารแห่งความสุขออกมา ซึ่งสารนี้จะเสริมให้เส้นใยประสาทของลูกประสานสัมพันธ์กันแน่นหนามากขึ้นทีละน้อย เป็นผลให้สมองของลูกมีการทำงานอย่างเต็มที่มากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณพ่อคุณแม่แสดงท่าทีเฉยชาต่อความสำเร็จ เล็กๆ น้อยๆ ของลูกตั้งแต่ที่เขายังอยู่ในวัยแบเบาะแล้ว วงจรประสาทของลูกน้อยก็จะไม่มีการประสานสัมพันธ์กันอย่างหนาแน่นเท่าที่ควร และผลจากการขาดการกระตุ้นทางด้านการเรียนรู้ในสิ่งนี้ จะทำให้ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องการทำสิ่งใหม่ๆ อีกต่อไป ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อยต่อไปในอนาคต

8.ทำอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าสมองของลูกในช่วงวัยแรกเกิดจนถึง 3 ปี จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด ทว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ยังคงต้องส่งเสริมการเรียนรู้แก่ลูกไปอย่างต่อเนื่องด้วย เพราะถึงแม้สมองของลูกน้อยในช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้น จะไม่ได้เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ก็ตาม ทว่าความสามารถในการพัฒนาเครือข่ายการประสานกันของเซลล์ประสาทของลูกก็จะค่อยๆ ก่อร่างประสานใยประสาทไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าลูกอายุสิบกว่าปี

ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างเส้นใยประสาทของลูกให้เจริญเติบโตไปอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะอ่านหนังสือหรือนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน พูดคุยหยอกล้อกับลูก เล่นดนตรีร่วมกับลูก หรือโอบกอดลูกรักให้เขาได้รับความอบอุ่นทางจิตใจมากที่สุด ฯลฯ ทุกบททุกตอนเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้ลูกรักของคุณพ่อคุณแม่มีพัฒนาการที่ดีทั้งทางด้านสติปัญญาและอารมณ์

สิ่งสำคัญก็คือ หากคุณพ่อคุณแม่สวมบทบาทของการเป็นพ่อแม่มืออาชีพตาม 8 วิธีข้างต้นนี้ ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ก็จะเติบโตไปเป็นเด็กที่มีความสุข มีสติ ปัญญาเฉลียวฉลาดและมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้ ทั้งนี้ เวลาและความต่อเนื่องในการส่งเสริมลูกรักให้มีศักยภาพทั้งทางด้าน ความคิด จิตใจ และร่างกาย ก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหมือนกัน ดังคำกล่าวที่ว่า

"กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวฉันใด ลูกน้อยก็ไม่ได้เป็นอัจฉริยะเพียงแค่ข้ามคืนฉันนั้น"

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

น้ำมันปลาดีต่อเด็ก...แน่หรือ

มีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนถ้าเด็กในครรภ์ได้รับน้ำมันปลาจากอาหารที่แม่รับประทาน โอกาสที่จะเกิดเป็นเด็กมีปัญหาทางสมองจะลดลง เพราะน้ำมันปลามีกรดโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ต่อเซลล์สมอง ถ้าขาดกรดนี้เด็กจะเกิดมามีโรค อย่างเช่น อ่านหนังสือไม่เข้าใจ (dyslexia) ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวอวัยวะทำงานไม่ประสาน (dyspraxia) และสมาธิสั้น(ADHD)

เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วที่มหาวิทยาลัย OXFORD 2 - 3 ปีก่อน เมื่อได้มีการนำเด็กที่ป่วยเป็นโรคประสาทควบคุมดังกล่าว 117 คน ไปรับการทดลองกินอาหารที่เสริมด้วยกรดโอเมก้า-3 โดยครึ่งหนึ่งได้รับ และอีกครึ่งไม่ได้รับ ปรากฏว่าเพียงสามเดือน กลุ่มแรกมีอาการดีขึ้นอย่างน่าใจหาย ซึ่งรวมทั้งการเคลื่อนไหวของอวัยวะ การประพฤติตัว และการเรียน ทั้งนี้ โรคนี้กระทบกับเด็กเฉลี่ยแล้วถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนมากไม่ค่อยรู้ ยกเว้นรายที่มีอาการเนชัด ซึ่งพอประสาทการเคลื่อนไหวทำงานไม่ประสาน ประสาทส่วนอื่นเลยพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้นักวิจัยได้อธิบายย้อนหลังไปถึงยุคที่คนเรายังเป็นมนุษย์กึ่งน้ำกึ่งบก คือ เชื่อกันว่าคนเราเดิมอยู่ในน้ำ แล้วค่อยๆ ขึ้นบก และถึงแม้จะขึ้นบกนานแล้ว แต่อวัยวะบางส่วน เช่น ดวงตา ยังมีองค์ประกอบของมนุษย์ที่อยู่ในน้ำ ทำให้จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เป็นสารที่ได้จากสัตว์น้ำ ซึ่งสารๆ หนึ่งก็คือ กรดโอเมก้า-3 จากปลา กรดชนิดนี้จำเป็นมากสำหรับเซลล์ดวงตา ในการช่วยการรับรู้ของประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญส่วนนี้ และอาจจำเป็นถึงขนาดควรจะได้รับ แม้กระทั่งเวลาที่คนเราอยู่ในครรภ์

ผลการวิจัยเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในวงการสาธารณสุขอังกฤษ จนกระทั่งมีการศึกษาในเวลานี้ว่าสมควรหรือไม่ที่รัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลให้ผู้ที่จะเป็นแม่ทุกคน รวมทั้งเด็กเกิดใหม่ ได้รับกรดโอเมก้า-3 ในปริมาณที่พอเพียงเป็นประจำ โดยจะทำถึงขั้นการให้กรดเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของรัฐ ใครไม่มีเงินซื้อ ไปรับแจกได้

ฟังแล้วดูดี ถ้าไม่มีปัญหาใหญ่สองเรื่อง
เรื่องแรก การปนเปื้อนของสารปรอทในปลาทะเล เพราะกรดโอเมก้า-3 ที่ได้กันทุกวันนี้มาจากแหล่งนี้ จากปลาที่ถูกนำไปทำปลาป่นและปลากระป๋อง แล้วน้ำมันปลาที่เป็นผลพลอยได้ถูกนำไปสกัดและบรรจุในแคปซูล เรื่องการปนเปื้อนเป็นเรื่องใหญ่และอันตรายจนถึงขั้นองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ ถึงกับออกมาเตือนให้หญิงตั้งครรภ์ระมัดระวัง อย่ารับประทานปลากระป๋องมากเกินไป รวมทั้งเด็กที่อายุยังน้อยก็ควรระมัดระวังด้วย

ล่าสุด 1 - 2 เดือนนี้เองนิตยสาร Consumer Reports ซึ่งเป็นนิตยสารคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐ ถึงกับออกมาห้ามไม่ให้ผู้ตั้งครรภ์รับประทานปลากระป๋อง โดยอ้างรายงานของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่องค์การฯ แนะนำ ยังมีระดับการปนเปื้อนของสารปรอทสูง

และปัญหาเรื่องที่สอง โอกาสการสูญพันธุ์ของปลาทะเล ถ้าหากมีการบริโภคกรดโอเมก้า-3 ในระดับสากล หรือทุกคนที่เป็นแม่และเป็นเด็กได้รับ ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่เป็นห่วงได้แก่ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดี เวลานี้ปลาในทะเลได้ลดจำนวนลงมาก โดยมีสาเหตุมาจากการจับกันไม่หยุด และจับกันโดยไม่เลือกแหล่ง

เมื่อลดลงโอกาสการอยู่รอดของปลาย่อมลดลงด้วย เพราะปลาจำนวนมากกินปลาด้วยกันเป็นอาหาร นี่ขนาดคนเรายังไม่บริโภคกรดโอเมก้า-3 เป็นเรื่องเป็นราว ปลายังลดลงขนาดนี้ อะไรจะเกิดขึ้นถ้าแม่และเด็กทุกคนจะต้องบริโภคเป็นประจำ

ทั้งนี้ ในทัศนะของพวกนี้ สาเหตุที่คนหันมาสนใจกรดชนิดนี้ ไม่มีอะไรนอกจากการรณรงค์ของบรรดาบริษัทผลิตน้ำมันปลา เพื่อผลักดันราคาของน้ำมันปลาให้สูงกว่านี้เพราะที่ผ่านมายังต่ำ เนื่องจากการบริโภคยังไม่แพร่หลาย โดยการรณรงค์ได้ดำเนินมาถึงขั้นรณรงค์ให้รัฐบาลประเทศต่างๆ หันมาสนใจน้ำมันปลา และนำน้ำมันที่สกัดและบรรจุแล้ว ไปแจกจ่ายให้ประชาชน

ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มีสูง เนื่องจากในหลายประเทศ การทำประมงเป็นอาชีพสำคัญ และชาวประมงเป็นฐานคะแนนเสียงใหญ่ แทนที่จะรณรงค์ให้คนบริโภคน้ำมันปลา พวกที่ต่อต้านเห็นว่า ควรผลักดันพวกนี้หันไปรณรงค์ให้คนนิยมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะดีกว่า โดยพยายามรับประทานหลายๆ ชนิด อย่าซ้ำกัน รวมทั้งรับประทานตอนที่ยังสด หรือไม่ปรุงสุกจนเกินไป

เราควรจะเชื่อใครดี คำตอบคือ เชื่อทั้งสองข้างนั่นแหละ ฟังหู ไว้หู เพราะการปนเปื้อนในปลาทะเลเป็นเรื่องจริง รวมทั้งปลาน้ำจืด และปลาที่เลี้ยงในบ่อ ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง อย่ากินปลาบ่อยเกินไป โดยเฉพาะปลาที่ตัวโต อยู่ในน้ำนาน พวกนี้จะสะสมสารเป็นพิษไว้ในตัวมาก

แต่ขณะเดียวกัน น่าจะหันไปดูประเทศญี่ปุ่นบ้าง เพราะนี่เป็นประเทศที่มีการกินปลากันมาที่สุด และคงยังกินมากจนถึงขณะนี้ ซึ่งถ้าการกินปลามีอันตราย มีหรือที่ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นมนุษย์ที่เสพข่าวสารมากและไวที่สุด จะไม่รู้และตกใจ และมีหรือที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่เตือนภัย

กินไปเถอะปลา แต่อย่ากินมาก ซึ่งรวมทั้งน้ำมันปลาด้วย
รับมือกับการนอนของลูก

คุณแม่มือใหม่คงเคยปวดใจกับภาวะที่เจ้าตัวน้อยไม่ยอมนอน ทั้งกลางวันและกลางคืน แถมยังไม่ยอมนอนคนเดียว ร้องไห้โยเย ไหนจะตอนลูกน้อยฝันร้าย และอีกสารพัดอิทธิฤทธิ์เกี่ยวกับปัญหาการนอนของลูกน้อย เราจึงมีวิธีมารับมือกับปัญหาเหล่านี้ของลูกน้อยค่ะ

1.ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางวัน

คุณแม่ลองให้ลูกอยู่ในห้องคนเดียวเงียบๆ หรือนอนเป็นเพื่อน หรือคุณแม่จะร้องเพลงหรือเล่านิทานให้เขาฟังก่อนนอนก็ได้นะคะ สักพักเจ้าตัวน้อยก็เผลอหลับไปเองล่ะค่ะ อย่าเพิ่งหนักใจเลยนะคะ บางครั้งเขาอาจนอนเต็มอิ่มจากช่วงกลางคืนแล้วก็ได้ จึงยังไม่ค่อยง่วงในช่วงกลางวัน ถ้าเขาหมดแรงจากการเล่นเมื่อไหร่ เขาก็หมดอิทธิฤทธิ์เมื่อนั้น คุณแม่สบายใจได้ค่ะ

2.ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืน

คุณแม่ควรกำหนดเวลาเข้านอนให้กับลูกอย่างชัดเจน ให้เขาดูโทรทัศน์ได้ถึงเวลาที่คุณแม่กำหนดเท่านั้น และคุณแม่ต้องใจแข็งหน่อยนะคะ เพราะคุณแม่ได้สร้างกฏให้เขาได้ปฏิบัติแล้ว จึงต้องเคร่งครัดกับกฏที่ตั้งมา หลังจากนั้นคุณแม่ก็พาเขาเข้านอน คุณแม่อาจอ่านนิทานให้เขาฟังก่อนนอนก็ได้ หรืออาจนอนเป็นเพื่อนเขาก่อน แต่คุณแม่อย่าเผลอหลับก่อนลูกน้อยล่ะ

3.ลูกไม่อยากนอนคนเดียว

บางครอบครัวเริ่มให้ลูกน้อยได้นอนคนเดียวในห้องของตัวเอง บางครั้งลูกน้อยก็เข้าใจและยอมนอนคนเดียวอย่างสงบ แต่ในบางครั้งเจ้าตัวเล็กก็งอแง ไม่ยอมไปนอนห้องของตัวเองซะงั้น คุณแม่ลองคุยกับเขาดูนะคะ ว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่อยากนอนในห้องคนเดียว แล้วคุณแม่ก็อธิบายให้เขาเข้าใจถึงสาเหตุที่เขากลัวคุณแม่ลองบอกเขาดูนะคะ ว่าเขายังมีพี่ตุ๊กตานอนเป็นเพื่อน เขาไม่ได้นอนคนเดียวเลย หากลูกน้อยกลัวความมืด คุณแม่ก็เปิดไฟดวงเล็กๆ ทิ้งไว้ หรือแง้มประตูเพื่อให้มีแสงจากภายนอกลอดเข้าไปในห้องค่ะ

4.ลูกฝันร้าย

เมื่อลูกน้อยฝันร้าย คุณแม่ควรเข้าไปปลอบเขา กอดเขา เพื่อให้เขารู้ว่ามีคุณแม่อยู่ข้างๆ และไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว คุณแม่อาจนอนเป็นเพื่อนเขาสักพัก รอให้ลูกน้อยหลับไปก่อน แล้วคุณแม่ค่อยออกมา การฝันร้ายของลูกน้อยอาจเกิดจากภาวะความเครียดที่เขาได้รับในตอนกลางวัน หรืออาจเกิดจากการที่เจ้าตัวเล็กได้ดูได้ฟังเรื่องราวน่ากลัว หรือเรื่องน่าตื่นเต้นก่อนนอนค่ะ ดังนั้น คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงเรื่องราวเหล่านี้เพื่อไม่ให้ลูกน้อยฝันร้ายค่ะ

เทคนิคให้ลูกน้อยนอนสบาย

1.กินอิ่ม

การที่ลูกน้อยได้ดื่มนมก่อนนอนเป็นการช่วยให้เขานอนหลับได้ง่ายขึ้น อีกทั้งถ้าแต่ละมื้อเขาได้ทานอาหารอิ่มแล้วล่ะก็ รับรองเขาได้ง่วงนอนเร็วแน่นอนค่ะ

2.ให้ลูกได้วิ่งเล่นหรือออกกำลังเยอะๆ

วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้เจ้าตัวน้อยนอนสบายเหมือนกันค่ะ เมื่อเขาได้ใช้พลังงานจนหมด เขาก็จะเพลียและหลับง่ายขึ้นค่ะ ดังนั้น คุณแม่ต้องล่อลวงให้เขาได้วิ่งเล่นเยอะๆ นะคะ เขาจะได้ยอมนอนและหลับสบาย

3.ชุดนอนของลูกควรเป็นชุดที่สวมใส่สบาย

ไม่คับจนเกินไป ควรให้เขาใส่หลวมๆ เนื้อผ้านุ่ม บางเบา เพราะเขาจะได้นอนสบายไม่อึดอัดค่ะ

Tips

อุปกรณ์การนอนชิ้นโปรดของลูก คุณแม่ไม่ควรเปลี่ยนก่อนที่จะถามเขานะคะ เพราะลูกน้อยอาจไม่ยอมนอนเครื่องนอนใหม่ที่คุณแม่บรรจงเลือกมาให้ลูกก็ได้ค่ะ เพราะเค้าติดเครื่องนอนเก่าไปซะแล้วนี่คะ